everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 1 #นิยายวาย
สกปรกตายชัก ฝุ่น ใบไม้ ดิน แอ่งน้ำ และพื้นที่เลอะคราบเลือดเป็นด่างดวง
“แม่นาง เจ้าถูกพิษร้ายแรง” เสี่ยวชุนนั่งยองอยู่ตรงหน้าอวิ๋นชิงไม่ไกล แต่ไม่ได้เข้าใกล้เขามากเกินไป มองอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสด้วย”
แม่นาง? คำเรียกนี้ทำให้อวิ๋นชิงไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด เขายื่นมือสำรวจในอกเสื้อ จากนั้นก็บิดข้อมือซัดเข็มดอกท้อที่เรียวบางราวกับขนวัวสองสามเล่มแหวกผ่านอากาศมุ่งไปทางเสี่ยวชุน
เสี่ยวชุนตกใจจนรีบหลบหลีก แต่ยังมีเข็มสองสามเล่มซัดเข้าแขนเขาจนได้
“โอ๊ย เจ็บมาก เจ็บมาก!” เสี่ยวชุนร้องโอดโอย “เจ้าทำอะไร!”
คนงามใช้พลังเฮือกสุดท้ายไปจนหมด ยาเจ็ดก้าวมึนงงออกฤทธิ์โดยสมบูรณ์ อวิ๋นชิงยังไม่ทันแม้แต่จะตอบคำ เพียงแค่มองเสี่ยวชุน ในดวงตาที่เย็นชานั้นมีความเป็นปรปักษ์
เสี่ยวชุนตระหนักรู้ทันที ตีหน้าเศร้าบอก “ข้าอยากช่วยเจ้า ไม่ได้มีเจตนาร้ายนะ!”
แสงจันทร์นวลผ่อง รัศมีสีเงินขาวนวลสาดส่องบนผืนป่าอย่างแช่มช้า อวิ๋นชิงยังคงมองเสี่ยวชุนโดยไม่พูดอะไรสักคำ สายตาที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกชวนให้เสี่ยวชุนขนลุก
อวิ๋นชิงไม่เชื่อคำพูดของเสี่ยวชุน คนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ไม่เคยพบกันมาก่อนในป่าไม่มีค่าพอให้เขาเชื่อถือ
ตอนนี้พิษที่เมื่อครู่ฝืนโคจรพลังควบคุมขณะประมือกับคนชุดดำตีกลับขึ้นมา เลือดลมจึงพุ่งขึ้นมาทันที ในลำคอรู้สึกถึงความหวาน เลือดคำหนึ่งพุ่งออกมาจากปากอวิ๋นชิง เริ่มต้นจากกลางอก ความเจ็บที่เกิดจากมีดเฉือนเข้ากระดูกแผ่ลามไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้เขากุมด้ามกระบี่ในมือไม่อยู่อีกต่อไป กระบี่หลุดร่วงลงพื้น เขางอตัวกระตุกไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดที่หยุดไม่ได้ทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัวอย่างยากจะควบคุม
เสี่ยวชุนเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปสกัดจุดชีพจรสำคัญทั่วร่างอวิ๋นชิง แต่กลับไม่อาจหยุดยั้งอาการรุนแรงที่เกิดจากพิษได้
เขารีบปลดห่อสัมภาระวางลงบนพื้นโคลน ล้วงขวดยาสีแดง เทยาสีแดงออกมาหนึ่งเม็ด บีบขากรรไกรอวิ๋นชิงให้อ้าปากกลืนลงไป แล้วรินสุราดอกท้อในกระเป๋าใส่น้ำให้อีกฝ่ายกินยาไปพร้อมกับสุรา
