everY
ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2 บทที่ 9 – 1 ถึง 9 – 2 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2
ผู้เขียน : Oneulbom
แปลโดย : มิลค์พลัส
ผลงานเรื่อง : ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
9-1
คืนแห่งการเผชิญหน้า
ว่ากันว่าสีสันของเดือนพฤษภาคมคืองานเทศกาลประจำปี มันเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการจัดกิจกรรมทุกอย่าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจะผ่านพ้นไป ความหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูเองก็ได้จางหายไปหมดแล้ว และท้องฟ้าก็จะยังคงเป็นสีฟ้าสดใสต่อเนื่องไปจนกว่าช่วงมรสุมจะมาถึง
ทันทีที่ช่วงอากาศร้อนมาถึง งานเทศกาลประจำปีของมหาวิทยาลัยฮันกุกที่ซึงจูเรียนอยู่ก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ อาจารย์ผู้มีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความเมตตาหลายท่านจึงประกาศงดการเรียนการสอน และนักศึกษาแต่ละคณะก็ได้ใช้เวลาว่างเหล่านั้นไปกับการจัดเตรียมบูธกันอย่างขะมักเขม้น
“ซอซึงจู ใจคอนายนี่กะจะไม่ช่วยพวกเราจริงๆ เหรอ”
“อืม ไม่ล่ะ”
แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับซึงจูเลย เขาส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น แสร้งทำเป็นไม่เห็นบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่กำลังอ้อนวอน เพื่อนพวกนั้นมาหาและขอร้องเขากันไม่หยุดปากทุกครั้งที่ว่างจากคาบเรียนตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะรับปากช่วยอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เขามีคนมารอรับหลังเลิกเรียนทุกวัน
‘เนตรสัมผัสวิญญาณดับลงอีกรอบแล้วครับ’
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเนตรสัมผัสวิญญาณที่ตื่นขึ้นมาพักใหญ่ๆ ก็ได้ดับลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ระหว่างนั้นซึงจูไม่เห็นผีหรืออสูรเลยสักตน คงต้องขอบคุณมูฮึนที่คอยไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ส่วนหนึ่งก็คงต้องขอบคุณตัวเองด้วยเหมือนกันที่คอยระวังตัวอยู่เสมอ
‘งั้นเหรอ ดับไวแฮะ’
มันช่างน่าหงุดหงิดที่มูฮึนมีปฏิกิริยาตอบรับแบบนั้น ไม่รู้ว่าไอ้คนที่กลัวเขาจะโดนอสูรเล่นงานคนนั้นมันหายหัวไปไหนแล้ว ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวกลัวแค่ว่าจะโดนซึงจูห้ามไม่ให้มารับมาส่งอีก ซึงจูจึงรีบพูดออกไปทันทีเผื่อว่ามูฮึนคิดจะทำอะไรที่ทำให้เนตรสัมผัสวิญญาณของเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
‘ผมว่าจะไปไหนมาไหนกับพี่อีกสักระยะครับ’
‘…’
สีหน้าของมูฮึนที่แสดงออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของซึงจูนั้นชัดเจนมาก มันดูราวกับกำลังสงสัยว่าทำไมซึงจูถึงได้พูดแบบนั้น เพราะเขาไม่นึกเลยว่าซึงจูจะยอมรับอย่างง่ายดายขนาดนี้
แน่นอนว่าซึงจูเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเขาจะต้องได้รับการคุ้มกันแบบนี้ไปตลอดชีวิต
‘แต่ช่วยบอกผมทีเถอะครับว่าในอนาคตต่อจากนี้ผมต้องทำยังไง’
มูฮึนเคยบอกว่ากลุ่มอิทธิพลใหม่ที่กระหายในอำนาจกำลังเพ่งเล็งเขาอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเจ้าตัวก็คงจะมีแผนการอะไรอยู่บ้าง อีกฝ่ายคงไม่ได้คิดที่จะคอยวนเวียนอยู่รอบตัวซึงจูจนกว่าคนพวกนั้นจะหายตัวไปเองตามยถากรรมหรอก มันต้องมีสักวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตามจับคนพวกนั้น หรือจะเป็นวิธีอื่นใดก็ตาม
‘ผมเองก็ควรได้รู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับว่าจะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่’
‘นั่นสินะ…’
แม้จะเล็กน้อย แต่สีหน้าของมูฮึนที่ได้ฟังคำพูดนั้นก็ดูเสียดายอยู่หน่อยๆ และหากมองให้ดีแล้วก็ดูมีแววเสียใจเจืออยู่ในนั้นด้วย แต่ไม่ว่าจะแบบไหน สำหรับซึงจูแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด ทั้งที่ตัวเองชอบหายตัวไปอย่างปุบปับเป็นประจำแท้ๆ แต่พอบอกให้ช่วยกำหนดวันเวลาที่ชัดเจนให้หน่อย ตัวเองกลับมาทำหน้าทำตาเหมือนโดนทิ้งเนี่ยนะ
‘พี่ยังไม่แน่ใจ แต่ก็คิดว่าคงไม่นานขนาดนั้นหรอก’
แม้จะเป็นคำตอบที่ฟังดูคลุมเครือ แต่ซึงจูก็คิดว่ามันคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว และการที่เขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ก็คงเพราะมีเหตุผลอันสมควรอยู่
อีกอย่างการจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสมาพันธ์ก็คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
‘ซึงจู นายเองก็ต้องสนุกกับชีวิตในมหา’ลัยด้วยนะ’
มูฮึนพูดพลางยิ้มด้วยท่าทีที่เป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกผิดที่ฉายแววออกมาเล็กน้อยนั้นเป็นความรู้สึกผิดต่อซึงจูที่ไม่อาจไปไหนมาไหนตอนกลางคืนตามใจตัวเองได้ ความจริงแล้วมูฮึนเองก็ไม่เคยจำกัดขอบเขตของกิจกรรมที่ซึงจูสามารถทำได้ เขาจึงกังวลอยู่หน่อยๆ เพราะกลัวว่าซึงจูจะเข้าใจผิดจนแค่ไปเรียนและกลับบ้านมาเฉยๆ โดยไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร
แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องช่วยคลายความรู้สึกผิดในใจให้อีกฝ่าย เพราะต่อให้ตอนที่เนตรสัมผัสวิญญาณตื่นครั้งแรกจะหาคนผิดไม่ได้ แต่นับตั้งแต่ครั้งที่สองเป็นต้นมา ซึงจูก็มั่นใจเลยว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองแน่ๆ แต่ถ้าจะถามว่ามันเป็นความผิดของมูฮึนหรือไม่ เรื่องนั้นก็ยังถือว่าคลุมเครือ
“ซอซึงจู นายนี่ใจจืดใจดำชะมัดเลย”
“นี่ ซึงจูไม่มีทางรับหน้าที่ขายเหล้าหน้าบูธหรอก เพราะหมอนี่จะไปนั่งดื่มกับฉัน”
“ใครบอกนายกัน”
คำพูดของจินอูทำให้ซึงจูแค่นหัวเราะ
“ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อกี้นี้เนี่ย”
พอซึงจูพูดออกไปแบบนั้น จินอูก็ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “ตอนนี้นายก็ได้รู้แล้วนี่ไง”
หมอนี่พูดจาเพ้อเจ้อได้ตลอดเลยจริงๆ ซึงจูถึงกับนึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมตัวเองถึงได้ไม่รังเกียจอีกฝ่าย บางทีความหน้าไม่อายของจินอูก็ดูคล้ายกับคิมมูรยองเสียเหลือเกิน และถึงจะอยากสลัดอีกฝ่ายทิ้งเวลาที่ทำตัวน่ารำคาญ แต่ท่าทางเวลาที่จินอูบ่นงึมงำก็พอจะมองว่าน่ารักได้อยู่เหมือนกัน
“ไม่รู้สิ รอดูเอาวันนั้นแล้วกัน”
“ซึงจู นายมันก็เป็นแบบนี้ทุกทีอะ…”
จินอูผู้ชอกช้ำใจได้แต่เบือนหน้าหนีอย่างงอนๆ ขณะที่ซึงจูหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นพลางตบไหล่เขาแปะๆ ปกติแล้วพวกเขาจะเดินออกไปที่ประตูหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน แต่ก็น่าเศร้าที่วันนี้จินอูดันมีเรียนต่ออีกคลาส
“ฉันไปก่อนนะ โชคดี”
ระหว่างทางที่เดินไปยังประตูมหาวิทยาลัย ซึงจูรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ตอนที่เพิ่งเดินออกจากตึกมาเขาไม่ได้คิดอะไรเลย แต่พอใกล้จะถึงที่หมายแล้วความคิดต่างๆ มากมายก็เริ่มผุดขึ้นมาไม่หยุด มันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนอะไร เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวจากกระแสความคิดที่หลั่งไหลเข้ามา
วันนี้คิมมูฮึนจะยังยืนรออยู่ที่นั่นไหมนะ
วันนี้จะมีคนมองเขาเยอะหรือเปล่า
คำทักทายแรกที่เขาจะพูดหลังเจอหน้ากันจะเป็นคำว่า ‘มาแล้วเหรอ’ หรือ ‘วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง’ นะ
เมื่อเช้าเขาดูเหนื่อยๆ ถ้าเขาได้นอนกลางวันมาสักหน่อยก็คงจะดี
ไม่มีทางที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮันกุกจะไม่รู้ข่าวลือเกี่ยวกับชายหนุ่มหน้าตาดีที่มักจะมายืนรอใครบางคนอยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยทุกวัน เพราะถ้าแค่หล่อก็ว่าไปอย่าง แต่นี่รูปลักษณ์ภายนอกของเขากลับโดดเด่นสะดุดตาสุดๆ
และแน่นอนว่าซึงจูที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยไปกับเขาก็ได้รับความเดือดร้อนจากการมีชื่อเสียงไปโดยปริยาย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องบอกว่าน่าโล่งใจที่พอเวลาผ่านไปผู้คนก็เริ่มพูดถึงน้อยลง
‘ดูท่าคงจะชินกันแล้วสินะ’
ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักการปรับตัว แม้แต่สายตาที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจแทบตายในตอนแรก ตอนนี้เขากลับแทบไม่รู้สึกอะไรกับสายตาพวกนั้นเลย ถ้าอยากมองนักก็ปล่อยให้คนพวกนั้นมองไป เพราะถึงอย่างไรซึงจูก็คิดว่าคนพวกนั้นคงไม่กล้าเข้ามาชวนคุยด้วยอยู่แล้ว
“…”
ใช่…ซึงจูแน่ใจว่าตัวเองคิดแบบนั้น
“นั่นมันอะไรน่ะ”
คิมมูฮึนยืนอยู่ตรงนั้นในท่าที่ยืนพิงประตูมหาวิทยาลัยเหมือนทุกวัน ความสูงที่สูงกว่าคนอื่นๆ หนึ่งช่วงศีรษะกับไหล่กว้างที่ผึ่งผายนั้นดึงดูดความสนใจจากทุกสายตา จิวที่อยู่บนหูซ้ายส่องแสงวิบวับ รวมทั้งรอยสักที่ทอดยาวจากหลังใบหูเรื่อยมาจนถึงคอก็ยังคงสะดุดตาเช่นเคย
ลำพังถ้าเห็นแค่นั้นซึงจูก็คงจะรู้สึกเฉยๆ เพราะคิมมูฮึนไม่ได้เพิ่งจะมาเป็นแบบนี้แค่วันสองวัน และเขาก็ชินกับภาพที่เจ้าตัวมายืนรออยู่แบบนั้นตั้งนานแล้ว
ปัญหาคือเสื้อผ้าที่เขาใส่ในวันนี้แตกต่างไปจากทุกที
สูทนั่นมันอะไร…
ถ้าซึงจูไม่ได้ตาฝาด เขาก็มั่นใจว่าชุดที่มูฮึนใส่อยู่คือสูทแน่ๆ ทั้งเสื้อตัวนอกสีดำ กางเกงขายาวสีดำ เนกไทสีดำ และเสื้อกั๊กสีดำ แม้แต่เสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ก็ยังเป็นสีดำ ซึ่งการแต่งกายสีดำล้วนทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้านี้ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์ลึกลับขึ้นเป็นเท่าตัว
เท่าที่ซึงจูจำได้ มูฮึนมักจะสวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำอยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าจะมีอะไรพิเศษ นั่นก็เพื่อปกปิดรอยสักที่ทอดยาวจากไหล่ลงมาถึงมือ ต่อให้จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวที่สุดในฤดูร้อน แต่การแต่งกายของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ตรงกันข้ามกับฤดูหนาวที่เขาจะเอาแค่เสื้อโค้ตมาคลุมตัวไว้อย่างง่ายๆ หรือไม่ก็สวมเสื้อคอเต่าที่ปิดขึ้นมาถึงคอ
แต่วันนี้ดันใส่ชุดสูทมาเนี่ยนะ…เมื่อเช้านี้ยังแต่งตัวปกติอยู่เลยนี่
ไม่ใช่ว่าการสวมใส่ชุดสูทมันไม่ปกติ ปัญหาคือคิมมูฮึนที่ไม่ปกติอยู่แล้วดันแต่งตัวเต็มยศเข้าไปอีกนี่สิ แค่นั้นยังไม่พอ เพราะเขายังถือดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่งอีกต่างหาก
“…”
มันเป็นความรู้สึกที่ซึงจูไม่ได้รู้สึกมานาน การต้องเดินเข้าไปหาคนที่ได้รับความสนใจมากขนาดนั้น แถมยังต้องคุยกับอีกฝ่ายด้วยแล้วถือเป็นเรื่องที่น่าหนักใจสุดๆ หากทำได้เขาก็อยากจะวิ่งหนีออกไปทางประตูหลังของมหาวิทยาลัยเสียเดี๋ยวนี้
“…”
“…”
ต่อให้จะไม่สบตากับคิมมูฮึนที่มีสายตาดีเกินคน ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกหนักใจอยู่ดี
ดีนะที่ไม่ได้ออกมาพร้อมชเวจินอู…
ซึงจูถอนหายใจก่อนจะก้าวเดินออกไปช้าๆ
มูฮึนยืนนิ่งอยู่กับที่รอให้ซึงจูเดินเข้าไปหา ยิ่งระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลงเท่าไหร่ สีหน้าของมูฮึนก็ดูระรื่นขึ้นทุกที และสุดท้ายเมื่อซึงจูเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นก็หยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“มาแล้วเหรอ”
วันนี้ทักว่า ‘มาแล้วเหรอ’ สินะ…
ซึงจูคิดในใจพลางขมวดคิ้ว
“ทำไมใส่สูทมาล่ะครับ”
ซึงจูอดไม่ได้ที่จะถาม คนที่ปกติแล้วไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็จะปล่อยผมสบายๆ วันนี้กลับเซ็ตผมขึ้นอย่างเรียบร้อยจนเผยให้เห็นหน้าผากราวกับมีธุระบางอย่าง เครื่องหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ภายใต้เรียวคิ้วคมนั้นดูดีขึ้นเป็นพิเศษกว่าทุกวัน ทุกอย่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนเป็นสีดำหมด เว้นแต่ใบหน้าที่ขาวจนรู้สึกแสบตา
“อ๋อ นี่น่ะเหรอ”
มูฮึนก้มมองดูการแต่งกายของตัวเองผ่านๆ เหมือนไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และเนื่องจากเขาสวมรองเท้าคัตชูแบบมีส้น ระดับสายตาจึงอยู่สูงกว่าปกติเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ล้วงมือข้างหนึ่งลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักไหล่ตอบ
“พอดีวันนี้เป็นวันไว้อาลัยน่ะ”
“อ๋อ…”
ตอนนั้นเองซึงจูถึงนึกขึ้นได้ว่าช่อดอกไม้ที่มูฮึนกำลังถืออยู่คือช่อดอกเบญจมาศ แม้จะมีดอกไม้ชนิดอื่นๆ แซมอยู่ประปราย แต่โดยรวมแล้วช่อดอกไม้ช่อนี้ก็เป็นสีโทนพาสเทลที่แลดูนุ่มนวลสบายตา เขาแต่งตัวอย่างกับว่าจะไปขอใครแต่งงาน แต่แท้จริงแล้วดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของการแต่งกายนั้นจะเป็นอย่างอื่น
“เดี๋ยวพี่ไปส่งซึงจูแล้วต้องเข้าไปที่สมาพันธ์ต่อเลย”
วันนี้คือวันรำลึกถึงมือปราบวิญญาณผู้ล่วงลับซึ่งจะมีเพียงแค่ปีละครั้ง มันเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพียงไม่กี่กิจกรรมที่ทางสมาพันธ์มือปราบวิญญาณเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน มือปราบวิญญาณที่สังกัดกับทางสมาพันธ์ทุกคนต่างก็รู้จักวันนี้ดี แน่นอนว่าซึงจูเองก็รู้จักวันนี้ดีมาตั้งแต่ยังเด็ก
มือปราบวิญญาณผู้คอยปกป้องชีวิตของผู้คนล้วนต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่มาพร้อมกับความสามารถที่มี นอกจากจะต้องพบเจอกับความตายต่อหน้าต่อตาแล้ว พวกเขายังต้องคิดถึงความตายของตัวเองอยู่เสมอ ต่อให้ไม่มีจิตวิญญาณอันแรงกล้าถึงขั้นที่จะยอมสละชีวิตเพื่อการทำงาน แต่สถานการณ์อันตรายย่อมเกิดขึ้นทุกขณะที่ทำงานอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทีแรกพี่ก็คิดว่าจะซื้อดอกไม้ทีหลังแหละ แต่มันไม่มีเวลาน่ะ”
ด้วยเหตุนี้ทางสมาพันธ์จึงจัดให้มีวันไว้อาลัยขึ้นเพื่อชื่นชมและระลึกถึงคุณงามความดีของเหล่ามือปราบวิญญาณที่จากไป
เนื่องจากพวกเขารู้ซึ้งถึงจุดหมายปลายทางของเหล่าดวงวิญญาณดี จุดประสงค์ของพวกเขาจึงไม่ใช่การปลอบขวัญเหล่าดวงวิญญาณของผู้ตาย แต่เป็นการรำลึกถึงความเสียสละของเพื่อนร่วมงานที่จากไป และเพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ตื่นตัวและตระหนักว่าต้องระมัดระวัง
ในบรรดาผู้ที่จากไปก็มีพ่อของมูฮึนรวมอยู่ด้วย
“เพราะดอกไม้นี่เลยดูเด่นไปหน่อยสินะ?”
“ก็นะ…”
ว่ากันตามตรง ตอนแรกซึงจูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามูฮึนถือดอกไม้ บางทีเจ้าตัวก็ควรต้องรู้ตัวสักหน่อยว่าตัวเองนั่นแหละที่เด่นที่สุด แต่แน่นอนว่าซึงจูเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนั้นออกจากปาก
“ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปเถอะครับ”
เนื่องจากมูฮึนดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากกว่าปกติเป็นเท่าตัว ซึงจูจึงรีบก้าวเดินพลางคิดว่าบางทีพรุ่งนี้ในเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยคงเต็มไปด้วยกระทู้จากผู้เห็นเหตุการณ์อย่างเช่นว่า ‘วันนี้ผู้ชายคนนั้นใส่สูทมาด้วยล่ะ’ อีกแน่ ไม่สิ…ไม่ใช่พรุ่งนี้ บางทีอาจจะเป็นเย็นนี้เลยก็ได้
“เดินรอพี่ด้วยสิ”
แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่มูฮึนก็เดินไล่ตามซึงจูมาได้อย่างสบายๆ เนื่องจากฝีเท้าของเขายาวพอๆ กับความสูง หลังเดินเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ในที่สุดเขาก็ไล่ตามความเร็วของซึงจูทัน มูฮึนที่เดินอยู่ฝั่งริมถนนอย่างที่ทำเป็นประจำเปลี่ยนไปถือช่อดอกไม้ด้วยมืออีกข้างก่อนจะย่นจมูกน้อยๆ
“ดอกเบญจมาศนี่กลิ่นฉุนชะมัดเลยแฮะ”
ในความเป็นจริงแล้วซึงจูแทบจะไม่ได้กลิ่นอะไรบนถนนสายนี้เลย ดูเหมือนว่าสำหรับมูฮึนที่มีความสามารถในการได้กลิ่นใกล้เคียงกับสัตว์ป่าแล้ว กลิ่นแค่นี้ก็คงพอจะทำให้รู้สึกฉุนได้ ถ้าแม้แต่คนธรรมดาอย่างซึงจูยังพอจะได้กลิ่นอยู่อ่อนๆ มูฮึนก็คงจะได้กลิ่นชัดเหมือนมีต้นตอของกลิ่นนั้นจ่ออยู่ตรงจมูก
“แทนที่จะซื้อดอกไม้อื่นที่ไม่ใช่ดอกเบญจมาศมา”
“พี่แค่ซื้อตามที่เขาจัดให้น่ะ อีกอย่างดอกเบญจมาศมันก็ใช้ได้นี่”
ถ้าพูดถึงการไว้อาลัยโดยทั่วไป ปกติแล้วผู้คนก็คงจะนึกถึงดอกเบญจมาศ แต่แนวทางปฏิบัติของมือปราบวิญญาณดูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่มูฮึนกำลังถือดอกไม้อื่นที่ไม่ได้มีแค่ดอกเบญจมาศเพียงอย่างเดียวอยู่ในตอนนี้
เหตุผลที่คนทั่วไปนิยมใช้ดอกเบญจมาศเป็นเพราะสีขาวของมันที่สื่อถึงความเคารพนับถือ และคงจะรวมถึงความหมายของมันด้วย แต่สำหรับพวกเขาที่รู้ดีว่าความตายไม่ใช่จุดจบที่บริบูรณ์แล้ว คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องจัดพิธีไว้อาลัยในบรรยากาศอึมครึม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นบรรยากาศที่จะยิ้มอย่างสบายใจได้ แต่มันก็ไม่ใช่บรรยากาศที่จะต้องโศกเศร้าหรือเสียน้ำตา
“เรื่องช่อดอกไม้เนี่ย พี่คงเทียบรสนิยมกับแม่นายไม่ติดหรอก”
ด้วยเหตุนี้ในวันครบรอบวันเสียชีวิตของคุณลุงทุกปี แม่ของซึงจูก็จะจัดช่อดอกไม้หลากชนิดที่ไม่ใช่ดอกเบญจมาศให้เป็นประจำ โดยตั้งใจเลือกเฉพาะดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เท่านั้น มันคือความใส่ใจที่เรียนรู้ได้เองโดยธรรมชาติหลังจากที่ผูกพันกันมาเป็นเวลานาน
“อย่างพี่คงให้ดอกไม้ใครเป็นของขวัญไม่ได้หรอก”
“ให้เป็นของขวัญ?”
“ผมก็แค่พูดไปงั้นๆ แหละครับ”
พอมาลองคิดดูแล้วมูฮึนก็ไม่ใช่คนที่ดูเข้ากับดอกไม้สักเท่าไหร่ ภาพคิมมูฮึนที่ถือช่อดอกไม้นั้นชวนให้รู้สึกไม่เข้ากันแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ต่อให้ตอนนี้ซึงจูจะกำลังมองภาพเขาถือช่อดอกไม้อยู่ก็ตาม
“เคยให้ดอกไม้ใครบ่อยหรือไง”
“เปล่าครับ แค่เมื่อก่อนเคยซื้อให้แฟนน่ะ…”
น่าจะเป็นช่วงมัธยมต้นเห็นจะได้ เขาเคยมอบดอกไม้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยวันให้กับแฟนสาวที่เขาคบด้วยนานที่สุด ถึงจะเป็นแค่ดอกกุหลาบดอกหนึ่ง แต่เมื่อเขาให้มันพร้อมกับเค้ก เธอก็ชอบใจจนถือไปไหนมาไหนด้วยตลอดทั้งวัน แถมตอนนั้นดูเหมือนเธอจะพูดด้วยว่า ‘ฉันนึกว่าคนอย่างนายจะไม่ทำอะไรแบบนี้ให้นะเนี่ย’
“ผมเคยซื้อให้แค่ครั้งเดียวครับ”
“งั้นเหรอ…”
มูฮึนเหลือบมองซึงจูก่อนจะตอบกลับมา แม้น้ำเสียงนั้นจะฟังดูนุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันนั้นมันก็ฟังดูฝืนๆ อย่างบอกไม่ถูก
หลังจากปิดปากเงียบไปพักหนึ่ง มูฮึนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลงกว่าเดิม
“แล้วเคยได้รับจากใครไหม”
“น่าจะวันพิธีจบการศึกษาล่ะมั้ง…”
“แบบนั้นไม่น่าจะนับเป็นของขวัญนะ”
“ถ้างั้นก็ไม่เคยครับ”
เขาจะได้รับดอกไม้เนื่องในโอกาสอะไรกัน ซึงจูไม่เคยคิดอยากได้มันเลยสักนิด เขาไม่ใช่คนอารมณ์อ่อนไหวที่จะมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น และอีกอย่างรอบตัวเขาก็ไม่ได้มีคนที่โรแมนติกมากพอที่จะมอบของแบบนั้นให้อยู่แล้ว เพราะแบบนั้นซึงจูจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะถามกลับไปตามมารยาท
“แล้วพี่ล่ะครับ”
“อืม จะให้หรือรับ พี่ก็ไม่เคยทั้งนั้นแหละ”
“พี่คงจะเป็นแฟนที่ห่วยน่าดูเลยนะครับ?”
การที่เขาไม่เคยได้รับนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่มันจะไม่มากไปหน่อยหรือที่ยังไม่เคยให้เลยสักครั้ง นั่นมันหมายความว่าเขาไม่เคยให้ดอกไม้กับคนที่เคยคบด้วยสักดอกมาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรือไง ขนาดแฟนสาวที่ซึงจูเคยคบด้วยแค่ได้รับดอกกุหลาบดอกเดียวยังชอบใจมากขนาดนั้นแท้ๆ เพราะแบบนั้นสำหรับซึงจูแล้ว เขามองว่าสิ่งที่มูฮึนทำมันออกจะใจร้ายเกินไปหน่อย
“แฟนที่ห่วย?”
ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าตลกขนาดนั้น มูฮึนถึงได้ยิ้มตาแทบปิดพร้อมกับหัวเราะออกมา เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากลงก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อีกรอบ
“ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะต้องมาโดนซึงจูของพี่อบรมเรื่องแฟน”
“…”
พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นซึงจูก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเผลอพูดจาอวดดีเกินไปหน่อย เด็กอย่างเขาจะไปสอนอะไรพี่ชายที่โตกว่าเป็นสิบปีได้ล่ะ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อแบบนั้น แต่ถ้าฟังผ่านๆ มันก็อาจจะทำให้คนฟังเข้าใจไปแบบนั้นได้
สุดท้ายซึงจูก็หลบตาพร้อมกับพูดพึมพำเหมือนแก้ตัวเบาๆ “ก็ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว การเป็นแฟนกันแต่กลับไม่ซื้อดอกไม้ให้เลยแบบนั้นมันก็ยังไงๆ อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เรื่องแบบนั้นสำหรับคนที่เป็นแฟนกันแล้วมันก็ดูจะเป็นเรื่องที่แย่เกินไปหน่อยไม่ใช่หรือ แถมคนอย่างมูฮึนก็คงไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีแฟนมาจนถึงป่านนี้หรอก
“…”
เดี๋ยวสิ…จะว่าไปแล้วเราเคยเห็นพี่ชายคนนี้มีแฟนบ้างไหมนะ
“อืม…จริงแฮะ”
น่าแปลกที่มูฮึนยอมรับสิ่งที่ซึงจูพูดง่ายๆ และเนื่องจากน้ำเสียงนั้นฟังดูสำนึกผิดอยู่หน่อยๆ เขาจึงพลาดโอกาสที่จะถามว่ามูฮึนเคยคบหาใครหรือไม่ไปอย่างน่าเสียดาย
ซึงจูที่ตั้งท่าจะพูดอยู่ครู่หนึ่งพลันส่ายศีรษะและได้ข้อสรุปกับตัวเองในตอนนั้น นั่นคือไม่ว่ามูฮึนจะโตแค่ไหน แต่สุดท้ายสำหรับเรื่องแฟนแล้ว เขาก็น่าจะเป็นได้แค่แฟนที่ห่วยแตกคนหนึ่ง
เมื่อเดินผ่านสี่แยกใหญ่และเดินขึ้นเนินเขาผ่านเขตบ้านเรือนไปก็จะเห็นประตูหน้าบ้านสองบานที่หน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ฝั่งซ้ายคือบ้านของซึงจู ส่วนฝั่งขวาคือบ้านของมูฮึน หลังจากแยกออกไปอยู่เอง มูฮึนที่ไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้แล้วก็หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ แต่ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะแวะเวียนมาหน้าประตูบานนี้อยู่บ่อยๆ
“ขอให้เดินทางไปร่วมพิธีไว้อาลัยอย่างปลอดภัยนะครับ”
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าบ้าน ซึงจูก็คว้ามือจับประตูพร้อมกับพูดประโยคนั้น โดยปกติแล้วพวกเขาจะบอกลากันอย่างเรียบง่าย พอมูฮึนบอกว่า ‘เข้าบ้านดีๆ นะ พรุ่งนี้เจอกัน’ ซึงจูก็มักจะตอบกลับไปง่ายๆ ว่า ‘ครับ พี่เองก็เช่นกันนะครับ’ ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นคำบอกลาที่ฟังดูดีที่สุดแล้ว
“เดี๋ยวก่อน”
ทว่าวันนี้มูฮึนกลับรั้งซึงจูที่พูดแบบนั้นเอาไว้ ซึงจูที่กำลังจะเปิดประตูจึงหันกลับไปด้วยความสงสัย ก่อนที่จะถูกการแต่งกายที่สมบูรณ์แบบจนเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อนเบี่ยงเบนความสนใจไปครู่หนึ่ง ในตอนนั้นเองมูฮึนก็เลือกดอกไม้สีชมพูดอกหนึ่งจากในช่อยื่นให้ซึงจู
“เอ้า นี่”
“…?”
ซึงจูรับดอกไม้ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ทั้งที่ยังมีสีหน้างุนงง ทีแรกเขาก็สงสัยว่ามันคือดอกอะไร แต่พอดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วก็น่าจะเป็นดอกกุหลาบ
“ให้ผมทำไมครับ”
อะไรเนี่ย จะให้ใช้แทนยันต์หรือไงกัน
ซึงจูไม่ค่อยแน่ใจเพราะเนตรสัมผัสวิญญาณของเขาดับลงไปแล้ว แต่ในดอกไม้นี่อาจจะมีพลังวิญญาณของอีกฝ่ายไหลเวียนอยู่ก็ได้ และในจังหวะที่เขากำลังคิดว่ามันคงจะลำบากถ้าต้องพกมันไปไหนมาไหน น้ำเสียงสบายๆ ก็ดังขึ้น
“ของขวัญ”
จู่ๆ ถ้อยคำไม่คุ้นเคยที่เขาไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการถึงก็โผล่ขึ้นมาในบทสนทนา พอซึงจูสบตาอีกฝ่ายอย่างงงๆ มูฮึนก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้
“ก็เห็นนายบอกว่าไม่เคยได้นี่”
“…”
ทั้งที่ตัวเองก็บอกว่าไม่เคยให้ใครเหมือนกันเนี่ยนะ
ซึงจูอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เนื่องจากไม่รู้ว่าควรต้องมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร สุดท้ายจึงปิดปากลงเหมือนเดิม ซึ่งมูฮึนก็ขยิบตาซ้ายให้ก่อนที่ซึงจูจะทันได้ซ่อนสีหน้าสับสนด้วยซ้ำ
“พี่ก็เพิ่งเคยให้ใครเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
“เดี๋ยวสิ…”
แล้วทำไมครั้งแรกที่ว่าต้องเอามาให้เขาด้วย นี่มันชวนให้รู้สึกเหลือเชื่อมากจนเขาต้องแค่นหัวเราะออกมา เมื่อเห็นซึงจูหัวเราะเสียงแผ่วราวกับหมดคำจะพูดแล้ว มูฮึนก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าขี้เล่น
“นี่พี่ให้ผมเพราะผมบอกว่าพี่เหมือนพวกแฟนห่วยๆ งั้นเหรอครับ”
ใช่ว่าซึงจูจะไม่รู้ว่ามันคือของขวัญที่ไม่มีความหมายอะไร เพราะตั้งแต่สมัยเด็กๆ มูฮึนมักจะเอาอะไรมาให้เสมอถ้าคิดว่าซึงจูถือไว้ในมือแล้วจะดูดี ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาที่เขาไปคีบมาจากที่ไหนสักแห่ง ช็อกโกแลตที่ได้มาจากที่โรงเรียน หรือแม้แต่ของไร้สาระอย่างใบโคลเวอร์สี่แฉกที่เขาเจออยู่ในพงหญ้า
“จะว่ายังไงดีล่ะ…เรื่องนั้นมันก็ส่วนนึงแหละ”
คำตอบที่ได้รับกลับมานี้ แม้แต่ซึงจูที่ได้ยินยังรู้สึกว่ามันฟังดูคลุมเครือแปลกๆ ต่อให้เขาจะไม่ใช่คนที่ให้ค่าอะไรกับพวกดอกไม้ แต่วินาทีที่ได้ยินก็ยังอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ และในจังหวะที่ซึงจูเตรียมจะหลบสายตามองไปทางอื่น มูฮึนก็เอ่ยปากพูดขึ้นเบาๆ
“เอ่อ…แล้วก็…”
มูฮึนเลิกแขนเสื้อขึ้นดูนาฬิกาที่สวมอยู่บนข้อมือ ปกติแล้วอย่างมากเขาจะสวมแหวนแค่ไม่กี่วงและชอบเอ่ยปากบ่นว่าเกะกะ (แม้ว่านั่นจะเป็นของที่ใช้ในการทำงานเป็นมือปราบวิญญาณก็ตามที) ซึงจูเลยสงสัยขึ้นมาว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้ใส่นาฬิกา
นั่นมันของแบรนด์เนมทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ
ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็ดังออกมาจากปากของมูฮึน
“เดี๋ยวช่วงนี้พี่จะให้คนอื่นมารับนายแทนพี่สักพักนะ”
บนโลกนี้จะมีอะไรที่น่าหนักใจได้เท่ากับความใจดีที่ไม่ได้ต้องการอีกไหม ยิ่งเมื่อคนที่ทำตัวใจดีคนนั้นเป็นรักข้างเดียวที่เราพยายามหักห้ามใจ และเป็นคนเลือดเย็นที่มาทำให้เราติดนิสัยหลงคิดเข้าข้างตัวเอง แต่แล้วจู่ๆ ก็หันหลังให้อย่างไม่ไยดี นี่มันยิ่งแล้วใหญ่
‘ทำไมล่ะครับ’
เมื่อได้ยินว่าจะมีคนอื่นมารับเขาแทนมูฮึน ซึงจูก็ถามซักไซ้กลับไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว ทั้งที่เขาไม่เคยเอ่ยปากขอร้อง ตัวเองเป็นฝ่ายเสนอตัวมาทำเรื่องลำบากแบบนี้เองแท้ๆ แล้วตอนนี้ทำไมถึงได้กลับคำล่ะ
‘ทำไมถึงให้คนอื่นมาแทนล่ะครับ’
ถึงจะไม่ได้อยากทำตัวเป็นเด็ก แต่เขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ความรู้สึกแปลกๆ หลังจากได้รับดอกไม้พลันพังทลายลงในชั่วพริบตา ภายในหัวก็พลันเย็นวาบขึ้นมาราวกับโดนน้ำเย็นเฉียบสาดใส่
‘อืม…’
มูฮึนเผยสีหน้าลำบากใจโดยไม่ได้ตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง และในขณะเดียวกันเขาก็ขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดหาคำที่จะพูดอยู่ ซึ่งเหตุผลที่เอ่ยออกมาในท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องที่ซึงจูไม่อาจเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย
‘พอดีว่าสัปดาห์หน้าเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงน่ะ’
‘…’
แล้วเรื่องนั้นมันมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ
คืนวันพระจันทร์เต็มดวงของทุกเดือนเป็นคืนที่พลังวิญญาณจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับวันอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นวันที่วิญญาณส่วนใหญ่จะไปไหนมาไหนได้ไม่สะดวกนัก เพราะพลังหยินจะอ่อนแรงลง ซึ่งตรงกันข้ามกับพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น ซึงจูเคยได้ยินมาว่าต่อให้จะเป็นปีศาจ พลังก็จะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่พวกอสูรก็ยังพากันหลับใหล ซึ่งต่างไปจากยามปกติอย่างสิ้นเชิง
‘พี่ไม่ว่างเลยให้คนอื่นมาแทนเหรอครับ’
ถ้าเป็นแบบนั้นซึงจูก็คิดว่าตัวเองควรจะเข้าใจอีกฝ่าย เพราะวันที่พระจันทร์เต็มดวงคือวันที่ดีที่สุดในการทำงาน ไม่ใช่แค่สำหรับมือปราบวิญญาณทั่วไป แต่สำหรับนักล่าอสูรเองก็เช่นกัน ซึงจูรู้เรื่องนั้นในทางทฤษฎี และคิดว่าจะพยายามทำความเข้าใจรวมถึงยอมรับมันอย่างมีเหตุมีผลมากที่สุด แต่เขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองจะเข้าใจมันได้จริงๆ หรือเปล่า
‘พี่เคยบอกแล้วไงว่าถึงจะยุ่งแต่ก็ยังมีเวลามารับนาย’
ทว่ามูฮึนกลับปฏิเสธแม้กระทั่งข้อแก้ตัวที่ซึงจูช่วยคิด เขาทำหน้าลำบากใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดตรงกันข้ามกับสีหน้า
‘โทษทีนะ พี่คงเล่าลงรายละเอียดให้ฟังไม่ได้’
ผมเคยซักไซ้อะไรแบบนั้นที่ไหนกัน
ไม่มีทางที่ซึงจูจะถามอะไรแบบนั้นออกไป ซึงจูได้แต่มองมูฮึนด้วยสีหน้าเหมือนพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้เจ้าตัวตีความสายตาที่ว่างเปล่าของซึงจูไปแบบไหนถึงได้พูดพลางหลบตาอย่างไม่สมกับเป็นเขา
‘เดี๋ยวพี่ไปคุยกับมูรยองให้นะ’
หลังพูดจบมูฮึนก็เปิดประตูหน้าบ้านให้ซึงจูพร้อมบอกว่าเขาต้องรีบไปเพราะสายแล้ว จากนั้นก็ดันตัวซึงจูที่ยังคงยืนงงอยู่ให้เข้าบ้าน ก่อนจะปิดบานประตูไม้ที่ทั้งหนาและหนักลงแล้วเดินจากไป
ซึงจูยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาถึงได้แค่นหัวเราะออกมา
เหลือเชื่อจริงๆ เขาเพิ่งได้รับดอกไม้จากอีกฝ่ายมาเมื่อครู่ ไม่นึกเลยว่าความรู้สึกนั้นจะจืดเจื่อนลงได้ในชั่วพริบตา ซึงจูได้แต่ประท้วงในใจอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่อยากเคยชินกับอีกฝ่ายที่เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้และยอมรับความจริง รวมทั้งยอมถอยห่างออกมาอีกก้าวหนึ่ง
‘เฮงซวยชะมัด’
ทั้งที่ไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ดันรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเสียได้ ทั้งที่ไม่ได้เชื่อใจ แต่ก็ดันรู้สึกเหมือนถูกทรยศ และต่อให้จะไม่อยากเกลียดเขา แต่ก็อดที่จะรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ คนเราถ้าพูดอะไรแล้วก็ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุดไม่ใช่หรือไง หรือถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ก็ไม่ควรพูดมันออกมาตั้งแต่ทีแรก ถ้ามีสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นก็ควรบอกกันตรงๆ และขอให้ช่วยเข้าใจไม่ใช่หรือ
การพร่ำบอกกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วมูฮึนก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องทำแบบนั้นมันช่างไร้ประโยชน์ ความรู้สึกที่เสียไปแล้วไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อมแซมได้ด้วยการล้างสมองตัวเองแบบนั้น มูฮึนใช้คำว่า ‘สักพัก’ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะกลับมาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดจนแทบบ้าเพราะไม่รู้ว่ามันคือเมื่อไหร่
แต่ความคิดแบบนั้นก็คงอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
หลังกลับเข้ามาในบ้าน อาบน้ำ และล้มตัวลงนอน ซึงจูก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดกับความจริงที่เขาทำใจโกรธอีกฝ่ายไม่ลง แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่ไม่ได้ระบายความโมโหใส่อีกฝ่ายไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่อยากทำตัวเหมือนเด็ก และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะไม่เผลอใส่อารมณ์กับสิ่งที่พูดออกไป ขืนระบายความเจ็บช้ำออกไปตามอำเภอใจ เขาคงได้เจ็บใจกับอดีตที่อุตส่าห์อดทนมานานจนถึงตอนนี้กันพอดี
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีไปอีกหลายวันก็เถอะ…
“ช่วงนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ซึงจู”
คาบเรียนแรกของวันจันทร์ ซอฮยอนที่เพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยเอ่ยถามซึงจูที่นั่งอยู่กับที่ก่อนแล้ว
มันคือคลาสเรียนตอนเก้าโมงเช้าที่ทำให้วันที่น่าเบื่อหน่ายอยู่แล้วยิ่งน่าเบื่อหน่ายเข้าไปใหญ่ แม้ว่าเหตุผลนั้นจะมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ซึงจูหน้าบูดหน้าบึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่าอาการของซึงจูดูท่าจะหนักเกินไปหน่อย แถมสีหน้าซึงจูก็ยังเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก”
คำตอบที่ได้รับกลับมาในทันทีนั้นดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด จินอูที่นั่งอยู่ข้างๆ เองก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกันถึงได้ลอบมองสังเกตซึงจูอยู่เงียบๆ ถึงแม้ว่าซึงจูจะรู้สึกได้ถึงสายตาของคนทั้งคู่ แต่เขาก็เลือกที่จะก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับหนังสือเรียนวิชาเอกแทนที่จะอธิบายออกมา
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว…”
ซึงจูไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำที่ซอฮยอนพึมพำพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่ามันเป็นกิริยาที่ไม่ดีนัก แต่ซึงจูก็เลือกที่จะนั่งเท้าคางแบบนั้นต่อไป พอเขาหลุบตาลงเงียบๆ และแสร้งทำเป็นมีสมาธิอยู่กับหนังสือเรียน เขาก็รู้สึกได้ว่าซอฮยอนกับจินอูกำลังลอบสบตากัน
“…”
ใช่แล้วล่ะ…มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนถึงขั้นที่เขาต้องคาดหวังอยู่ในใจว่าอยากให้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย เขาได้แต่สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แม้จะอยากเอาความสงสัยนั้นออกไปจากหัว แต่เขาก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่อดทนรออยู่เงียบๆ
‘เดี๋ยวพี่ไปคุยกับมูรยองให้นะ’
หลังจากวันนั้นมูฮึนก็ไม่มารับซึงจูจริงๆ มีแต่คีฮวานยองและคิมมูรยองเท่านั้นที่สลับกันมารับมาส่งแทน ส่วนใหญ่แล้วฮวานยองจะมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเขาในตอนเช้า ส่วนมูรยองก็จะมายืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยในตอนเย็น
‘ซึงจู!’
ในวันที่มูรยองมารับซึงจูเป็นครั้งแรก ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนร่วมรุ่นของเขาอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ ก็มีหนุ่มน้อยหน้าใสแถมยังหน้าตาน่ารักมาปรากฏตัวพร้อมทั้งทำท่าเหมือนรู้จักเขา นั่นจึงทำให้คำถามที่เคยได้ยินเป็นประจำอย่าง ‘ทำไมรอบตัวซอซึงจูถึงได้มีแต่คนหน้าตาดีกันนะ’ โผล่ขึ้นมาอีก
โดยเฉพาะปฏิกิริยาของจินอูที่ดูจะมีอารมณ์ร่วมที่สุด หลังจากเอ่ยปากแซวและถามซึงจูว่ามีหนุ่มคนใหม่อีกแล้วเหรอ เขาก็จับสังเกตสีหน้าของซึงจูได้ ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
‘ความสัมพันธ์ของนายกับพี่คนนั้นช่วงนี้ไม่ค่อยดีหรือไง’
พอได้ยินแบบนั้นแล้วซึงจูก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองคุมสีหน้าไม่ได้จนถึงขั้นต้องมาได้ยินเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้เลยหรือ
‘เปล่านี่ ความสัมพันธ์ก็ปกติดี’
ซึงจูตอบแบบนั้นแล้วเดินตรงไปหามูรยองโดยไม่สนใจสายตาของบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น จากนั้นมูรยองที่ยืนรอซึงจูอยู่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์
‘กลับบ้านกัน’
แต่ถึงอย่างนั้นวันแรกที่มูฮึนไม่ได้มารับก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก เสียงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากของมูรยองเองก็ถือว่าไม่ได้แย่ (ถึงจะฟังเรื่องผีที่มูรยองเล่าแบบไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ) และการได้พาเจ้าซอลกีออกไปเดินเล่นด้วยกันหลังกลับมาถึงบ้านก็ไม่ได้แย่เช่นกัน อีกทั้งการทำหน้าเนือยๆ ตอนที่มูรยองลุกขึ้นแล้วบอกว่า ‘ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ’ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้น
‘ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป นายไม่ต้องมาแล้วนะ’
‘นี่นายกำลังห้ามไม่ให้ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านเหรอ’
‘เดี๋ยว จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…’
‘ล้อเล่นน่า’
หลังแสร้งเบิกตาเหมือนตกใจ มูรยองก็ยิ้มตาโตพลางหัวเราะร่วนออกมา มูรยองจะมีถุงใต้ตาที่ดูน่ารักเหมือนพระจันทร์ครึ่งดวงอยู่ใต้ดวงตา ต่างไปจากมูฮึนที่มีดวงตาเรียวคมคล้ายพระจันทร์เสี้ยวเวลาที่ยิ้มขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาสีอบอุ่นจ้องมองซึงจูนิ่งก่อนที่น้ำเสียงอ่อนโยนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
‘จริงอยู่ที่ฉันมารับนายเพราะพี่ชายฉันฝากมา แต่…’
วิธีการพูดจาของคิมมูรยองมักมีพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้ใจของคนฟังสงบลงได้อย่างน่าประหลาด ถึงมูฮึนจะมีน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลชวนให้รู้สึกสงบเหมือนกัน แต่ถ้าดูแค่ลักษณะท่าทางการพูดแล้ว คิมมูรยองจะดูนุ่มนวลกว่ามาก บางทีอาจเป็นเพราะซึงจูไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับมูรยอง เวลาพูดคุยกันก็เลยรู้สึกสบายใจมากกว่า
‘สุดท้ายแล้วที่ฉันมาก็เพราะเป็นห่วงนาย’
‘…’
‘แล้วอีกอย่างก็เพราะจะได้กลับมาเจอเจ้าซอลกีของฉันด้วยไง เนอะซอลกี เนอะ’
ซึงจูจะไปเถียงอะไรกับคนที่พูดแบบนั้นออกมาได้ ลำพังเสียงที่เจ้าซอลกีเห่า ‘โฮ่ง!’ ออกมานั้นก็นับว่าเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว
ถ้าคิมมูรยองบอกแบบนั้น เขาก็จะเชื่อแบบนั้น ซึงจูเองก็คิดอย่างนั้นมาทั้งวันเหมือนกัน
ทว่าฮวานยองที่มาในวันรุ่งขึ้นกลับมีปฏิกิริยาที่แตกต่างไปจากมูรยองมาก พอซึงจูบอกว่าตัวเองไปมหาวิทยาลัยเองคนเดียวได้ ฮวานยองก็ส่งสายตาที่ชวนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างมาให้ราวกับจะถามว่าเขาพูดเรื่องเหลวไหลอะไรอยู่ ไหนจะคำตอบแล้งน้ำใจที่ตามมาหลังจากนั้นอีก…
‘นายก็ต้องไปคนเดียวได้อยู่แล้วสิ ไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วสักหน่อย’
‘ฉันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ไอ้บ้านี่’
ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครดูเหมือนคนโง่กันแน่ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้มารับเขาเพราะเขาไม่รู้ทาง แต่ไม่ว่าซึงจูจะรู้สึกหัวเสียมากแค่ไหน ฮวานยองก็พูดขึ้นช้าๆ โดยไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางซึงจูด้วยซ้ำ
‘เมื่อก่อนนายเคยบอกว่าฉันชอบคิดแต่เรื่องไร้สาระ ให้หัดดูคนอย่างคิมมูรยองแล้วเรียนรู้ไว้บ้าง’
มันคือสิ่งที่ซึงจูเคยพูดขึ้นอย่างรำคาญใจ ถึงจะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเคยพูดไว้ตอนไหนก็ตามที แต่น่าจะเป็นตอนที่คีฮวานยองคิดมากเกินไปอย่างไร้ประโยชน์และกังวลอะไรไร้สาระขึ้นมาอีก
‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องพูดแบบนั้นกับนายบ้างแล้วสิ’
‘…’
ซึงจูรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเถียงอะไรก็แพ้หมอนี่ไปเสียหมด ถึงแม้ว่าในหัวเขาจะสับสนวุ่นวาย แต่เขาก็เชื่อว่าตัวเองไม่ได้แสดงมันออกไป ไม่สิ…จริงๆ แล้วอาการเขาคงไม่ได้แสดงออกชัดขนาดนั้น
‘มูรยองเป็นห่วงนายมากนะ หลังจากวันนั้นหมอนั่นก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านมาเลย’
ถ้าฮวานยองใช้คำว่า ‘วันนั้น’ ก็น่าจะหมายถึงวันที่ซึงจูแวะไปที่ห้อง มันคือวันที่เขาโผล่หน้าไปหามูรยองแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้าด้วยความคับข้องใจเพื่อเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่ามีกลุ่มอิทธิพลใหม่เกิดขึ้นในสมาพันธ์ และคนพวกนั้นก็เพ่งเล็งเขาอยู่ พร้อมทั้งถามมูรยองด้วยว่ารู้เรื่องอะไรบ้างไหม
‘ถ้าฉันไม่มา มูรยองก็จะมาเอง ลองคิดดูสิว่าหมอนั่นจะตื่นในเวลาแบบนี้ได้ยังไง’
มูรยองเป็นคนที่ตื่นยากมากในตอนเช้า อย่างสมัยเรียนหมอนั่นก็ไปโรงเรียนสายเป็นประจำ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เจ้าตัวคงไม่สามารถหลับลงได้โดยที่ไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเลย และคงจะมาหาเขาหลังจากที่อดหลับอดนอนหรือครึ่งหลับครึ่งตื่นมาทั้งคืน ซึ่งแน่นอนว่าซึงจูไม่ได้อยากเห็นมูรยองในสภาพแบบนั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากได้ลองพูดแบบนั้นไปแล้วซึงจูก็ล้มเลิกความคิดที่จะห้ามคนทั้งคู่ไปโดยสิ้นเชิง ถึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากและยุ่งยากสำหรับทั้งสองคน แต่ในเมื่อเจ้าตัวทนได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดอะไรได้เหมือนกัน และอีกอย่างเขาเองก็รู้สึกสบายใจกับเพื่อนมากกว่าที่จะจ้างคนมาคุ้มกันด้วย
หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นและวันถัดไป มูรยองกับฮวานยองก็ยังอาสามารับซึงจูอยู่ทุกวัน โชคดีที่ตารางเรียนของฮวานยองไม่ต่างจากตารางเรียนของซึงจูมากนัก อาจมีบางวันที่ฮวานยองต้องไปมหาวิทยาลัยเร็วขึ้นเล็กน้อย ซึ่งซึงจูก็ยินดีที่จะออกจากบ้านเร็วขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายไปเรียนได้ทันเวลา
ด้วยเหตุนั้นทุกอย่างจึงดูเหมือนได้รับการแก้ไขแล้ว แต่สุดท้ายต้นตอของปัญหาก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ทั้งที่เขาก็เข้าใจดีทุกอย่าง
แต่…สรุปแล้วคิมมูฮึนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
‘ถามว่าพี่ฉันทำอะไรในคืนวันเพ็ญน่ะเหรอ’
มูรยองเอียงคอทวนคำถามพลางกลอกตาไปมาเมื่อซึงจูทนไม่ไหวและถามออกไป ก่อนจะตอบออกมาช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจ
‘ก็น่าจะไปตามจับอสูรล่ะมั้ง’
มันเป็นคำตอบที่ต่อให้จะไม่ใช่คิมมูรยองแต่เป็นซอซึงจูก็ยังสามารถตอบได้ เจ้าเพื่อนคนนี้ไม่รู้เบอร์ติดต่อสำหรับเรื่องงาน แถมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายของตัวเองเลยสักนิด ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ก็น่าแปลกที่พี่น้องสองคนนี้กลับไม่สนใจเรื่องของกันและกันเลย
‘มือปราบวิญญาณไม่ค่อยเล่าเรื่องงานให้กันฟังหรอกนะ ยิ่งกับนักล่าอสูรที่อยู่คนละสำนักงานกันแล้วนี่แทบจะไม่ได้คุยกันเลย’
สมาพันธ์มือปราบวิญญาณเองก็มีสำนักงานด้วยสินะ
พอลองมาคิดดูแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ต้องมีจริงๆ นั่นแหละ แต่ซึงจูก็ยังอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้อยู่ดี และมันก็ยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปใหญ่เมื่อคำว่า ‘สำนักงาน’ นั้นดังออกมาจากปากของคิมมูรยองที่ดูเหมือนเด็กน้อยสำหรับเขาสุดๆ
‘แล้วพี่เขาขอให้นายทำอะไรบ้างล่ะ’
‘อืม…ก็แค่บอกว่าให้ช่วยดูแลซึงจูช่วงที่ไม่อยู่สักพักน่ะ’
‘แล้วพี่เขาไม่ได้บอกเหรอว่าทำไมถึงไม่อยู่’
‘อืม’
‘แล้วนายไม่ถามเหรอ’
‘อืม…แล้วทำไมต้องถามด้วยล่ะ’
คำพูดนั้นคล้ายกับต้องการจะถามว่า ‘ฉันต้องถามเรื่องนั้นด้วยเหรอ’ แถมเจ้าตัวยังเอียงคอพลางหรี่ตาลงเหมือนไม่เข้าใจอีกต่างหาก
‘ฉันแค่คิดว่าพี่เขาคงยุ่งน่ะ’
ความจริงแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่มูฮึน ซึงจูก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน เขาคงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมารับเขาหรือไม่ ในตอนที่อีกฝ่ายออกปากว่าจะคอยคุ้มกันเขา เขาก็จะบอกไปว่าตามใจและปล่อยให้อีกฝ่ายทำไปอย่างที่ใจต้องการ หลังจากที่ปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้วเหมือนที่ทำกับมูรยองและฮวานยอง เขาก็ตั้งใจไว้ว่าจะยอมรับสภาพโดยไม่ทำตัววุ่นวายใดๆ
“…”
แต่เขากลับทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้เลย นับตั้งแต่วันที่มูฮึนไม่มาหาจนถึงตอนนี้ ในหัวซึงจูก็เต็มไปด้วยคำว่า ‘ทำไม’ ตอนนี้อารมณ์ของเขาตั้งอยู่เหนือเหตุผลจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจมันได้
ซึงจูฝืนกลั้นเสียงถอนหายใจที่รังแต่จะดังออกมาเอาไว้ ก่อนจะจรดปลายปากกาลงบนหน้าหนังสือ แต่มันดันเป็นปากกาด้ามเดียวกันกับที่มูฮึนใช้ตอนอ่านดวงชะตา จู่ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดปากกาด้ามนี้ขึ้นมาโดยที่มันไม่ได้มีความผิดอะไรเลย สุดท้ายซึงจูก็คิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ และคงไม่มีวิธีที่จะจัดการกับความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมานี้ได้
ลองติดต่อไปดีไหมนะ
ซึงจูหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แต่แล้วก็เก็บมันกลับลงไปอีกครั้งโดยที่ยังไม่ทันได้ปลดล็อกหน้าจอ มูฮึนเคยบอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่โผล่หน้ามาสักพัก ต่อให้ส่งข้อความไปก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำเขายังขีดเส้นกั้นด้วยการบอกว่าเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังไม่ได้อีกต่างหาก
มีเหตุผลอะไรทำไมถึงบอกไม่ได้กันนะ…
ซึงจูไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังอีกฝ่าย ซึ่งมูฮึนเองก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังซึงจูเหมือนกัน ถึงบางทีจะมีบางเรื่องที่เขาไม่พูดขึ้นมาก่อนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายถ้าซึงจูถาม เขาก็จะยอมเล่าให้ฟังเสมอ
การปกปิดไว้ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อคนอื่น
นั่นคือสิ่งที่มูฮึนพูดจนติดปาก ซึ่งซึงจูเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นประมาณหนึ่ง และเขาก็เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด
“เฮ้อ…”
สุดท้ายซึงจูก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าพร้อมกับถอนหายใจ จินอูเหลือบมองเขาที่ทำแบบนั้น แต่หนนี้เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร
นับตั้งแต่วันที่คิมมูฮึนไม่มาหากัน อีกเพียงแค่สองวันก็จะครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว
Comments
