ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 1 – บทที่ 2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 1 – บทที่ 2 #นิยายวาย

“โทษที ฉันไม่…สาบานเลย ปกติฉันไม่ออกความเห็นเรื่องขนาดกล่องของคนอื่นหรอก”

เขาสบตาผมแล้วยิ้มน้อยๆ “เนกไทสวยดี” เขาพูด

ผมก้มมองเนกไทตัวเองแล้วหน้าแดง แต่คือวันนี้ผมไม่ได้ใส่เนกไทธรรมดาไง ไม่เลย ผมเลือกใส่เนกไทจากคอลเล็กชั่นของพ่อ สีกรมท่าสกรีนลายฮอตดอกจิ๋วเป็นร้อยๆ อัน

“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ชุดรอมเปอร์ล่ะเนอะ” ผมพูด

“ก็จริง” เขายิ้มอีกแล้ว ผมเลยไปสังเกตริมฝีปากเขาเข้าจนได้ ริมฝีปากของเขาได้รูปเหมือนริมฝีปากของเอ็มมา วัตสันเป๊ะ ริมฝีปากของเอ็มมา วัตสัน ตรงนี้ บนหน้าเขาเลย

“นายไม่ใช่คนที่นี่สินะ” หนุ่มถือกล่องพูด

ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ “รู้ได้ไงน่ะ”

“ก็นายยังคุยกับฉันอยู่” แก้มเขาแดงขึ้นมา “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือปกตินักท่องเที่ยวจะชอบชวนคุยก่อน”

“อ๋อ”

“แต่ฉันก็ไม่ได้อะไรนะ” เขาพูด

“ฉันไม่ใช่นักท่องเที่ยวหรอก”

“ไม่ใช่เหรอ”

“คืองี้ ในทางเทคนิคแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนที่นี่หรอก แต่ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ แค่ช่วงฤดูร้อนน่ะ ฉันมาจากมิลตัน รัฐจอร์เจีย”

“มิลตัน รัฐจอร์เจีย” เขายิ้ม

ผมรู้สึกกระวนกระวายแบบบอกไม่ถูกเลย เหมือนแขนขาผมมันแปลกๆ และอ่อนแรง หัวก็เหมือนมีปุยนุ่นอัดอยู่ข้างใน ตอนนี้หน้าผมคงแดงแจ๋แล้ว แต่ผมก็ไม่สนละ ผมแค่ต้องคุยต่อไปเรื่อยๆ “ใช่มั้ยล่ะ มิลตัน ชื่ออย่างกับลุงทวดชาวยิว”

“ฉันไม่…”

“ฉันมีลุงทวดชาวยิวชื่อมิลตันจริงๆ ด้วยนะ ลุงทวดเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่เราอยู่ตอนนี้”

“เรานี่ใครเหรอ”

“นายหมายถึง ฉันอยู่กับใครที่อพาร์ตเมนต์ของลุงทวดมิลตันน่ะเหรอ”

เขาพยักหน้า แล้วผมก็มองเขา แบบ เขาคิดว่าผมจะอยู่กับใครได้ล่ะ แฟนเหรอ แฟนหนุ่มสุดฮอตวัยยี่สิบแปดปีที่เจาะหูรูใหญ่มาก อาจจะเจาะลิ้นและสลักชื่อของผมไว้บนอกข้างหนึ่งด้วย หรือไม่ก็ทั้งสองข้างเลย

“อยู่กับพ่อแม่ฉันเอง” ผมรีบพูด “แม่ฉันเป็นทนาย บริษัทของแม่มีสำนักงานอยู่ที่นี่ แม่เลยขึ้นมาเมื่อปลายเมษาเพื่อจัดการคดีที่ดูแลอยู่ ฉันก็อยากจะขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นน่ะนะ แต่แม่ก็แบบ พยายามได้ดีนี่ อาร์เธอร์ ลูกยังต้องเรียนอีกตั้งเดือน แต่สุดท้ายแบบนั้นก็ดีที่สุดแล้ว เพราะฉันวาดภาพนิวยอร์กไว้ในหัวแบบหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมันกลับเป็นอีกอย่าง ตอนนี้ฉันเลยติดแหง็กอยู่ที่นี่ แล้วฉันก็คิดถึงเพื่อน คิดถึงรถ คิดถึงร้านวาฟเฟิลเฮ้าส์ด้วย”

“เรียงตามนั้นเลยเหรอ”

“น่าจะคิดถึงรถที่สุดนะ” ผมยิ้มกว้าง “เราฝากรถไว้ที่บ้านย่าฉันที่นิวเฮเวน บ้านย่าอยู่ข้างๆ มหา’ลัยเยลเลย มหา’ลัยที่ฉันหวัง หวังมากว่าจะเป็นที่เรียนในอนาคต เอาใจช่วยฉันด้วยนะ” มันเหมือนกับผมหยุดพูดไม่ได้ “ฉันว่านายคงไม่ได้อยากฟังเรื่องราวในชีวิตของฉันหรอก”

“ฟังได้นะ” หนุ่มถือกล่องเงียบไปแป๊บหนึ่ง เขาขยับกล่องให้สมดุลกับสะโพก “ไปต่อแถวกันมั้ย”

ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังเขาไป เขาเบี่ยงตัวมายืนข้างๆ เพื่อจะได้หันหน้ามาหาผม แต่มีกล่องคั่นระหว่างเรา เขายังไม่ได้แปะป้ายที่อยู่จัดส่งลงบนกล่อง ผมพยายามแอบมองที่อยู่ แต่เขาลายมืออย่างกับไก่เขี่ย แถมผมยังอ่านตัวหนังสือกลับหัวไม่ออกอีก

เขาจับได้ว่าผมแอบมอง “นายชอบสอดรู้สอดเห็นหรืออะไรเนี่ย” เขาหรี่ตามองผม

“โอ้” ผมกลืนน้ำลาย “คงงั้นมั้ง อืม”

เขายิ้มกับคำตอบของผม “ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แค่พวกของเหลือหลังจากเลิกกันน่ะ”

“ของเหลือเหรอ”

“หนังสือ ของขวัญ ไม้กายสิทธิ์จากแฮร์รี่ พอตเตอร์ ของทุกอย่างที่ฉันไม่อยากเห็นอีก”

“นายไม่อยากเห็นไม้กายสิทธิ์จากแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกเหรอ”

“ฉันไม่อยากเห็นอะไรก็ตามที่หมอนั่นให้มา”

หมอนั่น

แสดงว่าหนุ่มถือกล่องคบผู้ชาย

โอเค ว้าว เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมแน่ๆ ไม่มีทาง แต่จักรวาลอาจจะมีอิทธิพลต่างไปในนิวยอร์กก็ได้

หนุ่มถือกล่องคบผู้ชาย

ผม-เป็น-ผู้ชาย

“เจ๋งไปเลย” ผมพูดแบบชิลสุด แต่เขากลับมองมาแปลกๆ ผมจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากทันที “ไม่เจ๋งสิ ให้ตาย ไม่เลย เลิกกันนี่ไม่เจ๋งเลย ฉันแค่…เสียใจด้วยสำหรับการสูญเสียนะ”

“เขายังไม่ตาย”

“อ่า ใช่ ใช่สิ ฉันจะ…” ผมผ่อนลมหายใจ ก่อนวางมือลงบนเสากั้นคิวแป๊บหนึ่ง

หนุ่มถือกล่องยิ้มแข็งๆ “อ่า นายเป็นพวกที่ชอบทำตัวแปลกๆ เวลาเจอเกย์สินะ”

“อะไรนะ” ผมร้องเสียงหลง “ไม่ใช่นะ เปล่าเลย”

“อืม” เขากลอกตาแล้วมองข้ามไหล่ผมไป

“ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ” ผมรีบพูด “ฟังนะ ฉันเป็นเกย์”

