Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดี
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 122
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นในช่วงไม่นานมานี้
ก่อนหลิงซูไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับเยวี่ยติ้งถังเขาก็กลับบ้านสองสามวันครั้ง และอย่างมากก็กลับมากินข้าวกับนอน เขาจึงไม่ค่อยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่บ้านสักเท่าใดนัก
แต่หลิงเหยารู้สึกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
โจวซ่าทำงานที่สำนักงานเทศบาลนคร เวลาเข้างานเลิกงานนั้นแน่นอนตายตัว ทุกวันหลังจากหลิงเหยายกกับข้าวจานสุดท้ายขึ้นโต๊ะ ประมาณสิบห้านาทีสามีก็จะเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่วันไหนที่กฎเกณฑ์นี้พลันทลายลง
โจวซ่าเริ่มกลับดึก
ถ้าเพียงครั้งหรือสองครั้งก็แล้วไปเถอะ เขาบอกว่าที่ทำงานมีปัญหาเล็กน้อย หลิงเหยาไม่สงสัยอะไร แต่หลังจากนั้นในหนึ่งสัปดาห์จะต้องมีวันที่เขากลับดึกถึงสาม สี่ ห้า หรือหกวันเสมอ
หลิงเหยาเริ่มสงสัย
เธอไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนที่อยู่ในโอวาทและพึ่งพิงบุรุษตลอดเวลา ช่วงเวลาที่สกุลหลิงระส่ำระสายนั้นหลิงซูยังเด็กนัก เธอคือคนที่แบกรับภาระในบ้านแต่เพียงผู้เดียว
มีครั้งหนึ่งหลิงเหยาอาศัยโอกาสที่โจวซ่ายังไม่กลับบ้านพยายามกะเวลาที่โจวซ่าใกล้เลิกงานแล้วไปรออยู่ข้างสำนักงานเทศบาลนคร รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดโจวซ่าก็ออกมา
เขาออกมาคนเดียว ฝีเท้ารีบร้อน ข้างกายไม่มีเพื่อนร่วมงานหรือมิตรสหาย เมื่อเดินมาถึงถนนก็เรียกรถลาก ทว่าเขากลับเรียกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับบ้าน
หลิงเหยาอาศัยเพียงสองขาของเธอ ดังนั้นไม่นานจึงคลาดกับรถลากคันนั้นไป
เมื่อถึงครั้งที่สองเธอก็มีประสบการณ์แล้ว เธอจ้างรถลากคันหนึ่งให้รออยู่ในมุมมืดข้างนอก รอจนโจวซ่าขึ้นรถแล้วเธอก็รีบให้คนลากรถตามหลังเขาไปในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล จนกระทั่งรถลากของโจวซ่าหยุดลงจึงค่อยหยุด จากนั้นก็ตามเขาเข้าไปในอาคารตะวันตกหลังหนึ่ง
คนบ้านนั้นดูท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับโจวซ่ามาก ทั้งพูดคุยหัวเราะด้วยท่าทีเป็นมิตร
หลิงเหยามองดู อาคารในบริเวณใกล้เคียงล้วนเป็นอาคารตะวันตกทั้งสิ้น ทั้งยังมีคนต่างชาติเดินเข้าออกอีกด้วย
การพักอาศัยในเขตเช่านั้นไม่แปลก แต่การพักอาศัยเป็นเพื่อนบ้านกับคนตะวันตกที่มีสถานะสูงพอตัวได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ ต้องมีเงินและเส้นสายรู้จักคนในเขตเช่าด้วย
“ตอนนั้นพี่ก็สงสัยอยู่แล้วเลยรออยู่ฝั่งตรงข้ามถนน รอจนฟ้ามืดถึงเห็นพี่เขยเธอออกมา เธอทายสิว่าพี่เห็นอะไร ผู้หญิงคนหนึ่งมาส่งเขา ส่งถึงประตู สองคนนั้นร่ำลากัน สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นดูอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากเขามากๆ”
พูดมาถึงตรงนี้ หลิงเหยาก็แค่นหัวเราะ
“พี่กุลีกุจอกลับบ้าน กลับมาถึงก่อนพี่เขยเธอก้าวหนึ่ง พอเขาเข้าบ้านมาพี่ก็ถามเขาว่าไปไหนมา ทำไมกลับดึกขนาดนี้ เขาบอกว่าหัวหน้ามีเรื่องด่วนนิดหน่อยจึงเรียกเขาให้อยู่ต่อจนลืมเวลาไป ก็เลยกลับดึก
ตอนนั้นพี่ก็ว่าจะทะเลาะกับเขาสักยก แต่คิดไปคิดมาหลายปีมานี้เขาก็ปฏิบัติต่อพี่อย่างดีก็เลยอดทนเอาไว้ แต่ที่ไหนได้หลังจากนั้นกลับยิ่งหนักข้อขึ้นอีก จำนวนครั้งที่กลับบ้านดึกมากขึ้นทุกที เรื่องวันนี้เธอก็เห็นแล้ว พี่…”
หลิงเหยาทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกำผ้าเช็ดหน้าร้องไห้ฮือๆ
หลิงซูตบบ่าเธอ
“พี่ วันนี้พี่อาจจะกล่าวหาพี่เขยผิดๆ จริงๆ ก็ได้ ระหว่างเวลาที่ผมเจอเขาที่บ้านเยวี่ยกับเวลาที่ผมมาถึงบ้านเนี่ยมันห่างกันไม่เกินสองชั่วโมงเลย เวลาสองชั่วโมงนี้ถ้าเขาวิ่งไปเขตเช่าแล้วยังต้องรีบกลับมาอีกมันก็อาจจะรีบร้อนเกินไป ว่ากันเรื่องเวลาแล้วน่าจะไม่ใช่นะพี่!”
