หลังมู่ตี๋แนะนำตัวเองเสร็จ ลู่สืออวี่จึงเริ่มถามคำถามไปเรื่อยเปื่อยพอเป็นพิธี เจียงเหม่ยซีได้ยินคำถามก็ลอบพรูลมหายใจออกมาเงียบๆ เพราะนี่คือคำถามที่ก่อนหน้านี้เธอเคยไกด์ให้มู่ตี๋ อีกฝ่ายน่าจะเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
แต่ใครจะรู้ แม้แต่มู่ตี๋เองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองตื่นเต้นเกินไปหรือเป็นอะไรจึงอึกๆ อักๆ อยู่นาน พูดเพียงแค่ว่า “คือว่า…เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ชัด คุณช่วยพูดอีกรอบได้ไหมคะ”
เมื่อเห็นท่าทีของลู่สืออวี่เปลี่ยนจากดูแคลนเป็นประหลาดใจและดูเหมือนกำลังจะพูดออกมาว่า ‘นี่เธอยังฟังไม่ออกเหรอ’ เจียงเหม่ยซีก็รีบใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันที่เป็นมาตรฐานแต่เนิบช้ากว่าปกติพูดคำถามเมื่อครู่ของลู่สืออวี่ซ้ำอีกรอบก่อนที่เขาจะเอ่ยปากอีกครั้ง
ครั้งนี้มู่ตี๋ฟังจบก็ให้คำตอบที่อยู่ในเกณฑ์ออกมาอย่างรวดเร็ว
ทว่าคนที่อยู่ในห้องประชุมตอนนี้นอกจากตัวมู่ตี๋เองแล้วก็เกรงว่าคงไม่มีใครสนใจว่าตกลงเธอพูดอะไรกันแน่
ลู่สืออวี่มองเจียงเหม่ยซีด้วยความแปลกใจ เธอรู้สึกถึงสายตาของเขามาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับไปเพราะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่…เจียงเหม่ยซีที่เข้มงวดกับตัวเองและก็จุกจิกกับคนอื่นมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใจอ่อนผ่อนปรนกับพนักงานใหม่ ทว่าครั้งนี้กลับแสดงความเมตตาออกมาอย่างผิดปกติ จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่
แม้เจียงเหม่ยซีจะรักษาความสุขุมบนใบหน้าไว้ แต่ในใจกลับท้อแท้เป็นอย่างมาก…ครึ่งวันมานี้ช่องโหว่ของเธอจะมีมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเยี่ยสวี่ หรือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมู่ตี๋ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด
เธอกลัวว่าลู่สืออวี่จะเอาเรื่องเยี่ยสวี่มาเล่นงานตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่ความผิดพลาดเท่านั้น ส่วนความสัมพันธ์กับมู่ตี๋นั้น…แค่คุณสมบัติของหลานสาวของเธอมู่ตี๋ก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าโยวจี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งเธอจำเป็นจะต้องไปอธิบายกับผู้ใหญ่สองท่านที่บ้าน ดังนั้นจึงเหลือแค่ ‘การใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ’ ทางเดียวแล้ว ในเมื่อไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติอะไรก็จัดการโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นมีดในมือของลู่สืออวี่ได้เช่นกัน
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือลู่สืออวี่เกิดสงสัยขึ้นมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเจียงเหม่ยซีจึงต้องคิดคำนวณไว้ว่าอีกสักพักตอนที่ลู่สืออวี่ถาม เธอจะต้องรับมืออย่างไร
อาจเป็นเพราะการออกหน้าของเธอ ลู่สืออวี่จึงไม่แกล้งมู่ตี๋อีกและปล่อยผ่านสถานการณ์ไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังส่งเธอออกไปอย่างเบิกบาน
เมื่อการสอบสัมภาษณ์จบลงเจียงเหม่ยซีก็ไม่รั้งอยู่ที่ห้องประชุมนานนัก เธอรีบลุกขึ้นแล้วผละจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ไหนเลยลู่สืออวี่จะปล่อยเธอไปง่ายๆ ขนาดนั้น เขาเดินตามหลังออกมาติดๆ
ดีที่ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดีในบริษัทจึงไม่มีคน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ที่ผู้อำนวยการสองคนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำกับไฟไม่ถูกกัน เจอหน้าก็หยิกกันกลับมากะหนุงกะหนิงไล่ตามกันอย่างนี้ หากถูกบรรดาน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทมาเห็นเข้าไม่รู้ว่าจะลือออกไปอย่างไรบ้าง
ตรงหน้าเธอคือลิฟต์ เมื่อเจียงเหม่ยซีเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิดจึงรีบเร่งฝีเท้าตรงไปกดปุ่มลงชั้นล่างไว้ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิท ประตูที่กำลังจะปิดจึงค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง
ก่อนลู่สืออวี่จะตามทันเธอก็แวบหายเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปุ่มปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดลิฟต์ก็เริ่มเคลื่อนลงอย่างราบรื่น เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจออกมายาวๆ
เมื่อผ่อนคลายลงเธอก็กวาดสายตามองคนที่อยู่ในลิฟต์แวบหนึ่ง การกวาดตามองในครั้งนี้ทำให้สภาพจิตใจของเธอที่เพิ่งผ่อนคลายลงต้องเคียดขึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเป็นคนแรกที่สอบสัมภาษณ์เสร็จก็น่าจะออกจากบริษัทไปตั้งนานแล้วนี่ ทำไมถึงยังไม่ไปกัน
สัญญาณเตือนในใจเจียงเหม่ยซีส่งเสียงดัง
เยี่ยสวี่ยืนอยู่อีกด้านของลิฟต์ ในแววตาที่กำลังมองเธอมีรอยยิ้มเจืออยู่รางๆ
ในตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เจียงเหม่ยซีก็คร้านจะเสแสร้งอีก “สัมภาษณ์เสร็จตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเพิ่งกลับล่ะ”
“ผมกำลังรอคนอยู่”
ประโยคนี้ยั่วโมโหเจียงเหม่ยซีเข้า