everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย
บทที่ 12 ยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า
สำหรับทุกคนในไลฟ์เฮ้าส์ การแสดงของวงเล่นเปิดนั้นไปไกลเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่นี่เหมือนจะเกิดจลาจลขึ้น แต่ตอนนี้กลับถูกควบคุมโดยการแสดงของทั้งสามคนไปเรียบร้อยแล้ว
บนเวทีหลังท่อนเวิร์สที่สองฉือจือหยางก็เร่งกลองให้เร็วขึ้น หนานอี่ก็เล่นเบสโดยใส่เอฟเฟ็กต์ให้เสียงแตกพร่าพร้อมกับแท็ปปิ้ง* และสแล็ปอย่างรวดเร็วทำให้อารมณ์ในงานพุ่งสูง
“กลองมันส์มาก!”
“แม่งเอ๊ย เบสโคตรสะใจ!”
“สแล็ปห้าสายแจ่มว้าว เท่สุดๆ”
“เบสกับกลองประชันกันใช่ไหม! ดุเดือดมาก!”
หานเจียงที่เป็นกรรมการอีกคนเพิ่งมาถึงตอนนี้ เขาเพิ่งวางสายจากเฉินอวิ้น ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมกับภารกิจที่ได้รับมา เขายังไม่ทันได้ฟังเพลงก็ยิ้มพลางจุดบุหรี่ให้จ้าวหนานที่อยู่ด้านหนึ่ง
แต่จ้าวหนานปฏิเสธแล้วทำมือให้เขามองไปที่เวทีแบบไร้เสียง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หานเจียงเจอจ้าวหนาน เขาจึงรู้นิสัยเสียที่ชอบทำตัวสูงส่งของอีกฝ่ายดี จึงได้แต่แบไพ่ออกไปตรงๆ “แล้วยังไง เมื่อกี้ลูกชายประธานเฉินโทรหาผม บอกว่าในวงที่เล่นเปิดมีคนที่มีเรื่องกับเขา ขอให้พวกเราหาวิธีกำจัดเขาออกไป”
หานเจียงไม่เหมือนจ้าวหนานที่เป็นโปรดิวเซอร์ เพราะหานเจียงเป็นนักร้องที่ยังต้องพึ่งทรัพยากรจากบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์เพื่อออกเพลง เขาจึงจำเป็นต้องซื้อใจคุณชายใหญ่ไว้
แต่จ้าวหนานทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจ แถมยังกดปุ่มโหวตที่อยู่ตรงหน้าด้วย ไฟสีสดสว่างจ้าตรงไปที่เวที
หานเจียงไม่รู้จะพูดยังไงดี “พี่หนาน…ถ้าพี่ทำแบบนี้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บคะแนนของตัวเองไว้ ขอโทษด้วย ยังไงผมก็คงต้องบอกพี่ก่อน”
ไม่มีใครรู้เรื่องการต่อรองผลประโยชน์ที่ชั้นสอง เพราะด้านล่างเวทีผู้คนที่ตั้งใจจะมาเล่นมือถือเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอวงที่ตัวเองชอบค่อยๆ อินกับงานและถูกดนตรีชักจูงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว เสียงเบสอันดุดัน เสียงร้องแสนเย็นชา ท่าทางบนเวทีที่ดูสงบสำรวม ผสมผสานกันออกมาเป็นแรงกระแทกอย่างรุนแรง
“ลอกเปลือกอันจอมปลอมทั้งเป็น กล้ำกลืนความปรารถนา ไม่ยอมเรียนรู้การยอมจำนน”
ใบหน้าของหนานอี่ยังคงฉายแววความเหนื่อยล้า แต่กลับมีเสน่ห์เป็นพิเศษ
เบสในมือเขากลายเป็นเชือกที่คล้องคอทุกคน สามารถควบคุมประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่ตัวของเขาเองกลับเป็นคนเพียงคนเดียวในที่นี้ที่ไม่ถูกชักใย
“สัญชาตญาณดิบมันไม่เชื่อง”
ฉือจือหยางอินไปกับเพลง เหงื่อโชกกาย ทำได้ดีกว่าตอนซ้อมเสียอีก
เสียงกลองดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพายุเทกระหน่ำ ลอกเปลือกของทุกคนออกแล้วใช้ค้อนทุบเปิดโครงกระดูก ปลุกความดิบเถื่อนขึ้นมาทำให้หัวใจแต่ละดวงที่อยู่ด้านล่างเวทีกระดอนออกมาเต้นที่นอกอก กลายเป็นหัวใจสิงห์ที่เต้นเร็วขึ้นๆ แรงขึ้นๆ จวนเจียนจะระเบิด
ทะเลสีแดงฉานขยายตัวออกไปเหมือนกุหลาบที่เบ่งบานเป็นผืนใหญ่
เครื่องดนตรีทุกชิ้นมีการเว้นช่วง ซึ่งความเงียบหนึ่งวินาทีนี้เหมือนเป็นโอกาสที่มอบให้พวกเขาได้หายใจหายคอ
หนานอี่ดีดสายอีกครั้งและร้องเพลงอีกรอบ
“เธอบอกว่าอย่าบ้านักได้ไหม”
“เพราะที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคนบ้า”
ทุกคนพร้อมแล้วสำหรับประโยคถัดไป พวกเขาตั้งใจจะใช้พลังทั้งหมดที่มีร้องท่อนฮุคซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเพลงนี้เพื่อที่จะได้ไปสู่จุดไคลแมกซ์และจุดพีคที่สุดของอารมณ์พร้อมๆ กัน
สิ่งที่มาเร็วกว่าความสุขของการขึ้นสู่จุดสูงสุดคือความมืดมิดที่มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
ราวกับชั่วขณะนั้นมืดบอด
“ฟัค?” ฉือจือหยางงุนงง
เสียงหายเหมือนลำโพงช็อต
แล้วเรื่องมันดันมาเกิดตอนใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์อย่างตอนนี้พอดี
พอพวกเขากำลังจะจับปลายสายฟ้าท่ามกลางเสียงดนตรีได้ก็ถูกน้ำเย็นหนาวเสียดกระดูกสาดฉับพลัน ทำให้ทุกอย่างมืดเหมือนพายุสาดซัดใส่ทุกคนในงาน เปลวไฟที่พุ่งออกมาจากอุโมงค์น้ำแข็งก็ดับสนิทลง
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เมื่อเจอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จ้าวหนานก็เกิดคำถามขึ้น เช่นเดียวกับผู้ชมด้านล่างเวที แวบแรกเขาหันไปมองหานเจียงที่อยู่ข้างๆ และสุดท้ายเขาก็เอ่ยถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ฝีมือพวกนายเหรอ”
แต่หานเจียงปฏิเสธทันที “ผมไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เฉินอวิ้นคุยกับผมแค่เรื่องโหวตเท่านั้น!” หานเจียงลุกขึ้นมองความโกลาหลที่ชั้นหนึ่งแล้วถามว่า “หรือมันจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน?”
“ไม่เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก” จ้าวหนานเปิดวิทยุเพื่อถามสตาฟฟ์ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ไม่นานความเดือดดาลของเขาก็ได้รับการตอบรับ แต่ยังคงไม่ชัดเจน ดูจากความแตกตื่นของสตาฟฟ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา
ในช่วงที่ทุกคนถูกอุบัติเหตุขัดจังหวะให้หมดอารมณ์ จางจื่อเจี๋ยรีบเผ่นหนีจากแผงควบคุมหลักหลังเวที ก่อนจะออกจากดรีมไอแลนด์แล้วโทรหาเฉินอวิ้น
ถึงขั้นนี้แล้วเขาไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องจะจบสวย
ภายในสถานที่อันอึกทึกนั้นมีเสียงดังเซ็งแซ่ บางคนก่นด่าผู้จัดงาน แต่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ อารมณ์สนุกที่ถูกการแสดงของพวกหนานอี่จุดขึ้นมานั้นตกลงอีกครั้ง ซ้ำยังแย่กว่าตอนแรกอีก
ตอนนี้ริสต์แบนด์ที่ตอนแรกเปิดไฟสว่างเกินครึ่งดับลงพร้อมกัน
เหยียนจี้นิ่วหน้า อดคิดถึงผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ เนื่องจากไลฟ์เฮ้าส์เป็นสถานที่ที่ต้องอาศัยฮอร์โมนกับเอนดอร์ฟิน หลายสิ่งจะถูกตัดสินด้วยอารมณ์ในหนึ่งวินาที หากถูกขัดจังหวะความเร้าใจและความกระหายจะพลอยหายวับ
หากให้เริ่มใหม่กันอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่ตั้งใจกดริสต์แบนด์ที่ดับลงไปแล้วอีก
ท่ามกลางความมืดที่ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด หนานอี่ได้ยินเสียงผู้กำกับในอินเอียร์ที่ทั้งแตกตื่นและโวยลั่น
ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ราวกับอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นช่วงพักที่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด
แม้การแสดงเมื่อครู่จะไม่มีปัญหาและไม่ได้แตกต่างจากตอนซ้อม
แต่มันมีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งคือทั้งๆ ที่เขาปลุกอารมณ์ของทุกคนขึ้นมาได้ แต่หัวใจของตัวเองกลับนิ่งสนิทเหมือนน้ำนิ่ง
นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นมายืนบนเวทีและทำการแสดงจนถึงเมื่อหนึ่งวินาทีก่อน หนานอี่ไม่ได้อินไปกับมันเลย ทั้งที่เขาทุ่มเทอะไรต่อมิอะไรไปมากเพื่อวันนี้ เฝ้ารอมานานแสนนานและฝึกซ้อมอยู่นานมาก ทว่าสุดท้ายกลับเหมือนมีหมอกมาบังทำให้เขาไม่สามารถมีอารมณ์ร่วมและสนุกได้อย่างเต็มที่
สู้ตอนที่เขาเล่นโซโล่ที่บ้านของฉินอีอวี๋ยังไม่ได้ อย่างน้อยตอนนั้นฝ่ามือของเขาก็ยังมีเหงื่อซึมจริงๆ
พอคิดถึงชื่อนี้ขมับของหนานอี่ก็เต้นตุบๆ ขึ้นมา
ตอนนี้เองชายหนุ่มพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ตาเริ่มแห้งและแสบเคือง ในความมืดที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้น อยู่ดีๆ สายตาของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจนอย่างน่าประหลาด
เมื่อเขารับรู้ได้ถึงคนคนหนึ่ง
ท่ามกลางเงามืดที่วูบไหวและใบหน้าอันพร่ามัว คนคนนี้สวมหมวก สองมือซุกกระเป๋าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว และมีดวงตาที่เปล่งประกาย
เขามาจริงๆ ด้วย ทั้งยังยิ้มอยู่อีกต่างหาก หนานอี่หรี่ตา อารมณ์ที่ขาดหายไปพลันหลั่งไหลไปทั่วร่างและทำให้ผิวกายสั่นระริกอยู่หนึ่งวินาที แววตาว่างเปล่าคล้ายมีเป้าหมายเหมือนสัตว์ป่าที่เตรียมออกล่าเหยื่อ
ผมรู้
ถ้าคุณเห็นกระดาษแผ่นนั้นแล้วต้องมา
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านหนานอี่ที่ยืนอยู่หน้าไมค์ถูกแรงปรารถนาในใจทำให้โบกมือเบาๆ
หลังจากมั่นใจว่าความรู้สึกของพวกเขาอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกัน หนานอี่ก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือออกไปในความมืดอันว่างเปล่า แบบเดียวกับที่เขาเคยซ้อมในสมอง
หนานอี่จินตนาการถึงภาพนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และเชื่อว่าตัวเองจะทำได้จริงๆ ในสักวันหนึ่ง
ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่คลาคล่ำ เงาคมชัดของใครคนหนึ่งยื่นตัวออกมา มือข้างหนึ่งจับราวกั้นแล้วกระโดดข้ามราวกั้นไปจับมือข้างที่รอเขานานแล้ว
ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนเวที หมวกเบสบอลใบเก่าร่วงหล่นลงไปในเงามืด
ร่างของเขาโงนเงนและมีกลิ่นแอลกอฮอล์โชยมา น้ำเสียงกลั้วหัวเราะแทบจะจมหายไปในความมืดอึกทึก แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก หนานอี่จึงได้ยินชัดเจน
ฉินอีอวี๋กระซิบถามด้วยเนื้อเพลงท่อนล่าสุดว่า
“ยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า”
หนานอี่บีบมือเขาแน่นจนฉินอีอวี๋รู้สึกเจ็บ
“แน่นอน”
หัวใจสองดวงพลันคืนชีพขึ้นมาพร้อมกัน
เหตุการณ์ไฟดับทำให้ฉือจือหยางเกือบโยนไม้ตีกลองประท้วง แต่เสียงสตาฟฟ์ดังอยู่ในอินเอียร์ทำให้เขาต้องระงับความโกรธเอาไว้ก่อน
“ไม่รู้ว่าใครสับคัตเอาต์ ตอนนี้เราเคลียร์ได้แล้ว จะเริ่มใหม่เดี๋ยวนี้!”
“ทุกฝ่ายเตรียมพร้อม…”
เพิ่งจะพูดจบระบบเสียงในงานก็ค่อยๆ กลับมาใช้ได้เป็นอย่างแรก พร้อมกับเสียงหอนดังลั่นจนผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องยกมือขึ้นปิดหู ฉือจือหยางก็ด้วย
แต่ที่เว่อร์มากคือมืดขนาดนี้ แต่เขากลับเห็นว่ามีคนคนหนึ่งก้าวขึ้นเวทีมาอยู่ข้างหนานอี่จริงๆ
สตาฟฟ์เหรอ
“ฝ่ายคุมเวทีเตรียมพร้อม! ออดิโอมิกเซอร์* เตรียมพร้อม เริ่มการแสดงใหม่…”
พร้อมๆ กับเสียงพูดของผู้กำกับในอินเอียร์ มีเสียงเทสต์เบสดังขึ้นมาในความมืด เขาเล่นฟิงเกอร์พิกกิ้ง* แบบสามนิ้วต่อด้วยสแล็ป เป็นการแสดงทักษะอันล้ำเลิศโดยไม่ได้ตั้งใจและสามารถยุติความไม่สงบด้านล่างเวทีได้ทันที
นี่คือความรู้ใจระหว่างเขากับหนานอี่ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ฉือจือหยางซ้อมคู่กันนานมากจนกลายเป็นความทรงจำของกล้ามเนื้อ จังหวะของเบสจึงดึงเขากลับมาจากอาการตกใจได้อย่างรวดเร็ว
ฉือจือหยางตีกลองโดยที่สายตาจดจ้องอยู่ที่ร่างสูงข้างกายหนานอี่อย่างมึนงงสุดขีด
ไม่นะ สตาฟฟ์ไม่ลงจากเวทีเหรอ การแสดงจะเริ่มใหม่แล้วนะ!
ต่อให้มึนและไม่อยากเชื่อมากแค่ไหน แต่ฉือจือหยางก็ยังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ตามสัญชาตญาณ
เหยียนจี้ที่ผ่านสมรภูมิมาเป็นร้อยสามารถยิ้มได้แม้จะเจอกับสถานการณ์ที่พลิกผันแบบนี้
หัวใจเต้นแรงเหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา นี่มันจะประหลาดเกินไปแล้ว…
สนุกกว่าทำงานออฟฟิศเยอะเลย
ปฏิกิริยาของเขาฉับไวมาก เหยียนจี้ย้อนกลับไปเล่นทำนองเดิมก่อนไฟดับเพื่อประสานกับเสียงกลองของฉือจือหยาง
“หายแล้วๆ มีเสียงแล้ว!”
“ฉันเพิ่งจะฟังได้ครึ่งเพลงก็โดนแล้ว ไม่ไหวเลยจริงๆ”
“ไฟล่ะ! ไหวกันหรือเปล่าเนี่ย”
“ริสต์แบนด์สว่างเองไม่ได้เหรอ หรือต้องโหวตอีกรอบ?”
“โหวตอีกรอบแล้วจะเสียคะแนนไปอีกหนึ่งคะแนนหรือเปล่า ฉันไม่โหวตแล้วนะ จะเก็บไว้ให้วงโปรดของฉัน”
“เล่นเปิดแล้วเป็นแบบนี้ ซวยแท้”
หนานอี่ร้องเพลงที่ถูกขัดจังหวะกลางคันซ้ำอีกครั้ง
“เธอบอกว่าอย่าบ้านักได้ไหม”
“ทีมไฟ…”
ไฟกลับมาสว่างอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ช้ากว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ไฟสีแดงกะพริบสองสามครั้ง ซึ่งในช่วงสองสามวินาทีที่ไฟเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับนั้น ทุกคนได้ตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง
บนเวทีมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เขาคนนั้นกำลังโอบไหล่มือเบสเอนตัวพิงอย่างสบายอารมณ์
“เพราะที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคนบ้า”
วินาทีถัดมาไฟสีแดงที่สาดลงมาจากด้านบนก็ส่องไปที่ใบหน้าของทั้งคู่ ฉายให้เห็นใบหน้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนฝัน
เมื่อไมค์ที่ตั้งอยู่ถูกผู้บุกรุกลากออกมา ผู้ชมด้านล่างเวทีก็ราวกับเป็นสายไมโครโฟนที่ยาวเหยียดซึ่งเขาลากขยับเคลื่อนย้ายอย่างง่ายดาย พวกเขาเห็นชายคนคนนั้นใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลำโพงที่อยู่ตรงหน้าพร้อมยิ้มอย่างร้ายกาจ
“ฮะฮ่า”
เสียงหัวเราะนี้มีเอกลักษณ์มาก เป็นเสียงหัวเราะที่มีอยู่ในการแสดงไลฟ์ที่ฉายวนอยู่ในช่องดนตรีและการแสดงทัวร์คอนเสิร์ตต่างๆ จนเกือบจะสลักเข้าไปในดีเอ็นเอของทุกคน ซึ่งความบ้าระห่ำนี้อาจไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่ไม่มีใครลืมได้อย่างแน่นอน
การแสดงนี้เปิดฉากมาแบบปาฏิหาริย์
ด้านล่างเวทีมีคนหลุดอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ พวกเขาร้องเรียกชื่อของผู้บุกรุกด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ฟัค! ฉินอีอวี๋!”
“บ้าไปแล้ว?!”
“จริงเหรอ เขาปรากฏตัวแล้ว?!”
“เสียงนี้แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเขา!”
“ใครอยากเห็นเขากัน หมอนี่ถูกปลดออกจากวงแล้วไม่ใช่เหรอ”
เสียงหัวเราะแหลมอย่างบ้าคลั่งเบาลงเปลี่ยนเป็นความไม่แยแสสนใจ
ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่ขอบเวทีด้วยท่าทีเกียจคร้านแล้วแกว่งขาทั้งสองข้างไปมา ตามองใบหน้าที่มีสีสันต่างๆ ของผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที ฉินอีอวี๋ใช้มือขวาถือไมค์และมือซ้ายป้องหูเหมือนนักร้องที่กำลังเอียงหูฟังเสียงกรี๊ดของแฟนคลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ
จากนั้นชายหนุ่มก็ยักไหล่
“โทษที ฉันไม่เคยได้ยินเสียงวิจารณ์จากพวกสถุล”
* แท็ปปิ้ง (Tapping) คือเทคนิคที่ใช้กับเครื่องสายโดยเฉพาะกีตาร์หรือเบสที่ใช้นิ้วมือเคาะลงบนสายที่เฟร็ตบอร์ดโดยตรงเพื่อให้เกิดเสียงโดยไม่ต้องดีดสาย
* ออดิโอมิกเซอร์ (Audio Mixer) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้รับสัญญาณเสียงหลายๆ ช่องเข้ามาด้วยกัน เพื่อควบคุมและปรับระดับเสียงต่างๆ ก่อนที่จะส่งสัญญาณออกไปยังอุปกรณ์อื่นๆ
* ฟิงเกอร์พิกกิ้ง (Fingerpicking) คือเทคนิคการเล่นเครื่องดนตรีที่มีสาย โดยการใช้นิ้วมือดีดหรือเกี่ยวสายแต่ละเส้นทีละสายแทนการใช้ปิ๊ก
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
