หลังจากนั้นลู่สืออวี่ก็ร้องว้าวออกมาพร้อมชะโงกตัวไปข้างหน้าด้วยท่าทางอย่างคนขี้นินทา “ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าเพื่อใคร”
ตอนนั้นเองเยี่ยสวี่ถึงได้มองไปทางเขาและอธิบายด้วยรอยยิ้ม “จริงๆ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เมื่อสามปีก่อนผมบังเอิญเคยเข้าร่วมมหกรรมรับสมัครงานในสถานศึกษาของโยวจี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณแม็กกี้กล่าวสุนทรพจน์ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ตั้งแต่นั้นมาก็ทำให้ผมมุ่งมั่นในแวดวงธุรกิจนี้”
เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจ
ลู่สืออวี่พยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เขาพูดพลางมองไปทางเจียงเหม่ยซี “ดูท่าทางเธอจะมีแฟนบอยโดยไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ย”
เจียงเหม่ยซียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้วล่ะค่ะ”
แต่ในขณะที่พูดเธอก็ทำการตัดสินใจแล้ว…ในช่วงเวลาสำคัญที่เธอกับลู่สืออวี่แข่งขันกันเพื่อที่จะได้เป็นกรรมการผู้จัดการ ความผิดพลาดเล็กน้อยใดๆ ล้วนสามารถกลายเป็นยันต์เร่งตายในหน้าที่การงานของเธอได้ทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยสวี่คนนี้จะมีเจตนาอะไร ดีหรือไม่ดีก็ตาม เธอจะให้เขาเข้ามาในบริษัทไม่ได้เด็ดขาด!
เพราะเจียงเหม่ยซีไม่ได้ถามอะไรมากมาย การสอบสัมภาษณ์รอบนี้จึงเข้าสู่ช่วงท้ายอย่างรวดเร็ว
ลู่สืออวี่ถามคำถามสุดท้ายพอเป็นพิธี “งั้นคุณมีคำถามอะไรอยากจะถามพวกเราไหมครับ”
การให้โอกาสผู้เข้าสอบสัมภาษณ์ได้ถามคำถามในตอนสุดท้ายนี่ดูเหมือนจะเป็นกระบวนการพื้นฐานในการสอบสัมภาษณ์ไปแล้ว ในอินเตอร์เน็ตมีกลยุทธ์ชี้แนะผู้สำเร็จการศึกษาว่าควรถามผู้สัมภาษณ์กลับอย่างไรอยู่ไม่น้อย หลักการก็มีแค่ ‘ไม่ต้องมีความดีความชอบอะไร แค่ไม่มีข้อผิดพลาดก็พอ’
เดิมทีเจียงเหม่ยซีคิดว่าเยี่ยสวี่คงจะถามคำถามที่ผิวเผินทั่วไป แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมองเธอและถามขึ้นว่า “คุณลืมแล้วจริงๆ เหรอครับว่าพวกเราเคยเจอกันมาก่อน”
เจียงเหม่ยซีไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมานิยามความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้ เธอถึงขั้นไม่กล้าหันไปมองลู่สืออวี่ด้วยซ้ำ กลัวว่าแค่เหลือบตาไปก็จะถูกจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้มองพิรุธอะไรออก
สักพักเธอก็ยิ้ม “ขอโทษค่ะ มันนานมากแล้ว ฉันจำไม่ได้จริงๆ”
“อย่างนั้นเหรอครับ” เยี่ยสวี่เองก็ยิ้มเช่นกัน “แต่สำหรับผมแล้วยังเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือวันนี้อยู่เลย”
เจียงเหม่ยซีจินตนาการได้เลยว่าหากยังให้โอกาสเยี่ยสวี่ได้พูดต่ออีก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโพล่งอะไรๆ ออกมาและลู่สืออวี่ก็จะต้องจับพิรุธได้แน่ๆ จากนั้นก็จะใช้เรื่องนี้มาประโคมให้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเธอจึงไม่ตอบรับคำเขา แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายตรงถึงหลินจยาที่รออยู่นอกห้อง “เรียกคนต่อไปเข้ามาเลย”
หลังจากเยี่ยสวี่ออกไป เจียงเหม่ยซีก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าลู่สืออวี่พอใจในตัวเยี่ยสวี่มาก เขาอาจจะได้กลิ่นอะไรที่ผิดปกติและกำลังวางแผนขุดค้นให้ลึกลงไป…หากเป็นเช่นนั้นแล้วเธอจะใช้เหตุผลอะไรมาปฏิเสธการรับเยี่ยสวี่เข้าทำงานล่ะ
สำหรับผู้สมัครอีกไม่กี่คนถัดมา เจียงเหม่ยซีก็เพียงแค่รับมือกับพวกเขาครู่เดียวแล้วผ่านไป จนกระทั่งเมื่อถึงคนสุดท้าย…ในตอนที่มู่ตี๋เดินเข้ามาในห้อง เธอก็มีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับท่าทีของเธอก็คือหลังจากมู่ตี๋เริ่มแนะนำตัวโดยใช้ภาษาอังกฤษ ลู่สืออวี่กลับแสดงออกว่าไม่สนใจ
เจียงเหม่ยซีเห็นสถานการณ์นี้แล้วก็ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว เพราะแต่ไหนแต่ไรมานั้นภาวะจิตใจของมู่ตี๋ก็ไม่ค่อยจะดีนัก ท่าทีของลู่สืออวี่จะต้องส่งผลต่อการแสดงความสามารถของหลานสาวเธอแน่ๆ
และเป็นอย่างที่คาดไว้ มู่ตี๋แนะนำตัวเองไปได้ครึ่งหนึ่งก็เริ่มพูดตะกุกตะกัก
ลู่สืออวี่ถึงกับยิ้มออกมา ยิ้มไปพลางส่ายหน้าไปพลาง
ท่าทีนี้แสดงออกชัดมาก