แล้วโลกทั้งใบก็หยุดหมุน ลิ้นผมหนาและหนักขึ้นทันที

ผมว่าผมไม่ได้พูดคำนั้นออกมาดังๆ บ่อยๆ หรอก ฉันเป็นเกย์ พ่อแม่ผมรู้ อีธานกับเจสซี่รู้ แล้วผมก็บอกเพื่อนร่วมงานที่บริษัทของแม่ไปบ้าง แต่ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะป่าวประกาศเรื่องนี้ในที่ทำการไปรษณีย์

แต่ก็อย่างที่เห็น เหมือนผมจะกลายเป็นคนประเภทนั้นไปแล้ว

“อ้อ จริงเหรอ” หนุ่มถือกล่องถาม

“จริงๆ” เสียงผมเบาหวิว แปลกแฮะ…ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์ให้เขาเห็น ผมอยากจะมีบัตรแสดงตนว่าเป็นเกย์มาโชว์หราเหมือนตราตำรวจ หรือจะให้ผมสาธิตด้วยวิธีอื่นก็ได้ ให้ตาย จะสาธิตให้ดูอย่างเต็มใจเลย

หนุ่มถือกล่องยิ้ม ไหล่ดูผ่อนคลายขึ้น “เจ๋ง”

แม่งเอ๊ย มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ หายใจไม่ทันแล้ว เหมือนจักรวาลตั้งใจให้ช่วงเวลานี้เกิดขึ้นเลย

เสียงเสียงหนึ่งดังมาจากหลังเคาน์เตอร์ “เข้าแถวอยู่รึเปล่า” ผมเงยหน้าขึ้นเห็นผู้หญิงที่เจาะริมฝีปากมองแรงใส่ พนักงานคนนี้ไม่สนห่าสนเหวอะไรทั้งนั้น “โย่ หน้าตกกระ มาเร็ว”

หนุ่มถือกล่องชำเลืองมาทางผมอย่างลังเลก่อนจะก้าวไปหน้าเคาน์เตอร์ ตอนนี้คนต่อแถวหลังเรายาวพรืด และบอกเลยว่าผมไม่ได้แอบฟังหนุ่มถือกล่องนะ คือก็ไม่เชิง เหมือนหูของผมถูกเสียงเขาดึงดูดมากกว่า เขายืนกอดอก ไหล่ตึง

“ยี่สิบหกเหรียญห้าสิบสำหรับส่ง EMS” สาวเจาะปากพูดขึ้น

“ยี่สิบหกเหรียญห้าสิบเหรอ ก็คือยี่สิบหกเหรียญใช่มั้ย”

“ไม่ใช่ ราคายี่สิบหกเหรียญห้าสิบ”

หนุ่มถือกล่องส่ายหน้า “แพงไปนะ”

“ราคาเท่านี้แหละ จะเอาไม่เอา”

หนุ่มถือกล่องยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะยกกล่องกลับมากอดไว้แนบอก “โทษที”

“คนต่อไป” สาวเจาะปากพูดแล้วกวักมือเรียกให้ผมเดินขึ้นมา แต่ผมเบี่ยงตัวออกจากแถว

หนุ่มถือกล่องกะพริบตา “ส่งพัสดุแค่กล่องเดียวมันจะยี่สิบหกเหรียญได้ยังไง”

“ไม่รู้สิ ไม่เข้าท่าเลย”

“สงสัยจักรวาลกำลังบอกให้ฉันเก็บกล่องนี้ไว้”

จักรวาล

พระเจ้าช่วยกล้วยทอด

เขาเป็นคนมีความเชื่อ เขาเชื่อในจักรวาล ผมไม่ได้อยากจะด่วนสรุปเอาดื้อๆ หรืออะไรทั้งนั้น แต่การที่หนุ่มถือกล่องเชื่อในจักรวาลต้องเป็นสัญญาณจากจักรวาลแน่นอน

“โอเค” ใจผมเต้นรัว “แต่ถ้าความจริงแล้ว จักรวาลกำลังบอกให้นายทิ้งของพวกนี้ไปล่ะ”

“จักรวาลไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”

“หา จริงเหรอ”

“ลองคิดดูสิ การเอากล่องไปให้พ้นๆ คือแผนเอใช่มั้ยล่ะ จักรวาลจะไม่ขัดขวางแผนเอเพื่อให้ฉันไปใช้แผนเออีกเวอร์ชั่นหนึ่งหรอก ตอนนี้มันชัดแล้วว่าจักรวาลอยากให้ฉันใช้แผนบี”

“และแผนบีคือ…”

“ยอมรับซะว่าจักรวาลคือไอ้ระยำ…”

“จักรวาลไม่ใช่ไอ้ระยำสักหน่อย!”

“ใช่สิ เชื่อฉัน”

“นายจะไปรู้ได้ยังไง”

“ฉันรู้ว่าจักรวาลมีแผนส้นตีนอะไรบางอย่างกับไอ้กล่องนี่”

“ก็นั่นแหละ!” ผมจ้องเขาเขม็ง “นายไม่รู้จริงๆ สักหน่อย นายไม่รู้ว่าจักรวาลจะเอายังไงกับเรื่องนี้กันแน่ บางทีเหตุผลที่นายอยู่ตรงนี้อาจเป็นเพราะจักรวาลอยากให้นายมาเจอฉันก็ได้ เพื่อให้ฉันบอกนายว่าให้ทิ้งกล่องนี่ไปซะ”

เขายิ้ม “นายคิดว่าจักรวาลอยากให้เรามาเจอกันเหรอ”

“อะไรนะ เปล่า! คือ ฉันไม่รู้ นั่นแหละประเด็น เราไม่มีทางรู้หรอก”

“งั้นเดี๋ยวเราคงได้รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง” เขามองกระดาษซึ่งมีที่อยู่ของผู้รับอยู่พักหนึ่งก่อนจะฉีกมันออกเป็นสองส่วน ขยำมันแล้วโยนใส่ถังขยะ อย่างน้อยก็เล็งไปที่ถังขยะล่ะนะ แต่มันดันตกลงบนพื้นซะงั้น “ยังไงก็เถอะ” เขาพูดขึ้น “เอ่อ นายจะ…”

“ขอโทษนะครับ” เสียงผู้ชายดังก้องออกมาจากอินเตอร์คอม “ขอรบกวนเวลาหน่อยนะครับ”

ผมเบนสายตาไปทางหนุ่มถือกล่อง “นี่มัน…”

อยู่ดีๆ เสียงแหลมปรี๊ดก็ดังออกมา ตามด้วยเสียงเพลงที่บรรเลงโดยเปียโน

แล้ววงโยธวาทิตแบบตัวเป็นๆ ก็ยกขบวนเข้ามา

วงโยธวาทิต

ผู้คนแห่เข้ามาในที่ทำการไปรษณีย์ แบกกลองอันเบ้อเริ่มเทิ่ม ถือฟลูต แตรใหญ่ พากันบรรเลงเพลงแมร์รี่ยูของบรูโน มาร์สแบบเพี้ยนๆ แล้วคราวนี้คนเป็นสิบๆ ทั้งคนแก่ ทั้งคนที่ผมคิดว่ามาต่อแถวซื้อแสตมป์ ก็เริ่มเต้นกันเป็นท่า ทั้งเตะสูง เด้งเป้า ส่ายแขน พูดง่ายๆ คือ คนที่ไม่ได้เต้นก็คือคนที่กำลังถ่ายวิดีโออยู่ แต่ผมตะลึงเกินกว่าจะหยิบมือถือขึ้นมาด้วยซ้ำ คือผมก็ไม่ได้อยากจะคิดไปเองหรอกนะ แต่ว้าว ผมได้เจอหนุ่มน่ารัก แล้วห้าวิต่อมา ผมก็ยืนอยู่ท่ามกลางแฟลชม็อบขอแต่งงาน จักรวาลจะส่งข้อความอะไรที่ชัดเจนได้มากกว่านี้อีกมั้ย

ฝูงคนเปิดทางให้ชายหนุ่มที่ร่างเต็มไปด้วยรอยสักไถสเก็ตบอร์ดเข้ามาแล้วไปหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์บริการ เขาหยิบกล่องใส่แหวนขึ้นมา แต่แทนที่จะคุกเข่า เขากลับวางข้อศอกลงบนเคาน์เตอร์แล้วยิ้มแฉ่งให้สาวเจาะปาก “เคลซี่ ยอดเลิฟ แต่งงานกันนะ”

มาสคาร่าสีดำไหลลงมาจนถึงห่วงบนริมฝีปากของเคลซี่ “โอเค!” เธอคว้าหน้าเขามาจูบทั้งน้ำตา แล้วทุกคนก็ร้องเชียร์

ในอกผมมันเต็มตื้นไปหมด นี่แหละความรู้สึกแบบมหานครนิวยอร์กที่เขาพูดกันในละครเพลง เป็นความบันเทิงแบบภาพสี จอกว้าง ระดับเสียงคมชัด ผมใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่นี่ไปกับการเดินเตร่ไปเรื่อยและคิดถึงจอร์เจียไปวันๆ แต่ตอนนี้เหมือนมีคนมากดสวิตช์ไฟในตัวผมเข้าให้แล้ว

ผมสงสัยว่าหนุ่มถือกล่องจะรู้สึกแบบเดียวกันมั้ย ผมเลยหันไปหาเขาพร้อมรอยยิ้ม มือแนบที่หัวใจ…

แต่เขาหายไปแล้ว

มือผมตกลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรง เขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว กล่องของเขาก็ด้วย ผมเพ่งมองไปรอบๆ กวาดตาดูหน้าทุกคนในที่ทำการไปรษณีย์ เขาอาจจะถูกแฟลชม็อบเบียดไปที่อื่น หรืออาจจะเป็นหนึ่งในแฟลชม็อบก็ได้ เขาอาจจะมีนัดเร่งด่วนที่ด่วนมากจนเขาไม่ขอเบอร์ผมไว้ เขาไม่บอกลาผมเลยด้วยซ้ำ

ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะไม่บอกลาผม

ผมคิดว่า ไม่รู้สิ มันฟังดูโง่ๆ นะ แต่ผมคิดว่าเราสองคนมีโมเมนต์กัน คือจักรวาลหยิบเราขึ้นมาแล้วพามาส่งหากันถึงที่เลยนะ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ใช่มั้ยล่ะ ผมไม่รู้แล้วว่าจะตีความเป็นอะไรได้อีก

เว้นแต่ว่าเขาหายไป เขาคือซินเดอเรลล่าตอนเที่ยงคืน แบบนี้มันเหมือนกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้ผมก็จะไม่มีวันได้รู้ชื่อเขา หรือชื่อของผมจะฟังดูเป็นยังไงตอนที่เขาพูดมันออกมา ผมจะไม่มีวันได้แสดงให้เขาเห็นว่าจักรวาลไม่ใช่ไอ้ระยำ

หายไปแล้ว ไปแล้วไปลับ ความผิดหวังโถมใส่ผมเข้าจังๆ จนเกือบล้มทั้งยืน

จนสายตาผมไปหยุดอยู่ที่ถังขยะ

โอเค ผมไม่คุ้ยถังขยะหรอก ไม่ทำอยู่แล้วล่ะ ผมอาจจะเป็นคนเลอะเทอะ แต่ก็ไม่ได้สกปรกขนาดนั้น

หนุ่มถือกล่องอาจจะพูดถูกก็ได้ บางทีจักรวาลอาจจะอยากให้ใช้แผนบีจริงๆ

คำถามก็คือ ถ้าขยะชิ้นหนึ่งไม่ได้ตกลงไปในถังขยะ คุณจะบอกว่ามันเป็นขยะได้รึเปล่า ลองคิดดูสิ นี่คือสมมุติฐานล้วนๆ เลยนะ ถ้ามีกระดาษที่อยู่ที่ถูกขยำเป็นก้อนหล่นอยู่บนพื้น มันจะใช่ขยะรึเปล่า

หรือว่ามันคือรองเท้าแก้ว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com