หลิงเหยาเงยหน้าขึ้นทันที “แล้วจะไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะนัดไปเจอกันที่ร้านกาแฟเลยหรือไง!”
“พี่เขยผมก็ดูไม่ใช่คนที่พยายามขนาดนั้นหรอกมั้ง”
หลิงเหยาโมโห “พี่คิดอยู่แล้วว่าผู้ชายก็คงพูดเข้าข้างผู้ชายนั่นแหละ!”
หลิงซูจนปัญญา “พี่ ผมก็คิดว่าพี่เขยคงมีเรื่องปิดบังพวกเราแน่ๆ ผู้หญิงคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไง ตอนนี้อย่าเพิ่งไปพูดถึงดีกว่า มันคนละเรื่องกัน แต่การที่คืนนี้เขาจะไปนัดพบกับใครผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ค่อยได้ พี่คิดดูนะ ถ้าพี่เป็นเขา เพิ่งจะออกมาจากบ้านที่น้องภรรยาอยู่ไม่เท่าไหร่ก็จะไปบ้านชู้รักแล้ว เขาไม่ได้มีรถยนต์ อย่างมากก็ต้องเรียกรถลาก อย่าว่าแต่ระยะทางไปกลับเลย ระหว่างนั้นเวลาที่เขาจะนัดพบกับคนอื่นได้มีไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ คงพูดได้แค่สองสามคำ กาแฟก็น่าจะยังร้อนจนดื่มไม่ได้อยู่เลย ผมว่าเมื่อกี้พี่เขยดูหิวมากเลยนะ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันได้กินข้าวก็กลับมาก่อนแล้ว”
“งั้นเธอว่าเขาออกจากบ้านเยวี่ยแล้วเขาจะไปที่ไหนล่ะ”
“พี่ไม่ได้ถามพี่เขยเหรอ เขาบอกว่ายังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าระหว่างทางเจอคนหมดสติก็เลยไปช่วย เขาพาคนนั้นไปที่ร้านน้ำชาข้างทาง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรมากแล้วก็ค่อยกลับมา”
หลิงซูยิ้มพลางว่า “แบบนี้สิถึงจะเป็นนิสัยพี่เขย”
“ยังจะยิ้มอีก! ยังยิ้มออกอีกหรือไง!” หลิงเหยาโมโหทุบเตียงตุบๆ “พี่สู้อดทนลำบากรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้นี่มันง่ายนักหรือไง! พี่เขยเธออยากให้พี่คลอดลูกสักคนอยู่นั่น แล้วคิดว่าพี่ไม่อยากเหรอ พี่เห็นว่าเขาก็ดีกับพี่ แล้วก็อยากมีทายาทให้สกุลโจวสักคน แต่…แต่พี่ไปหาหมอมาตั้งมากมายขนาดนั้น ในท้องก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักนิด แล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ! พี่เขยเธอปากก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ แต่ลับหลังกลับไปหานังปีศาจ!”
เธอยิ่งรู้สึกโศกเศร้ามากขึ้นทุกที เธอเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความเศร้า น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
“พี่ก็รู้ว่าเขาก็ยังติดใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน เขาต้องคิดแน่ๆ ว่าปกติพี่เข้มงวดกับเขาจะตาย ดุก็ดุ เลยไปหาผู้หญิงอ่อนหวานข้างนอกโน่น พี่ได้ยินมาหมดแล้วว่าหัวหน้าของเขาซึ่งก็คือหัวหน้าของตึกนั้นแหละ เลี้ยงเมียน้อยเอาไว้ข้างนอกสองคน เมียเขารู้ทั้งรู้แต่ก็ทำเป็นไม่รู้…พี่น่ะคิดไม่ถึงเลย จนถึงตอนนี้พี่เขยเธอก็ยังไม่ทันก้าวหน้า ก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนั้นแล้ว!…น้องเล็ก เธอว่าพี่ควรทำยังไงดี ถ้าเขาไปมีผู้หญิงอื่นอยู่ข้างนอกจริงๆ พี่ควรจะทำยังไง”
“พี่…พี่ อย่าเพิ่งร้อนรน ถ้าพี่เขยทำผิดจริงผมก็ไม่ปล่อยเขาไว้แน่ อย่างมากพี่ก็แค่หย่าซะ ผมเลี้ยงพี่เอง!”
ได้ยินคำของหลิงซู หลิงเหยากลับไม่ยินดี เธอส่ายหน้า
“หย่าเหรอ เธอเคยได้ยินไหมว่าผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะหย่า ถ้าเป็นยุคโบราณก็เท่ากับถูกทิ้งร้างไม่ใช่หรือไง ชื่อเสียงพี่ไม่ดี ต่อไปเธอจะหาภรรยาได้ยังไงกัน”
หลิงซูถอนหายใจ “สมัยโบราณไม่ได้เรียกว่าถูกทิ้งร้าง น่าจะเป็นตกลงหย่าร้างมากกว่า อีกอย่างนะพี่ ตอนนี้มันยุคสมัยใหม่แล้ว ไม่ต้องใส่ใจกฎเกณฑ์คร่ำครึพวกนั้นแล้วล่ะ! ตอนนี้มีคนเขาหย่ากันเต็มบ้านเต็มเมือง หลายปีก่อนแม้แต่ฮ่องเต้ยังโดนทิ้งเลย พวกคุณหนูรวยๆ ขึ้นศาลแย่งมรดกกับพี่ชายหลายคน เรื่องนี้ก็วุ่นวายจนรู้กันไปทั่วเลยจริงไหม แย่งชิงสิทธิ์อันชอบธรรมของตัวเองมันจะมีอะไรน่าอายกันล่ะ ถ้าภรรยาในอนาคตของผมดูถูกพวกเราเพราะเรื่องนี้ การแต่งงานนี้จะมีประโยชน์อะไร”
หลิงเหยาสูดน้ำมูก “เธอพูดอย่างกับว่าเขาไปมีคนอื่นจริงๆ อย่างนั้นล่ะ!”
“…ผมก็แค่พูดในแง่ร้ายที่สุดให้พี่ฟังล่วงหน้าไง แย่แค่ไหนก็คงไม่มากไปกว่าหย่าแล้วล่ะ แล้วจะมีอะไรให้กังวลอีก อีกอย่างนะ พี่แต่งงานกับพี่เขยมาก็ตั้งหลายปี น่าจะเข้าใจเขาอยู่แล้ว ไม่แน่นะ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะติดหนี้เขา หรือไม่หัวหน้าของเขาก็อาจจะวานให้เขาไปหาเธอก็ได้ ก่อนจะถามให้แน่ใจ พี่ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปมั่วๆ เลย ไม่มีความหมายหรอก”
“พี่ไม่กล้าถาม พี่กลัวว่าถามไปจะได้คำตอบที่พี่รับไม่ไหวน่ะสิ”
หลิงซูลุกขึ้น “งั้นผมไปถามเอง!”
หลิงเหยารีบรั้งน้องชายเอาไว้
“อย่าถามเลย ถ้าเขายอมรับขึ้นมาจะทำยังไง ถ้า…ถ้าหากว่า…เรากล่าวหาเขาผิดๆ ไปจริงๆ จะทำยังไง อย่าคิดว่าปกติพี่เขยเธอดูเหมือนเป็นคนใจดีแบบนั้นอย่างเดียวนะ ถ้ารู้ว่าพี่สงสัยเขาแบบนี้เขาต้องโมโหแน่!”
“แล้วพี่คิดจะทำอะไร” มุมปากของหลิงซูกระตุก เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับพี่สาวแท้ๆ คนนี้ดีแล้ว
หลิงเหยาคิด “เธอไปแอบสืบเขาหน่อยสิ”
“ผมเหรอ”
หลิงซูชี้ตัวเอง ไม่คิดว่าสุดท้ายภาระมันจะมาตกอยู่ที่ตัวเขาได้
“ใช่ เธอเคยไขคดีใหญ่ได้นี่ แถมตอนนี้ก็รับตำแหน่งที่กรมตำรวจประจำนครด้วย พอดีเลย เธอก็ไปสืบดูหน่อยแล้วกัน อย่าให้พี่เขยเธอรู้เข้าล่ะ สืบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วก็ดูว่าพี่เขยเธอกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน!”
หลิงซูหัวเราะเฝื่อน “พี่ ผมเป็นแค่ตำรวจตัวเล็กๆ เอง ไม่มีอำนาจอะไรเลย คงสืบไม่ได้ความอะไรหรอก อีกอย่างนะ คดีพวกนั้นมันเทียบกับเรื่องพี่เขยได้หรือไง อย่างมากก็เป็นแค่…”
คำว่า ‘เรื่องในบ้าน’ นั้นเขาไม่ได้พูดออกไป หลิงเหยาจ้องเขาเขม็ง จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
หลิงซูยกมือสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้
“ผมสืบก็ได้”
แล้วจะสืบยังไงล่ะ จะเริ่มจากตรงไหนกัน
นี่แหละปัญหา
สามวันให้หลังหลิงซูก็พบว่านี่อาจจะเป็นปัญหาที่ยุ่งยากและเกี่ยวพันวุ่นวายยิ่งกว่าเรื่องเจินฉงอวิ๋นเสียอีก
ขณะเดียวกันนั้นเยวี่ยติ้งถังก็พบว่าหลิงซูเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ
บทที่ 123
วันที่หนึ่ง
หลิงซูไปซุ่มอยู่ด้านนอกที่ทำงานของโจวซ่าแต่เนิ่นๆ เขาหามุมหนึ่งนั่งคอยอยู่
ผลคือฟ้ามืดแล้วโจวซ่าก็ยังไม่เดินออกมาจากอาคารใหญ่ของสำนักงานเทศบาลนครเสียที
ตัวหลิงซูนั้นโดนลมตอนกลางคืนจนหนาวสั่นไปหมด น้ำมูกก็ไหล แล้วจู่ๆ ที่เท้าของเขาก็มีเหรียญทองแดงปรากฏขึ้นสองสามเหรียญ
หลิงซูเงยหน้าขึ้นอย่างสับสนงุนงง แล้วก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งโยนเหรียญให้เขา
“คนหนุ่มแน่นดูดีแท้ๆ ทำไมถึงกลายเป็นคนสติไม่ดีไปได้นะ รีบเอาไปซื้อโจ๊กกินเสียนะจ๊ะ อย่าให้คนอื่นมาแย่งไปล่ะ!”
อีกฝ่ายพูดเร็วๆ แล้วก็รีบร้อนเดินจากไป แม้แต่โอกาสจะแก้ตัวก็ยังไม่มีให้เขา
หลิงซูสูดน้ำมูก จากนั้นก็เก็บเหรียญทองแดงเหล่านั้นเงียบๆ
คืนนั้นเมื่อกลับมาบ้านเขาจึงได้รู้ว่าพี่เขยออกจากที่ทำงานไปทางประตูด้านหลัง
หลิงซูเกือบต่อยคนแล้ว
วันที่สอง
หลิงซูเตรียมตัวพร้อม เขาสวมเสื้อคลุมหนาๆ และจ้างรถลากคันหนึ่งเอาไว้ ให้คนลากรถไปจอดรออยู่พร้อมกับเขาที่ประตูด้านหลังอาคาร
คราวนี้ในที่สุดโจวซ่าก็ออกมา
แต่โจวซ่ากลับตรงกลับบ้าน ไม่ได้ไปที่เขตเช่าที่หลิงเหยาบอก
เมื่อหลิงซูกลับไป พี่สาวและพี่เขยของเขาก็กินข้าวไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาหิ้วไส้กิ่วไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดที่ตกถึงท้อง
โจวซ่ายังยิ้มพลางว่า “ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนอีกล่ะ พี่สาวเธอทำปลากะพงต้มผักดองที่เธอชอบที่สุดไว้ด้วยแน่ะ พี่กินจะหมดแล้ว เหลือแต่ผักดองแล้วนะ!”
หลิงซูเหน็ดเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่ได้อะไรเลย
วันที่สาม
หลิงซูถามที่อยู่ของสถานที่ที่หลิงเหยาตามไปวันนั้น แล้วก็ไปที่เขตเช่าโดยตรง เขารออยู่ด้านนอกอาคารตะวันตกที่หลิงเหยาพูดถึงหลังนั้น
ผลคือเขาไม่ได้พบผู้หญิงคนดังกล่าวที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยว่าจะมีลับลมคมในกับโจวซ่า แต่เขากลับได้พบเยวี่ยติ้งถัง
เยวี่ยติ้งถังเดินออกมาจากอาคารตะวันตกหลังเล็กฝั่งตรงข้ามถนน ทั้งยังมีหญิงสาวคนหนึ่งมากับอีกฝ่ายด้วย
เป็นผู้หญิงชาวตะวันตกที่ยังสาว แต่งกายนำสมัยงดงาม ผิวขาวจัด เส้นผมสีทองอ่อน
เธอถือร่มแบบตะวันตกคันเล็ก สวมชุดกระโปรงลูกไม้ยาว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะดูตะวันตกมากขนาดไหน
เธออยู่ใกล้กับเยวี่ยติ้งถังมาก ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน เยวี่ยติ้งถังเหมือนได้ยินไม่ถนัดจึงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากของหญิงสาวแทบจะแนบไปบนใบหูของเยวี่ยติ้งถัง
ไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
แหม ดวงเรื่องผู้หญิงของเหล่าเยวี่ยก็ไม่เบานะเนี่ย หลิงซูพูดในใจ
หลายวันมานี้เขาไม่ได้ไปกรมตำรวจประจำนคร และไม่ได้ไปบ้านสกุลเยวี่ย เยวี่ยติ้งถังก็ไม่ได้ส่งคนมาถามไถ่ถึงเขา แม้แต่เป็ดต้มซีอิ๊วที่ลุงโจวสัญญาเอาไว้ว่าจะเอามาส่งให้ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ได้ใหม่แล้วลืมเก่าจริงๆ สินะ
เขาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก รู้สึกว่าลุงโจวนี่พูดไม่เป็นคำพูดเอาเสียเลย
ต่อมาสองคนนั้นก็ขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง
หลิงซูตบบ่าคนลากรถ “เร็ว ตามรถยนต์คันข้างหน้านั่นไป
คนลากรถกำลังสัปหงก จู่ๆ บ่าก็ถูกสะกิดจึงตกใจจนเกือบสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นรถยนต์ที่ค่อยๆ วิ่งออกไปไกลก็อดทำสีหน้าลำบากใจไม่ได้
“คุณครับ สองขาของผมมันจะไปตามรถยนต์ทันได้ยังไงล่ะครับ”
หลิงซูไม่พูดพร่ำทำเพลง ยัดเงินหนึ่งต้าหยางใส่มือคนลากรถ
“ดูผมนะครับ ดูให้ดีเลยนะ!”
คนขับรถฮึกเหิมขึ้นทันทีประหนึ่งได้ฉีดเลือดไก่ เข้าไป สองขาของเขาเริ่มวิ่งลากรถตามรถยนต์คันนั้นไปทันที
รถที่ตามกับรถที่ถูกตามเริ่มห่างกันออกไปเรื่อยๆ แต่รถยนต์คันนั้นขับอยู่ในเขตเมือง ความเร็วจึงไม่อาจเร่งให้มากไปกว่านี้ได้สักเท่าใดนัก รถลากวิ่งลากมาตลอดทางจึงพอจะตามได้อยู่ไกลๆ
จนกระทั่งออกจากเขตเช่า รถยนต์ก็มุ่งไปข้างหน้า
หลิงซูให้คนลากรถหยุด
“พอแล้วล่ะ ไม่ต้องตามแล้ว เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน คุณพักเถอะ”
เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะไปไหน
บ้านสกุลเยวี่ย
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นย่ำพอดี
เยวี่ยติ้งถังได้พูดคุยกับรีเบคก้าอย่างถูกคอในงานเลี้ยงซาลอนของศาสตราจารย์เหอ พวกเขาเพิ่งพบกันทว่ากลับเหมือนรู้จักกันมานาน เมื่อแยกกันแล้วก็เชื้อเชิญอีกฝ่ายมากินข้าวที่บ้าน รีเบคก้าก็ตอบรับคำเชิญอย่างยินดี
เยวี่ยติ้งถังยืนอยู่ด้านหลังแขก เขากำลังจะเดินเข้าบ้านแล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง
“หัวหน้าเยวี่ย ไม่เจอกันนานนะครับ คิดถึงจัง”
เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้ว ค่อยๆ หันไป “วันนี้ฉันมีแขก เกรงว่าจะต้อนรับนายไม่ได้”
หลิงซูหัวเราะคิกคักพลางชูของในมือขึ้น
“ฉันเอาผักดองเค็มมาด้วย จะมาหาลุงโจวน่ะ”
เยวี่ยติ้งถังสีหน้าไม่เปลี่ยน “ฉันรับแทนให้ก็ได้ นายอยู่บ้านพักฟื้นดีๆ เถอะ อาการบาดเจ็บหายดีเมื่อไหร่ก็ค่อยไปรายงานตัวที่กรมตำรวจ”
“แบบนั้นมันไม่เหมาะนา ลุงโจวไม่ได้เจอหน้าฉันหลายวันต้องคิดถึงฉันมากแน่ๆ นายคงไม่ขัดความสุขที่ลุงโจวจะได้เจอฉันหรอกใช่ไหม”
เมื่อเห็นว่าเยวี่ยติ้งถังดูท่าจะไม่หลีกให้ เขาจึงได้แต่เพิ่มระดับเสียง
“ลุงโจว ลุงโจว!”
