everY
ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 1 – บทที่ 2 #นิยายวาย
ตอนที่ 1
อาร์เธอร์
จันทร์ที่ 9 กรกฎาคม
ผมไม่ใช่คนนิวยอร์ก และผมอยากกลับบ้าน
พอคุณได้มาอยู่ที่นี่แล้ว คุณจะได้รู้กฎมากมายหลายอย่างที่ไม่มีใครพูดถึง อย่างเช่น คุณต้องไม่หยุดเดินบนทางเท้ากะทันหัน จ้องมองตึกสูงอย่างเพ้อฝัน หรือหยุดเพื่อชื่นชมงานกราฟิตี้ ไม่มีการกางแผนที่แผ่นใหญ่เบิ้ม ไม่มีกระเป๋าคาดเอว ไม่สบตากับใคร ไม่มีการฮัมเพลงจากละครเวทีเรื่องเดียร์อีวานแฮนเซน ในที่สาธารณะ ยิ่งถ่ายเซลฟี่ตามมุมถนนนี่ไม่ได้เลย ต่อให้ตรงนั้นมีฉากหลังเป็นซุ้มขายฮอตดอกหรือแท็กซี่สีเหลืองเรียงกันเป็นทางแบบที่คุณมักจะคิดว่านิวยอร์กเป็นแบบนั้นก็เถอะ สิ่งที่คุณทำได้ก็คือชื่นชมภาพพวกนั้นเงียบๆ แต่ต้องดูเท่ด้วยนะ ถ้าเอาตามที่ผมเข้าใจ นี่แหละความนิวยอร์ก ต้องเท่ไว้ก่อน
แต่ผมไม่เท่เลย
ดูอย่างเช้านี้สิ ผมพลาดเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แค่แป๊บเดียวเอง แต่ผมละสายตาไม่ได้ พอมองจากมุมนี้แล้ว โลกเหมือนจะโน้มเอนเข้ามา ทั้งตึกสูงตระหง่านน่าเวียนหัว ทั้งพระอาทิตย์สว่างจ้าอย่างกับลูกบอลไฟ
สวยจริงๆ ผมยกนิ้วให้นิวยอร์กตรงนี้เลย เป็นเมืองที่ทั้งสวยทั้งเหมือนภาพฝัน ต่างจากจอร์เจียลิบลับ ผมเอียงมือถือถ่ายรูป ไม่ใช่รูปแบบที่จะเอาไปโพสต์ในไอจีสตอรี่ ไม่ใส่ฟิลเตอร์ ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมาย
แค่รูปเล็กๆ ที่ถ่ายแบบเร็วๆ รูปเดียว
คนเดินเท้าคนหนึ่งโมโหใส่ผมทันที เชี่ยเอ๊ย ไรวะ หลบ! นักท่องเที่ยวเฮงซวย เอาจริงๆ เลยนะ ผมถ่ายรูปแค่สองวิ แต่ตอนนี้ผมกลายเป็นตัวเกะกะไปละ ผมต้องรับผิดชอบต่อความล่าช้าของรถไฟใต้ดินทุกขบวนและการปิดถนนทุกสาย อย่างกับปรากฏการณ์ต้านทานกระแสลมอย่างนั้นแหละ
นักท่องเที่ยวเฮงซวย
ผมไม่ใช่นักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ จะบอกว่าผมอยู่ที่นี่ก็ได้มั้ง อย่างน้อยก็แค่ช่วงฤดูร้อน ตอนนี้ผมก็ไม่ได้กำลังเดินทอดน่องชมวิวสบายใจในตอนเที่ยงวันจันทร์อยู่สักหน่อย ผมกำลังทำงาน คือผมออกมาซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ แต่ก็นับว่าเป็นงานอยู่นะ
