ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทนำ-บทที่ 1 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 3 บทนำ-บทที่ 1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ชิวเฟิน* ปีที่ 24 • คนในกำแพง

 

บทนำ

ไอโม่ซินดิ้นรนเอื้อมมือออกจากผ้านวมไปหยิบโทรศัพท์ ฝืนลืมตาขึ้นแล้วก็พบว่านาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงแสดงเวลาตีสามครึ่งพอดิบพอดี

เขามองดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนกดรับสาย สายที่สามารถโทรเข้ามาระหว่างที่เขาหลับโดยไม่ถูกเจียงหลีขัดขวางจะต้องสำคัญมากแน่นอน

“มีอะไรหรือเปล่า”

[มาหน่อยได้มั้ย]

“ตอนนี้เหรอ”

[อืม]

“รอฉันสักหนึ่งชั่วโมงนะ”

[ได้]

หลังวางสาย ไอโม่ซินก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนที่จะหลับไปอีกรอบ เขานั่งสะลึมสะลืออยู่พักหนึ่งจึงพบว่าเจียงหลีไม่อยู่

ช่วงนี้เจียงหลีมักออกไปหลังจากที่เขาหลับแล้ว ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าต้องกลับไปหาของที่บ้านเดิม

ไอโม่ซินเพิ่งรู้ว่าที่แท้นอกจากโถงบรรพบุรุษที่สกุลเจียงมอบให้เขาแล้ว เขายังมี ‘รังเก่า’ อีก

เจียงหลีอธิบายว่านั่นคือที่สถิตก่อนเขาจะตอบรับสกุลเจียง สิ่งของมากมายยังคงอยู่ที่นั่น เขาไม่เคยกลับไปเกือบสามร้อยปีแล้ว จึงถือโอกาสไปสะสางของบางอย่าง

ตอนนั้นไอโม่ซินได้ยินเจียงหลีพูดถึงที่ตั้งของมันว่าน่าจะอยู่ในภูเขาลึกสักลูกบริเวณภาคกลาง เมื่อก่อนบริเวณนั้นมักจะมีคนหายตัวไปในภูเขาราวสองสามวันก่อนจะหาเจออยู่เป็นประจำ ก่อให้เกิดเรื่องเล่าท้องถิ่นแปลกๆ มากมาย หวังว่าคงไม่มีใครไปสร้างความเสียหายให้พวกเกราะป้องกันหรือข่ายอาคมที่เจียงหลีสร้างไว้

ตอนนั้นเขาลังเลแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป มันอยู่ตรงนั้นมาเกือบพันปีแล้วคงไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเพราะความสงสัยเรื่อยเปื่อยของเขาหรอก

ไอโม่ซินล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากบ้านด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เขาเดินไปที่ปากซอยและรอรถที่เพิ่งเรียก ในใจก็คิดว่าควรจะไปเรียนขับรถได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาออกจากบ้านกลางดึกกลางดื่นก็ต้องเรียกรถ หรือไม่ก็ต้องลำบากให้เจียงเฉิงฟางมารับเขาอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็ไม่ดีนัก

“เหตุใดถึงออกมาตอนนี้เล่า”

น้ำเสียงอ่อนโยนของเจียงหลีดังขึ้นข้างหู ไอโม่ซินชะโงกหน้ามองดูไฟหน้ารถที่กำลังขับมาทางเขาก่อนตอบอีกฝ่าย “สือหมิงโทรหาผม เลยว่าจะไปสักหน่อย”

“ไยไม่เรียกเสี่ยวฟาง”

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ คุณอย่าไปปลุกลุงเจียงกลางดึกกลางดื่นเลย” ไอโม่ซินเกลี้ยกล่อมอย่างจนปัญญานิดๆ

“เช่นนั้นรอสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณทำธุระของคุณเถอะ” ไอโม่ซินรีบห้ามไม่ให้เขาบินกลับมา “พวกท่านลุงก็ตามไปด้วย ที่ศาลคนกระดาษคงมีเรื่องอะไรสักอย่าง”

ดูท่าเจียงหลีน่าจะยุ่งจริงๆ เขาชะงักไปครู่หนึ่งถึงค่อยพูดขึ้นว่า “หากมีเรื่องก็เรียกข้าแล้วกัน”

“รู้แล้วครับ” ไอโม่ซินเองก็ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้มีแค่พวกท่านลุงเท่านั้น ช่วงนี้แม้แต่พวกท่านน้าเล็กก็มักจะตอบรับและมาอยู่ข้างกายเขาเสมอ พอขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้วเขาก็เลิกพูดคุยเพื่อไม่ให้คนขับรถตกอกตกใจ

เมื่อรถขับไปถึงปากทางเข้าศาลคนกระดาษไอโม่ซินก็ลงจากรถ ตัวเขาซึ่งคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดีผลักประตูเข้าไปจากด้านหลัง ผ่านเส้นทางที่มีคนกระดาษวางเรียงรายเต็มไปหมดเพื่อเข้าไปในตัวบ้าน กลิ่นกระดาษที่เจือกลิ่นอายอ่อนโยนอบอุ่นปะทะใบหน้าจนเขาอดหาวไม่ได้

ไอโม่ซินใช้มือปิดปาก จังหวะนั้นก็เห็นสือหมิงที่กำลังถือดอกลิลลี่ดอกหนึ่งเอาไว้ในมือหันมามอง ยังไม่ทันเอ่ยอะไรไอโม่ซินก็พบว่ามีแขกอยู่ในห้อง แถมยังเป็นคนที่มีชีวิตด้วย เขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า “นายมีแขกเหรอ งั้นอีกเดี๋ยวฉันค่อยมาแล้วกัน”

สือหมิงโบกมือก่อนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เขา ไอโม่ซินคิดว่าแขกคนนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเรียกเขามากลางดึก เขาจึงถือโอกาสนั่งลงและมองไปยังคนซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ

ดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี สวมชุดสูทสีเทาเข้มทั้งตัว ดูสุภาพเรียบร้อย คล้ายพนักงานออฟฟิศดีเด่นที่ทำงานอยู่ในบริษัทต่างชาติ

“อยากขอให้นายช่วยหน่อย” สือหมิงอธิบายง่ายๆ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด

อีกฝ่ายดูประหลาดใจเล็กน้อยที่ไอโม่ซินยังเด็กขนาดนี้ แต่ก็ยังคงมองมาที่เขาและแนะนำตัวเองอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ขอโทษที่รบกวนคุณกลางดึกแบบนี้ ผมแซ่เกา ชื่อเกาเฉิงย่วน เฉิงที่มาจากคำว่าประสบความสำเร็จ ย่วนที่มาจากคำว่าความปรารถนา”

เกาเฉิงย่วนส่งนามบัตรใบหนึ่งให้ ไอโม่ซินรับมาดูแวบหนึ่ง คนคนนี้เป็นรองประธานกรรมการบริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์สักแห่ง ได้เป็นรองประธานกรรมการทั้งที่ยังอายุน้อยแค่นี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นธุรกิจในครอบครัว

ไอโม่ซินมองไปทางสือหมิง เจ้าตัวพยักหน้า เขาเก็บนามบัตรเข้าไปในกระเป๋าแล้วหันไปยกยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่าย “ผมแซ่ไอ ทำงานอยู่ในกรมตำรวจนครบาล แต่ผมคิดว่าสิ่งที่คุณต้องการน่าจะไม่ใช่ตำรวจ”

ดูเหมือนเกาเฉิงย่วนจะระวังตัวขึ้นเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “คืออย่างนี้ครับ คือ…น้องชายผมหายตัวไปสามวันแล้ว”

ไอโม่ซินรับชาเย็นที่สือหมิงส่งให้ รู้ดีว่าถ้าเพียงต้องการแจ้งความก็ไม่น่าจะเรียกตนมา จึงส่งสัญญาณให้เกาเฉิงย่วนพูดต่อ

“เช้าวันต่อมาพอรู้ว่าเขาหายตัวไป ผมก็ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมดในตึกและพบว่าเขาไม่ได้ออกจากประตูบ้านเลย ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์หรือบันไดก็ถ่ายไม่ติดเขา เขาอยู่ที่ชั้นยี่สิบสี่ ไม่มีทางออกไปทางหน้าต่างได้แน่ แต่ผมหาทั้งในทั้งนอกห้อง เชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบมุมอับของกล้องวงจรปิดที่บันไดกับประตูนิรภัยแล้ว แต่ทุกคนก็บอกว่าเขาไม่น่าจะออกจากตึกหลังนั้นได้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไง เพิ่งจะคุยกับคุณสือเมื่อกี้นี้ เขาก็เลยเรียกคุณมาน่ะครับ”

ในช่วงนี้ของทุกปีเกาเฉิงย่วนจะมาที่ศาลคนกระดาษเพื่อมาซื้อดอกไม้ดอกหนึ่งให้มารดาก่อนจะถึงวันไว้อาลัยของเธอ พ่อเขายังเคยถามเขาว่าทำไมไม่ซื้อดอกไม้สด เขาคิดว่าดอกไม้สดเป็นสิ่งที่เอาไว้ให้คนที่ยังมีชีวิต เขาจึงต้องการซื้อดอกไม้ที่แม่จะสามารถรับไว้ได้ และเขาเองก็บังเอิญเข้ามาที่นี่ด้วยความเข้าใจผิด ตอนนั้นศาลคนกระดาษยังไม่เปิดกิจการ สือหมิงฟังสิ่งที่เขาพูดจบก็ทำดอกลิลลี่ที่เหมือนกับดอกไม้สดๆ ให้เขาดอกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นสือหมิงทำออกมากับตาตัวเอง เขาก็คงไม่รู้ว่ามันทำมาจากกระดาษ จากนั้นเขาก็กลายเป็นลูกค้าประจำของศาลคนกระดาษ

คราวนี้เขาก็มารับดอกไม้เช่นเคย แต่อาจเป็นเพราะความกังวลที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า สือหมิงจึงเอ่ยถามอย่างที่ไม่ได้ทำบ่อยนัก หลังจากที่เล่าให้ฟัง สือหมิงจึงได้โทรศัพท์เชิญใครสักคนมาและให้เขารออยู่ที่นี่สักพัก

แม้สือหมิงจะไม่ได้อธิบายมากมาย แต่เขาก็ยินดีจะเชื่อและรอคอยด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ไอโม่ซินสัมผัสไอหยินหรือไอวิญญาณจากร่างกายของเขาไม่ได้เลย ดูจากภายนอกก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงหันไปทางสือหมิงอีกครั้ง

“ฉันออกไปไม่ได้ ต้องรอให้ถึงวันมะรืนก่อน” สือหมิงห่อช่อดอกไม้ผูกริบบิ้นให้เรียบร้อย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “รบกวนนายไปหน่อยสิ”

สิ่งที่สือหมิงมองออกมีมากกว่าเขา เมื่อพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องจัดการภายในหนึ่งวัน เขาจึงพูดกับเกาเฉิงย่วนตรงๆ “คุณขับรถมาหรือเปล่าครับ”

“ครับ ผมจอดเอาไว้ด้านนอก ถัดไปสองซอย” เกาเฉิงย่วนรู้ว่าบางครั้งสือหมิงก็ไม่สามารถไปจากศาลคนกระดาษได้ จนกระทั่งตอนนี้ถึงเข้าใจความหมายของสือหมิงว่าต้องแก้ไขเรื่องนี้ก่อนวันมะรืน เขาจึงลุกขึ้นด้วยความร้อนรนนิดๆ “รบกวนคุณเดินตามผมไปได้มั้ยครับ”

“รบกวนคุณขับรถมาที่ปากซอยได้หรือเปล่าครับ” ไอโม่ซินยังคงถือชาเอาไว้ ดูท่าแล้วยังไม่คิดจะลุกขึ้นในทันที

เกาเฉิงย่วนตระหนักได้ว่าไอโม่ซินอาจมีบางอย่างอยากคุยกับสือหมิงจึงพยักหน้าและเอ่ยว่า “ได้ครับ ผมจะขับรถมาตรงเสาไฟหน้าปากซอยนะครับ”

ไอโม่ซินพยักหน้า เกาเฉิงย่วนรับช่อดอกไม้ก่อนหันไปเอ่ยขอบคุณสือหมิงจากใจจริง “ขอบคุณครับ”

สือหมิงส่ายหน้าแล้วเดินไปเปิดประตูให้เกาเฉิงย่วนออกไปทางประตูใหญ่

“ถ้างั้น…นี่เป็นการช่วยระดับไหนล่ะ” ตอนนี้ไอโม่ซินถึงจะเพิ่งได้ดื่มชาไปอึกหนึ่ง

“เขาเป็นลูกค้าคนแรกของศาลคนกระดาษ” สือหมิงเดินกลับมา ฉีกยันต์สีเหลืองสองแผ่นยื่นให้เขา

ไอโม่ซินประหลาดใจนิดหน่อยที่ลูกค้าคนแรกของศาลคนกระดาษคือคนเป็น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย สือหมิงพูดแบบนี้หมายความว่าลูกค้าคนนี้ค่อนข้างมีความหมายสำหรับเขา

ไอโม่ซินเก็บยันต์สีเหลืองเข้ากระเป๋า เขาคิดว่ารสชาติของชาเย็นไม่เลวจึงดื่มไปอีกสองอึก เมื่อวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นยืนกลับรู้สึกเย็นวาบที่หน้าอกและคลื่นไส้นิดหน่อย

“เป็นอะไรไป” สือหมิงเห็นเขายกมือขึ้นกดหน้าอกเหมือนไม่สบายจึงเอ่ยถาม

“…ไม่มีอะไร น่าจะเพราะชาเย็นเกินไป” ไอโม่ซินลูบหน้าอกก่อนถอนหายใจ “เลยคลื่นไส้นิดหน่อยน่ะ”

สือหมิงขมวดคิ้ว ชานี่มาจากร้านที่ซื้อประจำ ตัวเขาเองไม่ได้ดื่ม ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่คิดอะไร แต่หลังจากผ่านเรื่องบริษัทผูกวาสนาและสกุลกัวมา เขาไม่คิดมากคงไม่ได้ ใครจะเกิดเรื่องที่ศาลคนกระดาษก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ไอโม่ซิน

เขาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชามาดื่มหนึ่งอึก เมื่อยืนยันได้แน่นอนว่าชาไม่มีปัญหาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “คราวหน้าฉันจะชงชาร้อนให้นายแล้วกัน”

ไอโม่ซินเองก็ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของสือหมิง หลังจากเรื่องของเจียงอี๋อัน ทุกคนที่อยู่ข้างกายเขาต่างก็ระวังตัวมากเกินไปหน่อย ทำราวกับจะมีคนโผล่มาทำร้ายเขาได้ทุกเมื่อ เขาเองก็จนปัญญา “น่าจะเกี่ยวกับการดื่มชาเย็นตอนท้องว่าง ไว้จัดการธุระเสร็จเรียบร้อยจะไปกินมื้อดึกสักหน่อยแล้วกัน”

ไอโม่ซินพูดจบก็โบกมือจากไป จากนั้นท่านลุงใหญ่ก็ปรากฏตัวออกมาถามว่าเขาไม่สบายหรือเปล่า เขาจึงตอบกลับไปอย่างอดทน “แค่รู้สึกคลื่นไส้เท่านั้นครับ ไม่เป็นไรหรอก”

พอเดินมาถึงปากซอย รถก็จอดรออยู่ใต้เสาไฟแล้ว เกาเฉิงย่วนลดหน้าต่างรถลงให้ไอโม่ซินมองเห็นเขา “คุณไอครับ ทางนี้ครับ”

ไอโม่ซินเปิดประตูขึ้นรถ ขณะที่หันหน้าไปดึงเข็มขัดนิรภัย เขาก็เหลือบไปเห็นโคมไฟติดๆ ดับๆ ที่ประตูศาลคนกระดาษ ขณะที่เขากำลังตกตะลึง รถก็ออกตัวแล้ว

ในความทรงจำของไอโม่ซิน โคมไฟน้ำมันดวงนั้นจะส่องสว่างอยู่เสมอ ต่อให้มีลม เปลวไฟนั้นก็จะไม่สั่นไหว เมื่อใดที่มันริบหรี่ก็แสดงว่าน่าจะมีความนัยบางอย่าง เขาเคยได้ยินสือหมิงบอกว่าโคมไฟดวงนี้อยู่มาตั้งแต่ศาลคนกระดาษถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าจะลุกไหม้ ดับไป หรือติดๆ ดับๆ ก็ล้วนเป็นความตั้งใจของศาลคนกระดาษทั้งสิ้น

ไอโม่ซินสงสัยอยู่เพียงครู่หนึ่งก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com