everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่หนึ่ง
ค่ำคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่างและเงียบสงัด วันนี้เป็นวันเกิดปีที่เท่าไรไม่รู้ของอาจารย์ ในหุบเขายังเหลือศิษย์พี่ศิษย์น้องฉลองวันเกิดให้อาจารย์อีกสองสามคน ดื่มกันจนเดินโซซัดโซเซ
อากาศหนาว หลายคนกอดกันนอนหลับในห้องโถงใหญ่ หลายคนรำกระบี่จนเสียงลมดังหวีดหวืออยู่ที่ลานด้านนอก จ้าวเสี่ยวชุนคือหนึ่งในหลายคนที่ยังมีสติแจ่มใสอยู่ เพราะตนเองเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มสุรา
ความจริงเขาอายุสิบแปดปีแล้ว อาจารย์ยังไม่ให้เขาดื่มก็ออกจะอภัยให้ไม่ได้ไปบ้าง ดังนั้นเขาจึงแอบหยิบสุราดอกท้อบ่มนานปีซึ่งวางไว้ข้างโต๊ะมาไหหนึ่ง ตั้งใจว่าจะเอากลับไปดื่มให้หนำใจที่ห้อง ดื่มสุราจนหมดไหแล้วค่อยเอากลับมาโยนทิ้งที่ห้องโถงก็ได้ แบบนั้นต้องไม่มีใครรู้แน่
เด็กหนุ่มกอดไหกระโดดโลดเต้นอย่างสำราญใจ คาดไม่ถึงว่าความอิ่มเอิบใจจนเกินเหตุนั้นทำให้เขาสะดุดตรงนอกหน้าต่างห้องอาจารย์ ล้มคะมำลงไปในแปลงดอกไม้ ทั้งตัวเปียกชื้นไปด้วยสุรา
“ใคร!” คนที่อยู่ในห้องโสตประสาทดียิ่ง แค่เสียงเบาๆ ก็ยังได้ยิน
เสี่ยวชุนรีบกลั้นหายใจ หากถูกจับได้ว่าขโมยสุราจะต้องแย่แน่
หน้าต่างถูกผลักเปิดออกช้าๆ เสี่ยวชุนหรี่ตาเห็นศิษย์พี่รองชะโงกหน้าออกมาตรวจดูรอบๆ สักพักแล้วจึงหับหน้าต่างปิด เสียงสนทนาจากในห้องดังแว่วมาเป็นน้ำเสียงที่อ่อนแรงของอาจารย์ “เสียงลมกระมัง”
เสี่ยวชุนกลั้นหัวเราะอยู่ในใจ โชคดีที่ไม่ถูกจับได้ ไม่รู้ว่าอาจารย์กับศิษย์พี่รองกำลังคุยอะไรกันอยู่ เขาจึงแอบฟังต่อไป
“เฮ้อ…” อาจารย์ถอนหายใจ
“วันนี้เป็นวันเกิดของท่าน อย่าคิดมากอย่างนั้นเลย”
เสี่ยวชุนได้ยินน้ำเสียงของทั้งสองคนไม่ค่อยร่าเริง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น วันดีแท้ๆ แต่กลับทอดถอนใจโดยที่ไม่กลัวเลยว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วอายุจะสั้นลงหนึ่งถ้วยชา*
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเพิ่งจะออกไปข้างนอกได้ไม่กี่ปี ทำไมถึงได้ก่อเรื่องมากมายขนาดนั้น” น้ำเสียงของอาจารย์ฟังดูจนใจ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าห้ากับเจ้าหกกลับหุบเขามาเล่าเรื่องพวกนั้นให้ฟัง ข้าก็ยังไม่รู้หรอกว่าเขาออกไปก่อเรื่องข้างนอกจนเละเทะเช่นนั้น”
ศิษย์พี่รองกล่าวตอบว่า “อาจารย์ ท่านอยากเรียกศิษย์พี่ใหญ่กลับมาหรือ ถ้าหากท่านยอมออกจากหุบเขาไปเกลี้ยกล่อมเขาล่ะก็…”
“นิสัยอย่างเขาใครจะไปเกลี้ยกล่อมได้” อาจารย์บอกเสียงเศร้า
“อาจารย์ ท่านเป็นห่วงศิษย์พี่ใหญ่มาโดยตลอด”
“เฮ้อ…ข้าแค่กลัวว่าสุดท้ายแล้วเด็กคนนั้นจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีนัก เลี้ยงกับมือมาจนโต…สุดท้าย…หากรู้แต่แรก ตอนนั้นไม่ควรให้เขาออกจากหุบเขาเลย…” อาจารย์พูดเสียงขาดเป็นช่วงๆ ลมหายใจสับสน อาจเพราะงานวันเกิดวันนี้ใช้เวลาอยู่กับศิษย์อย่างพวกเขามาทั้งวันจนเหนื่อยล้า
เสี่ยวชุนที่อยู่นอกหน้าต่างยึดไหสุราไว้ กลิ่นสุราดอกท้อที่บ่มนานปีปะทะเข้าจมูก ส่งกลิ่นอบอวลจนเขารู้สึกทั้งมึนทั้งหนักหัว
เดิมทีแอบฟังอยู่ข้างนอก ฟังไปฟังมา อาจารย์กับศิษย์พี่รองคุยตั้งแต่เรื่องออกจากหุบเขาไปจนความวุ่นวายข้างนอก แล้ววกกลับมาเรื่องที่ศิษย์พี่ใหญ่ออกไปจากหุบเขาเทพเซียนแล้วถูกจับได้ ช่วงร้อยปีมานี้ไม่รู้ว่าหุบเขาเทพเซียนที่ปลีกวิเวกไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกจะยังสงบสุขไปได้อีกนานเท่าไร
เสี่ยวชุนยกไหสุราแล้วเงยหน้ากรอกลงไปหลายอึก เห็นพระจันทร์บนท้องฟ้ากลายเป็นสองดวง แล้วก็กลายเป็นสี่ดวง เขาหยักยกมุมปากยิ้มกว้าง
เพิ่งจะกลืนลงคอก็ทำให้คนโงนเงนแล้ว สุราดอกท้อของอาจารย์ไหนี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
เสี่ยวชุนกอดสุราที่เหลือครึ่งไหพลางยิ้มสดใส ปีนออกมาจากแปลงดอกไม้ทั้งที่ตัวเอียง ระมัดระวังไม่ส่งเสียงดังเกินไปเพื่อไม่ให้คนในห้องพบว่าเขาแอบฟังอยู่ข้างนอก
“พวกเจ้าโตๆ กันหมดแล้ว อาจารย์ก็ดูแลไม่ได้มากขนาดนั้นแล้ว…ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็มีศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องแปดของเจ้าที่ยังทำให้ข้าเป็นห่วง…สือโถวข้าคงไม่สนใจแล้ว…เสี่ยวชุนที่ยังไม่โตก็ก่อเรื่องได้ง่ายๆ…อยู่ในหุบเขาก็ยังดี…”
ตอนที่เขาค่อยๆ เดินไปไกลจากห้องปีกข้างมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงของอาจารย์กับศิษย์พี่รองที่คล้ายเสียงทอดถอนใจก็ยังคงแว่วตามเขามา “ถ้าหากออกจากหุบเขาไปแล้วนะ…”
ศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ข้างนอกไม่ได้กลับมาเลย อาจารย์ถอนหายใจไม่หยุดก็เพราะเขากระมัง!
ข้างนอก…ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ออกไปแล้วจึงไม่กลับมาล่ะ
หลายปีมานี้เขาอยู่ในหุบเขาจนเบื่อแล้ว อยากออกไปผจญภัยเหมือนกัน ศิษย์พี่จะต้องรู้สึกว่าที่นี่อุดอู้แน่ จึงได้อยู่ในโลกแห่งแสงสีจนตัดใจกลับมาไม่ได้!
เด็กหนุ่มผละกลับมาที่ห้องอย่างเงียบๆ ค่อยๆ ละเลียดสุราดอกท้อ ใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาเอาการ อาบย้อมสีแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา หัวเราะเซ่อซ่า หรี่ดวงตาดอกท้อพร่ามัวเป็นเส้น มองพระจันทร์เสี้ยวที่ดุจดังตะขอ
อาจารย์ทอดถอนใจเพราะศิษย์พี่ใหญ่ เขาแค่ไปพาศิษย์พี่ใหญ่กลับมาก็จบเรื่องแล้วใช่ไหม
ตั้งแต่ที่ตนเข้ามาในหุบเขาก็ไม่เคยทำผลงานอะไรให้กับที่นี่ ในเมื่อศิษย์พี่รองเรียกศิษย์พี่ใหญ่กลับมาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นให้เขาลองดูแล้วกัน! แบบนี้ข้อหนึ่งคือได้ตอบแทนบุญคุณที่อาจารย์อบรมเลี้ยงดูเขา ข้อสองคือถือโอกาสออกไปดูดอกไม้ใบหญ้าก็ดีเหมือนกัน
“เอาอย่างนี้แหละ!” เสี่ยวชุนยืนขึ้นแล้ววางไหสุราไว้ด้านข้าง กางผ้าออกแล้วเอาเสื้อผ้า ขวดยา เงิน เศษเงินเล็กๆ น้อยๆ และทุกอย่างที่นึกได้ใส่ลงไป จากนั้นก็ม้วนขึ้นสะพายหลัง ดับตะเกียงในห้องแล้วดึงประตูเปิดกำลังจะออกไป
“อ๊ะ เกือบลืมไปเลย!” เขากลับมาเอาสุราดอกท้อที่ดื่มเหลือไว้ใส่กระเป๋าน้ำรัดไว้ที่เอวอย่างแน่นหนา จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมา
บรรดาศิษย์พี่ที่ร่ายรำกระบี่อยู่ที่ลานหลับเป็นตายกันหมดแล้ว ตลอดทางที่เสี่ยวชุนเดินออกไปไม่มีใครตื่นมาเห็นเขาสักคน แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครขัดขวางเขา
เขาเดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายยังถึงขั้นใช้วิชาตัวเบาเหินทะยานไปในหุบเขาและท้องทุ่งที่ปกคลุมไปด้วยหมอก พรุ่งนี้เมื่อทุกคนตื่นขึ้นมาแล้วหาเขาไม่พบ ไม่รู้ว่าจะโกลาหลอลหม่านกันหรือไม่
เขาที่กำลังเมามายวิ่งและยิ้มไม่หุบเพราะความคิดเช่นนี้ไปตลอดทาง
เหมือนฝนตกไปแล้ว ทว่าโดยรอบคล้ายไม่ได้เงียบสงบขนาดนั้น
เสี่ยวชุนกำลังหลับสบายแต่กลับถูกปลุกด้วยเสียงอาวุธที่ฟาดฟันกัน พอลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าพร่ามัวจนมองเห็นไม่เหมือนของจริง ขณะทอดสายตามองไปยังภาพแปลกตาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตนเองอยู่ในศาลซอมซ่อกลางเขาลูกไหนก็ไม่รู้ น้ำฝนแทรกผ่านกระเบื้องแตกๆ บนหลังคาศาลร้างที่มิได้ดูแลซ่อมแซมมานานปี หยดลงโต๊ะบูชาที่มีฝุ่นจับหนาจนฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
“ที่นี่…คือ…ที่ไหน…” เสี่ยวชุนถามตนเองอย่างตะกุกตะกัก สับสนนิดๆ ไม่รู้เลยว่าตนมาอยู่ในศาลทรุดโทรมได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เพิ่งจะฉลองวันเกิดให้อาจารย์ กำลังดื่มกินอยู่กับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนมิใช่หรอกหรือ
เขาดึงเสื้อผ้าบนร่าง พบว่าครึ่งหนึ่งนั้นแห้งแล้ว เสื้อคลุมด้านนอกเปื้อนทั้งโคลนและหญ้าแห้งคล้ายผ่านการคลุกดินมารอบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น แล้วอยู่ๆ พลันมีเศษชิ้นส่วนความทรงจำวาบผ่านเข้ามาในหัว เขาร้องอ๊ากดังลั่น นึกขึ้นได้ว่าพอกินข้าวเสร็จก็ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนเมาปลิ้นขโมยสุราดอกท้อมาดื่ม…ดื่มไปดื่มมา…จากนั้น…ก็จำอะไรไม่ได้เลย…
คงไม่ได้วิ่งออกมาจากหุบเขาเทพเซียนแบบนี้หรอกใช่หรือไม่ เสี่ยวชุนตะลึงงัน
เสียงต่อสู้รอบๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และคล้ายมาถึงนอกศาลแล้ว
เสี่ยวชุนสะพายห่อสัมภาระแล้วพุ่งออกไปชมความคึกคักข้างนอกอย่างรีบร้อนโดยไม่สนว่าตนเองจะเลอะเทอะกระเซอะกระเซิงไปทั้งตัว
เขาสะกิดสองเท้าเบาๆ กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ย่ำเหยียบบนกิ่งไม้หนาทึบแล้วเผ่นโผนไปข้างหน้า ฝีก้าวที่อ่อนช้อยและสง่างามทำใบไม้ร่วงหล่นใบหนึ่งหรือสองใบเป็นบางคราว ร่างเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายลม
จันทร์เสี้ยวใต้หมอกทึบแขวนตัวอยู่เหนือยอดไม้ ขอบฟ้ายังมีฝนโปรยปราย อาศัยแสงจันทร์สลัวรางและสายตาที่ดีเยี่ยม เสี่ยวชุนจึงเห็นภาพแห่งความชุลมุนที่อยู่ข้างใต้
คนชุดดำสิบกว่าคนหลบซ่อนตัวท่ามกลางแสงจันทร์ อาวุธนับไม่ถ้วนมีทั้งยกขึ้นมีทั้งลดต่ำลง ด้านบนเปรอะเปื้อนเลือดที่มีทั้งสีแดงและดำ
กำแพงไร้รูปที่เกิดจากคนชุดดำกักขังล้อมคนไว้หนึ่งคน ร่างในชุดสีขาวแขนเสื้อปลิวสะบัดแต่กลับอาบย้อมไปด้วยเลือด ในสีเลือดแดงๆ เจือด้วยสีดำ มีเพียงกระบี่สีเงินยวงเล่มนั้นที่มิได้เลอะเลือด แม้จะแทงทะลุหน้าอกคนชุดดำ แต่ก็ยังสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เปื้อนรอยเลือดใดๆ
ดูจากเลือดพวกนั้นแล้ว เสี่ยวชุนก็รู้ว่าคนชุดขาวถูกพิษ เขาลูบคาง หากคนชุดขาวยังสู้ต่อไปแบบนี้ ถ้าไม่โคจรเลือดลมเร็วเกินไปจนพิษจู่โจมหัวใจตาย ก็คงต้องไปเฝ้ายมบาลเพราะเสียเลือดมากเกินไป
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย คนชุดขาวพลันรู้สึกถึงลมหายใจของเสี่ยวชุน คนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตากระจ่างใสเย็นชาสบสายตากับเสี่ยวชุน เสี่ยวชุนกะพริบตา ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น
คนงาม! คนงามที่งามล่มบ้านล่มเมือง! คิ้วงามดังหมึกวาด นัยน์ตาดุจคลื่นน้ำ ทุกท่วงท่าที่ร่ายกระบี่ประหนึ่งควบขี่เกลียวคลื่น คมกระบี่วาดผ่านที่ใดก็ราวกับกองกำลังทหารและม้าเรือนพัน เฉียบไวดุดันดุจธรรมชาติสร้าง
คนงาม! งามจนคางของเขาจะหล่นลงมาแล้วหุบไม่ได้ น้ำลายก็ทะลักราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
เพียงแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เสี่ยวชุนตะลึงงันอยู่นั้น แม้ดวงตาคู่นั้นจะงดงาม แต่กลับขาดความนุ่มนวล ฉาบฉายความดูถูก เท่าที่สายตามองเห็นนั้นคือความเย็นยะเยือกและเดียวดายคล้ายคนที่เหี่ยวเฉาไร้ความรู้สึก
“ตงฟางอวิ๋นชิง! เลิกขัดขืนได้แล้ว ยอมมอบตัวเสียเถอะ ท่านประมุขบอกแล้วว่าเป็นหรือตายนั้นไม่เกี่ยง เจ้าไม่มีโอกาสให้หนีรอดแล้ว” คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าฉีกยิ้มอย่างมุ่งร้าย
คนงามดื้อรั้นตอบกลับเพียงคำเดียว “หึ!”
เสี่ยวชุนเห็นคนงามควบคุมสติอารมณ์ มองเขาแวบเดียวแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก เพ่งสมาธิกลับไปที่ร่างคนชุดดำแล้วกวัดแกว่งกระบี่เข้าโรมรันต่อ ทว่าแค่เพียงแวบเดียว…แวบเดียวน้อยๆ นั้นเสี่ยวชุนก็ได้ตัดสินใจแล้ว
เขาจะปล่อยให้คนงามเช่นนี้ต้องตายจากไปได้อย่างไร คนผู้นี้จะตายไม่ได้
เสี่ยวชุนหยิบขวดยาออกมาจากอกเสื้อ กระแสลมและแสงสว่างกำลังดี ผงละเอียดถูกลมพัดไปถึงบริเวณที่คนชุดดำต่อสู้กัน เสี่ยวชุนปากก็พึมพำท่อง “หนึ่ง สอง สาม…”
คนชุดดำสังเกตเห็นเขาแล้วก็ตวาด “ไอ้คนต่ำช้าที่ไหน!”
“สี่ ห้า หก เจ็ด!” เสี่ยวชุนยังคงท่องต่อไปจนกระทั่งสิ้นเสียงคำว่าเจ็ด คนชุดดำสิบกว่าคนก็ล้มระเนระนาดไปตามๆ กันดังตึงๆ มีเพียงคนงามที่อยู่ตรงกลางที่ยังฝืนใช้กระบี่ยันไว้ ไม่ได้ล้มแปะพื้นโคลน
เสี่ยวชุนหัวเราะแล้วกระโดดลงมาจากยอดไม้อย่างคล่องแคล่ว เตะคนชุดดำที่เป็นหัวหน้า ทำเอาคนคนนั้นถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
“เจ้าเป็นใคร! บังอาจตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักภูษานิลของข้า”
“ข้าคือปู่ของเจ้า ไยข้าจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักภูษาอะไรนั่นของเจ้าไม่ได้” เสี่ยวชุนแกว่งขวดยาสีเขียวสด หัวเราะแบบที่เรียกว่าลำพองใจ ‘ยาเจ็ดก้าวมึนงง’ ที่จ้าวเสี่ยวชุนปรุงขึ้นเป็นพิเศษ พอได้ออกโรงก็ได้รับคำชื่นชมจากทุกคน ล้มไปสิบแปดคนจากสิบเก้าคน ส่วนคนงามเหมือนจะมีกำลังภายในแข็งแกร่งกว่าคนชุดดำอยู่นิดหน่อย จึงไม่ได้ล้มพับไปในครู่เดียว
“เจ้า!” คนชุดดำโกรธแค้นจนเกือบจะพูดอะไรไม่ออก
คนงามมองเขาด้วยดวงตาที่เย็นยะเยือก เสี่ยวชุนเก็บขวดยาแล้วเดินไปทางคนงาม เขายื่นมือออกไปหมายจะประคองคนงามที่มีนามว่าตงฟางอวิ๋นชิง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยกกระบี่ขึ้นจู่โจมเขา กระบวนท่ารวดเร็วพุ่งตรงมาที่อวัยวะสำคัญของเขา
เสี่ยวชุนใจหายวาบ ดีที่กำลังภายในของอีกฝ่ายพร่องไปพอสมควรแล้ว กระบวนท่านี้จึงมีพลังสังหารไม่มาก เขาเบี่ยงตัว ดีดนิ้วสะเทือนกระบี่เล่มนั้น แล้วพลิกมือยึดกุมชีพจรของอีกฝ่าย
จุดชีพจรมิ่งเหมิน** ถูกตรึงไว้ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อน ความรังเกียจแวบผ่านในสายตาเย็นเยือกของอวิ๋นชิง
อวิ๋นชิงเห็นคนตรงหน้าผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งตัวเปียกชื้นและเหม็นโฉ่ หนำซ้ำยังเลอะโคลนและหญ้าเน่าเต็มไปหมด ไม่รู้เป็นขอทานจากที่ไหน แต่กลับมีวิชาติดตัวและมียาประหลาด เมื่อถูกแตะต้องด้วยสิ่งสกปรกเช่นนี้ เขาก็รู้สึกอึดอัดจนขนลุกชันไปทั้งตัว
“ปล่อย” อวิ๋นชิงรู้สึกอยากอาเจียน
เมื่อตรวจชีพจรของอีกฝ่ายแล้ว ทั้งรู้สึกว่าสีหน้าของเจ้าตัวผิดปกติ เสี่ยวชุนจึงยิ้มแสดงความเป็นมิตรทันที และหลังจากปล่อยมือแล้วก็ยังถอยไปอีกหนึ่งก้าวด้วย
ตอนนี้อวิ๋นชิงต้านทานฤทธิ์ยาเจ็ดก้าวมึนงงไม่ไหวอีกต่อไป จึงคะมำลงบนพื้น
หลังจากที่ใบหน้าแปะพื้นที่ฝนตกจนกลายเป็นโคลนแล้ว อวิ๋นชิงก็ขมวดคิ้ว
* หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเปรียบหมายถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรากล่าวว่าเทียบได้กับเวลาประมาณ 10-15 นาที
** จุดมิ่งเหมินอยู่ตรงกระดูกสันหลังบริเวณช่วงเอว เป็นจุดชีพจรประตูชีวิต