everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
การสะกดรอยตาม และความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 เดอะเกรตโมเมนต์
“ครูคะ โตขึ้นหนูจะจัดตั้งวงดนตรี ครูว่าหนูจะทำได้หรือเปล่าคะ”
อีกห้านาทีจะเลิกคลาส จู่ๆ นักเรียนที่อยู่ตรงหน้าก็เอ่ยถามคำถามนี้
ฉินอีอวี๋รู้สึกอึดอัด
เพราะเหมือนตั้งแต่หนานอี่โผล่มา คำว่า ‘วง’ ที่เขาไม่ได้ยินมานานมากก็กลับเข้ามาเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในชีวิตของเขาบ่อยๆ
ให้ความรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องบรรลัยเกิดขึ้น
พอเห็นเขาไม่ตอบ เด็กหญิงตัวน้อยก็จับแขนเสื้อของฉินอีอวี๋แกว่งไปมา “ครูเสี่ยวอวี๋คะ? ครูได้ยินหรือเปล่าคะ”
ชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ที่เขาตั้งขึ้นไว้ใช้ในคลาสเรียน ตอนแรกฉินอีอวี๋ตั้งใจจะใช้ชื่อปลอมว่าต้าอวี๋ แต่ทั้งครูและนักเรียนต่างเรียกเขาว่าเสี่ยวอวี๋จนเขาขี้เกียจจะเถียง
“ได้ยินแล้วๆ ได้ยินเต็มสองหูปลา* เลย ตั้งวงดนตรีเหรอ…” เขากลืนคำว่า ‘ไม่ได้’ ที่อยากพูดกลับลงท้องไปตามสัญชาตญาณ แล้วยิ้มจนตาหยีขณะลูบศีรษะเด็กน้อย “ครูว่าพอหนูโตขึ้นแล้วพยายามหาเงินก่อนดีกว่านะ”
“หา? ทำไมล่ะคะ”
“เพราะการทำวงมันต้องใช้เงินเยอะ”
“ครูรู้ได้ไงคะ”
“ไว้หนูโตแล้วก็จะรู้เอง”
ฉินอีอวี๋ทำงานพาร์ตไทม์อยู่ในโรงเรียนสอนดนตรีสำหรับเด็กขนาดเล็กและอยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมดสามคน รวมหวังเลี่ยงที่เป็นเจ้าของโรงเรียนที่สอนไวโอลินด้วย
เมื่อครึ่งปีก่อนตอนที่ฉินอีอวี๋เพิ่งย้ายกลับมาจากยูนนานใหม่ๆ จิตใจของเขากำลังหดหู่เลยเดินเตร่อยู่ตรงวงแหวนที่สองถึงเจ็ดกิโลเมตรจนท้องหิว จึงถือโอกาสเดินเข้าไปในร้านบะหมี่เนื้อหลันโจวแห่งหนึ่ง บังเอิญได้นั่งโต๊ะเดียวกับหวังเลี่ยง อีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์ตัดพ้อว่าขาดครูสอนทฤษฎีดนตรีให้เด็กเล็ก ยังหาคนไม่ได้เลย
พอฉินอีอวี๋ได้ยินก็วางตะเกียบ ใช้นิ้วชี้ตัวเอง
‘คุณว่าผมพอไหวไหมครับ’
สภาพจิตใจของเขาไม่สามารถดีลกับผู้ใหญ่ แต่กับเด็กนักเรียน? น่าจะพอไหว
ประเด็นสำคัญที่สุดคือเขากำลังขาดเงิน
ฉินอีอวี๋ยังหวั่นหวาดกับเรื่องในอดีตและไม่อยากให้ใครรู้เรื่องบัดซบในวงเก่าของเขาจึงเก็บเนื้อเก็บตัว
“ครูเสี่ยวอวี๋คะ ครูร้องเพลงเพราะขนาดนี้ทำไมถึงไม่ไปประกวดล่ะคะ ประกวดแล้วได้เงินเยอะมาก! ซื้อลูกอมได้เพียบเลย!”
คำถามสุดครีเอตของเด็กน้อยดึงฉินอีอวี๋กลับมาจากอดีต
ทำไมใครๆ ถึงเชียร์ให้ฉันเข้าประกวดกันนักนะ อย่างกับจะเร่งให้ฉันไปตายอย่างนั้นแหละ
ชายหนุ่มใช้ข้อศอกยันโต๊ะและเอามือเท้าคาง พูดอย่างเกียจคร้านว่า “หนูรู้ไหมว่าครูมีสิ่งที่ไม่ชอบแบบสุดๆ สามอย่าง”
เด็กน้อยส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “สามอย่างคืออะไรเหรอคะ”
ฉินอีอวี๋ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ตรงที่เวลานับเลข เขาจะชูนิ้วกลางออกมาก่อน “หนึ่ง ร้องเพลง”
ต่อด้วยนิ้วชี้
“สอง การประกวด”
เด็กน้อยร้องอ๋ออย่างเข้าใจ “แล้วอะไรอีกคะ”
สุดท้ายฉินอีอวี๋ยกนิ้วนางขึ้นมา
“สาม เด็กเปรตช่างจ้อ”
พอทำแบบนี้เด็กน้อยก็หยุดพูดแล้วร้องไห้โฮออกมาทันที ฉินอีอวี๋ต้องหาทิชชูมาเช็ดน้ำมูกให้เธอจนมือเป็นระวิง และพอเห็นเด็กน้อยไม่ยอมหยุดร้อง เขาก็ร้องไห้แงๆ เลียนแบบเธอ
แล้วได้ผล
พอเลิกคลาสฉินอีอวี๋พาเด็กหญิงตัวน้อยลงไปชั้นล่าง ที่หน้าโรงเรียนมีแผงขายถังหูลู่* เขาจึงซื้อซานจาที่มีโมจิมาหนึ่งไม้ บนยอดเป็นองุ่นเขียวลูกใหญ่
พอจ่ายเงินเสร็จฉินอีอวี๋ก็ยื่นถังหูลู่ให้นักเรียน
“ขอบคุณค่ะคุณครู!” เด็กน้อยรับถังหูลู่ไปอย่างกระตือรือร้น แต่ฉินอีอวี๋กลับไม่ยอมปล่อยมือและไม่ได้ขยับตัว
“ใครบอกว่าครูให้เธอทั้งไม้ เอาองุ่นเขียวลูกบนสุดไปพอ” ฉินอีอวี๋พยักพเยิดหน้า “ครูไม่ชอบกินองุ่น”
เด็กน้อยทำท่าจะร้องไห้อีกรอบและกระทืบเท้าอย่างโมโห “ครูนิสัยไม่ดี!”
ฉินอีอวี๋กัดถังหูลู่ลูกล่างหนึ่งลูกแล้วพูดเสียงอู้อี้ “แล้วใครบอกว่าไม่ใช่น่ะ ครูเป็นครูที่นิสัยไม่ดีสุดๆ เลยต่างหาก”
กว่าผู้ปกครองจะมารับตัวเด็กน้อยกลับไปถังหูลู่ก็หมดไม้ ฉินอีอวี๋นั่งรถเมล์กลับไปที่ร้านของโจวไหว
สองสามวันนี้มีลูกค้าเยอะมากจนโจวไหวยุ่งมือเป็นระวิง ฉินอีอวี๋มือเหนียวจากถังหูลู่เลยเข้าไปล้างมือในร้าน เสร็จแล้วก็ยกม้านั่งมานั่งตรงหน้าโจวไหวกับลูกค้า ไม่พูดไม่จาเอาแต่จ้องอย่างจริงจัง
ปกติฉินอีอวี๋จะชอบยิ้มตาหยี เอามือสอดไว้ในกระเป๋าเดินกร่างไปทั่ว ผมของชายหนุ่มฟูฟ่องและเป็นลอนนิดๆ ประกอบกับเขาชอบหรี่ตาทำให้ดูเหมือนสัตว์จำพวกแมวขนาดใหญ่ที่แสนเกียจคร้าน ทว่าความจริงฉินอีอวี๋มีดวงตาที่ดำและใหญ่กว่าคนทั่วไป เวลาที่เขาไม่พูดแล้วเบิกตาจ้องใครก็จะแผ่ความรู้สึกกดดันแบบบาดลึกและเต็มไปด้วยการท้าทายออกมาเหมือนตาน้ำสีดำสองบ่อที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ชายฉกรรจ์ที่มีรอยสักนอนคว่ำเปลือยหลังอยู่บนเตียงถูกฉินอีอวี๋จ้องจนขนลุกซู่
“คุณพี่รูปหล่อคนนี้…เป็นลูกค้าคนถัดไปเหรอครับ”
“เขาน่ะเหรอ ไม่ใช่หรอก” โจวไหวกำลังก้มหน้าแต่งสีพลางตอบว่า “หมอนี่เป็นเพื่อนตายของผมเอง”
“อ๋อ” ชายฉกรรจ์กระแอมลำคอให้โล่ง “งั้นให้เขาออกไปก่อนได้ไหมครับ เขาจ้องจนผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
ฉินอีอวี๋กะพริบตาแล้วยิ้มแบบหน้าด้านหน้าทน “พี่ครับ ผมเป็นเพื่อนตายของช่าง ไม่ใช่มาเฟียนะครับ”
“นายออกไปก่อน!” โจวไหวหยุดเครื่องสักและหางานให้อีกฝ่ายทำ “พอดีเลย เมื่อเช้าฉันขับรถมาแล้วเหมือนจะทำกระเป๋าตังค์ตกไว้ในรถ ไปช่วยหาให้ฉันหน่อย”
โจวไหวพูดจบก็ล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนให้ฉินอีอวี๋
“ได้เลยครับเถ้าแก่โจว” ฉินอีอวี๋ลุกขึ้นแล้วตั้งใจก้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูชายฉกรรจ์เบาๆ ว่า “คุณค่อยๆ สักไปนะ”
โจวไหวทนไม่ไหวเลยประเคนฝ่าเท้าให้เขาทีหนึ่ง แต่เสียดายที่เตะไม่โดน
ฉินอีอวี๋ฮัมเพลงเด็กที่เพิ่งใช้สอนไปวันนี้พลางเปิดประตูรถ หย่อนก้นลงบนที่นั่งคนขับ ก้มตัวค้นหากระเป๋าสตางค์อยู่เป็นนานสองนาน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เขาจึงหมุนตัวยืดคอไปหาที่เบาะหลัง แต่ก็ไม่เจอเหมือนกัน
“อำกันหรือเปล่าเนี่ย โอเค งั้นฉันจะสูบบุหรี่ของนายให้เกลี้ยงเลย”
ชายหนุ่มเปิดคอนโซลอย่างรู้ที่ทางดี เขาไม่เจอบุหรี่ของโจวไหว แต่เจอจดหมายที่ซ่อนอยู่ด้านในสุด
แค่เห็นคำว่ายูนนานในกรอบแสดงที่อยู่บนจดหมาย ฉินอีอวี๋ก็ชะงักเล็กน้อย
เพราะเขาคุ้นกับลายมือโย้เย้บนซองจดหมายฉบับนี้ดี
ชั่วพริบตานั้นเหมือนปุ่มล่องหนถูกกดทำให้เสียงภายในรถเงียบลงฉับพลัน เสียงทุกอย่างถูกกันออกไปข้างนอก แม้แต่แสงสว่างก็ยังดับหายไป
อยู่ดีๆ ฉินอีอวี๋ก็คิดถึงท่าทางแปลกๆ ของโจวไหวในช่วงสองสามวันมานี้…ทั้งเรื่องที่คอยถามเขาว่าเจ้าหนี้ตามมาถึงบ้านแล้วหรือยัง กับการที่อีกฝ่ายมีท่าทีอึกอักพูดไม่จบ
ที่แท้มันก็มีสาเหตุ
จดหมายถูกเปิดแล้ว ข้างในมีกระดาษสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นจดหมายและอีกแผ่นหนึ่งเป็นภาพภูเขาขนาดใหญ่ที่วาดด้วยปากกาลูกลื่น ที่เชิงเขามีเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งล้อมคนตัวสูงคนหนึ่งไว้ คนตัวสูงในภาพคือฉินอีอวี๋เพราะผมเป็นลอนและขนตายาวมาก ยาวจนเหมือนปีศาจ แถมบนหน้ายังมีไฝเม็ดหนึ่งด้วย
ฉินอีอวี๋ในภาพกำลังนำเด็กๆ กลุ่มนี้ร้องเพลง ตัวโน้ตลอยว่อนอยู่ในอากาศ
แต่เนื้อหาในจดหมายกลับแตกต่างจากภาพที่ดูมีความสุขนี้อย่างสิ้นเชิง ทำให้ภาพแห่งความสุขกลายเป็นความเศร้า
ระหว่างที่อ่านจดหมาย โรคเก่าของฉินอีอวี๋ก็กำเริบอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงเด็กน้อยในป่าและได้ยินเพลงที่ตัวเองสอนให้พวกเด็กๆ ร้อง ยิ่งได้ยินก็ยิ่งรู้สึกหนาวจนหัวใจร่วงจากหน้าผาของภูเขาในยูนนานลงไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด
โรคหัวใจกับอาการช็อก
ตัวอักษรอัปลักษณ์พวกนี้เหมือนแมลงเม่าที่พุ่งเข้าใส่หน้าเขาไม่หยุด แต่จับตัวไม่ได้และไม่มีทางจับหมด
เวลาภายในรถคล้ายหยุดนิ่ง ตอนที่โจวไหวเดินมาท้องฟ้าก็มืดแล้ว
“ฉันแค่วานให้นายมาหากระเป๋าตังค์ มันทำให้นายขาดใจคารถเลยหรือไงฮะ” โจวไหวเปิดประตูรถพลางด่ากราด
แต่พอเห็นจดหมายที่อยู่ในมือของฉินอีอวี๋ โจวไหวก็อึ้งงันอยู่ที่เดิม ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เขาจะเปิดปากได้อีกครั้ง
“อย่าว่าที่ฉันไม่บอกนายเลยนะ ฉัน…” โจวไหวอึกอักเหมือนมีก้างปลาติดคอ “ไม่รู้ว่าจะบอกนายยังไง เพราะสถานการณ์ของนายตอนนี้ ลำพังแค่ตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว จะเอาเงินมากมายที่ไหนมาให้เขา…”
“แล้วนายจะปิดเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน” ฉินอีอวี๋ไม่ได้แสดงท่าทีอารมณ์เสีย แต่มองโจวไหวตรงๆ ด้วยสีหน้าที่ปราศจากความทะเล้นตามปกติ
โจวไหวร้อนใจ “แล้วนายว่าฉันควรทำยังไง?! โรคของเด็กนั่นไม่ใช่โรคเล็กๆ โรคหัวใจต้องรักษากันยาว ตอนนี้ตัวนายเองก็เป็นพระโพธิสัตว์ดินลอยข้ามน้ำ* นายจะไปเอาเงินที่ไหนมาทำบุญ นึกว่าตัวเองยังทำได้เหมือนเมื่อก่อนเหรอ”
พอพูดจบทั้งสองคนก็เงียบไปพร้อมกัน
โจวไหวรู้สึกเหมือนถูกมีดปาดคอ เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีว่าเขาไม่ควรพูดจาแบบนี้และไม่ควรพูดประโยคสุดท้ายออกไป
แต่สุดท้ายรอยยิ้มของฉินอีอวี๋ก็ทำลายความเงียบนี้ลง
“นายพูดถูก” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วถือจดหมายลงจากรถ “ฉันกลับล่ะ”
โจวไหวพยายามขวางเขาไว้ “ฉันจะให้นายยืมเงินก้อนหนึ่งก่อน จะได้พาเด็กไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง”
“ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ขอฉันคิดหาวิธีเองก่อน” ฉินอีอวี๋เดินหายไปในตรอกมืดโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาโบกมือให้โจวไหวทั้งที่ยังหันหลังให้อีกฝ่ายว่า “นายก็นอนเร็วหน่อยนะ”
เมื่อกลับถึงห้องเช่าที่อพาร์ตเมนต์ ฉินอีอวี๋ก็ดึงกล่องกีตาร์ที่ถูกฝุ่นจับออกมาจากใต้เตียง เขาเป่าฝุ่นบนกล่องกีตาร์ออกจนตัวเองสำลักไอค่อกแค่ก
ฉินอีอวี๋เปิดกล่อง ข้างในมีกีตาร์สีเหลืองส้มเป็นมันวับหนึ่งตัว โคมไฟตั้งโต๊ะดวงเล็กที่หัวเตียงสาดแสงตกกระทบกีตาร์ให้เปล่งประกายเหมือนใหม่
เมื่อก่อนเขามีกีตาร์เต็มห้อง วางเรียงกันราวกับร้านขายกีตาร์ ต่อมาเขาก็ทิ้งบ้าง ขายบ้าง จนเหลืออยู่เพียงไม่กี่ตัว
ที่เขาเก็บกีตาร์ตัวนี้ไว้เพราะมันเป็นของขวัญวันเกิดที่เขาได้รับมาตอนอายุสิบแปดปี
ตอนนั้นแม่ตำหนิเขาว่าไม่เอาการเอางาน แต่กลับแอบไปซื้อกีตาร์ที่เขาอยากได้มานาน มันวางอยู่ที่หัวเตียงของฉินอีอวี๋ตอนเขาหลับ
เช้าตรู่วันต่อมาฉินอีอวี๋อุ้มกีตาร์ไปที่ห้องแม่เพื่อเล่นเพลงเมอร์รี่คริสต์มาสแปร่งๆ ให้แม่ที่กำลังแต่งหน้าอยู่ฟัง
‘ลูกเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย’ แม่ว่าพลางทาลิปสติก
‘วันนี้ผมเจอความลับที่น่าตกใจสองอย่าง!’
‘อะไรเหรอ’
ฉินอีอวี๋ดีดโน้ตตัวสุดท้ายแล้วพูดอย่างขึงขัง ‘อย่างแรกคือคริสต์มาสฉลองกันตอนหน้าร้อน’
เขาจำภาพหัวคิ้วของแม่ที่ย่นเข้าหากันน้อยๆ กับดวงตาที่ฉายแววไม่เข้าใจได้อย่างแม่นยำ
‘และอย่างที่สองคือซานตาคลอสเป็นผู้หญิง!’
การคิดถึงเรื่องพวกนี้ทำให้ฉินอีอวี๋เริ่มปวดศีรษะอย่างรุนแรง
เขาลุกขึ้นไปหยิบเบียร์หนึ่งขวดจากตู้เย็นแล้วดื่มรวดเดียวเกินครึ่ง จากนั้นค่อยทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอีกครั้ง ฉินอีอวี๋ส่งข้อความให้หวังเลี่ยงผู้เป็นเจ้านายของเขา
เสี่ยวอวี๋ พี่เลี่ยงครับ จำได้ไหมว่ารอบก่อนผมขอให้ลูกพี่ลูกน้องของพี่ช่วยผมขายกีตาร์ให้ในตลาดมือสอง แล้วสองวันนี้ผมเพิ่งย้ายบ้านเลยเจอกีตาร์อีกหนึ่งตัว
เขาเขียนเสร็จก็ลบข้อความทิ้งเพื่อเขียนใหม่อีกครั้ง สุดท้ายก็กดส่งข้อความอย่างตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก่อนโยนมือถือทิ้ง
เสี่ยวอวี๋ รบกวนพี่ช่วยขายให้ผมหน่อยสิครับ
ฉินอีอวี๋ดื่มเบียร์ไปเยอะมากจนสะดุ้งตื่นเพราะปวดกระเพาะตอนตีสี่
แล้วเขาก็ไม่ได้หลับต่ออีก แต่ลุกขึ้นมาโทรหาโจวไหว ทำเหมือนว่าเมื่อตอนเย็นพวกเขาสองคนไม่ได้มีปากเสียงกัน
“นายแม่งบ้าหรือเปล่าวะ!” ถึงโจวไหวจะฉุนขาดจนด่ากราดแต่ก็รับสายทันที
ไม่มีใครพูดถึงจดหมายฉบับนั้น
“เปล่า” ฉินอีอวี๋แกะยาแก้โรคกระเพาะสี่เม็ดมายัดใส่ปากรวดเดียว เคี้ยวหยับๆ สองสามทีแล้วพูดเสียงอู้อี้ “นี่ ไหวจื่อ นายยังจำเทศกาลดนตรีที่ฉันเคยเข้าร่วมด้วยได้ไหม”
น้ำเสียงของโจวไหวยังมีความโกรธกรุ่นอยู่ไม่หาย “ช่วงที่กำลังดัง ปีปีหนึ่งนายไปเข้าร่วมงานเทศกาลดนตรีตั้งกี่งาน ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่านายหมายถึงงานไหน”
“ก็งานที่จัดที่หาดอรัญญา* ไง ช่วงฤดูร้อนแล้วเกิดมีพายุกลางงาน ลมแรงจนพัดสโลแกนที่พวกคนดูชูอยู่ด้านล่างเวทีปลิวไปหมดเลย”
“อ๋อ…ที่วันนั้นนายใส่เสื้อฮาวายนั่นน่ะเหรอ ใครเลือกเสื้อให้นายวะ โคตรทุเรศเลย” โจวไหวด่าจบก็นึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้เลยตื่นเต็มตา “ฉันนึกออกแล้ว! วันนั้นพอกลับมานายก็บังคับให้ฉันวาดรูปให้ ฉันเลยต้องทำงานหลังขดหลังแข็งอย่างกับเจ้าหน้าที่วาดภาพเหมือนประจำสถานีตำรวจ แต่กลับไม่ได้ค่าจ้างสักแดงเดียว คิดแล้วมันแค้นจริงๆ!”
“ถูกต้อง ภาพนั้นแหละ” ถึงตอนนี้ฉินอีอวี๋ก็ยังเก็บภาพนั้นไว้ “ฉันให้นายวาดดวงตาของเขา เมื่อกี้ฉันนอนฝันถึง”
ความจริงฉินอีอวี๋ไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้เลย แต่เมื่อมันมาเกิดขึ้นกับตัวเขาจริงๆ ก็ยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่
ว่าทำไมถึงมีคนที่มีดวงตาตราตรึงใจเขานัก
วันนั้นเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขา เป็นวันที่เขาได้อยู่ในจุดสูงสุดของกราฟ
วงดิสออเดอร์คอนเนอร์ (Disorder Conner) เพิ่งจะปล่อยซิงเกิลใหม่ มีการประกาศทัวร์คอนเสิร์ตบนเวทีในงานเทศกาลดนตรีอันยิ่งใหญ่ มีคนหลายหมื่นคนเบียดเสียดกันอยู่ที่ด้านล่างเวที คอยแหงนหน้าขึ้นมองดูเขา การแสดงในวันนั้นใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟ็กต์ และการโซโล่แบบด้นสดของเขาก็ดีกว่าครั้งไหนๆ
ตอนยืนอยู่บนลำโพงท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ฉินอีอวี๋ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้ครอบครองโลกทั้งใบ
ลมแรงพัดหวีดหวิวจนเสื้อกันฝนของผู้คนจำนวนมหาศาลที่อยู่ด้านล่างเวทีกระพือพึ่บพั่บและม้วนขึ้นราวกับคลื่นอย่างสวยงาม แต่ละคนดูไม่จืดทว่ามีความสุข ฉินอีอวี๋หัวเราะขณะฟังสมาชิกคนอื่นๆ ในวงเข้าช่วงทอร์ก แต่สายตาของเขากลับถูกใครบางคนที่ด้านล่างเวทีซึ่งถูกลมพัดจนหมวกเปิดดึงดูดไป
เจ้าของหมวกใส่มาสก์ ตอนเงยหน้าขึ้นมาผมสีดำตัดสั้นก็ถูกลมพัดยุ่งเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นเหมือนมีตะขอคมกริบมาเกี่ยวให้ฉินอีอวี๋ต้องมองอีกฝ่าย ดวงตากระจ่างใสสะท้อนกับแสงบนเวที ทำให้ชั่วพริบตาที่พวกเขาสบตากัน ฉินอีอวี๋รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับหมาป่าที่หลุดเข้ามาในดงมนุษย์
แค่ชั่วพริบตาเดียวคนคนนั้นก็หายตัวไปเหมือนภาพฝัน
ฉินอีอวี๋อึ้งงันอยู่บนเวทีจนร้องเพลงต่อไปไม่ตรงบีต ชายหนุ่มเกือบกระโดดลงจากเวทีไปตามหาคนคนนั้นกลางคลื่นมหาชนเพื่อกระชากตะขอคมนั้นออกมาจากดวงตาสีน้ำตาล แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอย่างใจคิด สวี่ซือซึ่งเป็นมือเบสก็คว้าแขนเขาไว้ก่อน
ต่อมาท่าทางแปลกๆ นี้ของเขาก็กลายมาเป็น ‘หลักฐานยืนยัน’ ข่าวลือเรื่องที่เขาติดยา
หลังจากนั้นฉินอีอวี๋ก็คิดหาวิธีสารพัดถึงขั้นไปขอฮาร์ดดิสก์ของช่างภาพ แต่กลับหาคนคนนั้นไม่พบ
หรือนั่นจะเป็นภาพลวงตาจริงๆ?
แต่ก่อนขึ้นเวทีวันนั้นฉินอีอวี๋ไม่ได้แตะเหล้าเลยสักหยดและมีสติแจ่มใสกว่าครั้งไหนๆ
แม้แต่ความทรงจำที่เป็นเรื่องจริงก็ยังมีสิทธิ์เลือนหายได้ สิ่งแรกที่ฉินอีอวี๋ทำหลังจากเครื่องบินลงจอดที่ปักกิ่งคือการไปหาโจวไหวเพื่อขอให้เขาสเก็ตช์ภาพให้
โจวไหวในตอนนั้นไม่เข้าใจอะไรเลย เขาจึงวาดภาพไปพลางกินแตง* ไปพลาง
“นี่นายชอบเขา? ทั้งที่เห็นแค่ตาเองเหรอ แล้วชอบถึงขั้นไหน”
ฉินอีอวี๋ขบคิดอย่างจริงจัง
“ถึงขั้นที่ฉันขัดใจ อยากระเบิดโลกทั้งใบ แต่ฉันจะปล่อยให้เขานั่งจรวดหนีออกไปก่อน พอฉันระเบิดโลกเสร็จค่อยตามเขาไป”
โจวไหวหมดคำจะพูด
“นายแม่งโรคจิต ฝันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแบบนี้ โรคจิตชัดๆ” โจวไหวด่าแล้วเริ่มบ่น “วันนั้นกว่าเหล่าจื่อ** จะวาดรูปให้นายเสร็จก็ล่อไปตีสอง แถมฉันยังต้องสักให้นายอีก ทำเอาฉันลืมตาไม่ขึ้นเลย!”
ฉินอีอวี๋ยกมือขึ้นลูบลูกกระเดือก
ในความฝันเขาแทบจำตัวเองในอดีตที่ทั้งกร่างและลำพองไม่ได้ แต่กลับจำสองสามวินาทีที่ตะลึงงันได้อย่างชัดเจน
อาจเพราะความหวั่นไหวในชั่วพริบตานั้นมันรุนแรงมากทำให้ตัวเขาในอดีตอยากเก็บรักษามันเอาไว้ ราวกับถูกอะไรเข้าสิง
ฉินอีอวี๋หัวเราะเบาๆ เหมือนเย้ยหยันตัวเอง “ก็จริง ไม่รู้ทำไมฉันถึงฝันถึงมันอีก”
Sternstunde*…คือช่วงเวลาที่น่าทึ่งและพลิกผันที่สุดในชีวิต
ฉินอีอวี๋ในคืนนั้นหยิบภาพสเก็ตช์ที่โจวไหวทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมา ที่มุมขวาล่างของภาพมีตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ เขาจึงบอกโจวไหวให้สักตัวอักษรนี้ให้เขา
ฉินอีอวี๋ยอมรับแบบโรคจิตว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่เป็นช่วงเวลาแห่งดวงดาวของเขา
และเป็นช่วงเวลาที่เขาถูกดวงตาลึกลับคู่หนึ่งสะกดให้ต้องมนตร์
* ปลา ในภาษาจีนอ่านว่าอวี๋ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าอวี๋ในชื่อของฉินอีอวี๋
* ถังหูลู่ เป็นชื่อขนมหวานเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง แต่เดิมใช้ผลซานจา (พุทราป่า) เสียบไม้ไผ่เป็นแท่งเหมือนลูกชิ้นแล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อมให้ผิวนอกแข็งตัวเป็นเงาวาว รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ปัจจุบันดัดแปลงเป็นผลไม้ชนิดอื่นด้วย เช่น สตรอเบอรี่ กีวี่ สับปะรด
* พระโพธิสัตว์ดินลอยข้ามน้ำ เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากหรือประสบปัญหาอย่างหนักจนไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการช่วยเหลือผู้อื่น
* อรัญญา (Aranya) เป็นเขตชุมชนเพื่อพักผ่อนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลที่เมืองท่าฉินหวงเตา มณฑลเหอเป่ย
* กินแตง ใช้เปรียบเปรยถึงท่าทางการล้อมมุงดูเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง โดย ‘แตง’ หมายถึงข่าวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนหรือเรื่องซุบซิบบางอย่าง คล้ายคำว่า ‘กินเผือก’ ของไทย
** เหล่าจื่อ เป็นภาษาพูด มักเป็นสรรพนามที่ชายสูงอายุใช้เรียกแทนตัวเอง หรือเป็นคำแทนตัวเมื่อต้องการวางอำนาจ วางมาดใหญ่โต
* Sternstunde เป็นภาษาเยอรมัน มีความหมายว่าช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์หรือช่วงเวลาที่น่าจดจำ
Comments