ผมอาจจะเลือกเดินอ้อมไกลหน่อย คืออยากจะอยู่ห่างๆ จากออฟฟิศของแม่เพิ่มสักสองสามนาที ปกติแล้วการเป็นเด็กฝึกงานมันไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอก แค่น่าเบื่อ แต่วันนี้คือห่วยโคตร คุณพอจะนึกออกใช่มั้ย มันเป็นวันที่กระดาษในเครื่องพิมพ์หมด ในห้องอุปกรณ์ก็ไม่มีเหลือ คุณเลยกะจะไปขโมยกระดาษจากเครื่องถ่ายเอกสาร แต่ดันเปิดถาดไม่ออก พอไปกดปุ่มอะไรผิดเข้า เครื่องก็ส่งเสียงปี๊บๆ ขึ้นมา แล้วคุณก็ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ในหัวคิดว่าใครกันนะที่คิดค้นเครื่องถ่ายเอกสารมาให้เสี่ยงต่อการโดนเตะก้น คุณเหรอ หรือเด็กชาวยิวสูงห้าฟุตหกนิ้วที่เป็นโรคสมาธิสั้นพร้อมความเกรี้ยวกราดระดับทอร์นาโด ในวันแบบนี้อ่ะนะ ใช่เลย
สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือระบายให้อีธานกับเจสซี่ฟัง เพียงแต่ผมยังคิดไม่ออกว่าจะพิมพ์ไปเดินไปได้ยังไง
ผมเดินหลบออกจากทางเท้าใกล้ๆ ทางเข้าที่ทำการไปรษณีย์และ…ว้าว ที่ทำการไปรษณีย์ของเมืองมิลตัล รัฐจอร์เจียไม่ใช่แบบนี้ ที่นี่สร้างด้วยหินสีขาว ด้านนอกประกอบด้วยเสาหลายต้น และตกแต่งด้วยทองเหลือง ดูมีระดับจนน่าปวดใจ เล่นเอาผมรู้สึกเหมือนแต่งตัวไม่สุภาพไปเลย และคือผมใส่เนกไทอยู่ด้วยนะ
ผมส่งรูปถนนอาบแสงอาทิตย์ให้อีธานกับเจสซี่ งานวันนี้อย่างเหนื่อย!
เจสซี่ตอบกลับทันที เกลียดนายอ่ะ แต่ก็อยากเป็นนายด้วย
คืออย่างนี้ เจสซี่กับอีธานเป็นเพื่อนซี้ของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และผมก็เป็นอาร์เธอร์ตัวจริงกับพวกเขามาตลอด เป็นอาร์เธอร์ที่ทั้งขี้เหงาและเลอะเทอะ แตกต่างจากอาร์เธอร์ที่แสนเริงร่าบนอินสตาแกรมเป็นคนละคน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมอยากให้พวกเขาเข้าใจว่าชีวิตในนิวยอร์กของผมน่ะเจ๋งสุดๆ ผมแค่รู้สึกว่ามันควรเป็นแบบนั้นอ่ะ ผมเลยส่งข้อความหาพวกเขาในร่างของอาร์เธอร์ที่แสนเริงร่าบนอินสตาแกรมมาเป็นอาทิตย์แล้ว ถึงผมจะไม่แน่ใจว่ามันเนียนรึเปล่าก็เถอะ
แล้วก็คิดถึงนะ เจสซี่พิมพ์มาพร้อมกับส่งอีโมจิจุ๊บๆ มาเป็นแถบ เธอเหมือนเป็นคุณยายของผมในร่างของเด็กอายุสิบหก เธอคงจะส่งรอยลิปสติกมาติดแก้มผมไปแล้วถ้าเธอทำได้ ที่แปลกเลยก็คือเราสองคนไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนสุดเลิฟตัวติดกันเป็นตังเมมาก่อนจนกระทั่งคืนงานพรอม คืนที่ผมบอกเจสซี่กับอีธานว่าผมเป็นเกย์
คิดถึงเหมือนกัน ผมยอมรับ
กลับบ้านเถอะ อาร์เธอร์
อีกสี่อาทิตย์นะ ผมเปล่านับนะเนี่ย
แล้วอีธานก็มาร่วมวงด้วยโดยการส่งอีโมจิที่โคตรจะกำกวม เป็นอีโมจิหน้าบึ้ง คือ ถามจริง หน้าบึ้งเนี่ยนะ ถ้าเจสซี่เวอร์ชั่นหลังงานพรอมแชทอย่างกับคุณยาย อีธานเวอร์ชั่นหลังงานพรอมก็แชทอย่างกับนักเล่นละครใบ้ ในแชทกลุ่มน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แชทแยกน่ะเหรอ เอาเป็นว่าข้อความที่เขามักจะกระหน่ำส่งมาหาผมเงียบเป็นเป่าสากทันทีหลังจากผมสารภาพว่าเป็นเกย์ได้ประมาณห้าวิ เอาแบบไม่โกหกเลยนะ ผมรู้สึกโคตรแย่เลย ไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่แหละ ผมจะเอาเรื่องเขา เร็วๆ นี้เลยด้วย อาจจะเป็นวันนี้เลยก็ได้ หรือไม่ก็…
ประตูที่ทำการไปรษณีย์เปิดออก ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ แต่ฝาแฝดชายหน้าเหมือนกันเป๊ะในชุดรอมเปอร์ลายคู่กันเดินออกมา พวกเขาไว้หนวดทรงตะขอ อีธานต้องชอบแน่ๆ คิดแล้วก็โมโห ผมเป็นแบบนี้กับอีธานมาตลอด เมื่อนาทีที่แล้ว ผมยังอยากจะตัดเพื่อนกับเขากับไอ้อีโมจิกำกวมอ้อนตีนนั่นอยู่เลย แต่ตอนนี้ผมกลับอยากได้ยินเขาหัวเราะซะงั้น เป็นเสียงหัวเราะความดังระดับหนึ่งร้อยแปดสิบเดซิเบลในหกสิบวินาทีแบบขาดใจไปเลยด้วย
สองฝาแฝดเดินลอยชายผ่านผมไป แล้วผมก็ได้เห็นว่าพวกเขามัดจุกด้วย ก็ต้องมัดแหงล่ะ มหานครนิวยอร์กนี่คือดาวอีกดวงหนึ่งชัวร์ เชื่อผม เพราะไม่มีใครกะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
เว้นก็แต่
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินยกกล่องลังไปที่ทางเข้า เขาถึงกับหยุดชะงักตอนที่คู่แฝดเดินผ่านไป ดูเหวอจนผมหลุดหัวเราะออกมา
เขาหันมาสบตาผม
ก่อนจะยิ้ม
แล้วก็…ฉิบหายละ
ตามนั้นเลย อภิมหาโคตะระฉิบหายวายป่วง โคตรน่ารัก น่าจะเป็นเพราะทรงผมหรือรอยกระหรือแก้มอมชมพูของเขานี่แหละ และนี่คือคำพูดที่ออกจากปากของคนที่ไม่เคยสังเกตแก้มคนอื่นมาก่อนในชีวิตอย่างผมเลยนะ แต่แก้มเขานี่ควรค่าแก่การสังเกตจริงๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาควรค่าแก่การสังเกต ทั้งผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงสุดเพอร์เฟ็กต์ กางเกงยีนส์พอดีตัว รองเท้าเก่าๆ เสื้อสีเทาที่สกรีนคำว่า ดรีมแอนด์บีนค็อฟฟี่ ที่มองแทบไม่เห็นเหนือกล่องที่เขาถืออยู่ เขาสูงกว่าผม แต่ก็นะ ผู้ชายส่วนใหญ่สูงกว่าผมกันทั้งนั้น
เขายังมองผมอยู่
ยี่สิบแต้มให้กริฟฟินดอร์ เพราะผมส่งยิ้มให้เขาจนได้ “นายคิดว่าสองคนนั้นเขาจอดจักรยานคู่ไว้ที่ร้านแวกซ์หนวดรึเปล่า”
เสียงหัวเราะอึ้งๆ ของเขาน่ารักมาก เล่นเอาหัวผมเบาโหวงเลย “ต้องเป็นร้านแวกซ์หนวดบวกแกลลอรี่งานศิลป์บวกโรงเบียร์เล็กๆ แน่” เขาตอบ
เรายิ้มให้กันโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“เอ่อ นายจะเข้าไปข้างในรึเปล่า” เขาถามขึ้นมาจนได้
ผมชำเลืองไปที่ประตู “เข้าสิ”
แล้วผมก็เดินตามเขาเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์ ไม่ทันได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้านี่คือการตัดสินใจ ร่างกายของผมก็ตัดสินให้ไปแล้วเรียบร้อย มีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวายในอก เหมือนผมต้องรู้จักเขาให้ได้ แบบเลี่ยงไม่ได้เลยจริงๆ
เอาล่ะ ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่คงทำให้คุณรู้สึกแหยงๆ คุณอาจจะรู้สึกแหยงๆ ไปแล้วด้วยมั้ง แต่เอาเถอะ ฟังผมหน่อยแล้วกัน
ผมเชื่อในรักแรกพบ โชคชะตา จักรวาล เชื่อหมดเลย แต่ไม่ใช่แบบที่คุณคิดนะ ไม่ใช่แบบ จิตวิญญาณของเราถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและเธอคืออีกครึ่งชีวิตของฉันจากนี้และตลอดไป อะไรอย่างนั้น ผมแค่คิดว่าคุณถูกกำหนดมาให้พบเจอใครบางคน ผมเชื่อว่าจักรวาลผลักพวกเขามาหาคุณ
แม้มันจะเป็นช่วงบ่ายวันจันทร์เดือนกรกฎาคม หรือแม้แต่ในที่ทำการไปรษณีย์ก็ตาม
แต่ว่ากันตามจริง ที่นี่ไม่ใช่ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วไป มันกว้างพอจะใช้เป็นโถงเต้นรำได้เลย พื้นประกายวาววับ ตู้ไปรษณีย์เรียงเป็นแถว แถมมีประติมากรรมของแท้เหมือนในพิพิธภัณฑ์ หนุ่มถือกล่องเดินไปที่เคาน์เตอร์เล็กๆ ใกล้ประตูทางเข้า เขาวางกล่องไว้ข้างตัวแล้วเริ่มเขียนรายละเอียดการจัดส่ง
ผมเลยหยิบซองจดหมายจากชั้นแถวๆ นั้นแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เดียวกัน ดูเป็นธรรมชาติสุดๆ ไม่เห็นต้องทำให้มันดูเป็นเรื่องแปลกอะไร ผมแค่ต้องหาคำพูดเหมาะๆ ให้เราคุยกันได้เรื่อยๆ เอาจริงเลยนะ ปกติแล้วผมคุยกับคนแปลกหน้าเก่งมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความจอร์เจียหรือความอาร์เธอร์ แต่ถ้าผมเจอคนแก่ในร้านขายของชำ ผมจะเข้าไปช่วยเช็กราคาน้ำลูกพรุนให้เลย แล้วถ้าผมเจอคนท้องบนเครื่องบิน เธอจะตั้งชื่อลูกของเธอตามผมทันทีที่เครื่องบินลงจอด มันเป็นอะไรที่จะเกิดขึ้นกับผมเข้าสักวัน
หรือไม่ก็เคยเป็นแบบนั้น จนกระทั่งวันนี้ ผมว่าผมเปล่งเสียงออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหมือนลำคอผมมันขดตัวไปแล้ว แต่ผมต้องดึงความเป็นชาวนิวยอร์กที่ไหลเวียนอยู่ข้างในออกมา ต้องเท่และไม่แยแส ผมยิ้มให้เขาแบบไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ ก่อนจะสูดหายใจลึก “ของนายใหญ่จัง”
อ้าว…เวร
แล้วคำพูดก็ไหลออกจากปากผม “ฉันไม่ได้หมายถึงของแบบนั้นนะ คือ กล่องของนาย ใหญ่ดี” ผมกางมือออกจากกันให้เขาดู เพราะนี่แหละคือวิธีพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมพูดไปไม่ได้แฝงความนัยอะไรเลย แหงล่ะ ทำมือเหมือนวัดขนาดน้องชายแบบนี้เนี่ย
หนุ่มถือกล่องขมวดคิ้ว