“เจ้าทนได้ไม่นานเท่าไรหรอก” เสี่ยวชุนเอาห่อสัมภาระสะพายไว้ข้างหน้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แล้วดึงอวิ๋นชิงที่ค่อยๆ หมดสติแบกขึ้นหลัง “ไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน ศัตรูคู่แค้นของเจ้าคงมีแค่พวกนี้ที่นี่เท่านั้นกระมัง ข้าคงไม่ได้ปล่อยใครหลุดรอดไปใช่หรือไม่ ที่นี่จะอยู่นานไม่ได้ ถ้าหากรออีกสักพักแล้วมีคนชุดดำมาอีกกลุ่มจะไม่ได้การ ข้าจะพาเจ้าไปก่อน” เสี่ยวชุนพึมพำกับตนเองไม่หยุดปาก
“เพราะอะไร…” เมื่อยาลูกกลอนที่มีกลิ่นเลือดรุนแรงเข้าปาก ความเจ็บปวดก็บรรเทาลงเล็กน้อย อวิ๋นชิงเอ่ยขึ้นในขณะที่มีอาการมึนงง เขาถูกทำให้สับสนแล้ว ขอทานคนนี้อยากช่วยเขาจริงๆ หลังจากที่เขาซัดเข็มดอกท้ออาบยาพิษใส่เจ้าตัวน่ะหรือ
“ถ้าหากข้าเป็นเจ้า ข้าจะโคจรพลังรักษาหัวใจและเส้นเลือดก่อน ไหนๆ ข้าก็อยากช่วยเจ้า เจ้าก็ให้ข้าช่วยให้สำเร็จแต่โดยดีแล้วกัน แล้วก็รบกวนอย่าซุ่มโจมตีข้าอีก ข้ารับรองว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าให้หายดี ไม่ให้คนพวกนั้นตามหาเจ้าพบ อาวุธลับนั่นของเจ้า…” เสี่ยวชุนปาดน้ำตา “มารดามันเถอะ เจ็บเหลือเกิน…”
คนในหุบเขาต่างรู้ดี เขาจ้าวเสี่ยวชุนให้ทนอะไรก็ทนได้ แต่ทนลำบากไม่ได้ ให้ทนอะไรก็ทนได้ แต่ทนเจ็บไม่ได้ ‘ร่างกายบอบบางอย่างผู้ดี’ คำนี้คนสมัยก่อนคงคิดออกมาเพื่อใช้บรรยายเขา ความหมายสอดคล้องเหมาะเจาะ คาดไม่ถึงว่าศึกแรกหลังออกจากหุบเขาก็จะได้เจอคนงามที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ เขามีน้ำใจช่วยเหลืออีกฝ่าย แต่กลับกลายเป็นเคี่ยวกรำเนื้อหนังตนเอง
“ฆะ…ฆ่าพวกมันซะ…” อวิ๋นชิงจวนจะหมดสติ แต่ยังฝังใจกับศิษย์สำนักภูษานิลพวกนั้นที่ตามโรมรันเขามาสามวันสามคืน
เสี่ยวชุนหันกลับไปมองคนชุดดำพวกนั้นแวบหนึ่งด้วยความตะลึงงันแล้วจึงบอก “แม่นาง เจ้าร้องขอมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ฆ่าคนหรอก”
“ฆ่า…” คนพวกนั้นจะปล่อยไว้ไม่ได้
“ไม่ฆ่า!” เสี่ยวชุนหันกลับมาบอกอย่างเฉียบขาด แล้วเดินจากไปอย่างสบายๆ
หลังจากเสี่ยวชุนแบกอวิ๋นชิงที่ไม่ได้สติวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งขึ้นไปทางเหนือได้สิบหลี่* แล้ว พอเห็นว่าเขย่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ฟื้น จึงหยุดพักและค่อยๆ วางอวิ๋นชิงลง จากนั้นเปิดห่อสัมภาระ หยิบยาทาแผลที่ปรุงเองออกมา แล้วก็มองคนงามที่กำลังหลับสนิทแวบหนึ่ง
“แม่นาง แม้เจ้าจะไม่ได้ยิน แต่ข้าก็ยังต้องพูด อีกสักพักข้าจะเปิดเสื้อผ้าเจ้าเพื่อช่วยทายาให้ ทั้งหมดเพราะอยากช่วยคนเท่านั้น ไม่ได้คิดจะล่วงเกินเจ้า หลังจากที่เจ้าฟื้นแล้วก็ห้ามซัดอาวุธลับใส่ข้าอีก ข้าเป็นคนหนังบางเนื้อนุ่ม กลัวเจ็บ”
พูดจบเสี่ยวชุนก็กลืนน้ำลาย เริ่มทายาที่ต้นแขนให้อีกฝ่ายก่อน แม่นางผิวขาวอมชมพู ลูบแล้วลื่นมือนัก ให้ตายเถอะ
“ไม่ได้ๆ! ต้องควบคุมตนเองไว้!”
เสี่ยวชุนส่ายศีรษะ สะบัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปแล้วรีบทายาที่แผลของอวิ๋นชิงลวกๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้นิ้วมือเลิกสาบเสื้อที่เปื้อนเลือดของคนงามขึ้น แก้มพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
“แม้จะเป็นคนงาม แต่แม่นางเลือดออกมากขนาดนี้ ถึงจะไม่ได้บาดเจ็บไปถึงหัวใจแต่อาการค่อนข้างรุนแรง…ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน…ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน! จ้าวเสี่ยวชุนเด็กบ้าห้ามคิดเหลวไหล…”
เสี่ยวชุนค่อยๆ ดึงสาบเสื้อของอีกฝ่าย เผยให้เห็นเสื้อชั้นใน ทว่ากลับประหลาดใจที่ไม่มีสิ่งที่ควรมี เขาตะลึงงัน สมองพลันว่างเปล่า กว่าจะดึงสติกลับมาได้ไม่ง่ายเลย จากนั้นก็ตะลึงงันไปอีกเมื่อเห็นแผ่นอกแบนราบของคนงาม
“ผู้ชาย…”
เสี่ยวชุนหน้ามืดเกือบจะหงายหลัง
การจู่โจมที่มาแบบปุบปับทำให้เสี่ยวชุนไม่อาจแบกรับไหว ที่แท้คนงามดังเทพธิดาที่บริสุทธิ์เหนือโลกขนาดนี้เป็นบุรุษ!
ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาสูดหายใจได้ เขาจ้องแผงอกกำยำตรงหน้าด้วยความหดหู่ โรยผงยาส่งๆ ด้วยอาการงงงัน สุดท้ายก็เอาเสื้อขาวคลุมไว้ง่ายๆ แล้วแบกคนขึ้นหลังออกเดินทางต่อ
“ย่ามันเถอะ…ผู้ชายหน้าตาแบบนี้เอาไว้หลอกคนโดยเฉพาะใช่ไหม…” เสียแรงตอนที่เขาเห็นตงฟางอวิ๋นชิงคนนี้แวบแรกหัวใจแรกผลิที่ไม่เคยหวั่นไหวเกิดระลอกคลื่นในรอบสิบแปดปี คราวนี้หวั่นไหวไปเสียเปล่าจริงๆ!
ความคิดฟุ้งซ่านในหัวเสี่ยวชุนเป็นแค่หมอกลอยผ่านไป หลังจากที่ตอนแรกตั้งใจเร่งรีบเดินทางก็กลับถูกเขาสะบัดทิ้งไว้ข้างหลังลืมไปอย่างนับครั้งไม่ถ้วน
คนชุดดำบอกไว้ว่าไม่ว่าเป็นหรือตายก็ต้องจับอวิ๋นชิงกลับไป ดูท่าอวิ๋นชิงคนนี้จะต้องมีความแค้นใหญ่หลวงชนิดที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ของอีกฝ่าย คนพวกนั้นไม่เลิกราง่ายๆ แน่ ตอนนี้ปกป้องชีวิตของอีกฝ่ายสำคัญกว่า เขาวางยาเจ็ดก้าวมึนงงไว้อย่างหนักมือ กว่าจะฟื้นก็ต้องใช้เวลานาน ระหว่างนี้เขาต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้
วันถัดมาตอนพลบค่ำทางทิศตะวันตก ก่อนที่ดาวพร่างพราวจะขึ้นประดับฟ้า เสี่ยวชุนรีบรุดเข้าเมืองในช่วงเวลาก่อนประตูเมืองจะปิด ที่ดูเหมือนน่าตื่นตระหนกแต่แท้จริงแล้วปราศจากอันตราย เขาเหนื่อยหนักจริงๆ เมืองหานหยางไม่รู้ไกลจากหุบเขาเทพเซียนแค่ไหน อาจเพราะตอนที่ดื่มสุราจนเมามายวิ่งอยู่ในป่ามาหลายวันหลายคืน จากนั้นพอเจอคนชุดดำก็หนีมาอีกหลายวันหลายคืน ตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าจนเหมือนเต่าชราพันปี คนบนหลังเหมือนกระดองเต่าที่คลุมทับลงมา หนักจนเขาเดินหนึ่งก้าวเท้าสั่นไปสิบกว่าครั้ง ทั้งร่างก็ยิ่งปวดเมื่อยจนยกก้าวเดินอย่างยากลำบากราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำส้มสายชู