ลุงโจวได้ยินเสียงเรียกจึงออกมา แล้วก็มีสีหน้าประหลาดใจดังคาด
“คุณชายหลิงมาแล้ว รีบเข้ามาเลยครับ! วันนี้มีแขกมาพอดี คุณชายสี่ให้ผมทำกับข้าวหลายอย่าง คุณก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะครับ!”
เยวี่ยติ้งถังหลีกทางให้ด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง
หลิงซูแทบจะกระโดดโลดเต้นเข้าไปทีเดียว
“ลุงโจว สองวันนี้ผมไม่ได้มาที่นี่ แล้วทำไมไม่เห็นลุงไปหาผมเลย ลืมผมแล้วหรือเปล่าเนี่ย”
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ ผมน่ะอยากจะให้คนไปเชิญคุณมากินข้าวที่นี่ แต่คุณชายสี่บอกว่าคุณจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนพี่สาวน่ะสิ”
เสียงของทั้งคู่ค่อยๆ ไกลออกไปทางห้องครัว แต่เยวี่ยติ้งถังตาไวมือไวรีบดึงหลิงซูกลับมา
“มาทักทายแขกก่อน”
รีเบคก้านั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ท่าทางสุขุมราวกับภาพนางฟ้าบนกระจกสีของโบสถ์
เมื่อเข้าไปใกล้ หลิงซูจึงสังเกตเห็นว่าหนังสือในมือของเธอเป็นภาษาฝรั่งเศส
“รีเบคก้า”
เธอกำลังอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง
“นี่คือหลิงซู เย็นนี้ก็จะมากินข้าวที่บ้านด้วย นี่คือรีเบคก้า เกอแรง เพื่อนฉัน”
เยวี่ยติ้งถังแนะนำทั้งคู่อย่างง่ายๆ
ก็ง่ายมากจริงๆ นั่นล่ะ
เพื่อนก็แบ่งเป็นหลายประเภท มีที่พบเจอกันผิวเผิน คบหากันอย่างตื้นเขิน หรือสนทนากันอย่างลึกซึ้ง มีทั้งเพื่อนต่างเพศที่ดึงดูดกัน ต่อหน้าก็เป็นเพื่อน แต่ที่จริงค่อยๆ ทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายใครจะรู้ล่ะ
“สวัสดีค่ะ”
รีเบคก้ายิ้มพลางยื่นมือออกมา หลิงซูยิ้มแย้มจับมือเธออย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากแตะหลังมือของเธอเบาๆ
“ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จักครับ คุณเกอแรง ผมขอทราบได้ไหมครับว่าคุณอ่านหนังสืออะไรอยู่”
รีเบคก้าเอ่ย “หนังสือ Botany for Ladies ค่ะ คุณเรียกฉันว่ารีเบคก้าก็ได้นะคะ”
เธอใช้ภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ติดสำเนียงต่างชาติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าไม่ได้เห็นหน้าก็คงเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ว่าเป็นคนจีนพูด
หลิงซูประหลาดใจ “พฤกษศาสตร์แบ่งแยกชายหญิงด้วยหรือครับ”
รีเบคก้าอธิบายอย่างใจเย็น “หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า Botany for Ladies เพราะผู้เขียนเป็นผู้หญิงค่ะ แล้วตอนนั้นงานเขียนด้านพฤกษศาสตร์ของนักเขียนหญิงหลายคนก็มีอยู่แค่ในจดหมายหรือบทสนทนาทั่วไปเท่านั้น เธอก็เลยสร้างวิธีที่ผิดแผกออกมา ใช้วิธีเขียนแบบใหม่เปลี่ยนให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือเปิดประตูสู่วิทยาศาสตร์ซึ่งใช้กันได้อย่างแพร่หลายทั่วไปค่ะ”
หลิงซูไม่เห็นว่าจะมีอะไรให้รู้สึกขัดเขิน เขายังพยักหน้าทันที “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง ผมสนใจมากเลยครับ น่าเสียดายที่ผมอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก ถ้ามีคนที่คล่องทั้งภาษาจีนและภาษาฝรั่งเศสอย่างคุณมาแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาจีนก็คงจะดีนะครับ”
รีเบคก้าดีใจขึ้นมา “คุณก็คิดเหมือนกันใช่ไหมคะ ตอนนี้ฉันกำลังทำเรื่องนี้อยู่ค่ะ คุณเยวี่ยบอกว่าที่บ้านของเขามีหนังสือเล่มที่เป็นฉบับดั้งเดิมยิ่งกว่านี้อยู่ ฉันก็เลยมาขอรบกวนดูน่ะค่ะ เอาไว้แปลเสร็จแล้วฉันจะส่งให้คุณเล่มหนึ่งนะคะ!”
หลิงซูค้อมเอวอย่างสุภาพ “ถ้าอย่างนั้นผมจะรอเป็นนักอ่านคนแรกของคุณนะครับ”
เยวี่ยติ้งถังอดชื่นชมความสามารถในการเอาใจผู้หญิงของหลิงซูไม่ได้จริงๆ ความสามารถนี้ไม่ได้พิเศษมากมายอะไร แต่กลับเหมือนพรสวรรค์เสียมากกว่า
ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่เคยใช้พรสวรรค์นี้กับเขาเลย
ระหว่างรับประทานอาหาร รีเบคก้ากับเยวี่ยติ้งถังพูดคุยเรื่องวิชาการกัน จึงใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสไปโดยอัตโนมัติ
เยวี่ยติ้งถังอาศัยจังหวะว่างแอบมองหลิงซูเป็นระยะ
หลิงซูไม่สามารถแทรกบทสนทนาได้จึงก้มหน้าก้มตากินข้าว ใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากทีละเม็ดๆ กิริยาดูเชื่องช้ากว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็ยังเหลือข้าวอยู่อีกครึ่งถ้วย
เยวี่ยติ้งถังมองหลิงซูเป็นครั้งคราว ส่วนหลิงซูไม่เงยหน้าสักครั้งเดียว จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
เขาควรจะพูดเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจบ้างหรือเปล่านะ เยวี่ยติ้งถังคิดแบบนั้น
แต่สองวันมานี้หลิงซูวิ่งวุ่นไปทั่วไม่ได้โผล่หน้ามาหาเขาเลย และไม่บอกด้วยว่าตัวเองไปไหนมา เมื่อเป็นอย่างนี้นานเข้าทั้งคู่ก็ต้องห่างกันมากขึ้นเป็นธรรมดา
เยวี่ยติ้งถังพลันคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในเฟิ่งเทียนขึ้นมา
ต่อให้เวลานั้นพวกเขาจะต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายขนาดไหน แต่อย่างน้อยร่างกายและหัวใจของพวกเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกันถึงขนาดนั้นมาก่อน
กระนั้นหลิงซูก็ไม่ให้เวลาเขาได้คิดอะไรมากนัก
“ฉันอิ่มแล้ว พวกนายค่อยๆ กินกันไปนะ”
หลิงซูพยักหน้าบอกพวกเขาแล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร
เยวี่ยติ้งถังคล้ายได้ยินหลิงซูพูดกับลุงโจวว่าจะกลับก่อน เขาจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
“คุณเยวี่ย คุณเยวี่ยคะ”
เสียงของรีเบคก้าทำให้เขาได้สติขึ้นมา
“ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะว่ากับข้าวจานนี้เรียกว่าอะไร”
เยวี่ยติ้งถังคลายคิ้วที่ขมวดไว้ออก “กุ้งผัดชาหลงจิ่งครับ เป็นอาหารขึ้นชื่อของหางโจว พ่อครัวบ้านนี้เป็นคนเจ้อเจียง กับข้าวชนิดนี้เขาถนัดมากครับ”
รีเบคก้าพูดอย่างยินดี “อร่อยมากเลยค่ะ ถ้าสะดวกฉันขอสูตรอาหารได้ไหมคะ กลับไปจะให้พ่อครัวของฉันลองทำดูบ้าง”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยว่า “ได้แน่นอนครับ”
เขายอมรับว่าตัวเองใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว หลังจากนั้นรีเบคก้าพูดอะไรเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่
จนกระทั่งรับประทานอาหารเสร็จคุณสุภาพสตรีก็ขอลากลับ เยวี่ยติ้งถังให้คนขับรถไปส่งเธอ ถึงได้มีโอกาสถามไถ่ลุงโจวเป็นการส่วนตัว
“ทำไมลุงถึงให้หลิงซูไปล่ะ”
“คุณชายหลิงบอกว่ารีบน่ะครับ ต้องอาศัยตอนที่ยังไม่ค่ำมากไปเรียกรถลาก คืนนี้มีงานเต้นรำ ถ้าไปช้าจะไม่ได้เต้นรำเพลงแรกกับคุณหย่าฉีน่ะครับ”
เยวี่ยติ้งถังคิดว่าหูของตัวเองมีปัญหา “เขาไม่ได้กลับบ้านแต่ไปเต้นรำที่โรงเต้นรำ แล้วลุงก็ปล่อยให้เขาไปน่ะเหรอ ขาเขายังไม่หายดีเลย จะไปเต้นรำได้ยังไง”
เต้นแบบขาเป๋ๆ งั้นเหรอ
“เด็กหนุ่มๆ น่ะครับ ก็คงชอบเที่ยวเล่น เขาก็เป็นคนรู้จักความพอดีอยู่นะครับ” ลุงโจวไม่ได้ใส่ใจนัก กลับมาหัวเราะเยวี่ยติ้งถังเสียอีก “คุณชายสี่น่ะ ปากก็บอกว่าไม่สนใจ แต่ในใจนี่จดจ่อยิ่งกว่าผมเสียอีก อยากจะไปหาเขาใช่ไหมล่ะครับ คุณเองก็ออกไปเที่ยวเล่นบ้างเถอะครับ คนหนุ่มต้องไปเดินเหินเที่ยวเล่นมากๆ เขาไปที่โรงเต้นรำฟลอเรนซ์ครับ”
เยวี่ยติ้งถังไม่สบอารมณ์ “คนขับรถไปส่งรีเบคก้าแล้ว ดึกขนาดนี้มีรถที่ไหนกัน”
ลุงโจวหัวเราะ “ผมกำชับคนขับรถเอาไว้แล้วว่าให้ไปช้าหน่อย บอกว่าต้องตรวจสอบสภาพรถ คุณลองออกไปดูสิครับ คุณรีเบคก้าต้องยังรอคุณอยู่แน่”
บางครั้งเยวี่ยติ้งถังก็รู้สึกจริงๆ ว่าลุงโจวกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าแห่งสกุลเยวี่ยไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งไหนก็ล้วนมองเห็น ไม่ว่าสิ่งไหนก็ล้วนคิดเอาไว้แล้วเสมอ
หากไม่มีลุงโจวอยู่ สกุลเยวี่ยก็คงเป็นเพียงสกุลที่มีเพียงชื่อ มีเพียงเปลือกกลวงเปล่าไปแล้ว
หลิงซูกำลังสำราญกับการปรนเปรอของสาวงามนุ่มนวลหอมฟุ้ง
ทุกลมหายใจล้วนจมดิ่งอยู่ในมหาสมุทรแห่งเครื่องสำอางและน้ำหอม
ทางซ้ายมีหย่าฉีส่งผลไม้ให้ ทางขวาก็มีโรสคอยนวดบ่า
หูได้ยินเสียงดนตรีเบาๆ ตาก็มองเห็นแต่สาวๆ เอวคอดสะโพกผายสัดส่วนโค้งเว้างดงาม
เขารู้สึกว่าใจของตนกำลังถูกกัดกร่อน
เจ็บปวดทว่ามีความสุข
“คุณชายหลิง ได้ยินว่าเดินทางไกลมา กลับมาเมื่อไหร่คะ”
หย่าฉีกลืนคำพูดที่ว่า ‘รู้หรือเปล่าคะว่าฉันคิดถึงคุณแค่ไหน’ ลงไป เธอหัวเราะคิกคักเปลี่ยนคำพูด
“พวกเราคิดถึงคุณนะคะ ต้าปันบ่นถึงคุณทุกสามวันห้าวันเชียว!”
“เธอน่ะสิที่คิดถึงฉัน ต้าปันคงคิดถึงแต่กระเป๋าเงินของฉันนั่นแหละ”
หลิงซูกัดแอปเปิ้ลจากมือของเธอแล้วก็เคี้ยว ไม่รู้เลยสักนิดว่าที่ด้านหลังมีเมฆครึ้มก่อตัว เตรียมจะกดดันให้ทั้งเมืองพินาศอยู่รอมร่อ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 30 พ.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.