X
    Categories: everYคดีลับใต้หมู่ดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 120-121 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆาตกรรม

การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การค้ามนุษย์

การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

 

บทที่ 120

ทำไมต้องแต่งหญิง คงต้องพูดกันตั้งแต่เรื่องที่พวกเขาพยายามหลบเลี่ยงหูตาของคุณซ่งนั่นล่ะ

พูดถึงคุณซ่ง ก็คงยากจะเลี่ยงไม่พูดถึงทรัพย์สมบัติที่ขนย้ายตามร่างคุณนายมาถึงเป่ยผิง

เยวี่ยติ้งถังกลัวจริงๆ ว่าหลิงซูจะพลั้งปากพูดเรื่องเหล่านั้นออกไป

แม้ว่าพ่อบ้านจะเป็นคนกันเอง แต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันมากมายใหญ่โต ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น สำหรับคนที่ได้ฟังแล้วการรู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

หลังจากกินซุปร้อนๆ แล้วก็มีเหล้าอุ่นมาเสิร์ฟพอดิบพอดี

เหล้าไม่จำเป็นต้องดีกรีสูง เหล้าดอกกุ้ยหรือเหล้าบ๊วยนั้นเหมาะสมที่สุด

สำหรับพวกเขาซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทาง เหล้าสักกาหนึ่งคือสิ่งที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเลือดลมไหลเวียนได้ดีที่สุด ทำให้ความอ่อนระโหยโรยแรงกลับมามีกำลัง ร่างกายผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด

หลิงซูพูดคุยเรื่องที่ได้เห็นได้ยินมาจากสกุลกวนไม่หยุด บรรยายเรื่องนิสัยชวนตะลึงจนพูดไม่ออกของพี่น้องสกุลกวนทั้งหลาย ท่านใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ท่านรองผู้หลงใหลในของโบราณแต่กลับไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น มีปณิธานแรงกล้าแต่ไร้ความสามารถ ท่านสามผู้เงียบขรึมไม่พูดไม่จา ท่านสี่ผู้ไหว้เจ้าเข้าทรง ทั้งยังมีท่านห้าที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ดูเหมือนสูงส่งบริสุทธิ์แต่กลับสนใจเรื่องการแบ่งมรดกของกวนเหล่าเหยียจื่อไม่แพ้ใคร หลิงซูบรรยายถึงบุคคลเหล่านี้ได้อย่างออกรสออกชาติ

ทว่าฉากที่เหล่าหยวนเปิดคลังนั้น เมื่อออกมาจากปากหลิงซูก็เปลี่ยนเป็นเรื่องเล่าฟุ้งฝอยที่เขาพูดไปเรื่อย เบี่ยงเบนความสนใจของลุงโจวได้ในที่สุด

เมื่อมีหลิงซูร่วมโต๊ะอาหาร ต่อให้มีคนน้อยก็ยังรู้สึกคึกคักได้

ชั่วชีวิตนี้พ่อบ้านชราพบเจอคนมาไม่น้อย แต่คนที่ไม่สมเหตุสมผลจนชวนตะลึงอย่างคนสกุลกวนนั้นมีให้เห็นไม่มาก พ่อบ้านฟังจนเพลิน กระทั่งหลิงซูเล่าจบไปนานเขาจึงค่อยถอนหายใจ

“ที่จริงคุณชายใหญ่ก็เคยบอกเอาไว้ครับว่าการเดินทางครั้งนี้พวกคุณไม่ควรไปกัน นอกจากเรื่องจะไปลำบากกันเปล่าๆ แล้ว ถ้าคุณนายที่อยู่ในปรโลกรู้เรื่องนี้เข้าคงไม่อยากให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นหรอกครับ”

เยวี่ยติ้งถังวางถ้วยซุป ก่อนใช้ผ้าเช็ดปาก

“ก็ไม่นับว่าเสียเปล่าหรอก อย่างน้อยก็ได้ชดเชยความเสียใจของแม่ตอนยังมีชีวิตอยู่”

อีกทั้งยังเรียกคืนสมบัติมาได้อีกสองหีบเต็มๆ เพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือคนตะวันตก

ทรัพย์สมบัติพวกนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ อย่าว่าแต่เหล่าหยวนไม่รู้เลย แม้แต่เขากับหลิงซูเองก็แยกแยะไม่ออก เพียงแต่ตอนที่กวนเหล่าเหยียจื่อยังมีชีวิตอยู่ถึงกับกล้าเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น พยายามทุ่มเทมากมายเพื่อปกป้องของเหล่านั้นเอาไว้ ประกอบกับที่มาของมันก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อาจจะมีสักวันที่คนรุ่นหลังบันทึกประวัติศาสตร์แล้วเขียนถึงความเพียรพยายามในการปกป้องทรัพย์สมบัติเหล่านี้ของกวนเหล่าเหยียจื่อเอาไว้บ้างก็ได้ ให้สมกับที่ทุกคนต้องลำบากตรากตรำกันมา

ทว่าตอนนี้ เรื่องเหล่านี้ยังคงเป็นความลับ ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้

พออยู่บ้านก็มักอยากออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก เมื่อเตร่อยู่ข้างนอกนานเกินไปก็เริ่มคิดถึงบ้าน

ที่นี่คืออ่าวเรือให้เขาได้พักผ่อนสบายใจทุกเมื่อยามเหนื่อยล้า เมื่ออยู่ที่นี่เขาไม่จำเป็นต้องคิดหาอุบายวางแผนต่อสู้เอาชีวิตรอด ไม่ต้องกังวลว่าคนข้างกายจะมาลอบทำร้าย และยังมีคนในครอบครัวที่ห่วงใยเอาใจใส่พวกเขา คอยเตรียมข้าวเตรียมซุปร้อนๆ ให้พวกเขาได้ขจัดความเหนื่อยล้าและความสกปรกจากการเดินทางอันยาวนาน

สำหรับหลิงซูแล้ว แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่บ้านของตัวเอง แต่เขาก็อยู่ที่นี่ได้โดยไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย

หากหาความกดดันมาใส่หัวใจตัวเอง คนคนนั้นย่อมมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และเขาก็เป็นคนไม่หาเรื่องวุ่นวายใจให้ตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร

ลุงโจวย่อมไม่ให้เขาไปนอนโซฟาห้องรับแขกอยู่แล้ว อีกฝ่ายเก็บกวาดจัดห้องนอนแขกเอาไว้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ หมอนผ้าห่มก็เปลี่ยนเป็นของใหม่และนำไปตากแดดเรียบร้อย หากเข้าไปดมใกล้ๆ ก็จะได้กลิ่นหอมแดด

เยวี่ยติ้งถังเดินลงมา ก่อนจะกลับไปโดยที่ในมือมีสาลี่ตุ๋นน้ำตาลสองถ้วย

ลุงโจวแทบจะพยายามกำจัดความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากที่พวกเขาได้รับมาจากข้างนอกไปให้หมดสิ้นภายในวันเดียว เขาตั้งเตาไม่ได้หยุดหย่อน ตอนแรกลุงโจวจะขึ้นมาเสิร์ฟให้หลิงซูด้วยตนเองด้วยซ้ำ แต่เยวี่ยติ้งถังเห็นลุงโจวอายุอานามขนาดนี้แล้วก็ทนไม่ไหวที่จะให้เดินขึ้นเดินลงทั้งวัน จึงถือโอกาสเอามาให้หลิงซูเอง

ชามหนึ่งวางเอาไว้บนหัวเตียงในห้องตนเอง อีกชามยกมาเคาะประตูห้องนอนแขกสองสามครั้ง จึงค่อยได้ยินเสียงคนข้างในเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

“เข้ามาสิ”

ความอ่อนเพลียหนักหน่วงทำให้แทบจะหลับไปในวินาทีข้างหน้า

เยวี่ยติ้งถังผลักประตูเข้าไป เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังนอนกางแขนกางขาอย่างไม่มีการรักษาภาพลักษณ์ใดๆ ดังคาด เห็นภาพนี้แล้วเยวี่ยติ้งถังเป็นอันต้องขมวดคิ้ว

“นายนอนทับแผล อย่านอนอย่างนี้สิ”

หลิงซูไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

เยวี่ยติ้งถังเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายสระผมแต่ยังไม่ได้เช็ดให้แห้ง กลับนอนลงไปทั้งที่ผมเปียกอย่างนั้นจนน้ำซึมบนหมอน

“ลุกขึ้นมา”

เยวี่ยติ้งถังถอนหายใจ เขารู้สึกทนไม่ได้

ตอนอยู่ข้างนอกพูดปาวๆ ว่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พอกลับมาบ้านเห็นอีกฝ่ายทำตามใจอย่างนี้เขาก็เริ่มจะจุกจิกจู้จี้ขึ้นมาอีกแล้ว

หลิงซูรับคำงึมงำ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงมาก ไม่ขยับสักนิด

เยวี่ยติ้งถังทนจนทนไม่ไหว ในที่สุดก็ลงมือเอง เขาไปเอาผ้าขนหนูแห้งผืนหนึ่งออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วโปะลงบนศีรษะอีกฝ่าย จากนั้นก็เริ่มเช็ดผมให้

“ทางซ้ายอีกหน่อย ใช่ๆ ตรงนั้นแหละ กดตรงจุดเฟิงฉืออีก…”

หลิงซูได้คืบจะเอาศอก ไม่ได้ใส่ใจกับกิริยาที่ค่อนข้างหยาบกระด้างเล็กน้อยของเยวี่ยติ้งถัง กลับสนุกสนานเสียด้วยซ้ำ

เยวี่ยติ้งถังหมดคำจะพูด นี่มันคุณชายใหญ่แต่กำเนิดจริงๆ

ถ้าสกุลหลิงยังไม่ล้มละลาย เจ้าหมอนี่ก็คงยังเป็นคุณหนูคุณชายที่ถูกเลี้ยงประคบประหงมจนเคยตัว แค่หนามกุหลาบตำนิดหน่อยก็ต้องนั่งเป่าแผลไปครึ่งค่อนวันอะไรจำพวกนั้น

หากตอนนั้นหลิงซูเอาทรัพย์สมบัติประจำตระกูลที่พี่สาวให้ไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศ ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับเยวี่ยติ้งถังที่ต่างบ้านต่างเมืองก็ได้ เพราะวงการนักเรียนนอกก็มีอยู่แค่นั้น เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็ต้องเจอ เยวี่ยติ้งถังก็จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้แต่งงานกับตู้อวิ้นหนิง และจะได้รู้เรื่องทางสกุลหลิงด้วย

แต่รู้แล้วทำอย่างไรได้เล่า

ตอนนั้นตัวเขาเองก็เป็นเพียงคุณชายที่รู้จักแต่กินใช้ ทำอะไรไม่เป็น ได้แต่พึ่งเงินค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจากสกุลเยวี่ย ยังไม่เคยสัมผัสโลกกว้างใหญ่หลากหลาย ยังไม่เคยฝึกฝนจนเชี่ยวชาญเรื่องการสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอาการ และยังไม่เคยพบเห็นโลกที่มีคลื่นลมถาโถมจนชินชา เขาไม่มีสถานะและไม่มีความสามารถ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ที่จะสามารถรับอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ใต้ปีกของตนได้

บางที การพบเจอกันตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

เช็ดผมไปนวดศีรษะมา เขาก็พบว่าศีรษะนั้นขยับไปตามที่เขานวดไม่ดิ้นรนอีกต่อไป เมื่อมองดูก็พบว่าอีกฝ่ายสบายจนหลับไปแล้วจริงๆ

เยวี่ยติ้งถังลูบผมหลิงซู มันแห้งไปไม่น้อย หากตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นคงจะไม่ปวดศีรษะแล้ว เวลานี้เขาควรจะลุกขึ้นปิดไฟแล้วออกไปจากห้องเงียบๆ แต่เขาก็เห็นชามสาลี่ตุ๋นน้ำตาลวางเอาไว้ตรงหัวเตียงโดยที่ยังไม่ถูกแตะต้อง

เยวี่ยติ้งถังยื่นมือออกมาหยิกแก้มข้างหนึ่งของหลิงซูเบาๆ ริมฝีปากบางเคลื่อนเข้าใกล้ พ่นลมหายใจร้อนใส่หูอีกฝ่าย

“พรุ่งนี้เงินเดือนออก สามร้อยต้าหยาง”

???

หลิงซูลืมตาพรึบ ดีดตัวขึ้นมาจากเตียง!

เยวี่ยติ้งถังนั่งอยู่ข้างเตียง ท่าทางสงบนิ่ง

หลิงซูเอ่ย “พรุ่งนี้เงินเดือนออกเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังทำหน้าเหมือนกำลังมองคนซื่อบื้อ “พรุ่งนี้เพิ่งกลางเดือน เงินเดือนจะออกได้ยังไง”

“งั้นทำไมฉันได้ยินคำว่าสามร้อยต้าหยางล่ะ”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “นายได้ยินในฝันล่ะมั้ง”

สองคนจ้องตากันไปมา

หลิงซูยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่มีทางฟังผิดหรอก!”

“ในเมื่อตื่นแล้วก็กินของหวานนี่ซะ น้ำใจของลุงโจวจะให้เสียเปล่าไม่ได้”

เขาส่งถ้วยให้อีกฝ่าย จากนั้นก็เดินจากไป

หลิงซู “…”

เขาพยายามเค้นสมองทบทวนความทรงจำเต็มที่ว่าตัวเองฝันไปหรือว่าได้ยินจริงๆ กันแน่

 

หลิงซูอยู่ที่บ้านสกุลเยวี่ยหนึ่งสัปดาห์เต็ม

เจ็ดวันนี้บาดแผลเก่าของเขายังไม่หายดี เขาจึงไม่ได้ไปรายงานตัวที่กรมตำรวจประจำนคร อย่างไรเสียถึงไปก็ได้แต่นั่งว่างๆ อยู่แล้ว จะทำแผลดูอาการอะไรก็มีหมอประจำตระกูลมาดูให้ถึงบ้านสกุลเยวี่ย เขาเองก็ไม่กล้ากลับบ้านด้วย ไม่อย่างนั้นพี่สาวของเขาต้องดูออกแน่นอนว่าหน้าดูซูบตอบไปอีกทั้งยังเดินกะเผลก เห็นแบบนั้นขาอีกข้างอาจจะโดนพี่ฟาดจนหักไปด้วยก็ได้

อย่างไรเยวี่ยติ้งถังก็ยังต้องไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย หลิงซูจึงได้แต่นั่งนอนรากงอกอยู่ที่บ้านสกุลเยวี่ย

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อ เขาลากลุงโจวให้มาดูการแสดงศิลปะป้องกันตัวสิบแปดกระบวนท่าทุกวัน

วันนี้เป็นซีเซียงจี้หลิงซูไม่ต้องใช้ผู้ช่วยเลย เดี๋ยวเขาก็เลียนแบบชุยอิงอิงผู้อรชรอ่อนหวาน เดี๋ยวเขาก็กระโดดไปอีกฝั่งกลายเป็นจางเซิงที่กำลังทำหน้าตาถมึงทึง เดี๋ยวเขาก็เป็นหงเหนียงผู้ร่าเริงขี้เล่น บางครั้งก็จีบปากจีบคอบีบเสียง บางครั้งก็ทำเสียงทุ้มหยาบ ทำเอาลุงโจวรู้สึกสนุกสนานยกใหญ่ ตัวหลิงซูเองก็เล่นจนสนุกไปด้วย แม้แต่คนรับใช้อื่นๆ ของบ้านเยวี่ยก็ล้วนรู้สึกสนุกเช่นกัน เวลาไม่ต้องทำงานก็มาล้อมวงดูทั้งยังส่งเสียงเชียร์อีกด้วย หลิงซูก็ยิ่งมีกำลังใจขึ้นอีก

จนกระทั่งเยวี่ยติ้งถังเลิกงานกลับมาบ้าน

ชายหนุ่มไม่ได้ว่างเหมือนอย่างหลิงซู ที่กรมตำรวจประจำนครส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีงานอะไร แต่เขายังมีงานสอนอยู่อีก การไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้ทำให้เสียเวลาไปนาน เวลานั้นยาวนานเกินกว่าเวลาที่เขาลางานไปมาก นอกจากจะต้องกลับไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยหลังจากที่ตนลางานไปแล้ว เขายังต้องสอนอีกหลายคาบ ชดเชยคาบเรียนที่พวกนักเรียนเรียนล่าช้ากันไปก่อนหน้านี้ให้ทัน

เมื่อสกุลเจินได้ยินว่าเขากลับมาแล้วก็รีบมาหาทันที คนที่มายังคงเป็นเจินซูหลาน

แค่เยวี่ยติ้งถังเห็นเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาเพื่อจุดประสงค์อะไร

ก่อนไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเจินซูหลานเคยมาหาพวกเขา เพราะเรื่องที่เจินฉงอวิ๋นผู้เป็นน้องสาวหายตัวไป และหวังว่าถ้าพวกเขาได้พบเจินฉงอวิ๋นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะช่วยติดต่อสกุลเจินให้

เจินซูหลานไม่รู้ว่าพวกเยวี่ยติ้งถังไม่เพียงแต่ได้พบกับเจินฉงอวิ๋นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่เจินฉงอวิ๋นยังร่วมมือกับคนรัสเซียเพื่อฆ่าคนและขโมยของมีค่าอีกด้วย สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง ส่วนเจดีย์ทองประดับอัญมณีเต็มองค์ที่เจินฉงอวิ๋นเอาไปนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เยวี่ยติ้งถังย่อมไม่บอกเรื่องจริงแก่เจินซูหลาน เขาพูดเพียงว่าพวกเขาไม่ได้พบเจินฉงอวิ๋นเลย และไม่รู้ว่าเธอยังอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือเปล่า เจินซูหลานก็ไม่ได้ดูสงสัยอะไรพวกเขาเป็นพิเศษ

“ช่างเถอะ ที่จริงตอนที่รบกวนพวกคุณเรื่องนี้ผมก็คิดว่าผมมีความหวังไม่มากนักอยู่แล้ว นิสัยของน้องสาวตัวเองผมก็รู้ดี เธอน่ะเอาแต่ใจมาก คิดว่าทั้งโลกหมุนรอบตัวเธอ นิสัยแบบนี้เวลาอยู่ในบ้านสกุลเจินก็ยังได้รับความรักความเอ็นดูจากพวกเรา ถ้าไปข้างนอกคงไปไหนไม่รอด” เจินซูหลานพูดพลางยิ้มขื่น “คุณพ่อท่านระเบิดอารมณ์ใหญ่เชียวครับ บอกว่าต่อไปถือว่าสกุลเจินไม่มีทายาทอย่างเธอ สัญญาหมั้นหมายระหว่างเธอกับสกุลหลิ่วก็หาน้องสาวอีกคนมาแทนแล้ว”

เยวี่ยติ้งถังเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมเสียใจด้วยนะครับ”

เขาเคยชินกับการพูดคำตามมารยาทเช่นนี้ สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่เห็นพิรุธใดๆ ถึงอย่างไรเจินฉงอวิ๋นก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เจินซูหลานจึงไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ…ถ้าไม่พูดก็แล้วไป พูดขึ้นมาแล้วก็หงุดหงิดอีก เอาไว้น้องสาวผมแต่งงานจะส่งบัตรเชิญมาทางคฤหาสน์คุณนะครับ ถึงตอนนั้นก็ขอเชิญทั้งคุณและพี่ชายไปให้เกียรติร่วมงาน ร่วมดื่มเหล้ามงคลกันสักแก้ว”

เยวี่ยติ้งถังบอกว่า “แน่นอนครับ คุณเจินเกรงใจเกินไปแล้ว”

ต่อให้เจินฉงอวิ๋นได้รับความรักความเอ็นดูมากเพียงใด ทว่าสำหรับสกุลเจินแล้วเธอก็เป็นเพียงคนที่มีตัวตนพิเศษกว่าคนอื่นหน่อยเท่านั้น แต่เจินซูหลานมีน้องสาวมากมาย ไม่มีเจินฉงอวิ๋นสักคนก็ยังมีคนอื่นให้แต่งงานกับตระกูลที่กำหนดเอาไว้ได้ เจินฉงอวิ๋นคิดว่าความพิเศษของตนนั้นเป็นหนึ่งเดียว และคิดว่าการที่ตนออกไปจากบ้านสกุลเจินจะทำให้เธอได้ออกไปท่องโลกกว้าง แต่ใครจะคาดคิดว่าความลำพองของเธอจะกลายเป็นยันต์เร่งความตายให้ตัวเธอเอง

หากเทียบชะตาชีวิตของคนที่อยากจะหลุดพ้นจากกรงขังเหมือนกันแล้ว จุดจบของเธอกับเหอโย่วอันก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึง แต่ระหว่างสองคนนี้ก็กลับแตกต่างกันมากเหลือเกิน

อย่างน้อยที่สุดเยวี่ยติ้งถังก็จะจดจำชื่อของเหอโย่วอันไปชั่วนิรันดร์ แต่อาจจะลืมเลือนชื่อเจินฉงอวิ๋นได้ นอกเหนือจากบิดามารดาญาติพี่น้องของเจินฉงอวิ๋นแล้ว บางทีอาจไม่มีใครจำเธอได้เลยก็เป็นได้

ระหว่างทางกลับมาจากทำงาน เยวี่ยติ้งถังได้พบกับคนที่คาดไม่ถึงคนหนึ่ง ทั้งคู่ถามไถ่ทักทาย อีกฝ่ายถูกเยวี่ยติ้งถังชักชวนให้ขึ้นรถและกลับมาด้วยกัน

หลังจากไปทำงานกลับบ้านมา เยวี่ยติ้งถังก็เกือบจะคิดว่าตนเข้าผิดบ้านเสียแล้ว

บ้านที่เคยเงียบสงบเรื่อยมา คฤหาสน์สกุลเยวี่ยนั้นแม้แต่คนรับใช้จะพูดจากันก็ยังต้องพูดเสียงเบา แต่บัดนี้แม้จะมีประตูกั้นเขาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังออกมาจากข้างใน

คนรับใช้ที่มาเปิดประตูมองเขาอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ และยังอธิบายอย่างระมัดระวังด้วย

“คุณชายสี่ คุณชายหลิงไม่รู้ว่าคุณกลับมาแล้วน่ะครับ”

เยวี่ยติ้งถังรับคำอืม ดูไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธเคือง

บทที่ 121

บางครั้งเยวี่ยติ้งถังก็รู้สึกว่าที่ที่มีหลิงซูอยู่จึงจะดูเหมือนบ้านจริงๆ

พี่สามเยวี่ยชุนเสี่ยวเข้าใจเรื่องนี้ก่อนเขาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเธอจึงชอบให้หลิงซูอยู่กินข้าวบ้านเยวี่ยมาก

แม้จะเป็นการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป คุยเรื่องดินฟ้าอากาศ คุยเรื่องที่ในสายตาของสามพี่น้องผู้ชายสกุลเยวี่ยมองว่าไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร

หากเทียบกับพวกเขาแล้ว หลิงซูดูเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเยวี่ยชุนเสี่ยวมากกว่าเสียอีก

แต่คำพูดเหล่านี้เขาไม่มีทางพูดต่อหน้าเจ้าคนแซ่หลิงหรอก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงมีแต่จะลำพองไปกันใหญ่น่ะสิ

“หลิงซูหนวกหูวุ่นวายขนาดนี้น่าจะรบกวนบ้านคุณน่าดู ผมจะพาเขากลับไปสั่งสอนเสียเดี๋ยวนี้”

กลับเป็นคนที่ร่วมทางมากับเขาเสียอีกที่ยืนฟังความเคลื่อนไหวข้างในด้วยสีหน้ากระวนกระวายและเอ่ยขอโทษซ้ำๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่เขยไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก ถือเสียว่าเป็นบ้านตัวเองก็ได้ครับ มาครับ เชิญเข้ามาก่อน”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้าให้ ก่อนจะพาอีกฝ่ายเข้าบ้าน

โจวซ่าไม่แน่ใจไปชั่วขณะว่าเยวี่ยติ้งถังเกรงใจปลอมๆ หรือมีมารยาทจริงๆ

เขารู้ว่าหลิงซูทำงานกับเยวี่ยติ้งถัง และรู้ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสมัยเรียนกัน แต่ต่อให้สนิทกันเพียงใดก็เป็นแค่เรื่องในอดีต โจวซ่ารับราชการ ได้เห็นความมีน้ำใจหรือความเย็นชาของคนมามากมาย คนที่ต่อหน้าเกรงใจแต่ลับหลังพูดจากระทบกระเทียบก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง คนที่ไม่ได้มีสองหน้านั้นไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ แม้ว่าหลิงซูจะเป็นเพียงเลขาฯ ผู้ช่วยตัวเล็กๆ แต่ก็ต้องแบกรับความจริงที่ว่าเพื่อนสมัยเรียนซึ่งเคยพูดคุยเล่นหัวมาด้วยกัน และยืนอยู่ในระดับเดียวกันมาโดยตลอดนั้นกลายเป็นคนที่อยู่สูงกว่าตนไปแล้ว

แต่กลายเป็นว่าเมื่อครู่ตอนที่เขายืนอยู่นอกประตูและได้ยินเสียงหลิงซูเอะอะโวยวายอยู่ข้างในนั้น เขามองดูสีหน้าเยวี่ยติ้งถังแล้วก็อดกังวลไม่ได้ ในใจคิดว่าเจ้าน้องชายภรรยาคนนี้ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกสำหรับสกุลเยวี่ยมากเกินไปแล้ว

เสียงหัวเราะเฮฮาค่อยๆ หยุดลงตอนที่พวกเยวี่ยติ้งถังเข้ามา

รอยยิ้มบนใบหน้าของลุงโจวยังไม่เลือนหาย ดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด

“คุณชายสี่กลับมาแล้ว กับข้าวเตรียมไว้พร้อม…ท่านนี้คือ…”

เขาพบว่าหลิงซูเผ่นแผล็วเตรียมจะหนีขึ้นข้างบนแล้ว

“หลิงซู!” โจวซ่าตะโกนเรียก

หลิงซูแอบถอนหายใจคิดว่าตัวเองกำลังบาดเจ็บทำให้วิ่งได้ไม่เร็วพอ จำต้องหยุดฝีเท้าจนได้

“พี่เขย”

โจวซ่าหน้าเครียด “กลับมาเมื่อไหร่ ทำไมถึงอยู่บ้านคุณเยวี่ยไม่ยอมกลับเสียที ตามพี่กลับไปซะ พี่สาวเธอบ่นถึงเธอทุกวัน หลิงเหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกลับมาเซี่ยงไฮ้แล้วน่ะ!”

หลิงซูยังหาข้ออ้างดีๆ ไม่ได้ เยวี่ยติ้งถังก็พูดขึ้นเสียก่อน

“ออกไปครั้งนี้หลิงซูได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยครับ เขาไม่อยากให้พี่หลิงเหยากังวล ผมเองแหละครับที่บอกให้เขารักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยกลับบ้าน”

โจวซ่านิ่งงัน เขามองสำรวจหลิงซูทั่วทั้งตัว

“บาดเจ็บตรงไหน หนักหรือเปล่า ทำไมดูผอมไปตั้งเยอะ”

หลิงซูหัวเราะฮาๆ “เจ็บที่ขาน่ะพี่ ไม่ร้ายแรงอะไร พี่ก็มองออกว่าผมผอมลงใช่ไหมล่ะ งั้นพี่สาวก็คงยิ่งมองออกใหญ่เลย เพื่อชีวิตน้อยๆ ของผม พี่เขยก็อย่าเพิ่งให้ผมรีบกลับบ้านเลยนะ!”

โจวซ่ายิ้มขื่น เขามองเยวี่ยติ้งถัง อยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ คล้ายเกรงใจที่จะพูดเรื่องในบ้านตัวเองยามอยู่ในบ้านคนอื่น

เยวี่ยติ้งถังว่า “ไหนๆ ก็มาแล้ว กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับเถอะครับ ส่วนหลิงซูก็ให้เขาอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน ตอนกลางวันไปทำงานพร้อมผมก็สะดวกดี”

ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่าคุณชายใหญ่หลิงต้องไปทำงานที่ไหนกันเล่า ตอนนี้เขาอยู่บ้านกินๆ นอนๆ รอวันตายเหมือนปลาเค็ม* ทั้งวันนั่นแหละ

เหล่าเยวี่ยเอ๋ยเหล่าเยวี่ย ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็ช่างมีน้ำใจเสียจริง

หลิงซูแอบยกนิ้วให้เยวี่ยติ้งถังลับหลังโจวซ่า

ขณะที่เยวี่ยติ้งถังนั้นสีหน้าเหมือนปกติ เขาทำเป็นมองไม่เห็น

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนสกุลเยวี่ย โจวซ่าก็ดูสงวนท่าทีมาก ได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือ

“ไม่ล่ะๆ พวกเธอกินกันเถอะ กินกันเลย! พี่สาวของหลิงซูผัดกับข้าวรอพี่อยู่ที่บ้านแล้ว พี่ต้องรีบกลับ ไม่อย่างนั้นกับข้าวเย็นหมดแล้วเธอคงต้องเอาไปอุ่นใหม่อีกรอบ งั้นพี่ลาล่ะนะ!”

“พี่เขย!”

หลิงซูเรียกเขาเอาไว้ ก่อนหัวเราะแหะๆ แล้วก็ไม่พูดอะไร

ทว่าโจวซ่าก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกใบ้ถึงอะไร

“วางใจเถอะ พี่จะไม่บอกพี่สาวเธอ แต่เธอก็รีบกลับบ้านล่ะ พี่สาวเธอคงทนได้ไม่เกินสองวันหรอก ถ้าพี่สาวเธอเห็นพิรุธขึ้นมาเราสองคนคงต้องรับกรรมที่ก่อเอาไว้กันเองแล้ว!”

เมื่อแขกดูไม่สบายใจ หากฝืนรั้งเอาไว้อีกฝ่ายก็คงจะกินข้าวไม่อร่อยเสียเปล่าๆ

เยวี่ยติ้งถังว่า “ถ้าอย่างนั้นผมไปส่งนะครับ”

โจวซ่ารีบบอก “ไม่ต้องๆ คุณอยู่ที่นี่เถอะ ผมไปเอง!”

เขาพูดพลางถอยหลังไปจนเกือบสะดุดธรณีประตูล้มอยู่แล้ว

พ่อบ้านเข้ามาประคอง ก่อนจะไปส่งโจวซ่าด้วยตนเองที่ประตูใหญ่

โจวซ่ากลัวเกรงจากใจจริง เขากลัวว่าถ้าอยู่ที่บ้านสกุลเยวี่ยนานกว่านี้อีกหน่อยคงแทบขาพันล้มลง ท่าทีที่เขามีต่อเยวี่ยติ้งถังนั้นเหมือนกับท่าทีที่มีต่อผู้บังคับบัญชาของตน หรือไม่อย่างนั้นก็ดูสุภาพกว่าท่าทีที่ปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาของตนด้วยซ้ำ

คนโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างหลิงซูต่างหากที่ดูจะสบายๆ กว่าเขามาก หากจะมีท่าทีเคารพนบนอบต่อหน้าเยวี่ยติ้งถังล่ะก็ เขาคงทำเพื่อยั่วโมโหเยวี่ยติ้งถังหรือไม่ก็แสร้งทำเพราะมีแผนการบางอย่าง…เยวี่ยติ้งถังมองโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าคนแซ่หลิงออกตั้งนานแล้ว

แต่เรื่องนี้ก็เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้

เขาได้ยินมาว่าโจวซ่ามาจากครอบครัวเล็กๆ ในชนบท อาศัยความพยายามของตัวเองศึกษาหาความรู้ และมีคนชั้นสูงให้ความเกื้อหนุนจุนเจือ จึงได้มีตำแหน่งในสำนักงานเทศบาลนครอย่างทุกวันนี้

แม้แต่เยวี่ยติ้งถังเอง บางครั้งเขาก็ยังรู้สึกว่าการที่หลิงเหยาแต่งงานกับโจวซ่าก็คงจะรู้สึกลำบากอยู่เหมือนกัน

“อีกสองวันฉันคงต้องกลับบ้านสักรอบแล้วล่ะ”

ตอนที่กำลังกินปลากะพงนึ่งจู่ๆ หลิงซูก็พูดขึ้นมา

เยวี่ยติ้งถังมองเขา “ไม่กลัวพี่สาวแล้วเหรอ”

“ฉันก็ต้องกลับไปช่วยพี่เขยด้วยสิ ไม่เห็นเหรอเมื่อกี้เขาร้อนรนขนาดไหน แสดงว่าคงทะเลาะกับพี่สาวฉันอีกแน่ๆ!”

“พี่หลิงเหยาดูมีเหตุผลมากนะ”

ทำไมพอเป็นเขากับโจวซ่าทีไรเหมือนพี่หลิงเหยากลายเป็นยักษ์เป็นมารไปเสียทุกทีเลยล่ะ

หลิงซูถอนหายใจ “นั่นมันเวลาปฏิบัติต่อนาย นายเป็นคนนอกบ้านเธอก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว จะให้เธอแยกเขี้ยวใส่หรือไง”

มือที่เยวี่ยติ้งถังถือตะเกียบชะงักไป เขาถามเหมือนไม่ได้คิดอะไร “แล้วต้องทำยังไงถึงจะให้เธอมองฉันเป็นคนในบ้านล่ะ”

หลิงซูฟังคำถามแล้วถึงกับมึน เขาสบตาอีกฝ่าย จู่ๆ ก็นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทางลับใต้ดินคืนนั้นขึ้นมา

ณ สถานที่มืดมิด สัมผัสแนบชิด ความหวามไหวอันคลุมเครือ

ครู่ต่อมา หลิงซูก็ก้มหน้าซดน้ำซุป

“ลุงโจว ซุปนี้ดีมากเลยครับ”

เฮ้อ…ทำเป็นบื้ออีกแล้ว เยวี่ยติ้งถังหัวเราะขื่นอย่างไร้เสียงอยู่ในใจ ฉันจะคอยดูว่านายจะแกล้งทำไม่รู้เรื่องไปได้สักกี่ครั้ง

ลุงโจวหัวเราะฮาๆ บอกว่าพรุ่งนี้จะให้คนครัวต้มซุปนี้เพิ่มอีก แล้วเยวี่ยติ้งถังก็ตอบกลับว่า “ไม่ต้องรบกวนลุงโจวขนาดนั้นหรอก คืนนี้เขาจะกลับแล้ว”

ลุงโจวพูด “หา? ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้กระมังครับ”

หลิงซูทำหน้าใสซื่อไม่รู้ความ “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

เยวี่ยติ้งถังหนักแน่นไม่หวั่นไหว “พี่เขยนายกลัวภรรยาขนาดนั้น คงรับประกันได้ยากว่าจะไม่หลุดปากออกไป ถ้าพี่สาวนายรู้ว่านายกลับมาแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้าน สิ่งที่รออยู่ก็คงมีแต่พายุกระหน่ำเท่านั้นแหละ เจ็บยาวๆ ไม่สู้เจ็บสั้นๆ ตายช้าไม่สู้ตายเร็ว นายกลับไปก่อนให้พี่หลิงเหยาได้เห็นหน้า อีกสองสามวันอยากกลับมาใหม่ก็ไม่สาย”

หลิงซูพูดในใจว่าเขากลัวมีชีวิตกลับไปแต่ไม่มีชีวิตกลับออกมาจากบ้านน่ะสิ

เหล่าเยวี่ยโหดร้ายอำมหิตเกินไปแล้ว เมื่อกี้ที่ชมน่ะเสียเปล่าแท้ๆ

ไอ้คนขี้ใจน้อยระวังจะโชคร้ายนะ

“ลุงโจว ถ้าผมโดนพี่ลงโทษไม่ให้กินข้าว ลุงต้องมาส่งข้าวให้ผมนะครับ!”

เขาทำตัวน่าสงสาร ดูไปแล้วเหมือนนักโทษที่กำลังจะเข้าตะราง

พ่อบ้านชราเอ่ยด้วยความสงสารเอ็นดู “คุณชายหลิงวางใจเถอะครับ พรุ่งนี้ผมจะให้คนขับรถเอาข้าวไปส่งให้นะครับ”

สองคนทำอย่างกับจะจากเป็นจากตายกันอย่างนั้น เยวี่ยติ้งถังทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ

“ลุงโจว เดี๋ยวให้คนขับรถไปส่งเขานะ ผมกลับขึ้นห้องไปอ่านหนังสือก่อนล่ะ”

“ครับ รับทราบแล้วครับ”

พ่อบ้านชรารับคำ ระหว่างที่เยวี่ยติ้งถังเดินขึ้นชั้นบนก็พูดกับหลิงซูเบาๆ ว่า “คุณทำให้คุณชายสี่โกรธอีกแล้วเหรอครับ”

หลิงซูประท้วง “ผมจะไปกล้าทำให้เขาโกรธได้ยังไงกันเล่า เขากุมเงินเดือนผมอยู่ในมือนะ!”

พ่อบ้านชราลูบศีรษะหลิงซูเบาๆ

“คุณชายสี่น่ะตามใจคุณมาก คุณก็อย่าเล่นนักเลยครับ”

ที่จริงหลิงซูก็คิดว่าเขาควรจะกลับไปดูหลิงเหยาสักหน่อยเหมือนกัน เพราะเขาก็คิดถึงพี่สาวมาก ขอแค่หลิงเหยาไม่ด่าเขาก็พอ

อย่างไรก็ตามหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไป ก็เหลือเพียงแค่พวกเขาสองพี่น้องพึ่งพาอาศัยกันเอาชีวิตรอด เขาจากบ้านไปแปดปี แปดปีนี้ถ้าไม่ใช่เพราะไหล่บอบบางของหลิงเหยาคอยแบกรับภาระหนักอึ้งเอาไว้ ทั้งยังหาพี่เขยมาให้เขาคนหนึ่งด้วยล่ะก็ บางทีกว่าจะรอหลิงซูกลับมา ที่ข้างหลุมศพบิดามารดาสกุลหลิงอาจจะมีหลุมศพอีกหลุมเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้

แต่หนึ่งชั่วโมงให้หลังเขาก็พบว่าสิ่งที่คิดก่อนหน้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องเปลืองสมองทั้งนั้น

“พูดมา เธอไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่ไปขโมยไก่ลักสุนัขใครเขาหรือไงกัน ทำไมบาดเจ็บแล้วยังผอมซูบขนาดนี้!

เลิกเอาเยวี่ยติ้งถังมาอ้างสักที คนอย่างเขาจะไปกระโดดโลดเต้นไร้สาระทั้งวันอย่างเธอหรือไง แน่จริงก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบบเขาสิ ถ้าอย่างนั้นน่ะพี่จะไม่ด่าเธอ!

พี่จะบอกให้นะ ครั้งนี้กลับมาก็ไม่ต้องคิดจะออกไปอีกเลย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเลิกงานแล้วก็ทำตัวเป็นเด็กดีกลับบ้านซะ ลูกสาวของผู้อำนวยการโรงเรียนซุนที่อยู่ข้างบ้านน่ะเขาเด็กกว่าเธอตั้งสองปี ปีนี้จะเรียนจบมัธยม วันข้างหน้าพวกเธอก็ไปเจอกันสักหน่อย ถ้าเหมาะสมกันก็ค่อยกำหนดเรื่องแต่งงาน”

“…”

“ได้ยินไหมหา!”

“เจ็บๆๆ! ปล่อย…โอ๊ย ผมเจ็บขาอีกแล้ว!”

หลิงเหยาตกใจ เธอรีบปล่อยมือที่บิดหูน้องชายอยู่ทันที

“เป็นอะไร ไหนพี่ดูซิ อาการหนักหรือเปล่า!”

หลิงซูหน้านิ่วคิ้วขมวด “โดนลูกกระสุนน่ะสิ แผลโดนยิงน่ะพี่ พี่ว่ามันอาการหนักไหมล่ะ”

“อย่ามาโกหก พวกเธอไปงานศพสกุลกวนกันไม่ใช่เหรอ ทำไมโดนยิงได้ล่ะ”

“ผมไม่ได้โกหกพี่นะ!”

หลิงซูถอนหายใจ เขารวบรัดตัดตอนแต่งเรื่องการเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นใหม่ทั้งหมด และทำให้หลิงเหยาตกใจได้สำเร็จ

“แล้วขาเป็นยังไงบ้าง เราไปดูอาการกันที่โรงพยาบาลอีกทีดีไหม ขาดีๆ จะปล่อยให้เสียไปไม่ได้หรอกนะ!”

หลิงเหยาร้อนรนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนั้น หลิงซูจึงรีบรั้งพี่สาวเอาไว้

“สกุลเยวี่ยมีหมอ เขาช่วยดูให้ผมแล้วล่ะ อีกสองวันทำแผลใหม่ก็พอ พี่ ผมคิดถึงพี่นะ ก็เลยรีบกลับบ้านมาดูพี่ไง แล้วพี่เขยล่ะ”

หลิงเหยาใจอ่อน เธอลูบศีรษะน้องชาย

“โตป่านนี้แล้วยังมาอ้อนเป็นเด็กเล็กๆ อีก! พี่เขยเธอยังไม่กลับมาเลย”

หลิงซู “…”

ถ้าอย่างนั้นพี่เขยจะรีบร้อนอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เขากระโดดลงไปในกับดักเองงั้นเหรอ

ถ้าตัวเองต้องตายสู้ผลักให้คนอื่นตายดีกว่า

หลิงซูเลือกขายพี่เขยโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเปลี่ยนทิศความขัดแย้งทันที

“เป็นไปได้ยังไงพี่ เหล่าเยวี่ยเจอพี่เขยระหว่างทางกลับบ้าน ผมทั้งกินข้าวทั้งทำแผลที่บ้านเยวี่ยเสร็จถึงได้กลับมา เวลาระหว่างนั้นสองสามชั่วโมงได้ล่ะมั้ง แล้วพี่เขยจะยังกลับมาไม่ถึงได้ยังไง”

หลิงเหยาสีหน้าเปลี่ยนทันที เธอมีท่าทีเหมือนท้องฟ้ายามลมกระโชกแรงและฝนกำลังจะกระหน่ำ

ตอนนั้นเองก็มีเสียงไขกุญแจดังมาจากข้างนอก

ประตูถูกคนข้างนอกผลักเปิด โจวซ่าปรากฏตัวในสายตาของสองพี่น้อง

“หลิงซูกลับมาแล้วเหรอ อาเหยา ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ”

เมื่อเห็นท่าไม่ดี หลิงซูก็หันกายวิ่งหนี

เบื้องหลังของเขามีเสียงหลิงเหยาระเบิดขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด

“โจวซ่า รู้ไหมว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว!”

หลิงซูเท้าติดล้อ รีบกลับห้องนอน

ในสามสิบหกกลยุทธ์ การหนีคืออันดับต้นๆ

ที่นอกห้องนั้นเสียงของคนสองคนเริ่มจากดังและค่อยๆ เบาลงจนค่อยๆ ฟังไม่ชัด

หลิงซูอยากจะออกไปไกล่เกลี่ย แต่เขาก็กลัวไฟสงครามลามมาถึงตัว จึงได้แต่นั่งเงี่ยหูฟังอยู่ที่ประตู ลังเลอยู่นานทีเดียวถึงค่อยวางมือลงบนลูกบิด

แต่ไม่คิดว่าประตูห้องจะถูกเปิดจากข้างนอกเสียก่อน ทำเอาเขาไม่ทันตั้งตัวล้มลงไปกับพื้น

หลิงเหยาไม่ได้ถือสาเรื่องที่เขาแอบฟัง และไม่ได้ว่ากล่าวเขาแม้สักครึ่งประโยค

ถ้าหลิงซูไม่เงยหน้าก็คงดีหรอก แต่เมื่อเงยหน้าเขาก็เห็นหลิงเหยานั่งลงที่ขอบเตียง น้ำตาเอ่อคลอ

เขาตกใจขึ้นมาทันที นี่หลิงเหยาผู้ห้าวหาญเชียวนะ

“พี่ เป็นอะไร อย่าทำให้ผมตกใจสิ! พี่เขยอาจจะมีเรื่องด่วนอะไรต้องไปทำก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจจะกลับช้าหรอก พวกพี่ก็อย่าทะเลาะกันเลยนะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา ผมผิดเอง ผมกลัวพี่ด่าก็เลยโยนเผือกร้อนใส่พี่เขยน่ะ!”

“ไม่เกี่ยวกับเธอ!” หลิงเหยาเช็ดน้ำตาอย่างเกรี้ยวกราด “หลิงซู พี่เขยเธอมีคนอื่น”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 .. 65

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: