X
    Categories: everYคดีลับใต้หมู่ดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 3 บทที่ 118-119 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การฆาตกรรม

การทารุณกรรม ทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การกักขังหน่วงเหนี่ยว

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การค้ามนุษย์

การฆ่าตัวตาย และการกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

 

บทที่ 118

เมื่อถึงหนานจิง ในที่สุดการเดินทางก็ค่อยๆ ช้าลง

ต่อให้ซ่งหลินแขนยาวแค่ไหนก็คงไม่อาจยื่นมาถึงหนานจิงได้

อย่างไรเสีย เยวี่ยติ้งถังยามอยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นกึ่งหนึ่งแล้ว

ทั้งคู่ถึงกับมีเวลาว่างไปเดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำฉินไหว ชิมเป็ดต้มน้ำเกลือ รากบัวไส้ข้าวเหนียวน้ำตาลกรวด กับซาลาเปาไข่ปูด้วยซ้ำ

แผลก็ควรจะทำใหม่ได้แล้ว หลังจากจัดการอย่างเร่งรีบตอนอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนั้นแล้วก็เดินทางลงใต้เรื่อยมา พวกเขายังต้องพยายามหลบซ่อนจากหูตาของคุณซ่งจึงทำได้อย่างมากคืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่มีเวลามาตรวจดูและทำความสะอาดแผลใหม่อีกครั้ง

เยวี่ยติ้งถังหาสถานพยาบาลตะวันตกที่รู้จักกันแห่งหนึ่งก่อนจะพาหลิงซูไปที่แห่งนั้น

แพทย์ที่นั่นกำลังรู้สึกเบื่อจากการว่างงาน เมื่อเห็นเยวี่ยติ้งถังก็ตาลุกวาว ร้องโอ้โหขึ้นมาทันที

“ไม่มีเรื่องก็คงไม่มาหรอกนะนี่ ยากนักที่จะได้พบคุณชายเยวี่ยมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง มาหาหมอเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ถ้าไม่มาหาหมอจะมาเยี่ยมกันไม่ได้เชียว?”

หมอยิ้มแปลกๆ “ก็ต้องได้อยู่แล้ว แค่ตกใจที่จู่ๆ ก็โดนพูดเอาใจน่ะ แต่ตอนนั้นนายทำร้ายความรู้สึกอันแสนลึกซึ้งของฉันมากเลยนะ ไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่ทิ้งข้อความอะไรไว้สักคำ วันนี้จู่ๆ ก็โผล่มา อยากจะชดใช้วันที่ทิ้งกันไปหรือไง”

ทำไมคำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนพวกเขาสองคนมีความหลังกันแบบไม่ธรรมดา

เยวี่ยติ้งถังเห็นหลิงซูมองด้วยสีหน้าเหมือนกำลังดูฉากสนุก เขาจึงได้แต่อธิบาย

“เขาแซ่จี่ จี่จู๋ถิง เป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉัน นายจำหมอหลิวที่มารักษาแผลให้เราที่ตะวันออกเฉียงเหนือได้ไหม เขาก็เป็นเพื่อนนักเรียนของหลิวเจิ้นเหมือนกัน เป็นพวกแมลงตามก้นของหลิวเจิ้นเลยล่ะ เห็นคนอื่นเรียนแพทย์แผนตะวันตกก็เรียนตาม เห็นคนอื่นเรียนศัลยศาสตร์ก็เรียนศัลยศาสตร์ด้วย”

“อะไรคือแมลงตามก้น เขาเรียนหมอแล้วฉันเรียนหมอไม่ได้หรือไง คณะแพทยฯ เขาเป็นคนก่อตั้งหรือไง” หมอจี่สีหน้าไม่พอใจ พูดไปครึ่งหนึ่งก็ตระหนักได้ “เดี๋ยวนะ! ไอ้คนแซ่หลิวอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรึ!”

เยวี่ยติ้งถังบอก “หลิวเจิ้นมาหนานจิงนายก็ตามมาหนานจิง ที่ไหนได้เขาหลอกนายเต็มๆ แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย นายก็โดนหลอกไป คงจะรู้สึกแย่มากสินะ”

“เขาอยู่ที่ไหนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”

เยวี่ยติ้งถังไม่ตอบ “หมอจี่ครับ พวกเรามาให้ตรวจดูแผลนะครับ”

จี่จู๋ถิงถลึงตาใส่เยวี่ยติ้งถัง แต่เยวี่ยติ้งถังไม่ยอมอ่อนให้สักนิด กลับเป็นหมอจี่เสียเองที่ต้องยอมแพ้ยอมลงให้ก่อน

“มาให้ดูซิ”

เยวี่ยติ้งถังเปิดทางให้หลิงซูที่อยู่ด้านหลัง

“ดูให้เขาก่อนเถอะ”

“จุ๊ๆ นี่มันแผลโดนยิงใช่ไหม ถือว่าพวกนายโชคดีนะนี่ ไม่มีเศษลูกกระสุนฝังอยู่ข้างใน เจ้าคนแซ่หลิวผ่าให้ล่ะสิ…ตลอดทางมานี่พวกนายไม่ได้ทำแผลใหม่กันเลยหรือไง แผลเปื่อยนิดๆ แล้วนะ มาช้ากว่านี้อีกสักวันสองวันได้ติดเชื้อแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องตัดขาด้วย โชคดีที่มาเจอฉันนะเนี่ย!”

“…”

“เป็นไง ดูสิ ฝีมือของหลิวเจิ้นไม่ดีเท่าฉันใช่ไหมล่ะ”

“…”

“ตกลงว่าเขาอยู่ที่ไหนของตะวันออกเฉียงเหนือกันแน่ ตอนนี้คงพูดได้แล้วใช่ไหม หรือว่าเขาไม่ให้นายพูด?”

หมอจี่พูดปาวๆ ไม่หยุด

เยวี่ยติ้งถังทนจนทนไม่ไหวในที่สุด “เขาอยู่เฟิ่งเทียน!”

หมอจี่ภูมิใจ “บอกตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”

“นายคงไม่คิดจะตามไปเฟิ่งเทียนหรอกนะ”

หมอจี่หัวเราะเสียงเย็น “ฉันมีบ้านมีกิจการอยู่ที่นี่ ทำไมต้องไปเฟิ่งเทียนด้วย ตอนนี้ที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหนนายไม่รู้หรอกเหรอ”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ดูจากที่นายกระเหี้ยนกระหือรือ ปากไม่ตรงกับใจ ก็น่าจะอยากไปจริงนะ”

“เจ้าคนแซ่หลิวติดเงินฉันอยู่ จะไปถามสักหน่อยไม่ได้หรือไง”

“แค่ติดเงินเท่านั้นเหรอ”

หมอจี่ไม่พูดอีก เขาก้มหน้าทำแผลที่แขนให้เยวี่ยติ้งถัง

“พวกนายอยู่ที่นี่กันต่อสักสองวันเถอะ มาทำแผลที่นี่ทุกวัน อย่าวิ่งไปนั่นมานี่โดยมีแผลอยู่อย่างนี้เลย เดี๋ยวแขนเสียขาเสียกันซะก่อน คงได้เข้าร่วมสมาคมคนพิการหมดหนทางเยียวยากันล่ะ”

เยวี่ยติ้งถังว่า “เราซื้อตั๋วรถไฟกันไว้แล้ว เดี๋ยวต้องกลับเซี่ยงไฮ้ เดินทางแปดชั่วโมง คืนนี้คงถึงบ้าน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปทำแผลที่คลินิกสักแห่งอีกทีก็ไม่สาย”

หมอจี่ได้ยินดังนั้นก็ไม่โน้มน้าวอีก

“ครั้งนี้พวกนายไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำไม แล้วทำไมโดนยิง หลิวเจิ้นบาดเจ็บด้วยหรือเปล่า”

เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้ว “นายถามถึงพวกเราหรือถามถึงเขาล่ะ”

“ก็ถามหมดนั่นแหละ”

“เรื่องส่วนตัว ไม่สะดวกจะพูด”

หมอจี่มุมปากกระตุก “หลิวเจิ้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนายด้วยหรือไง”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่โดนฉันเรียกมาช่วยผ่าตัดทำแผลให้เท่านั้น เขาอยู่ในเฟิ่งเทียนเจริญรุ่งเรืองไม่เลว เหมือนปลาได้น้ำเลยล่ะ ดูสนุกสนานมีความสุขจนลืมบ้านเกิดไปแล้ว นายอยากรู้อะไรอีก”

เมื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อแผลเรียบร้อย หมอจี่ก็ใช้ผ้าพันแผลพันแขนเขาเอาไว้สองสามรอบ สุดท้ายก็ผูกปมให้เรียบร้อย

“ก็แค่ถามข่าวคราวเพื่อนเก่า ถามไปเรื่อยแค่นั้น”

“คุณหมอจี่คะ มีคนไข้มา รบกวนคุณหมอออกมาดูหน่อยค่ะ”

พยาบาลโผล่มาที่ประตู หมอจี่จึงลุกขึ้นปัดมือ ถอดถุงมือกับผ้าปิดปาก

“พวกนายพักผ่อนอยู่ตรงนี้สักพักนะ ขอไปดูคนไข้คนอื่นหน่อย”

เสียงพูดคุยดังแว่วผ่านประตูกั้นเข้ามาจากข้างนอก

หลิงซูไม่ได้เข้ามาร่วมในบทสนทนาเมื่อครู่ เขารู้สึกง่วงงุนนานแล้ว และสะดุ้งตื่นตอนที่หมอจี่ขยับลุกออกไป จึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย

“นายทำแผลเสร็จแล้วเหรอ งั้นเราไปกันเถอะ”

เยวี่ยติ้งถังก้มหน้าดูนาฬิกาพก “ยังอีกนานกว่ารถไฟจะออก เราพักอยู่ที่นี่สักหน่อยแล้วกัน”

หลิงซูเอียงศีรษะ “ได้ยินว่าพี่ใหญ่ของนายอยู่หนานจิง ไม่แวะไปเยี่ยมหน่อยล่ะ”

“เขาทำงานยุ่งมาก คงไม่มีเวลามาเจอฉันหรอก” เยวี่ยติ้งถังส่ายหน้า เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อ “ตอนแรกที่จะไปเคารพศพกวนเหล่าเหยียจื่อน่ะ ภายในสกุลเยวี่ยมีท่าทีคลุมเครือ พี่ใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะไป พี่รองก็ทะเลาะกับเขาไปยกหนึ่ง ถึงได้แอบสั่งให้ฉันไปแสดงความเสียใจแทน ถ้าพี่ใหญ่เห็นฉันคงถามเรื่องนี้แน่ ถึงตอนนั้นคงต้องหาข้ออ้างมาอธิบายกันยาว สู้ลดความยุ่งยากลงเสียดีกว่า”

หลิงซูถอนหายใจ “ที่จริงฉันเคยอิจฉานายมากเลยนะ!”

เยวี่ยติ้งถังมองเขา

หลิงซูเอ่ยต่อ “นายไม่ได้มีแค่พี่ชุนเสี่ยว ยังมีพี่ชายอีกสองคน ตอนที่สกุลหลิงล้มละลายแล้วพี่สาวส่งฉันไปต่างประเทศ ตอนนั้นฉันไม่ไว้ใจให้เธออยู่ในประเทศคนเดียวเลย ถ้ามีพี่น้องอีกล่ะก็อย่างน้อยก็ยังมีคนดูแลได้บ้าง”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพี่หลิงเหยาแต่งงานหลังจากที่นายไปแล้วน่ะสิ”

หลิงซูพยักหน้า “ฉันก็ไม่คิดว่ากลับมาแล้วตัวเองจะมีพี่เขยโผล่มา ได้ยินว่าพี่สาวฉันน่ะหลังจากฉันไปก็ได้งานพิสูจน์อักษรที่บริษัทหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้ยินว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่บริษัทหนังสือพิมพ์นั้นจ้างด้วยนะ ภรรยาของบรรณาธิการใหญ่คิดว่าพี่สาวฉันฉลาดแล้วก็เชื่อถือได้ เลยเชิญเธอไปกินข้าวที่บ้านบ่อยๆ แล้วก็แนะนำพี่เขยให้เธอรู้จัก สองคนนั้นถึงได้แต่งงานกัน ฉันเป็นหนี้พี่เยอะมาก ถ้าตอนแรกฉันไม่เอาเงินที่บ้านไป บางทีเธออาจจะไม่ต้องรีบแต่งงานขนาดนั้นก็ได้ พี่สาวฉันเป็นคนที่ชอบใส่เสื้อผ้าใหม่ขนาดนั้น พอแต่งงานแล้วก็ต้องเอาชุดกระโปรงหลายชุดมาเวียนวนใส่ซ้ำ ไม่เห็นซื้อชุดใหม่เลย ฉันซื้อผ้าพับหนึ่งให้เธอ ก่อนหน้านี้เธอคงจะรังเกียจว่ามันไม่ทันสมัย แต่ตอนนี้เธอกลับบอกว่าที่ฉันซื้อมาน่ะเปลืองเงินเปล่าๆ”

เยวี่ยติ้งถังมักจะรู้สึกว่าเวลาหลิงซูเจอหน้าหลิงเหยาทีไรต้องดูหงอลงไปสามในสิบส่วนทุกครั้ง ดูต่ำต้อยจนต่อล้อต่อเถียงน้อยมาก ที่แท้ก็เพราะกำลังใช้วิธีนี้แสดงความรู้สึกผิดในใจที่มีต่อพี่สาวนั่นเอง

หลิงซูก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ดูเหมือนจะอวดโอ่ลำพอง แต่ที่จริงเป็นคนละเอียดอ่อนเอาใจใส่มาก แต่ก็มีเพียงความละเอียดอ่อนเอาใจใส่นี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายไม่เคยนำมาใช้กับตัวเองเลย

“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ขอแค่พี่สาวขอร้องอะไรฉัน ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงฉันก็จะทำตามที่เธอขอทั้งหมด”

เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้ว “ทีเธอให้นายแต่งงานไม่เห็นนายยอมทำตามเลยนี่”

หลิงซูแบมือ “อันนั้นก็ต้องมีตัวเลือกที่เหมาะสมด้วยสิ คนมาชอบฉันตั้งเยอะแยะ ฉันต้องไปแต่งกับพวกเธอให้หมดเลยหรือไง ฉันน่ะไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่นายลองไปถามพวกเธอดูสิว่าติดอะไรหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ แค่เห็นพี่สาวกับพี่เขยทะเลาะกันก็ปวดหัวจะแย่ แทบอยากจะวิ่งไปซ่อนตัวเลยล่ะ จะว่าไป ได้ยินว่าพี่ใหญ่ของนายแต่งเมียไปสองนี่ นายคิดอย่างไรล่ะ”

เยวี่ยติ้งถังพูดไม่ออก “เขาเป็นคนแต่งนี่ ไม่ใช่ฉัน ฉันจะคิดยังไงได้ล่ะ”

หลิงซูเอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้เล็กของนายไม่ทะเลาะแย่งชิงความรักกันทุกวันหรือไง”

“พวกเธอก็แก่งแย่งหึงหวงกันเงียบๆ นั่นล่ะ แต่ไม่เคยทะเลาะกันต่อหน้าพี่ใหญ่ของฉันเลยนะ ตอนแรกที่พี่ใหญ่จะแต่งภรรยาคนที่สองเข้ามา พี่สะใภ้ใหญ่ค้านหัวชนฝาเลย แถมยังจะให้ฉันกับพี่รองย้ายไปอยู่ที่นั่นเพื่อโน้มน้าวพี่ใหญ่กันอีก แต่พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่กับพวกเรา เรื่องทางเขาพวกเราไปยุ่มย่ามไม่ได้ พี่สะใภ้ใหญ่เห็นว่าใครก็ทำอะไรสามีของเธอไม่ได้ก็เลยได้แต่เงียบไปนั่นล่ะ”

หลิงซูหาว “หลังจากนั้นล่ะ”

“หลังจากนั้นก็เริ่มทะเลาะกันแบบเงียบๆ พวกเธอสองคนน่ะฉลาดกันทั้งคู่ ต่อหน้าพี่ใหญ่คนหนึ่งก็เก่งกาจคนหนึ่งก็แสนดี อบอุ่นอ่อนโยนเอาใจใส่กันยิ่งกว่านางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ ขอแค่พี่ใหญ่ไปเท่านั้นแหละ สองคนก็จะเผยธาตุแท้กันออกมาทันที แยกเขี้ยวฟ้อนเล็บกันสุดๆ พี่สะใภ้ใหญ่ของฉันอย่างไรก็มีชื่ออยู่ พี่ใหญ่ก็ไม่เคยคิดจะหย่ากับเธอ แต่พี่สะใภ้เล็กกลับได้รับความรักมากกว่านิดหน่อย ทั้งคู่ก็ดึงกันไปดันกันมา พี่ใหญ่ก็รู้แก่ใจแต่กลับปล่อยให้คลุมเครือ ทำอย่างกับดูละครลิง ดื่มด่ำกับการพินอบพิเทาของภรรยาทั้งสองไปเรื่อยๆ”

เยวี่ยติ้งถังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นหลิงซูสะลึมสะลือใกล้หลับ ทำเอาเขาโมโหจนอดหัวเราะไม่ได้

เจ้าหมอนี่เห็นเรื่องราวในบ้านของเขาเป็นนิทานก่อนนอนไปแล้วหรือไง

กว่าเขาจะหาโอกาสเปิดใจพูดเรื่องในสกุลเยวี่ยให้อีกฝ่ายฟังได้นั้นไม่ง่ายเลย เรื่องเหล่านี้คนอื่นอยากฟังแค่ไหนก็คงไม่ได้ฟัง แต่หลิงซูกลับไม่เห็นค่าของเรื่องเล่าเหล่านี้เสียอย่างนั้น

เขาจิ้มแขนอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลิงซูเอียงศีรษะพิงพนักเก้าอี้ ยังคงเล่นหมากรุกกับโจวกงอยู่อย่างนั้น

เยวี่ยติ้งถังถอนหายใจ “หลิงซู”

ออกจากปากไปแล้วสองพยางค์ ที่เหลือยังมีอีกเป็นพันเป็นหมื่นคำ ทว่าเขากลับพูดอะไรไม่ออก

ถ้อยคำมากมายถูกเอื้อนเอ่ยอยู่ในความทรงจำ ในหัวใจ วนเวียนไปมาเช่นนั้นเป็นพันเป็นหมื่นครั้งเนิ่นนานมาแล้ว จะพูดหรือไม่ ก็คล้ายไม่มีความแตกต่างเพราะยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่รู้

สิ่งที่เยวี่ยติ้งถังอยากถามมากกว่าก็คือ…

วันนั้นที่ทางลับใต้ดินวัดกวนอิน ตอนที่ถูกเขาจูบ หลิงซูคิดอย่างไร

“หลิงซู”

เขาอยากตรึงฝีเท้าของอีกฝ่ายเอาไว้เช่นนี้ จับยึดเอาไว้ข้างกายอย่างแน่นหนา ต่อให้อีกฝ่ายอยากจะสยายปีกบินก็ไม่อาจบินขึ้นไปได้

ความเสียใจตลอดแปดปีมักกลับมากัดกร่อนหัวใจจนเป็นรูโหว่ใหญ่ ต้องใช้วิธีการอื่นๆ มาปะชุน

แต่นี่คือหลิงซูนะ

หลิงซูที่ใช้เลือดและชีวิตของตนทุ่มเทฟาดฟันกับศัตรูในสนามรบ หลิงซูที่ยอมตายไม่ยอมแพ้ในการรบทุกครั้งเพื่อพี่น้องสหายร่วมรบทั้งหลาย หลิงซูที่ยอมปลงกับชีวิตและใช้ชีวิตทำมาหากินรอความตายไปวันๆ เพียงเพราะคำขอร้องของสหายในวันวานคนหนึ่ง หลิงซูที่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อทิ้งทรัพย์สมบัติเอาไว้ให้คนในชาติ

เยวี่ยติ้งถังไม่อาจทนและไม่อาจหักใจใช้แนวคิดของตนไปจำกัดล้อมกรอบอีกฝ่ายเอาไว้

ทรัพย์สมบัติที่เสียไปและได้กลับคืน ก็ควรจะประคองเอาไว้ในมือและปกป้องมันต่อไป ให้มันได้เปล่งแสงส่องประกาย ได้ทำอะไรอย่างที่เจ้าตัวต้องการ

ช่างเถอะ

“ที่เรียกหลิงซูสองรอบนี่ช่างเต็มไปด้วยอาการอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ วนไปเวียนมาเป็นร้อยเป็นพันรอบจริงๆ นะนี่!”

ไม่รู้หมอจี่โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งคำพูดคำจายังเสียดสีเย็นชาไร้ความปรานี

“ฉันออกไปสูบบุหรี่นะ”

เยวี่ยติ้งถังคร้านจะสนใจ เขาจึงลุกขึ้นเดินออกไป

หมอจี่ยืนอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง

กระทั่งเยวี่ยติ้งถังออกไปไกลแล้วเขาก็พลันเอ่ยปากกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“เลิกแกล้งหลับได้แล้วน่า”

 

บทที่ 119

หลิงซูไม่ขยับเขยื้อน ปากเผยอน้อยๆ น้ำลายเหมือนจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ

หมอจี่มุมปากกระตุก เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ตบบ่าหลิงซู

“ตื่นๆ”

หลิงซูสะท้าน เขาลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ สีหน้าดูมึนงง

“หือ แผลเปิดอีกแล้วเหรอ”

หมอจี่ยกนิ้วโป้งให้เขา “เคยได้ยินคำว่าไป่เหล่าฮุ่ยไหม พวกเขาขาดนักแสดงเจ้าบทบาทอย่างคุณนี่ล่ะ!”

“ไม่เคย เคยได้ยินแต่ไป่เล่อเหมิน” หลิงซูหาว เขาดูเกียจคร้าน หน้าตาเหมือนนอนอย่างไรก็ไม่พอ “หมอจี่ คุณจะไปหาหมอหลิวหรือเปล่า ได้ยินว่าเขามีครอบครัวแล้วนี่”

หมอจี่หน้าตึงทันที ดูเย็นชาคล้ายไอเย็นเบาบางของฤดูใบไม้ร่วงพัดให้เกิดน้ำค้างแข็งเกาะอยู่อย่างกะทันหัน เป็นความหนาวแบบที่ทำให้หนาวตายได้อย่างไรอย่างนั้น

“เขาจะมีครอบครัวหรือยังมันเกี่ยวอะไรกับผม”

เมื่อพูดประโยคนี้จบหมอจี่ก็หันหลังเดินจากไป ไม่สนใจจะพูดคุยกับหลิงซูอีกแม้แต่ครึ่งประโยค

จิ๊ๆ เจ้าอารมณ์เหมือนกันนะนี่

หลิงซูขยับคอที่ปวดเมื่อย เขาเปลี่ยนท่ามานอนฟุบกับโต๊ะแล้วก็หลับครอกฟี้ต่อไป

เยวี่ยติ้งถังนับว่าเคยเห็นความสามารถในการนอนของเขามาแล้ว

หลังจากสูบบุหรี่กลับมาก็เห็นหลิงซูยังคงนอนหลับ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมาก เขาจึงออกไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือรอบหนึ่ง เมื่อฟ้าใกล้มืดก็กลับมาที่คลินิกและพบว่าหลิงซูก็ยังนอนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอนก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อย

แม้แต่หมอจี่ยังต้องซูฮก

“ฉันยังคิดว่าเพื่อนนายแกล้งหลับ ไม่คิดว่าจะหลับได้จริงๆ นี่ชาติที่แล้วเป็นหมูมาก่อนหรือเปล่า”

เยวี่ยติ้งถังมองมาที่เขา

หมอจี่ชูสองมือ “ได้ๆ ไม่พูดแล้ว เชิญทั้งสองท่านเลยขอรับ กระผมยังต้องรีบกลับบ้านไปกินข้าวอีก”

เยวี่ยติ้งถังเรียกหลิงซูสองสามครั้งแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาจึงได้แต่ดันตัวอีกฝ่าย

ต้องดันตัวถึงจะตื่น หลิงซูขยี้ตา ท่าทางเหมือนนอนไม่พอ

“ต้องไปสถานีรถไฟแล้ว กลับบ้านไปค่อยนอน” เยวี่ยติ้งถังว่า

หลิงซูยังง่วงงุนอยู่มาก สติครึ่งหนึ่งของเขายังอยู่ในห้วงฝัน ขณะลุกขึ้นยืนอากัปกิริยาช้าไปครึ่งจังหวะ เขาเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี เยวี่ยติ้งถังไปที่ไหนเขาก็ตามไปที่นั่น คนหนึ่งสั่งอีกคนหนึ่งทำตาม ว่านอนสอนง่ายยิ่งกว่าตุ๊กตาหุ่นเชิดที่มีสายโยงเสียอีก

เยวี่ยติ้งถังได้แต่ดันอยู่ข้างหลัง เพื่อไม่ให้เขาเดินไปเดินมาแล้วพลัดหลงกัน

เวลาเร่งรัด พวกเขาซื้อตั๋วโดยสารชั้นหนึ่งไม่ทันจึงได้แต่ซื้อตั๋วโดยสารชั้นสอง แต่หากเทียบกับชั้นสามที่พวกเขานั่งมาแล้วก็ดีกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยบนรถไฟก็มีของให้กิน ไม่ต้องเตรียมไปเอง อาหารการกินก็ไม่เลวทีเดียว

หลิงซูที่กำลังสะลึมสะลือนั้นเมื่อเห็นเกี๊ยวมาเสิร์ฟก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

ปกติแล้วบนรถไฟจะมีแต่อาหารตะวันตกให้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยชินกับการรับประทานอาหารแบบนั้น หลังจากผู้โดยสารทักท้วงกันบ่อยครั้ง ทางการรถไฟจึงออกมาตรการใหม่ในปีนี้ นั่นก็คือเริ่มให้บริการอาหารจีนในตู้โดยสารชั้นหนึ่งและสอง

แน่นอนว่าผู้โดยสารในตู้ชั้นสามนั้นหากไม่ได้นำอาหารมา ก็ได้แต่รอเวลาที่รถไฟจอดตามสถานีแล้วเรียกพวกพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่เดินมาขายตามหน้าต่างรถไฟ ใช้เงินซื้อไก่ย่างหรือซื้อผลไม้เมล็ดธัญพืชอะไรสักถุงเพื่อประทังความหิว

“ฉันได้กลิ่นเกี๊ยวหมู”

เกี๊ยวเพิ่งถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า ยังไม่ทันจะลืมตามองดีๆ และยังไม่ทันชิมรสใดๆ หลิงซูก็รู้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

“ไส้หมูกับผักกาดขาว มีเห็ดหอมด้วยใช่ไหม”

เยวี่ยติ้งถัง “…”

เขาไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จึงคีบเกี๊ยวขึ้นมากัด แล้วก็พบว่าใช่จริงๆ

“นายนี่จมูกหมาจริงๆ สินะ”

หลิงซูหัวเราะฮาๆ “เรียกว่าใจสื่อถึงใจต่างหากล่ะ ฉันน่ะมีชะตาต้องกับมัน!”

เยวี่ยติ้งถังก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน

เขาต้องใช้ปัญญาและความกล้าหาญอยู่ตลอดทาง เดินทางวนเวียนไปมานานๆ ถ้าพูดกันแค่เรื่องระยะทางยาวไกลก็คงทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างเดียว แต่เมื่อบวกกับอาการบาดเจ็บ ต้องคอยใช้สมอง ต้องใช้พลังใจไปมากมาย สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เขาอ่อนเพลียไปทั้งกายใจจริงๆ การงีบหลับสั้นๆ ในคลินิกหรือบนรถไฟคงไม่มีทางทำให้พลังของเขาฟื้นคืนมาได้

เมื่อรถไฟไปถึงเซี่ยงไฮ้ ยามดึกก็คืบคลานเข้ามาแล้ว

อย่างไรฤดูใบไม้ผลิของเซี่ยงไฮ้ก็อบอุ่นกว่าทางเหนือมาก เมื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็เหมือนจะได้กลิ่นหอมของต้นหญ้าลอยมาอย่างเลือนรางในอากาศ

หลิงซูคงจะสูดหายใจเข้าเต็มที่ไปหน่อย เขาจึงจามออกมากะทันหัน

“พี่ต้องคิดถึงฉันอยู่แน่…ไม่สิ! ตอนนี้ฉันกลับบ้านไม่ได้”

“ทำไม”

“อาการบาดเจ็บที่ขายังไม่หายดี กลับไปต้องโดนพี่ซักแน่ ถ้าไม่อธิบายออกมาเป็นฉากเป็นชั้นล่ะก็คงไม่ให้ฉันได้นอนหลับดีๆ หรอก คืนนี้ฉันขอไปยืมโซฟาห้องรับแขกบ้านนายนอนแก้ขัดสักสองคืนดีกว่า เอาไว้ผ่านไปสองวันแผลหายดีแล้วค่อยกลับบ้าน”

หลิงซูหัวเราะแหะๆ ทำตาปริบๆ ใส่เยวี่ยติ้งถัง

“ถ้านายคิดว่าต้อนรับแขกได้ไม่ดีพอ อยากจะทำความสะอาดห้องนอนแขกให้ฉันอยู่ล่ะก็ ฉันก็ไม่รังเกียจหรอกนะ”

เยวี่ยติ้งถังบอก “ต้องดูความประพฤตินายก่อน”

ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับตกลง หลิงซูรู้จักหลักการหาผลประโยชน์จากจังหวะเวลาที่เหมาะสม เขาเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ

เมื่อเช้านี้ตอนอยู่ที่หนานจิงเยวี่ยติ้งถังโทรศัพท์ไปที่คฤหาสน์สกุลเยวี่ยแล้ว เขาบอกลุงโจวว่าคืนนี้จะกลับบ้าน คนขับรถของสกุลเยวี่ยจึงมารอรับพวกเขาที่ด้านนอกสถานีรถไฟนานแล้ว

ใบหน้าที่คุ้นเคย รถยนต์ที่คุ้นเคย เมื่อกลับมาพบสิ่งเหล่านี้หลังผ่านความเป็นความตายมา หลิงซูเห็นอะไรก็รู้สึกสนิทใจไปเสียหมด เขายิ้มให้คนขับรถสกุลเยวี่ยอย่างสดใสเป็นพิเศษ ทำเอาคนขับรถอดหยอกเล่นไม่ได้ว่า “คุณชายหลิงไปข้างนอกคราวนี้ได้ลาภมาเหรอครับ”

หลิงซูมีท่าทีสบายๆ “ลาภน่ะไม่ได้หรอก แต่เกือบเอาชีวิตไปทิ้งสิเรื่องจริง จะว่าไปตั้งแต่ผมเจอคุณชายบ้านนี้ก็เริ่มจะบาดเจ็บทุกสองสามวัน ถ้าไม่โดนยิงแขนก็โดนยิงขา ไม่ช้าก็เร็วคงมีสักวันที่หัวจะโดนด้วยสักโป้งนั่นล่ะ!”

คนขับรถมองผ่านกระจกมองหลัง สีหน้าของเยวี่ยติ้งถังค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น เขาคิดว่าคุณชายสี่คงโกรธแน่ แต่ที่ไหนได้คำที่พูดออกมากลับไม่เหมือนที่เขาคิดเอาไว้เท่าไหร่เลย

“อย่าไปสนใจคำพูดเด็กน้อยเลย เปิดปากก็พูดแต่อะไรไร้สาระ!”

ต้องเป็นเพราะประโยคสุดท้ายของคุณชายหลิงเมื่อกี้แน่

หลิงซูผ่อนลมหายใจ “ก็แค่พูดเล่นไปตามเรื่องตามราวล่ะน่า จริงจังไปได้!”

เยวี่ยติ้งถังพูดในใจว่า นายกลัวจะไม่รู้จักความสามารถด้านความปากเสียของตัวเองหรือไง แล้วเขาก็เอ่ยเสียงเย็น “ต่อไปคำพูดพวกนี้ถ้านายพูดอีกฉันจะหักเงินเดือนนายหนึ่งครั้ง”

หลิงซูแบมือสองข้าง “ยังไงเดือนหนึ่งฉันก็ได้ไม่เท่าไหร่อยู่แล้ว หักไปเถอะ แค่พอกินพอใช้ก็โอเคแล้ว”

เยวี่ยติ้งถังไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับท่าทีเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก แบบนั้นของอีกฝ่าย

คนคนนี้บุกตะลุยทั่วทั้งเหนือใต้ เสียความภาคภูมิใจและความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีวัยหนุ่มไปแล้ว กลายเป็นคนที่หน้าหนาจนฟ้าผ่าก็ยังไม่สะท้านสะเทือน หนาพอจะให้ขึ้นไปกลิ้งลงมาจากหมู่บ้านบนยอดเขาสูงแล้วก็ยังไม่มีเศษหน้าแตกออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

คฤหาสน์สกุลเยวี่ยเปิดไฟสว่างไสว

ประตูใหญ่เปิดอยู่ ลุงโจวยืนรออยู่บนบันไดหน้าประตูบ้านนานแล้ว เมื่อเห็นรถขับเข้ามาใกล้ก็รีบให้คนไปเปิดประตูเหล็กที่สวนหน้าบ้าน

“คุณชายสี่ คุณชายหลิง!”

รอยยิ้มของเขาเบ่งบานเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่คุณชายทั้งสองกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

“ลุงโจวลำบากแย่เลยครับ!”

เยวี่ยติ้งถังพยักหน้าให้ เขาถอดหมวกส่งให้คนรับใช้ข้างๆ

พ่อบ้านเคยชินกับการแสดงออกอย่างเก็บกักความรู้สึกเอาไว้ข้างในเช่นนี้นานแล้ว ไม่เพียงแค่เยวี่ยติ้งถังเท่านั้น แต่ทุกคนในสกุลเยวี่ยล้วนเป็นแบบนี้กันทั้งหมด พวกเขาไม่ได้ไม่เคารพพ่อบ้านอาวุโส เพียงแต่ไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมามากจนเกินไปเท่านั้น

เทียบกันแล้ว กิริยาของหลิงซูดูเกินจริงไปมากทีเดียว

เขาตรงเข้าไปสวมกอดพ่อบ้านทันที

“ลุงโจวผมกลับมาแล้วครับ! คิดถึงผมไหม”

น้ำเสียงที่สูงขึ้นนั้นเปล่งออกมาท่ามกลางค่ำคืนหนาวเหน็บ เหมือนกับก้อนหินที่หล่นลงไปในสระอันเรียบนิ่ง ก่อให้เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก และปลุกให้ดอกบัวที่หลับใหลอยู่ลึกลงไปในสระนั้นอย่างไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนเมื่อใดตื่นขึ้นด้วย

“คิดถึงครับ” พ่อบ้านยิ้มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นตบหลังหลิงซู “คุณชายหลิงผอมลงนะครับ”

“จริงเหรอครับ” หลิงซูหมุนรอบตัวเอง เขาถามพ่อบ้านว่า “ผอมลงไปแค่ไหน เห็นชัดไหมครับ”

พ่อบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงปวดใจ “จะเห็นไม่ชัดได้อย่างไรเล่าครับ หลังนี่ลูบก็เจอกระดูกแล้ว พวกคุณออกไปข้างนอกเจอเรื่องลำบากอะไรกันมาล่ะครับนี่!”

หลิงซูบอก “แย่แล้วๆ ถ้าอย่างนั้นพี่สาวผมต้องเห็นแล้วบ่นไปทั้งเดือนแน่ หูผมคงหลุดเลยล่ะ!”

“เข้าไปก่อน อย่ายืนบังประตู”

เสียงของเยวี่ยติ้งถังลอยอยู่ข้างหู หลิงซูจึงเดินเข้าบ้านตามคำบอกนั้น

พ่อบ้านยิ้ม เดินตามเข้ามาข้างใน

“อาหารเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วครับ ทำเอาไว้ให้พอดีกับเวลาที่พวกคุณจะกลับมา เพิ่งเอาขึ้นโต๊ะเลย ยังร้อนอยู่ ซุปก็เตรียมเอาไว้สองชุด เป็นซุปยอดหน่อไม้ที่คุณชายสี่ชอบที่สุด แล้วก็มีซุปข้าวโพดกระดูกหมูที่คุณชายหลิงชอบด้วยครับ”

หลิงซูออดอ้อน “ผมก็ชอบกินซุปยอดหน่อไม้นะ ลุงทำไว้ชุดเดียวเองเหรอครับ”

“ทำไว้เยอะครับ ทำไว้เยอะ รับประทานกันพอแน่นอนครับ รับประทานกันให้พุงกางไปเลย แต่มากเกินไปก็ไม่ได้หรอกนะครับ เดี๋ยวดึกแล้วอาหารจะไม่ย่อย”

พ่อบ้านตักซุปให้พวกเขาด้วยตนเอง เมื่อเห็นหลิงซูกินอย่างตะกละตะกลาม ความรู้สึกเอ็นดูก็ยิ่งหลั่งไหลออกมา

“นี่คุณไปอยู่ข้างนอกลำบากแค่ไหนกันนี่ รับประทานช้าๆ หน่อยครับ เดี๋ยวจะสำลักเอา!”

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกครับ แค่บาดเจ็บนิดหน่อย ที่สำคัญคือกับข้าวที่นี่อร่อย ไม่ได้กินนานแล้วก็เลยคิดถึงน่ะครับ!”

หลิงซูพุ้ยข้าวโดยไม่เงยหน้า เคี้ยวกลืนๆ อย่างรวดเร็ว แม้แต่คำที่พูดออกมาก็ยังฟังดูอู้อี้ แต่ลุงโจวก็ยังได้ยินใจความสำคัญ เขาตกใจ

“ได้รับบาดเจ็บด้วยเหรอครับ บาดเจ็บจากอะไรครับนี่”

“โดนยิงน่ะครับ เหล่าเยวี่ยโดนที่แขนนัดหนึ่ง ผมโดนที่ขา”

พ่อบ้านชราสูดปาก “ผมจะไปติดต่อหมอเดี๋ยวนี้!”

“เลิกทำลุงโจวตกใจเสียทีน่า” เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้ว เขายกมือเป็นสัญญาณให้พ่อบ้าน “ลุงโจวนั่งก่อนเถอะครับ พวกเราแวะหาหมอระหว่างทางกลับมาแล้ว วันนี้เพิ่งจะทำแผลกันไปเอง ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก พรุ่งนี้ค่อยให้หมอดูใหม่ก็ไม่สาย อีกอย่างพวกเราก็เหนื่อยกันแล้ว กินข้าวเสร็จคงอาบน้ำพักผ่อนก่อน”

พ่อบ้านชรายังไม่วางใจ “เอากระสุนออกแล้วเหรอครับ”

เยวี่ยติ้งถังบอก “เอาออกแล้วครับ ลุงวางใจเถอะ หมอที่ดูแผลให้พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมเอง ฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ด้อยไปกว่าหมอประจำสกุลเยวี่ยเลยครับ”

พ่อบ้านถอนหายใจ “คุณชายหลิงก็ผอมลงไปครึ่งตัวได้ พวกคุณอยู่ข้างนอกคงจะไปลำบากมากๆ เลยสินะครับ ช่วงนี้อยู่พักรักษาตัวที่บ้านกันก่อน ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าออกไปเลย คืนนี้คุณชายหลิงก็พักที่นี่นะครับ”

หลิงซูกัดตะเกียบพลางเงยหน้า “ถ้าอย่างนั้นผมนอนโซฟาในห้องรับแขกก็ได้ครับ”

“โซฟาห้องรับแขกอะไรกัน! ผมเก็บกวาดห้องนอนแขกเอาไว้ให้แล้วล่ะครับ คุณนอนในห้องนอนแขกนี่ล่ะ”

หลิงซูเอ่ยอย่างใสซื่อ “แต่เมื่อกี้หัวหน้าเยวี่ยบอกว่าต้องดูพฤติกรรมของผมก่อน ถึงจะตัดสินใจว่าจะให้ผมนอนในห้องนอนแขกหรือเปล่า”

พ่อบ้านมองเยวี่ยติ้งถัง สีหน้าดูไม่เห็นด้วย

เยวี่ยติ้งถัง “…”

เจ้าหมอนี่ แม้แต่ห้องของเขาก็นอนมาแล้ว ยังจะมาแกล้งทำซื่ออีก!

แล้วลุงโจวก็ดันหลงกลอะไรแบบนี้เสียด้วยสิ!

“อยากนอนไหนก็นอนนั่นแหละ ยังต้องมาถามฉันอีกหรือไง”

พ่อบ้านยิ้มพลางเอ่ย “ดูสิครับ คุณชายสี่น่ะปากร้ายใจดี คุณสนใจแค่เรื่องนอนให้สบายก็พอครับ”

หลิงซู “ลุงโจว ผมว่าเดี๋ยวจะใช้สบู่ล้างหน้าหน่อยน่ะครับ”

พ่อบ้าน “ที่บ้านมีครับ ผมไปเอามาให้”

หลิงซู “ผมมักจะรู้สึกว่าชาดบนหน้ามันล้างไม่สะอาดทุกทีเลย”

พ่อบ้าน “คุณใช้ชาดทาหน้าทำไมกันครับ”

หลิงซูกระมิดกระเมี้ยน “ก็ตอนกลับมาเหล่าเยวี่ยให้ผมแต่งเป็นผู้หญิง แกล้งทำเป็นสามีภรรยากันกับเขา ถ้าไม่ใส่ชุดผู้หญิงก็ไม่ให้ผมขึ้นรถไฟกลับมา”

สีหน้าที่พ่อบ้านชรามองเยวี่ยติ้งถังนั้นเรียกได้ว่าดูแปลกประหลาดอย่างแท้จริง เหลือแค่ไม่ได้ถามออกมาโต้งๆ เท่านั้นว่าเขามีรสนิยมพิสดารอะไรหรือเปล่า

เยวี่ยติ้งถังไม่อยากพูดอะไรอีก

เขาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องแต่งหญิงนี่ เจ้าคนแซ่หลิงคงไม่ยอมจบง่ายๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 28 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: