เธอเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ตกลงว่านายกำลังคิดยังไงกันแน่ เรื่องเมื่อคืนมันเป็นแค่ความผิดพลาด นายไม่เข้าใจหรือไง ตามพัวพันไม่เลิกราอย่างนี้สนุกไหม”
“ตามพัวพันไม่เลิกรา?” เยี่ยสวี่เลิกคิ้ว
เจียงเหม่ยซียิ้มเย็น “ไม่ใช่หรอกเหรอ ฉันไม่คิดว่าพวกเรายังมีอะไรที่จะต้องพัวพันกันต่อไป และการชดเชยที่ฉันสมควรทำก็ทำไปหมดแล้ว”
“คุณเรียกนั่นว่าการชดเชย?”
เจียงเหม่ยซีพบว่าถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็แล้วไป แต่พอพูดถึงขึ้นมา สีหน้าเยี่ยสวี่ก็ไม่น่ามองเอามากๆ อย่างเห็นได้ชัด…หรือว่าเธอไม่เพียงทำโซฟาในห้องของเขาสกปรก แต่ยังทำพังอีกด้วย? ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็เอาเงินพวกนั้นไปจ้างทำความสะอาดง่ายๆ สักครั้งก็น่าจะพอแล้วนี่ ทว่าเจียงเหม่ยซีก็นึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายแค่อยากจะฉวยโอกาสหลอกเอาเงินเธอ
พอคิดถึงตรงนี้เจียงเหม่ยซีก็พูดอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ฉันรู้ว่านายคิดยังไง แต่ฉันขอเตือนให้หยุดเท่าที่เหมาะสมเถอะ”
เยี่ยสวี่จ้องเธอสักพัก จากนั้นก็หัวเราะออกมาทันใด “งั้นคุณว่าผมควรทำยังไงถึงจะนับว่าหยุดเท่าที่เหมาะสมล่ะครับ”
“ง่ายมาก อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย เหตุการณ์ที่ดักฉันแถวๆ ลิฟต์อย่างในวันนี้ ฉันหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
เยี่ยสวี่ได้ยินแล้วก็หัวเราะ “คุณนี่ขี้มโนจริงๆ”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงติ๊งดังขึ้นมา ลิฟต์หยุดลงอีกครั้ง ประตูลิฟต์เปิดออกอย่างช้าๆ ข้างนอกแออัดไปด้วยพนักงานของโยวจี้ที่กำลังรอลิฟต์กันอยู่หลังกลับมาจากกินข้าวเสร็จ
ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เยี่ยสวี่หันไปมองเจียงเหม่ยซีแวบหนึ่ง “ในเมื่อเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความผิดพลาด งั้นการสอบสัมภาษณ์ในวันนี้สามารถยุติธรรมและเที่ยงตรงหน่อยได้ไหมครับ”
“แน่นอนค่ะ” เจียงเหม่ยซีตอบกลับ
แล้วตอนนั้นเองจู่ๆ ในกลุ่มคนก็มีคนเรียกชื่อเยี่ยสวี่
เจียงเหม่ยซีหันมองไปตามเสียงเห็นคนรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งกำลังกระโดดโหยงเหยงพลางกวักมือเรียก “ฉันอยู่นี่!”
เจียงเหม่ยซีจำได้ คนคนนั้นเป็นผู้ที่มาเข้าร่วมสอบสัมภาษณ์เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะชื่อหลิวกัง ดูจากสาขาวิชาที่จบการศึกษาก็น่าจะเป็นเพื่อนกับเยี่ยสวี่
เยี่ยสวี่มองหลิวกังคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะมองเธออีกครั้งแล้วเดินออกจากลิฟต์ไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ตอนที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง เธอก็ได้ยินหลิวกังบ่นว่า “นายบอกว่าจะรอฉัน แต่ดันไม่บอกว่ารอที่ไหน ฉันหานายตั้งนาน”
เขากำลังรอคนอยู่จริงๆ แต่คนที่เขารอไม่ใช่เธอ?
ตอนเจียงเหม่ยซีได้สติคืนมาก็พบว่าลิฟต์กลับมาถึงชั้นที่ออฟฟิศของเธอตั้งอยู่อีกครั้ง ประตูลิฟต์เปิดออกทำให้เห็นลู่สืออวี่ที่กำลังกดปุ่มอยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวาย
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจียงเหม่ยซี เบื้องหน้าเขาก็พลันสว่างวาบขึ้นมา “เฮ้! ฉันกำลังจะไปตามหาเธออยู่พอดี เป็นยังไงบ้าง เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหม”
เจียงเหม่ยซีออกจากลิฟต์ เดินผ่านหน้าเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่อยาก”
ลู่สืออวี่รีบตามไปทันที “งั้นก็ดีเลย เรามาคุยเรื่องรายชื่อรับเข้าทำงานกันหน่อยเถอะ”
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เจียงเหม่ยซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ “ก็ได้”
เธอพุ่งประเด็นไปที่ผู้สัมภาษณ์หลายคนเมื่อเช้า ลู่สืออวี่เป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาก่อน เจียงเหม่ยซียอมรับในการตัดสินใจของเขาเป็นส่วนใหญ่ แต่มีเพียงผู้สมัครสองคนเท่านั้นที่ความเห็นของเธอกับเขาไม่ตรงกันว่าจะคัดออกหรือเก็บไว้ นั่นก็คือเยี่ยสวี่กับมู่ตี๋
ลู่สืออวี่ยิ้ม “คุณสมบัติข้อนี้ของเขา พวกเรามีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ”
“ก็เพราะคุณสมบัติดีเกินไปถึงต้องปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะใช้พวกเราเป็นสะพานลงเรือหรอกเหรอ”
“บริษัทของเรามีสถิติพนักงานที่อายุงานสามปีมีอัตราการลาออกสูงถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็เหมือนกัน ทำไมถึงเหี้ยมกับเขาขนาดนี้แค่คนเดียวล่ะ”
เจียงเหม่ยซีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “สรุปแล้วยังไงเขาก็ไม่โอเค”