everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 2 #นิยายวาย
บทที่สอง
“ไม่ได้เด็ดขาด!” อวิ๋นชิงแย้งข้อเสนอของเสี่ยวชุน
เสี่ยวชุนตะลึงงัน แล้วจึงนึกได้ว่าอวิ๋นชิงเป็นคนรักสะอาด ขนาดอาบน้ำยังต้องอาบสามครั้ง ยิ่งเครื่องนอนหากไม่ใช่ของใหม่จะไม่ใช้ หากให้เขาไปเรียกหญิงคณิกาที่ผ่านมือแขกนับพันนับหมื่นมาช่วยดับความร้อนรุ่มคงเป็นการฝืนใจเขาเกินไปหน่อยจริงๆ
“นี่มันยามใดแล้ว หรือเจ้าคิดจะไปหาหญิงคณิกาที่ยังบริสุทธิ์อยู่?” เสี่ยวชุนถามกลับ
“หญิงคณิกาบริสุทธิ์?” อวิ๋นชิงไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน ไม่เข้าใจความหมายของเสี่ยวชุน
“ไม่หรอกกระมัง ไม่เคยได้ยินคำว่าหญิงคณิกาบริสุทธิ์รึ” เสี่ยวชุนได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างประหลาด “เป็นไปได้หรือว่าเจ้าไม่เคยมีสัมพันธ์กับหญิงคณิการะดับนี้”
ในราตรี เสียงเพลงขับขานร่ายรำไม่ขาดสาย บางครั้งคำหยาบโลนลามกดังแว่วมา อวิ๋นชิงได้ยินเสี่ยวชุนหัวเราะเยาะก็ไม่ตอบคำ เพียงแค่จ้องเสี่ยวชุน
“ความจริงจะไม่เรียกหญิงคณิกามาก็ได้ ถูกพิษยาปลุกกำหนัดนั้นง่ายมาก แค่ให้มันระบายออกมาก็พอแล้ว” เสี่ยวชุนยังคงยิ้มมีเลศนัยและชั่วร้าย “ยกห้องนี้ให้เจ้าก่อนแล้วกัน จัดการเอาเองเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นข้างนอก แล้วจะกลับมาดึกหน่อย”
รอยยิ้มในเวลานี้ของเสี่ยวชุนในสายตาของอวิ๋นชิงกลายเป็นความรู้สึกอีกแบบ อวิ๋นชิงรู้สึกว่าดวงตาดอกท้อของอีกฝ่ายมีตะขอ เกี่ยวจนหัวใจของเขาสั่นสะท้าน
“ทำอย่างไร” อวิ๋นชิงควบคุมน้ำเสียงแล้วเอ่ยถาม
“อะไรทำอย่างไร” เสี่ยวชุนกะพริบตาไม่เข้าใจ
“ระบายที่เจ้าว่า”
“เอ๋? ไม่น่านะ แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้รึ!” เสี่ยวชุนประหลาดใจยิ่ง ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าคนนี้จะไร้เดียงสากับเรื่องนี้ขนาดนี้ มิน่าเล่าเขาถึงได้ข่มแล้วข่มอีก ข่มกลั้นจนอาการบาดเจ็บภายในสาหัสขนาดนี้
“ข้าไม่เข้าใจแล้วอย่างไรล่ะ!” ดวงหน้าเย็นชาของอวิ๋นชิงเจือสีแดงก่ำจากอาการป่วย ตอนนี้เขายืนลังเลอยู่กลางห้องเหมือนเด็กไม่รู้ความ ฟังคำพูดของเสี่ยวชุนไม่เข้าใจ ไฟตรงท้องน้อยกองนั้นก็แผดเผาจนเขาหงุดหงิดกลุ้มใจสุดแสน
เสี่ยวชุนเห็นอวิ๋นชิงท่าทางเริ่มหมดความอดทนแล้วจริงๆ อยากจะปล่อยอีกฝ่ายไว้ไม่สนใจอีก แต่เมื่อช่วยคนมาแล้ว ถึงตอนนี้จะทำแบบนี้ก็เป็นการขัดกับนิสัยของเขาจริงๆ
หลังจากที่ความลังเลต่างๆ นานาต่อสู้กันแล้ว เสี่ยวชุนก็กัดฟันแล้วคว้ามืออวิ๋นชิง
พออวิ๋นชิงถูกอีกฝ่ายแตะก็พลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าทำอะไรไม่ถูกระคนตกตะลึงนั้นทำให้เสี่ยวชุนถอนหายใจ
ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นอวิ๋นชิง เสี่ยวชุนก็รู้ว่าตนเองถูกลิขิตให้ไม่มีทางทิ้งคนคนนี้ไว้โดยไม่ไยดีได้
เสี่ยวชุนพาเขาไปข้างเตียง ผลักลงกลางเตียงผ้าไหมนุ่มแล้วก้มตัวบอก “เก็บอาวุธลับของเจ้าซะ แล้วข้าจะสอนให้”
อวิ๋นชิงพยักหน้า
เสี่ยวชุนปลดสายรัดเอวของอวิ๋นชิง เสื้อผ้าหลวมคลายเผยให้เห็นเสื้อผ้าฝ้ายตัวในสีขาว จากนั้นเขาก็สอดมือเข้าไปสำรวจในกางเกงชั้นในของอวิ๋นชิง กอบกุมส่วนหนึ่งของอวิ๋นชิงที่ผงาดบวมปวดหนึบมานานแล้ว
“เจ้าทำอะไร!” อวิ๋นชิงตัวแข็งทื่อ
ด้วยกลัวว่าจะถูกจู่โจมอีก มือของเสี่ยวชุนรีบห่อหุ้มส่วนนั้นของอวิ๋นชิงไว้แล้วคลึงเคล้น การเคลื่อนไหวในทันทีทันใดทำให้อวิ๋นชิงสูดหายใจเฮือกดังคาด ตัวแข็งค้างไปทั้งตัวทันที
“สบายใจได้ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เสี่ยวชุนพูดแบบนั้น จ้องดวงหน้างามเลิศล้ำที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของอวิ๋นชิงแล้วยิ้ม
เด็กหนุ่มวางสองมือลงไป บางครั้งหมุนรอบ บางคราวรูดรั้ง ยิ่งกว่านั้นก็ยังลูบไล้ถุงหยกคู่นั้นที่อยู่ข้างใต้อย่างใส่ใจด้วย
แม้ทำเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นครั้งแรก แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่รู้สึกรังเกียจเท่าไรนัก
เสี่ยวชุนรู้สึกว่าตนเองทิ้งคนคนนี้ไว้ไม่ได้ พอเห็นสีหน้าที่เย็นชาแต่กลับว่างเปล่าของคนคนนี้แล้ว สายตาก็ไม่อาจละจากร่างของอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากทำอะไรบางอย่างเพื่อคนคนนี้ ไม่ให้เขามีสีหน้าแบบนั้นที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกเศร้าได้ตลอดอีก
อวิ๋นชิงหอบหายใจรัวเร็วขึ้น บางครั้งในคอก็ยังมีเสียงครางต่ำที่หลุดลอดจากการสะกดกลั้น เขายังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้ ความสุขสมรุนแรงที่ทำให้ตัวสั่นเข้าจู่โจม ความตื่นตระหนกในชั่วขณะทำให้เขาขับเคลื่อนกำลังภายในฝืนระงับไว้อีก
“คนงาม บอกว่าไม่ให้เจ้าฝืนไว้อย่างไรเล่า ทำแบบนี้เจ้าจะบาดเจ็บได้นะ” เสี่ยวชุนรับรู้อย่างเฉียบไวว่าพลังปราณในร่างอวิ๋นชิงเคลื่อนที่ผิดปกติ จึงเอาฝ่ามือลูบหน้าอีกฝ่ายทันที เรียกสติของอวิ๋นชิงกลับมา
อวิ๋นชิงลืมตาที่ปิดแน่น เห็นเตียงที่มีแสงรำไรและแสงระยิบระยับเจิดจ้าในดวงตาสีดำสนิทของเสี่ยวชุน
เขาในตอนนี้ถูกดึงดูดไว้อย่างลึกซึ้งด้วยดวงตาทอยิ้มคู่นั้นของอีกฝ่าย
“เฮ้อ อย่ามองข้าแบบนั้น” เสี่ยวชุนหนังหน้าบาง คนงามอยู่ในอ้อมอกแล้วยังถูกมองแบบนี้อีก หน้าก็เริ่มร้อนขึ้น เขาเอื้อมมือปิดตาทั้งคู่ของอวิ๋นชิง บดบังสายตาขุ่นมัวเปิดเปลือยเพราะความปรารถนาที่พลุ่งพล่านของอวิ๋นชิง
“เจ้าพูดมา…เจ้าชื่ออะไร…” ในช่วงที่อวิ๋นชิงรู้สึกหวั่นไหว เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า
“จ้าวเสี่ยวชุน” เสี่ยวชุนบอก “เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวชุนก็ได้ อาจารย์กับศิษย์พี่ก็เรียกข้าแบบนี้”
“เสี่ยวชุน…” อวิ๋นชิงพึมพำ
“แล้วเจ้าล่ะ ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไร” เสี่ยวชุนลูบส่วนนั้นของอวิ๋นชิงที่กำลังร้อนไหม้ ลูบไล้เคล้นคลึงไม่หยุด “ตงฟาง?”
อวิ๋นชิงรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมานิดๆ คำว่าตงฟางทำให้เขานึกถึงเจ้าสารเลวสำนักภูษานิล เจ้าสารเลวนั่นเรียกเขาแบบนี้
“ไม่ชอบหรือ” เสี่ยวชุนรู้สึกว่าความพองขยายของอวิ๋นชิงที่อยู่ในมือเขาเต้นตุบๆ เบาๆ เกือบจะถึงจุดสูงสุดแล้ว “ถะ…ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกเจ้าว่าอวิ๋นชิงได้หรือไม่”
เสี่ยวชุนใช้นิ้วหัวแม่มือปาดผ่านช่องทางเล็กๆ นั้นเบาๆ ใช้ปลายนิ้วจิกและกดไว้ การกระตุ้นอย่างรุนแรงทำให้อวิ๋นชิงเกือบจะกระโดดขึ้นมา
“อื้อ…”
เสียงเบาๆ ที่หลุดลอดออกมาฟังคล้ายเสียงคราง คล้ายดังคำอนุญาต
อวิ๋นชิงตัวแข็งทื่อ เกร็งแน่นไปทั้งร่าง รู้สึกถึงส่วนนั้นที่อยู่ในมือของเสี่ยวชุนปลดปล่อยของเหลวเปียกชื้นออกมา ส่วนอ่อนไหวนั้นเต้นตุบไม่หยุด ความรู้สึกชาหนึบที่ไม่เคยมีมาก่อนระคนกับความสุขสมระเบิดตัวอยู่ในร่างเขา แผ่ซ่านไปทุกที่และทุกชุ่นของร่างกาย ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด
เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง เสี่ยวชุนแต่งกายเรียบร้อยอย่างเบามือ เห็นอวิ๋นชิงหน้าตาดูเหนื่อยล้าน่าจะนอนให้มากหน่อยจึงไม่กวนเขา เด็กหนุ่มดึงสาวใช้ข้างนอกมากำชับให้คอยดูแลอวิ๋นชิงที่อยู่ในห้อง จากนั้นตนเองก็ออกจากทางเดินมืดๆ ลงไปข้างล่างอย่างไม่รีบร้อน
ระหว่างที่เดินอยู่ก็ยังได้ยินเสียงขับขานเต้นรำดังจากสองสามห้องนั้น ในหัวพลันปรากฏภาพเมื่อก่อนแวบผ่าน เสียงเพลงที่หยาบโลนและกลิ่นที่อ้อยอิ่งอยู่ตรงจมูกไม่จางหายทำให้เขาหวนนึกถึงบางอย่างแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาหัวเราะแล้วเดินออกไปจากหอพู่หิมะ
เขาจำได้ว่าอาจารย์เก็บเขากลับมาหุบเขาเทพเซียนตอนเขาอายุสิบห้า
ตอนนั้นแม่ของเขาล่วงเกินขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในราชสำนัก เขาเสียแม่ไป ร่างกายบาดเจ็บสาหัส อาจารย์ช่วยเขาที่ขาข้างหนึ่งย่างเหยียบเข้าสู่ประตูผีแล้ว รับเขาเป็นศิษย์ ให้ที่พักอาศัย ข้าวสามมื้อ และเสื้อผ้า ทว่านับแต่บัดนั้นเขาก็ถูกพากลับมาที่หุบเขาเทพเซียน ใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่กับเหล่าศิษย์พี่ในหุบเขา
ยืนอยู่หน้าถนนที่รถม้าขวักไขว่ เสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ คนที่มาเดินตลาดเบียดผ่านร่างเขาไป พ่อค้าที่ร้องเรียกตะเบ็งเสียงตะโกนลั่น เสียงหนวกหูทำเอาหูของเขาปวดเล็กน้อย
แต่ทว่าไม่ได้เห็นภาพที่คึกคักแบบนี้มานานแปดปีเต็ม โลกที่เต็มไปด้วยสีสันใบนี้เขาห่างหายจากมันไปแปดปีเต็มแล้ว ตอนนี้พอได้มาเห็นอีกครั้ง หมึกกับพู่กันก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกในใจได้
แม้ชีวิตในหุบเขาจะสุขสบาย ไม่ต้องพะวงเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม แต่เขาก็ยังคิดถึงภาพผู้คนมากมายที่ทะเลาะกันในตลาดเสียงดังหนวกหูแบบนี้ แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหา และหาใช่ไร้ปรารถนาและความต้องการอย่างศิษย์พี่รองจนแทบจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและโดดเดี่ยวชนิดที่ไปบวชพระได้ เขาแค่ชอบเสียงเอะอะหนวกหู เกิดมาก็ถูกลิขิตให้เป็นคนในโลกโลกีย์ไปชั่วชีวิต
เสี่ยวชุนยืนยิ้มกว้างเซ่อซ่าคนเดียวอยู่บนถนนใหญ่ พาให้คนข้างๆ พากันหันกลับมามอง เด็กสาวสองสามคนที่เดินผ่านข้างเขาไปแอบมองเขาแวบหนึ่ง เขาผงกหัวทักทายแต่กลับทำให้พวกนางเขินอายหน้าแดง
เสี่ยวชุนยิ้มอย่างภาคภูมิ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะร้ายกาจนัก ออกจากหุบเขาคราวนี้อาจทำให้สตรีนับไม่ถ้วนลุ่มหลง คว้าหัวใจของเด็กสาวเป็นร้อยตระกูลเชียวล่ะ!
ถือโอกาสหาภรรยากลับไปคารวะอาจารย์เลยก็แล้วกัน! เขาหัวเราะคิกคัก
เสี่ยวชุนเดินจับจ่ายซื้อของในเมืองหานหยางทั้งบ่ายอย่างสำราญใจ เห็นของเล่นแปลกใหม่หลากหลายแบบ ของที่ซื้อมาทั้งห่อเล็กห่อใหญ่แขวนเต็มสองแขน
เล่นสนุกดูชมพอแล้วตะวันก็ค่อยๆ คล้อยเอียงไปทางทิศตะวันตก เขาจึงได้หอบสิ่งของกองนั้นกลับหอพู่หิมะ
โคมไฟสีแดงเข้มอยู่นอกหอพู่หิมะ คราวนี้เขาคร้านจะสำแดงวิชาตัวเบากระโดดขึ้นกระโดดลง จึงเลือกเดินเข้าทางประตูหน้า คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตู แม่เล้าร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ก็พุ่งเข้ามาชนเขา เขายังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็แทบกระเด็นออกไป ดีที่สตรีที่อยู่ข้างๆ รีบมาประคองเขาไว้
“คุณชายระวังเจ้าค่ะ!” แม้แม่นางคนนั้นประคอง แต่จากนั้นกลับประชิดเข้ามาทั้งตัว
“ขอบใจแม่นางมาก” เสี่ยวชุนหัวเราะแล้วเบี่ยงขวาหลบอย่างแนบเนียนจนคลาดกับแม่นางคนนั้นพอดี แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่ให้อีกฝ่ายสัมผัสโดน
“ไอ้หยาๆ! เชิญแขกผู้มีเกียรติประมุขซือถูเจ้าค่ะ ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ดูสิข้านี่สมควรตายจริงๆ ดึกขนาดนี้กว่าจะออกมา ท่านประมุขเป็นคนใจกว้างต้องไม่ถือสาแน่ๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ!” แม่เล้าตะเบ็งเสียงร้องเรียก
เสี่ยวชุนมองไปทางแม่เล้า เห็นบุรุษร่างบึกบึนกำยำกระโดดลงจากม้า บ่าวรับใช้จูงม้าไป แม่เล้าเดินไปรับอีกฝ่ายข้างหน้าทันที คลี่ยิ้มงดงามราวกับเห็นภูเขาทองคำและเหมืองเงิน
ซือถูร่างสูงใหญ่กำยำ คิ้วดาบ ดวงตาสุกใสมีชีวิตชีวา แต่งกายด้วยชุดที่ทะมัดทะแมงคล่องตัว ตรงเอวยังผูกกระบี่สองเล่มที่สลักลายมังกรและเฟิ่งหวงไว้ด้วย เขาก้าวเดินอย่างทรงพลังอำนาจ ลำพังแค่ท่วงท่าองอาจก็แทบจะกวาดคนให้ล้มได้ก็มิปาน
“ช่วงนี้เลี่ยวเชี่ยวดีขึ้นบ้างไหม” ซือถูส่งโสมหนึ่งกล่องและเทียบสีแดงให้แม่เล้า “นี่ให้เลี่ยวเชี่ยว รบกวนส่งต่อให้ด้วย บอกว่าซือถูอยากเชิญแม่นางเลี่ยวเชี่ยวไปรวมตัวกันที่คฤหาสน์”
แม่เล้าเปิดกล่องยาออกดู เห็นโสมร้อยปีชั้นดีก็ยิ้มเจิดจ้ากว่าเดิม “บ่าวจะเอาโสมกล่องนี้ไปให้เลี่ยวเชี่ยวเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ ประมุขซือถูโปรดรอสักครู่”
เมื่อแม่เล้าเดินไปแล้ว คนอีกกลุ่มก็เข้ามารับรองแขกผู้มีเกียรติ แค่มารินน้ำชาเทน้ำก็ปาไปสามคนแล้ว รวมบีบขาทุบหลังก็มีทั้งสิ้นห้าคนด้วยกัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” เสี่ยวชุนนึกสงสัย
“ผู้นี้คือซือถูอู๋หยา ประมุขปราสาทเขาหลิวเขียวเมืองหานหยางเรา”
แม่นางหน้าตาน่ารักที่อยู่ข้างๆ ตอบก็ตอบแล้ว แต่มือขาวเรียวทั้งคู่ยังเกาะไหล่พร้อมลูบไล้เสี่ยวชุน แต่ไรมาเสี่ยวชุนมีแต่เกี้ยวพาราสีคนอื่น ไม่ให้คนอื่นเกี้ยวพาน พอเจอแม่นางแบบนี้เข้าก็หลบหลีกทันที ทั้งสองคนผลักกันไปยื้อกันมา เป็นที่สะดุดตาในห้องโถงทีเดียว
“ประมุขปราสาทเขาหลิวเขียวรึ” เสี่ยวชุนถาม
“ท่านไม่รู้จักปราสาทเขาหลิวเขียวหรือ” แม่นางผู้นั้นตัวอ่อนระทวยเบียดร่างเสี่ยวชุน เล่นสนุกจนติดใจพลางบอกอย่างกระเซ้าแหย่ “ปราสาทเขาหลิวเขียวคือสำนักใหญ่ร้อยปีในยุทธภพ และยังเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ประสบความสำเร็จเลื่องชื่อ คุณชายน้อย ท่านคงไม่ค่อยออกจากสำนักกระมัง ดูใบหน้าท่านขาวผ่องอมชมพูผิวพรรณเนียนลื่น ท่าทางไม่ค่อยโดนแดด”
“เป็นเช่นนี้แต่กำเนิดน่ะ” เสี่ยวชุนเบี่ยงตัวก็หลุดจากกรงเล็บมารที่ยื่นออกมาของแม่นางผู้นั้นอย่างง่ายดาย
ความจริงแล้วเสี่ยวชุนค่อนข้างสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับประมุขสำนักอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านี้นักว่าเขามาหาผู้ใด
เลี่ยวเชี่ยวที่แม่เล้าคนนั้นพูดถึงคงเป็นหญิงคณิกาชื่อดังของหอพู่หิมะ ในเมื่อมาถึงหอพู่หิมะแล้วไม่ได้เห็นยอดหญิงงามของที่นี่จะได้อย่างไร!