everY
ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 5 – บทที่ 6 #นิยายวาย
ตอนที่ 5
อาร์เธอร์
ผมเพิ่งมารู้สึกตอนที่นั่งรถไฟกลับบ้านว่าผมทำพลาดอย่างไม่อาจกลับไปแก้ไขได้แบบจริงจัง ผมได้เจอกับผู้ชายที่ดูดีที่สุดพร้อมแก้มสีอมส้มที่สุด และที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ผมคิดจริงๆ นะว่าเขาก็ชอบผมเหมือนกัน รอยยิ้มนั่นน่ะมันไม่ใช่รอยยิ้มเวลาได้พวกพ้อง มันคือรอยยิ้มแบบประตูที่เปิดกว้าง แต่ตอนนี้ประตูนั้นปิดโครม ล็อก ปิดตายไปแล้ว ผมจะไม่ได้เจอฮัดสันอีก ผมจะไม่มีวันได้จูบริมฝีปากที่เหมือนเอ็มมา วัตสันของเขา นี่แหละชีวิตของผม โสดตลอดกาล
อยากให้ตัวเองกล้าขอเบอร์นายตอนนั้นจัง
เจสซี่คิดผิดมหันต์ที่บอกว่าผมอ่ะโคตรเทพ ความจริงแล้วความกล้าของผมเท่ากับศูนย์ เรื่องจีบก็ศูนย์ ผมยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีเซ็กซ์ ไม่เคยจูบกับใคร แค่เกือบจะก็ไม่เคย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรจนกระทั่งตอนนี้ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติเพราะถึงยังไงอีธานกับเจสซี่ก็อยู่บนเรือลำเดียวกับผม แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนผมกำลังออดิชันเข้าแสดงละครบรอดเวย์ทั้งๆ ที่ไม่เคยฝึกแถมประวัติการทำงานก็ว่างเปล่า ไม่มีความพร้อม ขาดคุณสมบัติ เป็นอะไรที่เกินความสามารถของผมจริงๆ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมั่นใจเกินไปหน่อยตลอดทางกลับบ้าน ผมลงจากรถไฟที่ถนนเจ็ดสิบสองและก้าวเข้าสู่ความวุ่นวายของผู้คน รถแท็กซี่ รถเข็น และเสียงจอแจ บ้านผมห่างจากสถานีรถไฟไปสามช่วงตึก ผมใช้เวลาเดินไปกับการอ่านโพสต์ตามหาคนไปเรื่อยๆ
พอเปิดประตูเข้าบ้านปุ๊บ “อาร์ธ ลูกเหรอ”
ผมวางกระเป๋าแล็ปท็อปลงบนโต๊ะอาหารที่ถูกใช้เป็นทั้งโต๊ะนั่งเล่นและโต๊ะกินข้าว อพาร์ตเมนต์ของลุงทวดมิลตันมีสองห้องนอน ซึ่งน่าจะถือว่าใหญ่แล้วสำหรับนิวยอร์ก ถึงงั้นก็เถอะ มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมัมมี่ในโลงหินอยู่ดี ผมเข้าใจเลยว่าทำไมลุงมิลตันถึงใช้เวลาทั้งหน้าร้อนอยู่ที่เกาะมาร์ธาส์วินยาร์ด
ผมเดินตามเสียงพ่อไปและเจอเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือพร้อมแก้วกาแฟและแล็ปท็อป
“พ่อมาทำอะไรในห้องผมเนี่ย”
พ่อผมส่ายหน้าดูเหมือนจะงงเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ “ไม่รู้สิ เปลี่ยนบรรยากาศมั้ง”
“กลัวม้าล่ะสิ”
“พ่อชอบม้านะ แค่ไม่เข้าใจเฉยๆ ว่าทำไมลุงมิลตันของลูกถึงมีภาพวาดม้าตั้งยี่สิบสองอัน” พ่อผมบอก “ตาของพวกมันมองตามลูกไปทุกที่เลยใช่มั้ยล่ะ พ่อไม่ได้จินตนาการไปเองใช่มั้ย”
“พ่อไม่ได้จินตนาการไปเองหรอก”
“พ่อแค่อยากจะแบบว่า…เอาแว่นกันแดดมาติดให้ ไม่ก็ทำอะไรสักอย่าง”
“ความคิดดี แม่คงปลื้มตายเลย”
เรายิ้มให้กันอยู่ครู่หนึ่ง บางครั้งผมกับพ่อก็เหมือนเด็กสองคนที่นั่งอยู่หลังห้องเรียน หมายความว่าบางครั้งเราก็ขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วปาใส่หัวแม่บ้าง อันนี้พูดแบบเปรียบเทียบเฉยๆ นะ
ผมแอบมองแล็ปท็อปของพ่อ “งานฟรีแลนซ์เหรอ”
“เปล่า แค่แก้อะไรนิดหน่อย” พ่อผมเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ ตอนอยู่จอร์เจีย พ่อผมเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ที่ทำเงินได้จริงๆ จนบริษัทที่พ่ออยู่ต้องลดจำนวนพนักงานไปตอนช่วงก่อนวันคริสมาสต์นั่นแหละ ตอนนี้พ่อเลยเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ที่แก้นู่นนี่นั่นไปเรื่อย
สิ่งที่ผมได้รู้จากการอาศัยอยู่ในโลงหินคือเสียงสามารถเดินทางข้ามกำแพงได้ เพราะงั้นบางคืนผมจะได้ยินเสียงแม่แว้ดใส่พ่อเรื่องที่พ่อไม่ยอมหางานเป็นจริงเป็นจัง และพ่อก็จะพึมพำตอบว่ามันยากแค่ไหนที่ต้องหางานที่จอร์เจียในขณะที่ตัวเองอยู่นิวยอร์ก ซึ่งมักจะจบด้วยการที่แม่ย้ำว่าพ่ออยากจะกลับไปตอนไหนก็ได้ตามสบาย
เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่ากระอักกระอ่วนเลยสักนิด
“เอ้อ พ่อคิดยังไงเรื่องการโพสต์ตามหาคนในเคร็กส์ลิสต์เหรอ” ผมโพล่งขึ้นมา
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงถามออกไปแบบนั้น ผมจะไม่บอกพ่อแม่ผมเรื่องที่ที่ทำการไปรษณีย์แน่ๆ ล่ะ เหมือนตอนที่ผมไม่บอกทั้งสองคนเรื่องที่ผมแอบชอบโคดี้ ไฟน์แมนอย่างเศร้าๆ หรือที่เศร้ากว่าอย่างตอนที่ผมแอบชอบน้องชายเจสซี่ซึ่งอายุห่างกันจิ๊ดเดียว หรือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ แต่คนเราก็หลุดปากกันได้
“แบบโพสต์ส่วนตัวน่ะเหรอ”
“อ่า ช่าย แต่ไม่ใช่แบบ คุณต้องรักหมาและชอบเดินเล่นบนชายหาด มันออกแนว…” ผมพยักหน้า “โอเค มันก็เหมือนโพสต์หาแมวหายนั่นแหละ เพียงแต่แมวตัวนั้นคือหนุ่มน่ารักที่บังเอิญเจอที่ที่ทำการไปรษณีย์ แต่เป็นหนุ่มน่ารักในร่างมนุษย์นะ ไม่ใช่แมวจริงๆ”
“เข้าใจ” พ่อพูด “สรุปคือลูกอยากโพสต์ตามหาหนุ่มที่เจอที่ที่ทำการไปรษณีย์สินะ”
“เปล่า! ผมไม่รู้” ผมส่ายหน้า “จูเลียตกับนัมราตาแนะนำให้ผมทำงั้น แต่นานแน่กว่าจะได้ผล ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเขาเข้ามาอ่านอะไรแบบนี้กันรึเปล่า”
พ่อพยักหน้าช้าๆ “กว่าจะได้ผลต้องนานแน่ล่ะ”
“ใช่เลย ไอเดียโง่ๆ โอเค…”
“มันไม่ใช่ไอเดียโง่ๆ หรอก เราน่าจะลองโพสต์ดูนะ”
“เขาไม่เห็นหรอก”
“อาจจะเห็นก็ได้ มันคุ้มที่จะลองนี่ ใช่มั้ย” พ่อผมเปิดหน้าต่างเว็บใหม่
“โอเค ไม่เอา ไม่ๆๆ เคร็กส์ลิสต์ไม่ใช่กิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนะ”
แต่พ่อผมเริ่มพิมพ์ไปแล้ว และแค่มองพ่อขบกรามแบบนี้ก็รู้เลยว่าพ่อผมเอาด้วยเต็มที่
“พ่อ”
เสียงประตูอพาร์ตเมนต์เปิด ตามมาด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นไม้แข็งๆ แล้วแม่ก็มายืนอยู่ตรงประตูห้องผมในไม่กี่นาทีต่อมา
พ่อไม่เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอด้วยซ้ำ “กลับเร็วนะ”
“หกโมงครึ่งแล้ว”
อยู่ดีๆ ทุกคนก็เงียบ ไม่ใช่เงียบแบบธรรมดาด้วย แต่เป็นเงียบแบบระเบิดปรมาณูเตรียมยิง
ผมเลยพุ่งใส่ซะเลย “เรากำลังจะโพสต์หาผู้ชายที่ผมเจอที่ที่ทำการไปรษณีย์ในเคร็กส์ลิสต์กัน”
“เคร็กส์ลิสต์เหรอ” แม่หรี่ตา “อาร์เธอร์ ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ คือ นอกจากมันจะไม่ได้อะไรขึ้นมาแถมเขาไม่มีทางเห็นมันน่ะ…”
พ่อเกาเครา “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะไม่เห็นมันล่ะ”
“เพราะผู้ชายแบบนั้นไม่เข้าเว็บเคร็กส์ลิสต์กันหรอก”
“ผู้ชายอย่างลูกไม่เข้าเว็บเคร็กส์ลิสต์หรอก” แม่พูด “แม่จะไม่ยอมให้ลูกโดนฆาตกรแทงตายหรอกนะ”
ผมหัวเราะสั้นๆ “โอเค ผมว่าเรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก อาจจะเจอรูปของลับไรงี้ แต่โดนฆาตกรแทง…”
“อู้ว โอเค ในฐานะที่แม่เป็นแม่ของลูก ไอ้รูปของลับนี่แม่ก็ห้าม”
“ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไปขอรูปของลับใครสักหน่อย!”
“ถ้าลูกโพสต์ในเคร็กส์ลิสต์ ก็เท่ากับลูกขอรูปของลับนั่นแหละ”
พ่อเหล่มองแม่ทางหางตา “มาร่า คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าคุณน่ะออกจะ…”
“อะไร ไมเคิล ฉันออกจะอะไร”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าคุณออกจะคิดมากเกินไปหน่อย แค่นิดนึงน่ะ”
“เพราะฉันไม่อยากให้ลูกชายวัยสิบหกของเราเที่ยวส่องตามมุมมืดของอินเตอร์เน็ต…”
“ผมจะสิบเจ็ดแล้วนะ!”
“เคร็กส์ลิสต์เนี่ยนะ” พ่อยิ้ม “คุณคิดว่าเคร็กลิสต์คือมุมมืดของอินเตอร์เน็ตเหรอ…”
“เหอะ อย่างกับคุณรู้อย่างนั้นแหละ” แม่ตะคอก
พ่อดูสับสน “พูดแบบนั้นหมายความว่าไง…”
“โอเค พอได้แล้ว” ผมแทรกขึ้นมา “ผมไม่ทำแหงอยู่แล้วล่ะ ผมไม่เสียเวลาตามหาผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่คุยกันได้ห้าวิหรอก โอเคนะ ทุกคนใจเย็นก่อนได้มั้ย”
ผมมองแม่แล้วหันไปมองพ่อแล้วกลับไปมองแม่อีกรอบ แต่เหมือนทั้งคู่มองไม่เห็นผมด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ทำเป็นไม่มองกันอยู่
ผมเลยเดินออกมา คว้าแล็ปท็อป เชิญตัวละครลงจากเวทีได้
ใจผมเต้นรัวจนแทบสะดุด ผมไม่ชอบเลย พวกเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ คือผมก็เคยเห็นพ่อกับแม่เหวี่ยงใส่กันบ้าง พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์นะ แต่ปกติทั้งสองคนจะทำเป็นล้อเล่นกลบเกลื่อนไปได้ แต่เดี๋ยวนี้ ขนาดเวลาทำเป็นล้อกันเล่นยังดูเหมือนเป็นการสงบศึกชั่วคราวมากกว่าเลย
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วหลับตาลง แต่เชื่อเถอะว่าตอนนี้ผมถูกจับตามองอยู่ พวกม้าน่ะ ถ้าจะให้ละเอียดกว่านี้ คือผมกำลังถูกจับตามองโดยรูปภาพสีน้ำมันอันเท่ายักษ์ที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะ เดาว่าน่าจะเป็นภาพพอร์เทรตวัยหนุ่มของโบแจ็ค ฮอร์สแมน ที่ลีโอนาร์โด ดาวินชีวาดด้วยตัวเอง
เสียงแม่เล็ดลอดออกมาจากห้องผม “…ถึงบ้านเร็ว โทษทีนะ ฉันจัดตารางเวลาประชุมทางโทรศัพท์ใหม่ไปสองครั้งเพื่อจะ…”
“อืม ก็อย่างที่บอก…” เสียงพ่ออ่อนลง “…ถึงเร็ว”
“โอย ขอทีเถอะ ล้อเล่นรึเปล่า นั่นไม่ใช่…”
“คุณคิดมากเกิน…”
“เอาล่ะ ไมเคิล รู้มั้ยว่าคุณต้องหยุดทำอะไร คุณต้องหยุดใช้เวลาทั้งวันไปกับการนุ่งบ็อกเซอร์เล่นเกมคอมพิวเตอร์แล้วตามฉันมาให้…”
ผมเปิดแล็ปท็อป เข้าไอทูนส์ เปิดอัลบั้มละครเพลงสปริงอเวคเคนนิงที่ร้องโดยนักแสดงชุดแรก ผมกดนิ้วลงบนปุ่ม F12 ให้เสียงดังขึ้นสุดเท่าที่มันจะดังได้
“มาร่า ขอล่ะ…”
แล้วผมก็ปล่อยให้เสียงของโจนาธาน กรอฟฟ์กลืนเสียงพวกเขาไป
หนุ่มน่ารักมีไว้ทำอะไรแบบนี้นี่แหละ