ไม่ง่ายเลยกว่าเสี่ยวชุนจะหาโรงเตี๊ยมเจอ เพิ่งจะย่างเท้าเข้าไป เสี่ยวเอ้อร์ในร้านเห็นเสี่ยวชุนแต่งตัวสกปรกมอมแมม พอช้อนตามองก็เห็นเขาแบก ‘สิ่ง’ ที่สวมชุดขาวเลอะคราบเลือดเป็นด่างดวง ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ จึงกลอกตาใส่ทันที
“ค้างแรม” เสี่ยวชุนบอกอย่างอ่อนแรง
“เต็มหมดแล้วขอรับ ลูกค้า” เสี่ยวเอ้อร์เดินมาช้าๆ บอกอย่างไม่ค่อยสุภาพ
“ไม่หรอกกระมัง ไม่ว่างสักห้องเลยรึ” มารดามันเถอะ เสี่ยวชุนประหลาดใจ
แม้อวิ๋นชิงจะกินยาของเขาเพื่อระงับพิษที่อยู่ในร่างกายไว้ชั่วคราว แต่หากไม่มีที่ทางให้นอนเขาก็ไม่อาจช่วยรักษาให้ดีๆ ได้ อีกทั้งข้างหลังยังมีศัตรูตามมา เขาไม่กล้าพักในป่าในเขา ไม่ว่าอย่างไรโรงเตี๊ยมก็ยังมีหลังคาคลุมอยู่หน่อย แต่ในเวลาคับขันแบบนี้กลับบอกว่าห้องเต็มอย่างนั้นรึ
“ท่านมาช้าไปขอรับ วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบปราสาทเขาหลิวเขียวเรียกชุมนุมผู้กล้า คนดังในยุทธภพจะมารวมตัวกันในเมืองหานหยาง ตอนนี้ในเมืองหานหยางอย่าว่าแต่ร้านเล็กๆ เลย โรงเตี๊ยมทั้งเล็กใหญ่ล้วนแล้วแต่มีคนพักเต็ม ห้องเก็บของและคอกม้าก็ยังมีคนเบียดเสียดกันแน่น ไม่มีที่ว่างแล้วขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์มองลูกค้าที่มาจากต่างถิ่น เบะปากแล้วไม่สนใจอีก พอได้ยินเสียงลูกค้าในโถงใหญ่ร้องเรียกก็รีบไปเสนอหน้ากับบรรดาแขกผู้ดีที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา
“ลูกค้าจะสั่งอะไรขอรับ อาหารชื่อดังที่สุดของหอฟ้าหอมเราคือหม้อไฟใต้หล้าชั้นเลิศขอรับ…”
เสี่ยวชุนเบะปากเลียนแบบเสี่ยวเอ้อร์คนนั้น ไม่มีเวลาจะไปสนใจอีกฝ่ายอีก จากนั้นก็ไปหาโรงเตี๊ยมอีกสองสามที่ คาดไม่ถึงว่าโรงเตี๊ยมในเมืองนี้จะเต็มแล้วจริงๆ ไม่ว่าไปที่ไหนล้วนไม่มีห้องว่าง
“แย่แล้ว จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” เสี่ยวชุนยืนอย่างมั่นคงด้วยเท้าข้างเดียวรับลมอยู่บนสัตว์มงคลเฉาเฟิง** ที่อยู่สูงบนขื่อหลังคาพร้อมเอ่ยพึมพำ
เขามองเมืองที่จุดไฟสว่างไสวจากที่สูง ทั้งเนื้อตัวมีดวงตาดอกท้อสุกใสน่าหลงใหลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สะอาดไม่เปื้อนฝุ่น เขากะพริบตากลอกไปกลอกมา ในที่สุดตอนที่เหลือบไปเห็นถนนโคมแดงเส้นนั้น แสงวอมแวมในดวงตาก็แวบวาบ หัวใจสั่นไหว
เวลาพลบค่ำ เขตหอคณิกาจุดไฟสว่างจ้า โคมโปร่งสีแดงเข้มมากมายเหลือคณานับแขวนสูงอยู่บนอาคาร หญิงคณิกางามหยดเย้ายวนใจขึ้นหอไปประทินโฉม กำลังรอต้อนรับแขก
เสี่ยวชุนเหาะเหินข้ามชายคาและขอบรั้วหลายชั้น หายเข้าไปในระเบียงมืดที่เกาะเกี่ยวกันหลายชั้นของหอพู่หิมะ
คราวนี้เขาไม่ได้เดินเข้าทางประตูใหญ่ ทว่าดึงแม่เล้าที่แต่งกายอย่างอะร้าอร่ามเตรียมจะลงไปพบแขกที่ชั้นล่างมาเลย แล้วยัดเงินก้อนใหญ่ไว้ในมือนางพร้อมบอก “รบกวนหาห้องปีกที่เงียบหน่อยให้สักหนึ่งห้อง ไม่เอาผู้หญิง ส่งกับข้าวและสุราตามปกติ”
แม่เล้าเห็นเงินสีทองเหลืองอร่ามวิบวับอยู่ในมือก็ยิ้มตาหยี อ้าปากแล้วรีบบอก “คุณชายน้อยท่านนี้ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ!”
ได้ยินคำพูดของแม่เล้าแล้วเสี่ยวชุนก็อดลูบหน้าตนเองไม่ได้ เขาโตจนป่านนี้แล้วยังเป็นคุณชายน้อยอยู่อีกหรือ
แม่เล้าพาเสี่ยวชุนมาถึงห้องปีกที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล แม้ยากจะหลีกเลี่ยงเสียงขับร้องของนางคณิกา แต่ก็ถือว่าเงียบที่สุดในหอพู่หิมะแล้ว
เสี่ยวชุนวางอวิ๋นชิงบนเตียง จากนั้นก็ยัดเงินอีกสองสามแท่งให้แม่เล้า กำชับเรื่องสัพเพเหระเล็กๆ น้อยๆ แล้วให้นางออกไป
เสี่ยวชุนถอนใจโล่งอก นับว่าแก้ปัญหาเรื่องที่พักได้แล้ว ขณะที่เขากำลังยิ้มหันไปอยากจะหาที่นั่งหรือนอนพักผ่อนก็กลับได้ยินเสียงฟิ้วๆ ของอาวุธลับซัดมาทางเขา
“โอ๊ย!!” เสี่ยวชุนกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด ด้วยทำตัวผ่อนคลายเกินไปจึงหลบไม่ทัน จมูกและแก้มล้วนโดนเข็มซัดหมด
โชคดีที่คนลงมือสูญกำลังภายในไปมากเกิน อาวุธลับจึงไม่ได้ทิ่มเข้ากระดูก เสี่ยวชุนกลั้นใจดึงเข็มดอกท้อเรียวเล็กพวกนั้นออกมา ดวงตาดอกท้อน้ำตารื้น มองอวิ๋นชิงที่หน้าไร้สีเลือดอยู่บนเตียงเงียบๆ
“เจ้าเป็นใคร มีจุดประสงค์ใด ทำไมถึงจับตัวข้ามาที่นี่” อวิ๋นชิงเลือดลมพลุ่งพล่าน อยู่ๆ ก็อาเจียนเลือดออกมาหนึ่งคำ สายตาของเขามองตรงไปที่เสี่ยวชุนอย่างเย็นยะเยือกเหมือนกับครั้งแรกที่เห็น
“เจ้าทำแบบนี้กับผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตอย่างนั้นหรือ!” เสี่ยวชุนโยนเข็มดอกท้อทิ้งลงพื้นด้วยความหงุดหงิด
“ข้าไม่เคยบอกให้เจ้าช่วย” อวิ๋นชิงไม่รับน้ำใจ “ตอบคำถามข้า”
“เจ้ามันช่าง…” เสี่ยวชุนเดือดจัด พ่นลมออกทางจมูกแล้วจึงบอก “ข้าชื่อจ้าวเสี่ยวชุน เป็นแค่คนนอกที่ผ่านทางมา ถือคติหากช่วยได้ก็ช่วย เห็นคนตกอยู่ในอันตรายแล้วจะไม่นิ่งดูดายเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจึงพาเจ้ามาพักชั่วคราวที่หอคณิกาแห่งนี้”
* หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
** เฉาเฟิง คือมังกรตัวที่สามในบรรดาลูกมังกรเก้าตัว เป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษในวรรณคดีโบราณของจีน