ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2 บทที่ 9 – 1 ถึง 9 – 2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ค่ำคืนของนักล่า (อสูร) คิมมูฮึน เล่ม 2 บทที่ 9 – 1 ถึง 9 – 2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

9-2

 

หลังจากเรียนจบครบทุกคลาสซึงจูก็เดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนร่วมรุ่นออกมายังหน้าประตูมหาวิทยาลัย เขาเดินออกมาเพื่อที่จะกลับบ้าน ในขณะที่เพื่อนๆ บอกว่าจะไปหาซื้อข้าวของที่ต้องใช้ในงานเทศกาลประจำปี พวกเขาถามแบบอ้อมๆ ว่าซึงจูจะไม่ไปด้วยกันเหรอ แต่ซึงจูก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นโดยบอกไปแค่ว่ามีนัดแล้ว

“วันนี้ก็นัดกับเพื่อนคนนั้นอีกเหรอ”

“เพื่อนนายคนนั้นหน้าตาน่ารักมากเลยอะ”

“ได้ยินว่าเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของซึงจูนี่?”

บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงรวมถึงซอฮยอนต่างก็แสดงท่าทีสนอกสนใจมูรยองกันอย่างออกนอกหน้า มันทั้งคล้ายและต่างจากตอนที่พวกเขาเห็นมูฮึน ถ้ามูฮึนให้ความรู้สึกเหมือนเวลาได้เจอดารา มูรยองก็คงให้ความรู้สึกเป็นกันเองกว่าเล็กน้อย ซึ่งความแตกต่างมันอยู่ตรงที่บรรดาเพื่อนๆ ไม่สามารถชวนรายแรกคุยได้ แต่กลับชวนรายหลังคุยได้อย่างสบายใจ

อีกอย่างปฏิกิริยาของสองพี่น้องก็ต่างกัน เพราะมูฮึนจะแสดงท่าทีขีดเส้นกั้นอย่างเหมาะสม แต่คิมมูรยองจะยอมพูดคุยด้วยไปหมดทุกเรื่อง และมีความเป็นไปได้สูงมากที่ถ้ามีใครสักคนเอ่ยปากชวน หมอนั่นก็จะพร้อมที่จะไปนั่งดื่มด้วยกัน เห็นทีว่ากว่าจะได้กลับบ้านก็คงต้องรอหลังจากที่มูรยองแลกเบอร์โทรศัพท์กับทุกคนตรงนั้นจนแทบจะสนิทสนมกับพวกเพื่อนๆ มากกว่าซึงจูแล้ว

“หยุดเลย หมอนี่มีแฟนแล้ว”

ถึงมันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา แต่การให้ความหวังแบบลมๆ แล้งๆ โดยไม่รู้ตัวของมูรยองก็ถือเป็นเรื่องที่อันตราย และมันก็ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงสำหรับคิมมูรยองผู้ไม่เคยรู้ทันถึงความรู้สึกชอบพอที่คนอื่นมีต่อตัวเอง ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าความทรมานจากการให้ความหวังอีกแล้ว ยิ่งกับการที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจด้วยยิ่งแล้วใหญ่

“…”

ซึงจูที่จมอยู่ในห้วงความคิดพักใหญ่ปิดปากเงียบลงทันใด เพราะคิมมูฮึนเองก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ราวกับถอดแบบกันมา เพราะถ้าพูดถึงความทรมานจากการให้ความหวังแล้ว ซึงจูเองก็เจอมามากพอแล้วเหมือนกัน

“แล้วใครบอกว่าอยากคบกับเพื่อนนายล่ะ ฉันก็แค่บอกว่าน่ารักดีเท่านั้นเอง”

“ใช่ๆ พวกฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”

ซึงจูปล่อยให้คำพูดของเพื่อนร่วมรุ่นไหลผ่านหูไปอย่างไม่ใส่ใจพลางพยักหน้า เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันคือความสนใจจริงจังมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็แค่บอกเอาไว้เผื่อว่าเพื่อนพวกนั้นจะไม่รู้

“เราต้องซื้ออะไรบ้างนะ”

“ก่อนอื่นไปร้านเหล้าที่อยู่ข้างหน้านั่นก่อนดีกว่า…”

เนื่องจากงานเทศกาลประจำปีใกล้เข้ามาแล้ว ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยจึงมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่ ซึงจูกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหามูรยองโดยไม่ได้พูดอะไรต่างจากบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่คุยกันเสียงดังเฮฮา เพราะจุดที่คิมมูรยองยืนรออยู่มักจะเปลี่ยนไปทุกครั้ง ตรงกันข้ามกับมูฮึนที่ยืนรออยู่ที่เดิมตลอด

มีอยู่วันหนึ่งที่มูรยองไปช่วยตอบแบบสอบถามของพวกชักชวนเข้าลัทธิประหลาดในจุดที่อยู่ห่างจากประตูมหาวิทยาลัยออกไปเล็กน้อย ซึงจูสงสัยว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้เปิดรับอะไรแบบนั้นอย่างว่าง่าย แต่มูรยองกลับบอกแค่ว่าไม่มีอะไรทำอยู่แล้วเลยอยากช่วยฟังเฉยๆ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่านั่นคือพวกเผยแพร่ลัทธิ แถมเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับหรือล่อลวงด้วย เพราะแบบนั้นซึงจูจึงคิดว่าวันนี้หมอนั่นก็คงจะอยู่แถวๆ นั้นเหมือนเดิม

ซึงจูคิดเช่นนั้นก่อนมองไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงประตูมหาวิทยาลัย แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโต

“ฮะ?”

ซอฮยอนเหลือบมองซึงจูเมื่อได้ยินเสียงอุทานที่ดังขึ้นกะทันหันนั้น ซึงจูยังคงตกใจขณะมองไปที่ประตูมหาวิทยาลัย เพราะตรงจุดที่มูรยองควรจะยืนอยู่ เขากลับมองไปเห็นใบหน้าด้านข้างของใครบางคนที่มีความสูงใกล้เคียงกับมูรยองแต่ผมยาวกว่ามาก ดูไปแล้วคล้ายกับเป็นส่วนผสมครึ่งๆ ระหว่างมูรยองและมูฮึน

“พี่ครับ!”

ซึงจูตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นพร้อมกับรีบเดินเข้าไปหา ขณะที่บรรดาเพื่อนๆ ด้านหลังต่างได้แต่มองตามด้วยสีหน้างุนงง

คิมมูยอน หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัยเผยสีหน้ายินดีพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไหวๆ

“โอ๊ะ! ซึงจู!”

เธอคือมูยอนผู้เป็นน้องสาวของมูฮึนและเป็นพี่สาวของมูรยอง เธอเป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องสามคนจากบ้านข้างๆ และทำงานเป็นมือปราบวิญญาณภายใต้สังกัดสมาพันธ์เช่นเดียวกับพี่น้องอีกสองคน แน่นอนว่าเธอสนิทกับซึงจูมาตั้งแต่เด็ก และบุคลิกที่สดใสร่าเริงนั้นก็ทำให้ซึงจูชอบมูยอนมากเป็นพิเศษ

“ไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย! ดูเหมือนนายจะสูงขึ้นนะซึงจู”

“โธ่…ผมไม่สูงขึ้นเลยสักเซ็นต์มาตั้งแต่มัธยมปลายปีหนึ่งแล้วเถอะ”

“เป็นงั้นเหรอ”

มูยอนหัวเราะก่อนจะวางแขนพาดลงบนไหล่คล้ายกับจะรัดคอเขา ซึงจูถึงกับก้มตัวลงให้เธอเล็กน้อยแทนที่จะพยายามสะบัดออก ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งมาทั้งวันตอนนี้กลับมีรอยยิ้มอารมณ์ดีปรากฏขึ้นมาแทน

“ว่าแต่พี่มาได้ไงครับเนี่ย มาแทนมูรยองเหรอ”

“ใช่ เห็นเจ้าน้องเล็กบอกว่าช่วงนี้มารับนาย พี่เองก็อยากเจอซึงจูของพี่บ้างเลยบอกว่าจะมารับแทนน่ะ”

จะว่าไปแล้วหัวหน้าทีมสี่ที่มูรยองสังกัดอยู่ก็คือมูยอน ดูเหมือนเธอจะได้ยินเรื่องราวคร่าวๆ จากมูรยองเลยอาสาว่าจะมารับแทน

“พี่ไม่ยุ่งแย่เหรอครับ”

“ยุ่งสิ แต่เวลาแค่นี้ก็พอมีเหลือให้อยู่แหละน่า”

มูยอนขยี้ผมซึงจูเล่นอย่างมันเขี้ยวก่อนจะปล่อยตัวเขาออกด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ ถึงผมจะยุ่งเหยิงไปหมด แต่ซึงจูก็ใช้มือหนึ่งจัดมันอย่างลวกๆ โดยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด

“ไม่ได้มามหาวิทยาลัยฮันกุกนานเลย ซึงจูของพี่กลายมาเป็นรุ่นน้องแล้วเหรอเนี่ย…”

“พี่เรียนคณะครุศาสตร์นี่ครับ คนละคณะกันเลยเถอะ”

“มันก็เหมือนๆ กันแหละน่า”

มูยอนหัวเราะคิกคักพร้อมทั้งบอกว่าถึงอย่างนั้นก็นับเป็นศิษย์ร่วมสถาบันกันได้อยู่ดี

ก่อนหน้านี้ทันทีที่มูยอนได้ยินข่าวว่าซึงจูสอบติดมหาวิทยาลัยฮันกุก เธอก็สั่งไก่มาเลี้ยงฉลองถึงห้าตัว (ในห้าตัวนั้นคิมมูรยองจัดการคนเดียวไปสองตัว) โดยบอกว่าไม่สนใจว่าซึงจูจะเรียนคณะอะไร ขอแค่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เธอก็ถือว่าซึงจูเป็นรุ่นน้องของเธอแล้ว

“พี่อยากเดินดูรอบๆ มหาวิทยาลัยสักหน่อยน่ะ ไม่ได้มาซะนาน ขอเดินดูสักเดี๋ยวได้ไหม นายยุ่งอยู่หรือเปล่าซึงจู”

“ไม่เลยครับ ผมยังไงก็ได้…”

คนที่ยุ่งอยู่เห็นทีก็คงจะมีแต่คิมมูยอนนั่นแหละ นักศึกษามหาวิทยาลัยจะไปยุ่งอะไรในเมื่อช่วงนี้ก็ไม่ใช่ช่วงสอบด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไรเขาก็แค่จะกลับบ้านอยู่แล้วเลยไม่ได้จำเป็นต้องรีบ

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พาเดินไปที่ทะเลสาบแล้วเล่าเรื่องปลาทองสีดำตัวนั้นให้ฟังสักหน่อยดีกว่า

ในตอนที่ซึงจูคิดเช่นนั้นแล้วหมุนตัวกลับ

“…”

“…”

ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาเห็นบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ พวกนั้นต่างเบิกตาโตมองซึงจูสลับกับมูยอนอย่างประหลาดใจ แถมยังดูเหมือนกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ แต่ไม่ว่าจะมองมาแบบไหน สีหน้าของคนเหล่านั้นก็ดูเต็มไปด้วยสิ่งที่อยากจะพูด

“อะไร มายืนดูอะไรกัน”

“เดี๋ยวนะ…”

ทันทีที่ซึงจูถามขึ้น จินอูก็กลอกตาไปมา ก่อนจะเชิดปลายคางเบาๆ ไปทางมูยอนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึงจู

“เอ่อ…อะแฮ่ม ผู้หญิงคนนั้นคือ…?”

“อ๋อ”

หลังจากนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ซึงจูก็พลันขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาดีใจจนลืมคิดไป ดูเหมือนว่าเรื่องน่ารำคาญกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ที่ผ่านมาเขาพยายามทำให้ทุกคนตัดใจจากคิมมูฮึนและคิมมูรยองมาตลอด และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำให้ทุกคนยอมแพ้เรื่องมูยอนด้วยอีกคน

“แค่พี่สาวที่รู้จักน่ะ”

เพราะคิดแบบนั้นเขาจึงตอบไปแบบตัดความรำคาญ ทว่าเสียงตอบรับที่เหนือความคาดหมายกลับดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ซึ่งเป็นเสียงของมูยอนที่พินิจมองเพื่อนร่วมรุ่นของซึงจูอย่างสนอกสนใจอยู่

“โห ซึงจูยา…นี่นายกำลังบอกว่าพี่เป็นแค่ ‘พี่สาวที่รู้จัก’ งั้นเหรอ”

เธอทำท่าทางเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆ ดูเหมือนเธอแค่อยากจะหยอกเล่นเท่านั้น และเมื่อซึงจูไม่ใส่ใจที่จะแก้คำพูดใหม่ มูยอนก็คลี่ยิ้มหวานก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆ ของซึงจู

“พวกเธอคงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของซึงจูสินะ?”

มีเพียงเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงเท่านั้นที่ตอบคำถามนี้ เสียงตอบว่า ‘ใช่ค่ะ…’ นั้นทำให้หางคิ้วมูยอนลู่ตกราวกับกำลังเอ็นดู

“น่ารักจัง…ว่าแต่ในกลุ่มนี้มีแฟนของซึงจูอยู่ด้วยไหมเนี่ย”

“พี่ครับ”

“โอเคๆ เข้าใจแล้วน่า”

พอซึงจูเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง มูยอนก็ยอมอ่อนลงให้ในทันที เธอมักจะล้อเล่นไร้สาระออกมาโต้งๆ แต่ก็จะเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างไปจากมูฮึนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมลิบลับ

เธอยิ้มพลางย่นจมูกน้อยๆ ก่อนจะถามซึงจูอย่างหยั่งเชิง “ถ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ พี่รอได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจว่าจะกลับบ้านอยู่แล้ว ส่วนพวกนั้นกำลังจะไปซื้อของสำหรับงานเทศกาลประจำปีกัน”

“แล้วนายไม่ต้องอยู่ช่วยเตรียมงานเทศกาลประจำปีเหรอซึงจู”

“ไม่ครับ”

“เป็นแบบนี้เพราะขี้รำคาญอีกแล้วสินะ…”

มูยอนมองซึงจูอย่างเศร้าๆ ด้วยสีหน้าเหมือนรู้จักซึงจูดี มันดูเหมือนท่าทางของพ่อแม่ที่กำลังกังวลเรื่องทักษะในการเข้าสังคมของลูก ซึงจูที่รู้สึกกระดากอายขึ้นมาเสียอย่างนั้นจึงเอามือลูบต้นคอ จากนั้นจู่ๆ หนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่นผู้ชายของเขาก็พูดโพล่งขึ้นมา

“ถ้าหากว่าพี่สาวพอจะสะดวก…!”

“อ๋อ ไม่ล่ะ”

แต่ก่อนที่คนคนนั้นจะพูดจบ ซึงจูก็ชิงตัดบทเขาทันควัน ซึงจูบ่ายเบี่ยงคำชวนทั้งหมดที่พอจะคาดเดาได้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับต้องการจะบอกว่า ‘อย่าหวังเลย’

“พี่เขาจะไม่มาร่วมงานเทศกาลประจำปี จะไม่ให้เบอร์โทรศัพท์ แล้วก็จะไม่ไปซื้อของกับพวกนาย จำใส่หัวเอาไว้เลย”

“…”

ซึงจูพูดเร็วมากจนแทบไม่ต่างอะไรกับการแร็พจนมีเสียงใครบางคนหลุดขำพรืดดังมาให้ได้ยิน ดูเหมือนจะเป็นเสียงของซอฮยอน หรือไม่ก็เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเพื่อนผู้ชายคนที่พยายามจะเอ่ยปากชวนก็ได้แต่ประท้วงผ่านสีหน้าที่ดูขัดใจ

“นี่ นายต้องฟังความเห็นของพี่เขาก่อนสิ!”

“เรื่องแบบนั้นต้องได้ยินกับหูด้วยหรือไง เรื่องแค่นี้นายก็ไม่ผ่านแล้วล่ะ”

สำหรับพวกเพื่อนผู้ชายพวกนี้ การพูดออกไปตรงๆ คงจะดีกว่าการแบ่งรับแบ่งสู้อย่างมีมารยาท ซึงจูที่รู้ความจริงข้อนี้มานานแล้วจึงเลือกที่จะเดาะลิ้นพลางแสร้งยกยิ้มอย่างขี้เล่น เพราะเขาคิดว่าการเพิกเฉยใส่อย่างพอเหมาะโดยที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถโกรธได้นั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญ

“ถ้าเข้าใจแล้วฉันขอตัวก่อนนะ”

 

มูยอนที่โตกว่าซึงจูเก้าปีดูมีความสุขมากที่ได้กลับมาเยือนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มานาน เธอบอกว่าไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ออกมาเดินเล่นในที่ที่มีคนเยอะขนาดนี้ ทั้งยังบอกว่าคิดถึงสถานที่แสนธรรมดาแห่งนี้พลางมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสุขใจ แต่พอลองมาคิดดูอีกทีแล้ว ดูเหมือนสาเหตุที่ทำให้เธอสุขใจคงจะไม่ใช่แค่เพราะที่นี่คือ ‘มหาวิทยาลัย’

ทะเลสาบเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มูยอนแวะไปเยี่ยมชม แต่ถึงอย่างนั้นซึงจูก็ไม่อาจเล่าเรื่องปลาทองสีดำที่เขาเห็นออกไปได้ เพราะเขาเพิ่งมานึกออกเอาทีหลังว่าถ้าจะพูดเรื่องนี้เขาต้องเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เรื่องที่เนตรสัมผัสวิญญาณตื่นขึ้น และถ้าเธอเกิดถามขึ้นมาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่สิ…ต่อให้เธอจะไม่ถาม เขาก็รู้สึกอายเกินกว่าที่จะพูดออกไปเองอยู่ดี

เพราะแบบนั้นซึงจูจึงถามมูยอนแทนว่าอสูรสามารถปรากฏตัวขึ้นมาในสถานที่แบบนี้ได้หรือไม่ โดยหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มูยอนก็ตอบกลับ

‘ปกติแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ’

‘…’

ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า หากจะพูดในอีกแง่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนกับเธอกำลังจะบอกว่ามันก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่ เพราะถ้าความเป็นไปได้มีค่าเท่ากับศูนย์จริงๆ มูยอนก็คงจะส่ายศีรษะอย่างเด็ดขาดตามนิสัยไปตั้งแต่แรกแล้ว

แต่เนื่องจากในน้ำเสียงนั้นมีบางอย่างที่บ่งบอกว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึงจูจึงนึกถึงคำว่า ‘วิญญาณของปลาทองสีดำ’ ที่ควางชิกพูดถึงแล้วถามต่อ

‘แล้ววิญญาณของสัตว์ล่ะครับ มันสามารถสื่อสารกับคนได้หรือเปล่าครับ’

‘อืม ก็สื่อสารกันได้อยู่นะ แต่…’

ใบหน้าที่กำลังหลุดหัวเราะออกมานั้นทำให้เขานึกถึงมูฮึนขึ้นมาแวบหนึ่ง เวลายิ้มสดใสเธอจะดูเหมือนคิมมูรยอง และเวลายิ้มบางๆ เธอจะดูเหมือนคิมมูฮึน ซึงจูไม่เคยพูดเล่นเลยสักนิดตอนที่บอกว่าถ้าจับสามพี่น้องมาเรียงกันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการไล่เฉดสีเลย

‘ไม่รู้ว่าคนจะฟังเข้าใจไหมน่ะสิ’

หลังพูดจบมูยอนก็ยังพูดเสริมเสียงเรียบอีกว่าถ้าคุยกับสัตว์รู้เรื่องได้ก็คงจะดี และไม่ใช่แค่มูยอนเท่านั้นที่พูดแบบนี้ แต่สมาชิกในครอบครัวบ้านข้างๆ ก็มักจะพูดอยู่เสมอเช่นกันเวลามองดูเจ้าซอลกี

‘ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามล่ะ มีใครเล่าเรื่องทำนองนั้นให้ฟังเหรอ’

‘อ๋อ พอดีมีเพื่อนบอกว่าเห็นอะไรแปลกๆ ในทะเลสาบน่ะครับ’

ซึงจูพูดข้ออ้างที่คิดเตรียมไว้ล่วงหน้าออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเขาบอกไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนเห็นมัน เขาจึงตั้งใจทำเหมือนว่ามันคือข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วมหาวิทยาลัยแทน แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกมูยอนโดยไม่จำเป็น แต่ขืนบอกไปว่ามีนักศึกษาจำนวนหนึ่งเห็นมัน มีหวังเธอคงได้อาสาไปตรวจสอบให้ด้วยตัวเอง

‘ได้ยินว่าลักษณะมันดูคล้ายๆ กับปลาทองสีดำน่ะครับ…’

‘งั้นเหรอ’

เป็นไปตามคาด มูยอนถามทวนแบบนั้นแล้วเดินวกกลับไปทันที ต่อให้ไม่เอ่ยปากถามว่าเธอจะไปไหน ซึงจูก็รู้ได้ว่าเธอกำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบอย่างแน่นอน

เมื่อเดินไปถึงรั้วกั้นมูยอนก็กวาดสายตามองไปรอบผืนทะเลสาบกว้างใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเชื่อถือ

‘พี่ไม่รู้สึกถึงอะไรที่นี่นะ’

มูยอนเป็นถึงหัวหน้าทีมสี่ของสมาพันธ์มือปราบวิญญาณ หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือเธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะและความสามารถเทียบเท่ากับรองผู้บริหารระดับสูงเลยทีเดียว ถ้าเป็นสถานที่ที่มีวิญญาณอยู่จริง ต่อให้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ เธอก็คงต้องรู้สึกถึงพลังหยินบ้าง แต่นี่เธอกลับเอียงคอเหมือนสัมผัสถึงมันไม่ได้จริงๆ แม้จะลองชะโงกตัวข้ามรั้วกั้นลงไปมองด้านล่างแล้วก็ตาม

‘พี่ครับ มันอันตรายนะ’

‘ไม่เป็นไรน่า พี่ไม่ตกลงไปหรอก’

คำพูดนั้นมีหมายความว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องผิดพลาดโง่ๆ อย่างการตกลงไปจากตรงนี้หรอก

‘เดี๋ยวครับ…ถึงอย่างนั้นก็ควรระวังเผื่อไว้ก่อนไม่ใช่หรือไง’

ว่าแล้วคนโง่อย่างเขาก็ดึงชายเสื้อของมูยอนเอาไว้ โชคดีที่ไม่นานนักมูยอนก็ยืดตัวกลับขึ้นมา จากนั้นเธอก็พูดแบบเดิมว่าถึงจะลองสังเกตดูรอบๆ ก็ไม่รู้สึกถึงพลังหยินจากที่นี่เลย

‘ไม่ใช่ว่าตาฝาดเห็นเป็นปลาทองหรอกนะ?’

‘ก็อาจจะเป็นแบบนั้นมั้งครับ…’

กรณีที่ซึงจูพอจะเดาได้มีอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นคือกรณีที่เจ้านั่นเป็นวิญญาณของปลาทองจริงๆ และมันก็คงจะไปสู่สุคติแล้วระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา เพราะเมื่อเวลาผ่านไปบรรดาสัตว์ที่หลงทางก็น่าจะไปสู่สุคติได้เอง

‘มันจะไม่อันตรายใช่ไหมครับ’

เมื่อเขาถามเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย มูยอนก็ถามกลับมาว่าให้เธอเขียนยันต์ให้สักแผ่นไหม ดูเหมือนเธอจะคิดว่าซึงจูกำลังกลัว แต่ซึงจูก็ตอบได้ไม่เต็มปาก

‘ผมคงแค่คิดมากไปเองน่ะครับ’

ซึงจูไม่ได้กลัว กระวนกระวาย หรือกังวลใจเลยแม้แต่น้อย เขาก็แค่คิดมากไปหน่อยเท่านั้นเอง เขาลืมเรื่องผีที่เจอตรงสี่แยก อสูรหมูป่าที่เคยเผชิญหน้ากันบนภูเขา หรือแม้แต่ปีศาจที่ยืนอยู่ข้างกำแพงไปหมดแล้ว และนี่ก็เป็นแค่วิญญาณปลาทองตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

‘เด็กดีจริงๆ เลยนะเรา คงจะเป็นห่วงพวกเพื่อนๆ น่าดูเลยล่ะสิ’

ทั้งที่ซึงจูไม่ได้ตอบอะไร แต่มูยอนก็สรุปไปแบบนั้นแล้ว และหนนี้สายตาของเธอก็ดูเหมือนพ่อแม่ที่มองดูลูกรักอย่างภาคภูมิใจ ทั้งที่อายุยี่สิบก็ไม่ใช่เด็กแล้ว (แถมซึงจูยังตัวสูงกว่าเธอด้วย) แต่เธอก็ยังคงเห็นซึงจูเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น

แต่มูยอนจะมองแบบนั้นหรือไม่ซึงจูก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะจริงๆ แล้วมูยอนก็อายุมากกว่าเขา และเขาก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไรกับการดูแลเอาใจใส่แบบนั้น เขารู้ดีว่าความรู้สึกปลอดภัยที่ผู้ใหญ่มอบให้มันชวนให้รู้สึกสบายใจขนาดไหน

‘กลับบ้านกันเถอะ’

จากนั้นทั้งคู่ก็กลับบ้านมาด้วยกัน มูยอนเอ่ยปากชวนซึงจูไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ซึงจูจึงได้แวะไปบ้านหลังข้างๆ แล้วเล่นกับเจ้าซอลกีอยู่พักใหญ่หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ มูยอนออกจากบ้านในช่วงที่พระอาทิตย์เริ่มตกดินพร้อมกับบอกว่าจะตรงไปทำงานเลย

‘พี่ครับ คือว่า…’

พี่รู้ไหมว่าพี่มูฮึนทำอะไรอยู่

เหตุผลที่ซึงจูไม่อาจถามออกไปได้มีอยู่เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น แม้ที่ผ่านมาเขาจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรต่อหน้าคิมมูรยองมาโดยตลอด แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจพอที่จะทำแบบเดียวกันต่อหน้ามูยอน เพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองจะต้องแสดงท่าทีปั่นป่วนออกไปทันทีที่เปิดปากพูดคำว่า ‘พี่มูฮึน’ แน่ๆ

‘ไม่มีอะไรหรอกครับ…เดินทางดีๆ นะครับพี่’

‘อะไรของนายเนี่ย’

มูยอนมองเขาด้วยสายตาสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกลาอย่างอบอุ่น เธอให้สัญญาว่าถ้ามีเวลาจะมารับเขาแทนมูรยองอีก ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยมากก็ตามที ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้คาดหวังไว้มากมายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เพราะแบบนั้น…มันจึงต่างจากตอนที่มูฮึนพูดกับเขาอย่างสิ้นเชิง

ความเสียใจที่มีต่อคนคนนั้นคงเป็นเพราะใจเราเองจริงๆ สินะ

จู่ๆ ซึงจูก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงข้อนั้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่รู้สึกอะไร แต่พอเป็นมูฮึนแล้วเขากลับรู้สึกขึ้นมา ดูเหมือนว่าในระหว่างที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว ตะกอนที่สะสมมาทีละเล็กทีละน้อยจะทับถมกันจนเต็มแน่นอยู่ภายในใจ

คืนนั้นแม้แต่ตอนที่นอนอยู่บนเตียงซึงจูก็ยังนึกถึงมูฮึน หรือถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเขานึกถึงประตูหน้าบ้านที่ปิดลงต่อหน้าต่อตาพร้อมกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมาหากันไม่ได้ในคืนวันเพ็ญกันแน่ มูฮึนมีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถบอกเขาได้ และตัวเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหนกัน

แม้จะมีคำถามมากมาย แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลออกมาได้เลย น้อยครั้งที่ซึงจูจะนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงและคิดหนักอยู่แบบนี้ และในท้ายที่สุดสิ่งที่ได้จากการคิดหนักกลับมีเพียงแค่เสียงถอนหายใจ

 

ผ่านไปอีกสองวันก็ครบหนึ่งสัปดาห์ที่ซึงจูไม่ได้เจอหน้าเขาคนนั้นพอดี

หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า วันนี้พระจันทร์จะลอยขึ้นฟ้าแบบเต็มดวง คิมมูรยองบอกแบบนั้นระหว่างมองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวงเมื่อคืนวานที่ท้องฟ้าสว่างกว่าปกติ และทั้งที่อีกฝ่ายบอกเองว่าวันพรุ่งนี้จะยุ่งมาก แต่ก็ยังอารมณ์ดีได้อยู่ ถึงเจ้าตัวจะสุขภาพกายใจดีกว่าคนปกติก็เถอะ

ยิ่งเวลาผ่านไปงานเทศกาลประจำปีก็ยิ่งใกล้เข้ามาทุกทีๆ กระทั่งคลาสเรียนวิชาหนึ่งระหว่างวันประกาศงดการเรียนการสอนด้วยเหตุผลที่ว่าทุกคนต่างก็จิตใจล่องลอยไปจดจ่อกับเรื่องอื่น บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่ตื่นเต้นดีใจพากันวิ่งออกไปเตรียมบูธ โดยที่มีซึงจูเดินเอื่อยๆ ตามหลังจินอูมาเป็นกำลังเสริมด้วยอีกคน

“โห วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย ซอซึงจู นายแวะมาช่วยด้วยเหรอ”

“นายนี่จิตใจดีอย่างที่คิดเอาไว้เลยแฮะ ซอซึงจู!”

“ยอดคน ซอซึงจู!”

ความจริงแล้วซึงจูก็แค่ไม่มีอะไรทำ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนร่วมรุ่นต่างก็ต้อนรับเขาด้วยความยินดีราวกับได้เจอผู้ช่วยชีวิต ทันทีที่ซึงจูแวะมา พวกเขาก็พากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีและมอบหมายงานให้เยอะแยะไปหมด บางทีซึงจูก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเพื่อนพวกนี้แค่ต้องการทาสรับใช้หรือเปล่า ทว่าก็ยอมทำตามคำขอร้องของเพื่อนไปโดยไม่ได้ปริปากอะไร สักพักพอเริ่มว่างเขาก็เดินมาตรงที่ซอฮยอนยืนอยู่

“เขยิบไปหน่อย เดี๋ยวฉันช่วย”

“หืม? อ๋อๆ”

ซอฮยอนที่กำลังติดไฟประดับอยู่ส่งของในมือให้ซึงจู งานของเธอคือต้องแขวนมันกับเพดานบูธ แต่เพราะปัญหาเรื่องความสูง มันจึงเป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถไปหน่อย

มือยังแตะเพดานไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้อาสามาทำงานนี้กันล่ะเนี่ย

ซึงจูคิดเช่นนั้นระหว่างยืดแขนขึ้นไปแขวนไฟประดับ

“ต้องติดตรงไหนอีก”

“…”

พอซึงจูเอ่ยปากถาม ซอฮยอนก็ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไรไปครู่หนึ่ง เธอจ้องมองซึงจูก่อนจะหันไปมองทางอื่นอย่างข้องใจ ในไม่ช้าเธอก็กระแอมเบาๆ แล้วชี้นิ้วไปมาหลายจุดบนเพดาน

“แค่ติดเป็นช่วงๆ ให้ดูสวยก็พอ”

ถึงคำอธิบายนั้นจะไม่ใช่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ใช่คำขอที่ยากเย็นอะไร ซึงจูก้าวเร็วๆ ไปติดหลอดไฟโดยเว้นระยะห่างเป็นระยะๆ แบบกำลังดี และในจังหวะนั้นซอฮยอนที่เดินตามเขามาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย

“ว่าแต่ทำไมนายถึงได้มาช่วยล่ะ”

“มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันมาช่วย…”

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น…”

ซอฮยอนเงียบไปก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ออกมา แม้เธอจะรู้สึกขอบคุณที่เขามาช่วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่ามันเกินคาดอยู่ดี

“ฉันแค่คิดว่านายคงไม่ค่อยชอบทำอะไรแบบนี้น่ะ”

“ก็นะ…”

ซึงจูไม่คิดจะปฏิเสธและทำเพียงแค่ยักไหล่ ถึงเขาจะคิดว่ามันน่ารำคาญจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบมันจนถึงขั้นที่ต้องหลบเลี่ยง สมัยมัธยมปลายเขายังเคยช่วยทำแผ่นพับให้ชมรมบรรณารักษ์เลย

“ฉันแค่มาเพราะไม่มีอะไรทำเฉยๆ ขนาดชเวจินอูยังอู้อยู่ตรงนั้นเลย”

ตรงจุดที่ซึงจูชี้นิ้วไปจินอูกำลังจัดโต๊ะอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ เจ้าตัวดูจะสนุกกับงานที่สุดแล้ว เพราะทำงานได้ไม่ทันไรก็เริ่มอู้โดยทำเป็นบอกว่าจะรับบทเป็นคนมาดื่มเหล้าไม่ใช่คนขาย

“อ๋า นั่นสินะ จู่ๆ ก็มีเวลาว่างเฉยเลย”

ซอฮยอนพยักหน้าเร็วๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าเข้าใจ ดูเหมือนคำตอบของซึงจูจะใช้ได้ผล แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำโกหก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง

‘พอดีว่าสัปดาห์หน้าเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงน่ะ’

คืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่คิมมูฮึนหมายถึงคือคืนวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งสัปดาห์พอดีนับจากที่อีกฝ่ายหายหน้าไป และเป็นวันที่ซึงจูเริ่มจะสงสัยขึ้นมาอีกครั้งหลังจากอารมณ์ขุ่นมัวมาหลายวัน มันคือคำถามจากความสงสัยที่อยู่ในใจเขามาตลอดนับตั้งแต่มูรยองและฮวานยองเริ่มมารับเขา

“…”

หลังจากผ่านพ้นคืนวันเพ็ญไปแล้ว เขาจะกลับมาใช่ไหม

ถึงจะบอกว่า ‘สักพัก’ แต่เขาก็ไม่ได้บอกแน่ชัดว่ามันหมายถึงเมื่อไหร่ การที่เขาจงใจไม่กำหนดระยะเวลาเอาไว้แบบนี้ทำให้ซึงจูต้องกลับมาเฝ้ารออย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง ซึงจูไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ซึงจูรู้คือการทำแบบนี้มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายสุดๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรอคอยอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อขนาดนี้

เขาเคยคิดว่าสิ่งที่เขารู้สึกเวลามูฮึนหายหน้าไปนั้นคือความว่างเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนมันจะเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจนิยามได้ด้วยถ้อยคำเพียงถ้อยคำเดียว

ถ้าจะเป็นแบบนี้ก็อย่ามาบอกว่าจะอยู่ข้างๆ กันแต่แรกสิ ทำไมถึงได้ชอบทำให้คนอื่นรู้สึกแย่แบบนี้ล่ะ

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”

ซึงจูส่ายหน้าพลางพยายามคลายสีหน้าลง พอมีเวลาอยู่เฉยๆ เขาก็มักจะฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย เขาจึงคิดว่าขยับตัวทำนั่นทำนี่ให้ยุ่งเข้าไว้จะดีกว่า ถ้ามาช่วยเตรียมงานเทศกาลประจำปีจิตใจก็จะจดจ่อกับเรื่องอื่นไปเองโดยธรรมชาติ และถ้ามันช่วยทำให้เขาลืมคิมมูฮึนไปได้ก็คงจะดีที่สุด

แม้จะมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย แต่การเตรียมงานเทศกาลประจำปีก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด เนื่องจากทุกคนต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างแข็งขัน การที่ซึงจูมาร่วมด้วยอีกแรงจึงมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก และเนื่องจากเขารับงานที่ต้องใช้แรงเป็นหลัก เขาจึงได้รับความดีความชอบจากการที่สามารถทำงานชิ้นใหญ่ให้เสร็จลงได้อย่างรวดเร็ว

“ฉันเอาไอ้นี่ไปทิ้งก่อนนะ”

หลังจากที่เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงซึงจูก็ยกขยะที่กองรวมกันอยู่ในลังเดินออกจากเต็นท์ไป คงต้องโทษที่ลังขนาดใหญ่นั้นอัดแน่นไปด้วยเศษกระดาษ น้ำหนักของมันจึงไม่ใช่น้อยๆ และในตอนนั้นเองจู่ๆ เขาก็คิดไร้สาระขึ้นมาว่าถ้าเป็นคิมมูรยองก็คงจะถือกล่องหนักประมาณนี้เดินตัวปลิวได้อย่างสบายๆ

ขยะจากการเตรียมงานเทศกาลประจำปีสามารถนำไปทิ้งได้ที่จุดทิ้งขยะด้านหลังอาคาร เนื่องจากมันอยู่ค่อนข้างไกลจากบูธของคณะสังคมศาสตร์ ช่วงกลางทางซึงจูจึงนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่อาสายกกล่องนี้มาคนเดียว

นี่มันหนักกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เขาน่าจะแบ่งให้ชเวจินอูสักครึ่งหนึ่ง แต่ถึงจะคิดแบบนั้นเขาก็เดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปได้แล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ทางเลือกที่ดีที่สุดที่พอจะทำได้ก็คงจะมีแต่การเร่งฝีเท้าเท่านั้น

ด้านหน้าอาคารมีนักศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้านหลังที่เป็นจุดทิ้งขยะนั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่านมาเลย ดูเหมือนพวกเขาจะมาทิ้งขยะกันไปแล้วรอบหนึ่ง หรือไม่ก็รวบรวมไว้ในแต่ละบูธแล้วค่อยจัดการทีเดียว

ซึงจูวางกล่องลงตรงมุมหนึ่งพลางนวดไหล่ที่แข็งตึง รอยช้ำที่แขนซ้ายเพิ่งหายสนิทไปก่อนหน้านี้ เขาระวังตัวอยู่หลายวันเพราะกลัวมูฮึนจะรู้เข้า แต่ก็ถือว่าโชคดีที่สุดท้ายแล้วไม่โดนจับได้

“แต่ถึงโดนจับได้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

ต่อให้อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขามีรอยช้ำ แต่ในช่วงเวลาแบบนี้มูฮึนก็คงจะหายตัวไปที่ไหนสักแห่งด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถบอกเล่ารายละเอียดได้อย่างที่เจ้าตัวบอกเองจากปากอยู่ดี

แล้วจะมาเป็นห่วงกันขนาดนั้นไปทำไม

ซึงจูคิดขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ซึงจูดูเวลาก่อนจะเดินกลับไปทางบูธอีกครั้ง เขาคิดว่าพอมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าเขาได้ช่วยมามากพอแล้ว และคิดว่าหลังจากที่จัดการตัวเองเสร็จก็ถึงเวลาต้องกลับบ้านได้แล้ว แต่ในจังหวะที่กำลังจะเดินผ่านตัวอาคาร พลังบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไรก็เฉียดผ่านหลังคอของเขาไป

“…”

มันอาจเป็นแค่ความรู้สึกโดยสัญชาตญาณ เพราะแถวนี้ไม่มีใครอยู่และในเวลาแบบนี้ก็มักจะมีผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ถึงเขาจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกเสียวปลาบที่แล่นวาบไปตามกระดูกสันหลังอยู่เหมือนกัน ซึงจูจึงหันไปมองด้านหลังทันทีโดยไม่ต้องมีสัญญาณเตือนใดๆ เขาสังหรณ์ใจอย่างแรงว่าคนที่มักจะโผล่หน้ามาในเวลาแบบนี้น่าจะอยู่ข้างหลังเขาในตอนนี้ และทันทีที่หันหน้าไปเขาก็สบตากับเจ้าของใบหน้าที่คุ้นเคยเข้าให้จริงๆ

“…”

“…”

ชายที่สวมหมวกสีดำกำลังจ้องมองซึงจู ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังตกใจ ทั้งนี้อีกฝ่ายที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเหมือนกำลังจะคว้าตัวซึงจูคือควางชิกจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้

“นึกแล้วเชียว…”

ซึงจูเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า เขากำลังคิดอยู่เลยเชียวว่าพักนี้หมอนี่ไม่โผล่หน้ามา หมอนี่คงไม่มีทางหนีหน้าหายไปเพียงแค่เพราะบอกวันเดือนปีเกิดปลอมแล้วก็ยอมแพ้ไปแน่ๆ

“ทำไมนายถึงชอบโผล่มาปุบปับแบบนี้ทุกทีเลยฮะ ควางชิก”

“…”

คนตรงหน้าขมวดคิ้วกับคำว่า ‘ควางชิก’ ทั้งที่คราวก่อนซึงจูก็แกล้งเรียกเขาด้วยชื่อนี้จนเอียนแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะฟังดูแปลกหูขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ยินมาพักหนึ่ง

อะไรกัน นี่คือชื่อที่ฟังแล้วจำได้ขึ้นใจในช่วงเวลาสั้นๆ เลยนะ

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันมา…”

“ไม่รู้สิ ก็แค่รู้สึกแบบนั้นน่ะ”

หลังจากที่ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก จู่ๆ ซึงจูก็ขมวดคิ้วพร้อมกับนึกอะไรขึ้นมาได้ หมอนี่ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมา แบบนั้นก็หมายความว่าที่ผ่านมาหมอนี่แอบซ่อนอยู่โดยไม่ให้สุ้มให้เสียงมาโดยตลอดน่ะสิ

“ไม่เบื่อบ้างหรือไง ชอบโผล่มาข้างหลังอยู่ได้”

“ฉันเพิ่งโผล่มาจากด้านหลังครั้งนี้ครั้งแรกเองนะ”

“โว้ย! เรื่องของนายเหอะ”

ซึงจูตอบด้วยความรำคาญก่อนที่จู่ๆ จะหันมองไปรอบๆ ตอนนี้ยังไม่มีใครเดินมาแถวจุดทิ้งขยะ ชัดเจนแล้วว่าหมอนี่จะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะที่ที่ไม่มีใครอยู่ เพราะแบบนั้นตอนแรกเขาถึงได้คิดว่าหมอนี่เป็นผี ไม่รู้ทำไมหมอนี่ถึงต้องมาปรากฏตัวแบบลับๆ อยู่ตลอดทั้งที่ก็เป็นคนมีชีวิตปกติทั่วไปแท้ๆ

“แล้ววันนี้มาหาฉันทำไมอีก”

ซึงจูถามไปตามมารยาท เขาเองก็ไม่ได้อยากทำตัวมีมารยาทนักหรอก แต่แค่รู้สึกว่าถ้าไม่ถาม หมอนี่ก็คงจะปิดปากเงียบอยู่แบบนี้ไปอีกนาน

ระหว่างที่ซึงจูกำลังคิดว่าวันนี้หมอนี่จะมาพูดเรื่องเหลวไหลอะไรอีก จู่ๆ ควางชิกก็เปิดปากพูดขึ้น

“ฉันไม่มีวันเกิด”

“ว่าไงนะ”

มันเป็นประเด็นสนทนาที่ไม่เข้ากับบริบทใดๆ เลย

วันเกิด? จู่ๆ ก็พูดเรื่องวันเกิดขึ้นมาเนี่ยนะ?

“ฉันไม่มีทั้งชื่อ ไม่มีทั้งวันเกิด เพราะงั้นฉันบอกอะไรนายไม่ได้หรอก”

“…”

ไม่รู้ทำไมคำพูดนั้นถึงได้ถูกขุดขึ้นมาพูดเอาตอนนี้ แต่ซึงจูก็เหมือนจะเดาได้คร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ดูท่าเขาคงจะกังวลเรื่องที่โกหกวันเดือนปีเกิดเอาไว้เมื่อคราวก่อน ทั้งที่เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ซึงจูลืมมันไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังอุตส่าห์มาแก้ตัว

ถึงเรื่องนี้จะน่าขำอยู่ไม่น้อย แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น

“ไม่มีชื่อกับวันเกิดเนี่ยนะ?”

ถ้าหมอนี่เป็นประชากรของสาธารณรัฐเกาหลีแล้วจะไม่มีชื่อกับวันเกิดได้อย่างไรกัน เรื่องชื่อยังพอว่า แต่กับวันเกิดที่เป็นวันที่ลืมตาขึ้นมาบนโลกนี่จะไม่มีได้อย่างไร

ฟังขึ้นที่ไหนล่ะนั่น อย่ามาพูดจาไร้สาระน่า

แม้ตั้งใจอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ซึงจูก็กลืนมันกลับลงคอไปเสียก่อน

“อืม ฉันไม่มีทั้งคู่”

“…”

โกหกน่า…แต่จะว่าไปก็ดูเหมือนไม่ได้โกหกแฮะ

ถึงจะเป็นคนที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่หมอนี่ก็ไม่ใช่คนที่อ่านยาก ถ้านี่เป็นการโกหกเพื่อเอาตัวรอด อย่างน้อยคงต้องมีแง่มุมที่น่าสงสัยหรือมีพิรุธอยู่บ้าง

“จู่ๆ มาบอกฉันเรื่องนี้ทำไม”

สมมติฐานมากมายเกิดขึ้นในใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่มักปรากฏในละครน้ำเน่าอย่างเช่นถูกทิ้งตั้งแต่เด็กเลยไม่มีวันเกิด หรือใช้ชีวิตอยู่แบบคนตายโดยที่ไม่มีสถานะใดๆ ทางสังคม

“ถ้าคราวก่อนนายโกหกไว้ มันก็จบไปแล้วไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้…”

ซึงจูเงียบไป สีหน้าของเขาแลดูฝืนใจ มันเป็นปฏิกิริยาตอบรับที่มาจากประสบการณ์ คงต้องโทษลางสังหรณ์ของเขาที่บอกว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่านี้เลยจะดีกว่า อาจเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับความกังวลของทุกคนมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากเป็นพิเศษ

“นายมาเพื่อพูดเรื่องนี้เหรอ”

“เปล่า”

ควางชิกตอบอย่างหนักแน่นก่อนจะลดปีกหมวกลงปิดหน้าปิดตา บริเวณดวงตาที่แต่เดิมก็มีเงาปกคลุมอยู่แล้วจึงแทบจะถูกบังไปอีกเกือบครึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะศีรษะที่เล็กหรือหมวกที่ใหญ่กันแน่ แต่หากมองผ่านๆ ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลย

“ฉันมาคุยเรื่องคิมมูฮึน”

“…”

สีหน้าของซึงจูเรียบนิ่งในทันใด คงเพราะชื่อที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในเวลานี้ดันโผล่ขึ้นมาในบทสนทนาเสียได้ แต่ไม่ว่าสีหน้าของซึงจูจะดูแข็งกร้าวขึ้นหรือไม่ ควางชิกก็ยังคงพูดต่อไปด้วยวิธีการพูดที่ฟังดูเหมือนหุ่นยนต์

“นายรู้ใช่ไหมว่านักล่าอสูรจะยุ่งที่สุดในคืนวันเพ็ญ”

มันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ และซึงจูเองก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะตอบด้วย หรือหากจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเขาไม่อาจอ้าปากตอบอะไรออกไปได้มากกว่า เพราะนับตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินชื่อ ‘คิมมูฮึน’ อารมณ์ที่เขาสะกดกลั้นไว้มาโดยตลอดก็ตีรวนขึ้นมาในอกทันที มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายจะหงุดหงิดแต่คล้ายกับจะเศร้าใจอยู่ในที

“แต่คิมมูฮึนน่ะ…”

“นี่…”

น้ำเสียงเยียบเย็นทำให้ควางชิกเม้มริมฝีปากแน่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความรู้สึกใดปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ซึงจูพยายามข่มความรู้สึกที่เดือดพล่านอยู่ในใจไว้ก่อนจ้องมองเขาโดยไม่หลบสายตา

“ตอนนี้เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับฉันอีกล่ะ”

ทำไมถึงต้องมาวุ่นวายแต่กับเขาทุกที เพราะซึงจูก็เคยบอกไปแล้วว่าไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็จะไม่รับฟังทั้งนั้น แต่ไม่รู้ทำไมหมอนี่ถึงได้มาตามตอแยเขาไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่เคยตอบในสิ่งที่ซึงจูถามเลยสักครั้ง แถมยังพูดพล่ามแต่เรื่องที่เขาไม่ได้อยากรู้ แล้วตอนนี้หมอนี่จะหยิบยกชื่อมูฮึนขึ้นมาเพื่อจะพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีก

“นายบอกว่านักล่าอสูรยุ่งมาก แต่นายมาหาฉันแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คิมมูฮึนงั้นเหรอ คิมมูฮึนแล้วไง เขาไปคลายผนึกอสูรที่ไหนให้หลุดออกมาอีกหรือไง หรือว่าเขากำลังทำงานอะไรให้สมาพันธ์อีก”

ซึงจูทวนสิ่งที่หมอนี่เคยพูดขึ้นมาอีกครั้งเหมือนล้อเลียน มันคือเรื่องที่เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย และมูฮึนก็ออกปากปฏิเสธไปแล้วว่าไม่จริง ถ้าหมอนี่พูดอะไรคล้ายๆ กันนี้ขึ้นมาอีก ซึงจูก็พร้อมที่จะหัวเราะเยาะใส่หน้าอีกฝ่ายทุกเมื่อ

“ฉันบอกไปแล้วใช่ไหม ต่อให้นายจะพูดยังไงฉันก็ไม่เชื่อนายสักนิด แล้วฉันก็จะไปบอกพี่เขาทุกอย่างด้วย นายคิดว่าฉันตลกนักเหรอ เห็นฉันยอมฟังหน่อยแล้วคิดว่าฉันจะไม่หงุดหงิดเหรอ”

แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็หลุดพูดจาแรงๆ ออกไปแล้ว เขารู้สึกได้เลยว่ายิ่งพูดเท่าไหร่ อารมณ์ก็มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน และคราวนี้เขาก็ไม่สามารถสงบจิตสงบใจลงได้เลย

“ทำไมนายถึงได้ทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ฮะ นายไม่เคยบอกว่านายเป็นใครหรือกำลังทำอะไรเลยสักอย่าง แต่แค่มาหาฉันเฉพาะเวลาที่ต้องการเนี่ยนะ? แล้วยังไง แล้วฉันก็ต้องรับฟังและทำตัวว่าง่ายทุกครั้งที่นายมาหางั้นเหรอ”

ความโกรธเคืองที่ไม่อาจข่มไว้ได้ไม่ได้พุ่งเป้าโจมตีแค่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนเดียวเท่านั้น เพราะวินาทีที่บางสิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาภายในใจ ในหัวของซึงจูก็เอาแต่นึกถึงใครอีกคนที่ไม่ใช่หมอนี่ และใครคนนั้นก็คือคนใจร้ายที่โผล่หน้ามาแล้วก็หายไปตามอำเภอใจ และจะกลับมาหากันก็ต่อเมื่อซึงจูเหนื่อยล้าเต็มทีกับการรอคอย เขาคือพี่ชายที่คอยเอาใจใส่คนนั้นที่ซึงจูไม่เคยเกลียดได้ลง แต่อีกฝ่ายก็ตกเป็นเป้าของความขุ่นเคืองใจของซึงจูอยู่เป็นประจำ

“พูดมาให้หมดทุกอย่าง หรือไม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! กำลังเล่นตลกกับใจคนกันอยู่หรือไง นั่นก็อีกคน นี่ก็อีกคน จริงๆ เลยโว้ย!”

ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย คิมมูฮึน จะทำให้คนอื่นเขารู้สึกไร้ค่าไปถึงไหนกัน

“บัดซบ…โธ่เว้ย”

เพราะเพิ่งเคยชอบใครเป็นครั้งแรก ซึงจูจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าความรู้สึกแบบนี้มันปกติหรือเปล่า เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้วจึงไม่มีทางที่เขาจะรับมือกับอารมณ์ที่แปรปรวนอยู่ในตอนนี้ได้เลย

“เฮ้อ…”

ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะชอบมูฮึนมากขนาดนี้เลยสักนิด…

จริงอยู่ว่ามันอาจจะเป็นความรู้สึกที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาตั้งแต่เขายังเด็ก แต่ซึงจูก็เชื่อเสมอว่าตัวเองจะตัดใจเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่ไม่เคยนึกกังขาเลยสักครั้ง มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เร่าร้อนเหมือนคนอื่นๆ และมันก็ไม่ได้ทิ่มแทงใจให้ต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหมือนรักข้างเดียวที่ไม่สมหวังโดยทั่วไปอีกเช่นกัน

เขาเชื่อว่าถ้าควบคุมขนาดของความรู้สึกนี้เอาไว้ได้ ถ้ารักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมได้ หรือถ้าพยายามหักห้ามใจได้ สุดท้ายแล้วมันก็จะจบลงด้วยดีในสักวัน

“ทำไมนายต้องพูดเรื่องคิมมูฮึนขึ้นมาตอนนี้ด้วย…”

ทว่าคิมมูฮึนกลับทำให้ทุกอย่างพังทลายลงจนไม่มีชิ้นดี ถึงแม้ว่าเจ้าตัวอาจจะไม่มีเจตนาที่จะทำแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกแย่เพียงเพราะแค่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่มาจากเจตนาดีของเจ้าตัว แต่ถ้าหากว่ามันทำให้ผู้รับรู้สึกทุกข์ใจ มันก็เป็นได้แค่การล่อลวงกันไม่ใช่หรืออย่างไร

“…”

ซึงจูยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาพลางหอบหายใจ เขาก้มหน้าลงและพยายามคุมจังหวะลมหายใจที่หอบกระชั้นอยู่ในท่านั้นพักหนึ่ง เมื่ออารมณ์ที่พุ่งไปจนถึงขีดสุดค่อยๆ สงบลง คำถามของคนความรู้สึกช้าก็ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม

“นายร้องไห้เหรอ”

“ฉันจะร้องไห้ทำไม”

ซึงจูปฏิเสธทันควันพร้อมกับเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่เริ่มแดง ร้องไห้อะไรกัน นอกจากเขาจะไม่ได้ร้องไห้ง่ายๆ แล้ว ถ้าจะให้มาร้องไห้ในสถานการณ์แบบนี้เขาคงเสียดายน้ำตาแย่ ตอนนี้เขาโกรธจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปร้องไห้ได้ ถ้ายังมีแรงพอที่จะทำแบบนั้น สู้เก็บแรงไว้ใช้ด่าคนตรงหน้ายังจะดีเสียกว่า

“…”

“…”

ต่างคนต่างไม่เปิดปากพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง เพราะซึงจูมัวแต่พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ที่ท่วมท้น ส่วนอีกคนก็ทำเพียงมองดูเขาอยู่เงียบๆ โดยมีเพียงเสียงที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่งเท่านั้นที่เติมเต็มช่องว่างระหว่างพวกเขา

“ซอซึงจู นาย…”

ไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน คนตรงหน้าถึงได้เริ่มเปิดปากพูดขึ้น ก่อนจะถามคำถามแบบคนไม่รู้จักสังเกตอะไรเลยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงฟังดูเหมือนหุ่นยนต์

“นายไม่ชอบคิมมูฮึนขนาดนั้นเลยเหรอ”

“…”

เนื่องจากความเร็วของชีพจรเพิ่งจะผ่อนลง ซึงจูจึงเหม่อลอยไปชั่วขณะ

ไอ้บ้านี่…

ถึงจะมองไม่ออกว่าเขาชอบมูฮึน แต่เขาก็ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำถามแบบนั้นจากอีกฝ่าย ซึงจูถึงกับสงสัยขึ้นมาว่าหมอนี่ใช้ตรรกะแบบไหนถึงได้ทำให้หลงคิดไปแบบนั้นได้ และในตอนนั้นเองควางชิกก็ได้พูดเสริมขึ้นอย่างคนซื่อที่ไม่รู้ประสีประสา

“ไม่ชอบเขามากจนไม่อยากพูดถึงเขาเลยเหรอ”

“นี่…”

มันเหลวไหลมากจนซึงจูแค่นหัวเราะออกมาอย่างหมดแรง ดูเหมือนคนตรงหน้าจะเข้าใจคำถามที่ว่า ‘ทำไมนายต้องพูดเรื่องคิมมูฮึนขึ้นมาตอนนี้ด้วย’ ผิดไปแบบนั้น จริงอยู่ที่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับมูฮึนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ แต่มันก็เป็นข้อสรุปจากความเข้าใจที่ไร้สาระสิ้นดี

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านะ แค่ถามเพราะอยากรู้”

ซึงจูเกริ่นออกไปแบบนั้นก่อนเฟ้นหาคำที่จะพูดอยู่ในหัว เพราะเขาต้องเลือกประโยคที่ฟังดูไร้มารยาทน้อยที่สุดจากบรรดาความสงสัยมากมายที่อยากจะถาม เนื่องจากทั้งหมดในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คำถามที่ฟังดูตรงไปตรงมาเอามากๆ สุดท้ายคำถามที่เขาเลือกแล้วเลือกอีกก็เลยออกมาเป็นแบบนี้…

“นายไม่มีเพื่อนเหรอ”

“…”

ริมฝีปากของควางชิกเม้มเป็นเส้นตรง มันดูแข็งกร้าวอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้นโดยง่าย ซึงจูจึงมั่นใจว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง

ดูเหมือนจะจริงแฮะ…

ไม่ใช่แค่ตอนนี้ แต่พฤติกรรมของคนตรงหน้าที่ซึงจูเห็นมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน อย่างแรกเลยคือเขาดูไม่ชินกับการเผชิญหน้ากับผู้คน และยิ่งได้คุยกันบ่อยเท่าไหร่ บรรยากาศก็ดูจะผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเพื่อน ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่ารอบตัวเขาดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่เคียงข้างเลยมากกว่า

หมอนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่นะ

หลังจากได้ระบายความโกรธออกไปชุดใหญ่ อารมณ์ของเขาก็เริ่มเย็นลง เพราะแบบนั้นเขาจึงนึกถึงคำพูดที่ได้ยินจากคนตรงหน้าก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ นั่นก็คือเรื่องที่หมอนี่บอกว่าไม่มีทั้งชื่อและวันเกิด ซึงจูรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาว่าหมอนี่น่าจะมีความลับที่เขาไม่อาจจินตนาการได้ เพราะบนโลกนี้จะมีใครที่ไหนที่ไม่มีที่มาที่ไปกัน

“การไม่มีเพื่อนนี่มันผิดเหรอ…”

ผ่านไปได้พักหนึ่ง ควางชิกก็ได้พูดขึ้นมา ทั้งที่เสียงพูดนั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่มันกลับเป็นคำถามที่ทำให้ซึงจูรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ซึงจูยังระบายอารมณ์ในเรื่องที่ครึ่งหนึ่งไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายไปเสียยกใหญ่ เขาเลยยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

“ก็บอกว่าแค่ลองถามดูไง อย่าไปสนใจคำถามฉันนักเลยน่า”

ซึงจูจงใจตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาไม่ได้สนิทกับหมอนี่มากพอที่จะช่วยอธิบายความหมายของการมีอยู่ของเพื่อนให้ฟังอย่างมีน้ำใจ และเท่าที่สังเกต ตอนนี้เจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคำถามที่เขาเพิ่งถามไปนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่าเจ้าตัวคงจะไม่มีเพื่อนจริงๆ

คงเป็นเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายถึงได้ถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบนิ่ง

“สรุปแล้วนายไม่ชอบคิมมูฮึนใช่ไหม”

“…”

ไอ้คนดื้อด้านเอ๊ย

ซึงจูยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผากก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“โอ๊ย…ถ้าไม่ชอบได้ก็ดีน่ะสิ”

การจะเกลียดใครสักคนได้คนคนนั้นจะต้องมีสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเสียก่อน แต่การที่เขาจะไม่รู้สึกผูกพันกับคนที่คอยทุ่มเทดูแลเอาใจใส่ราวกับอุทิศตนแบบนั้นมันช่างยากเย็นเหลือเกิน คนเราจะเกลียดคนที่คอยอยู่เคียงข้างตัวเองมาตั้งแต่เกิดด้วยเหตุผลอะไรกัน

“ถ้าไม่ชอบแล้วฉันจะเอาเรื่องทั้งหมดที่นายพูดไปบอกทำไมล่ะ ถามมาได้ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว”

คำพูดที่ฟังดูคล้ายกับการตำหนินั้นทำให้ควางชิกตอบรับว่าอืมในลำคอเบาๆ พลางพยักหน้ารับราวกับว่าตัวเองก็ยอมรับในสิ่งที่ซึงจูพูดเหมือนกัน จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นขยับจัดหมวกหนหนึ่ง ทำให้เห็นบริเวณข้อมือใต้แขนเสื้อที่เลื่อนตกลงมา

“เดี๋ยวนะ นี่นาย…ทำไมข้อมือถึงได้เป็นแบบนั้นล่ะ”

ซึงจูอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะโพล่งออกมาแทบจะในทันที เพราะบนข้อมือที่ขาวจนซีดของเขามีรอยแผลที่เหมือนกับโดนอะไรกรีดอยู่หลายรอย คงต้องโทษตำแหน่งของมันที่อยู่ตรงข้อมือ ซึงจูจึงเผลอจินตนาการอะไรเลวร้ายไปชั่วแวบหนึ่ง แต่แล้วควางชิกก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายอะไร

“ฉันโดนแมวข่วนมาน่ะ”

“…”

“ดูเหมือนเล็บมันจะคมกว่าที่คิด”

ถ้าเป็นเล็บแมวมันก็ต้องคมอยู่แล้วไหม หมอนี่พูดเรื่องไร้สาระอะไรอีกเนี่ย

ซึงจูไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าที่ดูเหมือนว่าเขากำลังเจอเข้ากับเรื่องเหลวไหลเอาไว้ได้ แต่เมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาเหนือรอยข่วนเป็นทางยาวนั้นแล้วเขาก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว

“เดี๋ยวนะ เลือดยังออกอยู่เลยนี่…”

ทำไมมือปราบวิญญาณพวกนี้ถึงได้ทำตัวแบบนี้กัน ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันน่าจะเจ็บมาก แต่คนตรงหน้ากลับไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลยสักนิด

ท่าทางแบบนั้นดูเหมือนท่าทางของสมาชิกครอบครัวบ้านหลังข้างๆ ของเขามาก ซึงจูเดินไปพลางขยี้ศีรษะไปพลางอย่างประสาทเสีย

“ตามมาสิ เดี๋ยวฉันเอายาให้”

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 1-3

บทที่ 1 แค้นเก่า หวงหร่างกลายเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ผู้เก่งกล้าจากสำนักเซียนหลายคนฝ่าฟันอันตรายลักพาตัวนางออกมาด้วยความยา...

ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทนำ-บทที่ 1.2

บทนำ บนโลกนี้มีการเดินทางข้ามกาลเวลาที่สมบูรณ์แบบอยู่หรือไม่ น่าจะมีอยู่ หยางหวั่นก็คือคนโชคดีที่ได้เดินทางข้ามกาลเวลาคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 4-6

บทที่ 4 แป้งชาด ตอนตี้อีชิวกลับถึงกองเสวียนอู่ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กำลังจะสว่าง เขาจึงมิได้นอนอีก ตัดสิน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 7-9

บทที่ 7 กิเลส หิมะแรกหลังย่างเข้าฤดูเหมันต์มาเยือนเมืองหลวง หิมะแรกเล็กละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ปกคลุมไปทั่ววัง...

community.jamsai.com