ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 12 ยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า

 

สำหรับทุกคนในไลฟ์เฮ้าส์ การแสดงของวงเล่นเปิดนั้นไปไกลเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่นี่เหมือนจะเกิดจลาจลขึ้น แต่ตอนนี้กลับถูกควบคุมโดยการแสดงของทั้งสามคนไปเรียบร้อยแล้ว

บนเวทีหลังท่อนเวิร์สที่สองฉือจือหยางก็เร่งกลองให้เร็วขึ้น หนานอี่ก็เล่นเบสโดยใส่เอฟเฟ็กต์ให้เสียงแตกพร่าพร้อมกับแท็ปปิ้ง* และสแล็ปอย่างรวดเร็วทำให้อารมณ์ในงานพุ่งสูง

“กลองมันส์มาก!”

“แม่งเอ๊ย เบสโคตรสะใจ!”

“สแล็ปห้าสายแจ่มว้าว เท่สุดๆ”

“เบสกับกลองประชันกันใช่ไหม! ดุเดือดมาก!”

หานเจียงที่เป็นกรรมการอีกคนเพิ่งมาถึงตอนนี้ เขาเพิ่งวางสายจากเฉินอวิ้น ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมกับภารกิจที่ได้รับมา เขายังไม่ทันได้ฟังเพลงก็ยิ้มพลางจุดบุหรี่ให้จ้าวหนานที่อยู่ด้านหนึ่ง

แต่จ้าวหนานปฏิเสธแล้วทำมือให้เขามองไปที่เวทีแบบไร้เสียง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หานเจียงเจอจ้าวหนาน เขาจึงรู้นิสัยเสียที่ชอบทำตัวสูงส่งของอีกฝ่ายดี จึงได้แต่แบไพ่ออกไปตรงๆ “แล้วยังไง เมื่อกี้ลูกชายประธานเฉินโทรหาผม บอกว่าในวงที่เล่นเปิดมีคนที่มีเรื่องกับเขา ขอให้พวกเราหาวิธีกำจัดเขาออกไป”

หานเจียงไม่เหมือนจ้าวหนานที่เป็นโปรดิวเซอร์ เพราะหานเจียงเป็นนักร้องที่ยังต้องพึ่งทรัพยากรจากบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์เพื่อออกเพลง เขาจึงจำเป็นต้องซื้อใจคุณชายใหญ่ไว้

แต่จ้าวหนานทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจ แถมยังกดปุ่มโหวตที่อยู่ตรงหน้าด้วย ไฟสีสดสว่างจ้าตรงไปที่เวที

หานเจียงไม่รู้จะพูดยังไงดี “พี่หนาน…ถ้าพี่ทำแบบนี้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บคะแนนของตัวเองไว้ ขอโทษด้วย ยังไงผมก็คงต้องบอกพี่ก่อน”

ไม่มีใครรู้เรื่องการต่อรองผลประโยชน์ที่ชั้นสอง เพราะด้านล่างเวทีผู้คนที่ตั้งใจจะมาเล่นมือถือเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอวงที่ตัวเองชอบค่อยๆ อินกับงานและถูกดนตรีชักจูงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว เสียงเบสอันดุดัน เสียงร้องแสนเย็นชา ท่าทางบนเวทีที่ดูสงบสำรวม ผสมผสานกันออกมาเป็นแรงกระแทกอย่างรุนแรง

“ลอกเปลือกอันจอมปลอมทั้งเป็น กล้ำกลืนความปรารถนา ไม่ยอมเรียนรู้การยอมจำนน”

ใบหน้าของหนานอี่ยังคงฉายแววความเหนื่อยล้า แต่กลับมีเสน่ห์เป็นพิเศษ

เบสในมือเขากลายเป็นเชือกที่คล้องคอทุกคน สามารถควบคุมประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่ตัวของเขาเองกลับเป็นคนเพียงคนเดียวในที่นี้ที่ไม่ถูกชักใย

“สัญชาตญาณดิบมันไม่เชื่อง”

ฉือจือหยางอินไปกับเพลง เหงื่อโชกกาย ทำได้ดีกว่าตอนซ้อมเสียอีก

เสียงกลองดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพายุเทกระหน่ำ ลอกเปลือกของทุกคนออกแล้วใช้ค้อนทุบเปิดโครงกระดูก ปลุกความดิบเถื่อนขึ้นมาทำให้หัวใจแต่ละดวงที่อยู่ด้านล่างเวทีกระดอนออกมาเต้นที่นอกอก กลายเป็นหัวใจสิงห์ที่เต้นเร็วขึ้นๆ แรงขึ้นๆ จวนเจียนจะระเบิด

ทะเลสีแดงฉานขยายตัวออกไปเหมือนกุหลาบที่เบ่งบานเป็นผืนใหญ่

เครื่องดนตรีทุกชิ้นมีการเว้นช่วง ซึ่งความเงียบหนึ่งวินาทีนี้เหมือนเป็นโอกาสที่มอบให้พวกเขาได้หายใจหายคอ

หนานอี่ดีดสายอีกครั้งและร้องเพลงอีกรอบ

“เธอบอกว่าอย่าบ้านักได้ไหม”

“เพราะที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคนบ้า”

ทุกคนพร้อมแล้วสำหรับประโยคถัดไป พวกเขาตั้งใจจะใช้พลังทั้งหมดที่มีร้องท่อนฮุคซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเพลงนี้เพื่อที่จะได้ไปสู่จุดไคลแมกซ์และจุดพีคที่สุดของอารมณ์พร้อมๆ กัน

สิ่งที่มาเร็วกว่าความสุขของการขึ้นสู่จุดสูงสุดคือความมืดมิดที่มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

ราวกับชั่วขณะนั้นมืดบอด

“ฟัค?” ฉือจือหยางงุนงง

เสียงหายเหมือนลำโพงช็อต

แล้วเรื่องมันดันมาเกิดตอนใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์อย่างตอนนี้พอดี

พอพวกเขากำลังจะจับปลายสายฟ้าท่ามกลางเสียงดนตรีได้ก็ถูกน้ำเย็นหนาวเสียดกระดูกสาดฉับพลัน ทำให้ทุกอย่างมืดเหมือนพายุสาดซัดใส่ทุกคนในงาน เปลวไฟที่พุ่งออกมาจากอุโมงค์น้ำแข็งก็ดับสนิทลง

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เมื่อเจอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จ้าวหนานก็เกิดคำถามขึ้น เช่นเดียวกับผู้ชมด้านล่างเวที แวบแรกเขาหันไปมองหานเจียงที่อยู่ข้างๆ และสุดท้ายเขาก็เอ่ยถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ฝีมือพวกนายเหรอ”

แต่หานเจียงปฏิเสธทันที “ผมไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เฉินอวิ้นคุยกับผมแค่เรื่องโหวตเท่านั้น!” หานเจียงลุกขึ้นมองความโกลาหลที่ชั้นหนึ่งแล้วถามว่า “หรือมันจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน?”

“ไม่เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก” จ้าวหนานเปิดวิทยุเพื่อถามสตาฟฟ์ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ไม่นานความเดือดดาลของเขาก็ได้รับการตอบรับ แต่ยังคงไม่ชัดเจน ดูจากความแตกตื่นของสตาฟฟ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา

ในช่วงที่ทุกคนถูกอุบัติเหตุขัดจังหวะให้หมดอารมณ์ จางจื่อเจี๋ยรีบเผ่นหนีจากแผงควบคุมหลักหลังเวที ก่อนจะออกจากดรีมไอแลนด์แล้วโทรหาเฉินอวิ้น

ถึงขั้นนี้แล้วเขาไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องจะจบสวย

ภายในสถานที่อันอึกทึกนั้นมีเสียงดังเซ็งแซ่ บางคนก่นด่าผู้จัดงาน แต่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ อารมณ์สนุกที่ถูกการแสดงของพวกหนานอี่จุดขึ้นมานั้นตกลงอีกครั้ง ซ้ำยังแย่กว่าตอนแรกอีก

ตอนนี้ริสต์แบนด์ที่ตอนแรกเปิดไฟสว่างเกินครึ่งดับลงพร้อมกัน

เหยียนจี้นิ่วหน้า อดคิดถึงผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ เนื่องจากไลฟ์เฮ้าส์เป็นสถานที่ที่ต้องอาศัยฮอร์โมนกับเอนดอร์ฟิน หลายสิ่งจะถูกตัดสินด้วยอารมณ์ในหนึ่งวินาที หากถูกขัดจังหวะความเร้าใจและความกระหายจะพลอยหายวับ

หากให้เริ่มใหม่กันอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่ตั้งใจกดริสต์แบนด์ที่ดับลงไปแล้วอีก

ท่ามกลางความมืดที่ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด หนานอี่ได้ยินเสียงผู้กำกับในอินเอียร์ที่ทั้งแตกตื่นและโวยลั่น

ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ราวกับอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นช่วงพักที่เปิดโอกาสให้เขาได้ขบคิด

แม้การแสดงเมื่อครู่จะไม่มีปัญหาและไม่ได้แตกต่างจากตอนซ้อม

แต่มันมีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งคือทั้งๆ ที่เขาปลุกอารมณ์ของทุกคนขึ้นมาได้ แต่หัวใจของตัวเองกลับนิ่งสนิทเหมือนน้ำนิ่ง

นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นมายืนบนเวทีและทำการแสดงจนถึงเมื่อหนึ่งวินาทีก่อน หนานอี่ไม่ได้อินไปกับมันเลย ทั้งที่เขาทุ่มเทอะไรต่อมิอะไรไปมากเพื่อวันนี้ เฝ้ารอมานานแสนนานและฝึกซ้อมอยู่นานมาก ทว่าสุดท้ายกลับเหมือนมีหมอกมาบังทำให้เขาไม่สามารถมีอารมณ์ร่วมและสนุกได้อย่างเต็มที่

สู้ตอนที่เขาเล่นโซโล่ที่บ้านของฉินอีอวี๋ยังไม่ได้ อย่างน้อยตอนนั้นฝ่ามือของเขาก็ยังมีเหงื่อซึมจริงๆ

พอคิดถึงชื่อนี้ขมับของหนานอี่ก็เต้นตุบๆ ขึ้นมา

ตอนนี้เองชายหนุ่มพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ตาเริ่มแห้งและแสบเคือง ในความมืดที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้น อยู่ดีๆ สายตาของเขาก็มองเห็นได้ชัดเจนอย่างน่าประหลาด

เมื่อเขารับรู้ได้ถึงคนคนหนึ่ง

ท่ามกลางเงามืดที่วูบไหวและใบหน้าอันพร่ามัว คนคนนี้สวมหมวก สองมือซุกกระเป๋าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว และมีดวงตาที่เปล่งประกาย

เขามาจริงๆ ด้วย ทั้งยังยิ้มอยู่อีกต่างหาก หนานอี่หรี่ตา อารมณ์ที่ขาดหายไปพลันหลั่งไหลไปทั่วร่างและทำให้ผิวกายสั่นระริกอยู่หนึ่งวินาที แววตาว่างเปล่าคล้ายมีเป้าหมายเหมือนสัตว์ป่าที่เตรียมออกล่าเหยื่อ

ผมรู้

ถ้าคุณเห็นกระดาษแผ่นนั้นแล้วต้องมา

ท่ามกลางความสับสนอลหม่านหนานอี่ที่ยืนอยู่หน้าไมค์ถูกแรงปรารถนาในใจทำให้โบกมือเบาๆ

หลังจากมั่นใจว่าความรู้สึกของพวกเขาอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกัน หนานอี่ก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือออกไปในความมืดอันว่างเปล่า แบบเดียวกับที่เขาเคยซ้อมในสมอง

หนานอี่จินตนาการถึงภาพนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และเชื่อว่าตัวเองจะทำได้จริงๆ ในสักวันหนึ่ง

ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่คลาคล่ำ เงาคมชัดของใครคนหนึ่งยื่นตัวออกมา มือข้างหนึ่งจับราวกั้นแล้วกระโดดข้ามราวกั้นไปจับมือข้างที่รอเขานานแล้ว

ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนเวที หมวกเบสบอลใบเก่าร่วงหล่นลงไปในเงามืด

ร่างของเขาโงนเงนและมีกลิ่นแอลกอฮอล์โชยมา น้ำเสียงกลั้วหัวเราะแทบจะจมหายไปในความมืดอึกทึก แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก หนานอี่จึงได้ยินชัดเจน

ฉินอีอวี๋กระซิบถามด้วยเนื้อเพลงท่อนล่าสุดว่า

“ยินดีต้อนรับฉันหรือเปล่า”

หนานอี่บีบมือเขาแน่นจนฉินอีอวี๋รู้สึกเจ็บ

“แน่นอน”

หัวใจสองดวงพลันคืนชีพขึ้นมาพร้อมกัน

เหตุการณ์ไฟดับทำให้ฉือจือหยางเกือบโยนไม้ตีกลองประท้วง แต่เสียงสตาฟฟ์ดังอยู่ในอินเอียร์ทำให้เขาต้องระงับความโกรธเอาไว้ก่อน

“ไม่รู้ว่าใครสับคัตเอาต์ ตอนนี้เราเคลียร์ได้แล้ว จะเริ่มใหม่เดี๋ยวนี้!”

“ทุกฝ่ายเตรียมพร้อม…”

เพิ่งจะพูดจบระบบเสียงในงานก็ค่อยๆ กลับมาใช้ได้เป็นอย่างแรก พร้อมกับเสียงหอนดังลั่นจนผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องยกมือขึ้นปิดหู ฉือจือหยางก็ด้วย

แต่ที่เว่อร์มากคือมืดขนาดนี้ แต่เขากลับเห็นว่ามีคนคนหนึ่งก้าวขึ้นเวทีมาอยู่ข้างหนานอี่จริงๆ

สตาฟฟ์เหรอ

“ฝ่ายคุมเวทีเตรียมพร้อม! ออดิโอมิกเซอร์* เตรียมพร้อม เริ่มการแสดงใหม่…”

พร้อมๆ กับเสียงพูดของผู้กำกับในอินเอียร์ มีเสียงเทสต์เบสดังขึ้นมาในความมืด เขาเล่นฟิงเกอร์พิกกิ้ง* แบบสามนิ้วต่อด้วยสแล็ป เป็นการแสดงทักษะอันล้ำเลิศโดยไม่ได้ตั้งใจและสามารถยุติความไม่สงบด้านล่างเวทีได้ทันที

นี่คือความรู้ใจระหว่างเขากับหนานอี่ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ฉือจือหยางซ้อมคู่กันนานมากจนกลายเป็นความทรงจำของกล้ามเนื้อ จังหวะของเบสจึงดึงเขากลับมาจากอาการตกใจได้อย่างรวดเร็ว

ฉือจือหยางตีกลองโดยที่สายตาจดจ้องอยู่ที่ร่างสูงข้างกายหนานอี่อย่างมึนงงสุดขีด

ไม่นะ สตาฟฟ์ไม่ลงจากเวทีเหรอ การแสดงจะเริ่มใหม่แล้วนะ!

ต่อให้มึนและไม่อยากเชื่อมากแค่ไหน แต่ฉือจือหยางก็ยังให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ตามสัญชาตญาณ

เหยียนจี้ที่ผ่านสมรภูมิมาเป็นร้อยสามารถยิ้มได้แม้จะเจอกับสถานการณ์ที่พลิกผันแบบนี้

หัวใจเต้นแรงเหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา นี่มันจะประหลาดเกินไปแล้ว…

สนุกกว่าทำงานออฟฟิศเยอะเลย

ปฏิกิริยาของเขาฉับไวมาก เหยียนจี้ย้อนกลับไปเล่นทำนองเดิมก่อนไฟดับเพื่อประสานกับเสียงกลองของฉือจือหยาง

“หายแล้วๆ มีเสียงแล้ว!”

“ฉันเพิ่งจะฟังได้ครึ่งเพลงก็โดนแล้ว ไม่ไหวเลยจริงๆ”

“ไฟล่ะ! ไหวกันหรือเปล่าเนี่ย”

“ริสต์แบนด์สว่างเองไม่ได้เหรอ หรือต้องโหวตอีกรอบ?”

“โหวตอีกรอบแล้วจะเสียคะแนนไปอีกหนึ่งคะแนนหรือเปล่า ฉันไม่โหวตแล้วนะ จะเก็บไว้ให้วงโปรดของฉัน”

“เล่นเปิดแล้วเป็นแบบนี้ ซวยแท้”

หนานอี่ร้องเพลงที่ถูกขัดจังหวะกลางคันซ้ำอีกครั้ง

“เธอบอกว่าอย่าบ้านักได้ไหม”

“ทีมไฟ…”

ไฟกลับมาสว่างอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ช้ากว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ไฟสีแดงกะพริบสองสามครั้ง ซึ่งในช่วงสองสามวินาทีที่ไฟเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับนั้น ทุกคนได้ตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง

บนเวทีมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เขาคนนั้นกำลังโอบไหล่มือเบสเอนตัวพิงอย่างสบายอารมณ์

“เพราะที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคนบ้า”

วินาทีถัดมาไฟสีแดงที่สาดลงมาจากด้านบนก็ส่องไปที่ใบหน้าของทั้งคู่ ฉายให้เห็นใบหน้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนฝัน

เมื่อไมค์ที่ตั้งอยู่ถูกผู้บุกรุกลากออกมา ผู้ชมด้านล่างเวทีก็ราวกับเป็นสายไมโครโฟนที่ยาวเหยียดซึ่งเขาลากขยับเคลื่อนย้ายอย่างง่ายดาย พวกเขาเห็นชายคนคนนั้นใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลำโพงที่อยู่ตรงหน้าพร้อมยิ้มอย่างร้ายกาจ

“ฮะฮ่า”

เสียงหัวเราะนี้มีเอกลักษณ์มาก เป็นเสียงหัวเราะที่มีอยู่ในการแสดงไลฟ์ที่ฉายวนอยู่ในช่องดนตรีและการแสดงทัวร์คอนเสิร์ตต่างๆ จนเกือบจะสลักเข้าไปในดีเอ็นเอของทุกคน ซึ่งความบ้าระห่ำนี้อาจไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่ไม่มีใครลืมได้อย่างแน่นอน

การแสดงนี้เปิดฉากมาแบบปาฏิหาริย์

ด้านล่างเวทีมีคนหลุดอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ พวกเขาร้องเรียกชื่อของผู้บุกรุกด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ฟัค! ฉินอีอวี๋!”

“บ้าไปแล้ว?!”

“จริงเหรอ เขาปรากฏตัวแล้ว?!”

“เสียงนี้แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเขา!”

“ใครอยากเห็นเขากัน หมอนี่ถูกปลดออกจากวงแล้วไม่ใช่เหรอ”

เสียงหัวเราะแหลมอย่างบ้าคลั่งเบาลงเปลี่ยนเป็นความไม่แยแสสนใจ

ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่ขอบเวทีด้วยท่าทีเกียจคร้านแล้วแกว่งขาทั้งสองข้างไปมา ตามองใบหน้าที่มีสีสันต่างๆ ของผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที ฉินอีอวี๋ใช้มือขวาถือไมค์และมือซ้ายป้องหูเหมือนนักร้องที่กำลังเอียงหูฟังเสียงกรี๊ดของแฟนคลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ

จากนั้นชายหนุ่มก็ยักไหล่

“โทษที ฉันไม่เคยได้ยินเสียงวิจารณ์จากพวกสถุล”

 

 

* แท็ปปิ้ง (Tapping) คือเทคนิคที่ใช้กับเครื่องสายโดยเฉพาะกีตาร์หรือเบสที่ใช้นิ้วมือเคาะลงบนสายที่เฟร็ตบอร์ดโดยตรงเพื่อให้เกิดเสียงโดยไม่ต้องดีดสาย

* ออดิโอมิกเซอร์ (Audio Mixer) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้รับสัญญาณเสียงหลายๆ ช่องเข้ามาด้วยกัน เพื่อควบคุมและปรับระดับเสียงต่างๆ ก่อนที่จะส่งสัญญาณออกไปยังอุปกรณ์อื่นๆ

* ฟิงเกอร์พิกกิ้ง (Fingerpicking) คือเทคนิคการเล่นเครื่องดนตรีที่มีสาย โดยการใช้นิ้วมือดีดหรือเกี่ยวสายแต่ละเส้นทีละสายแทนการใช้ปิ๊ก

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com