everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่สาม
คืนวันแบบนี้ดำเนินไปอีกสองวัน พูดกับอวิ๋นชิงไปก็เปล่าประโยชน์ ในที่สุดเสี่ยวชุนก็ทนไม่ไหว ไปหาแม่เล้าขอยาปลุกกำหนัดที่ช่วยเร้าอารมณ์มาสองสามชนิดเพื่อเอามาศึกษาวิธีถอนพิษ จากนั้นก็เขียนสูตรยาใหม่เอี่ยมออกมา เช้าตรู่วันถัดมาก็วิ่งไปซื้อสมุนไพรช่วยชีวิตแต่ละแบบที่ร้านยา
สารน้ำจำเป็น* ที่คนพูดถึงกันบอกว่าน้ำรักก็คือเลือด หากปล่อยเลือดออกไปมากจะทำให้คนตายได้ คิดดูเขาจ้าวเสี่ยวชุนอายุยังน้อย อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ยังไม่ทันมีชื่อเสียงระบือไกล จะให้สู้ศึกสิ้นชีพที่หอคณิกา มีจุดจบที่น่าอนาถด้วยการเสียน้ำรักจนตัวตายได้อย่างไร
หลายคืนมานี้เสี่ยวชุนเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ทั้งหน้าตาอิดโรย จ่ายเงินแล้วแบกยา ยกเท้าสองข้างที่สั่นนิดๆ ก้าวออกมาจากร้านยา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งก้าวออกมาจากประตูร้านก็จะเห็นสายลมหวีดหวิวพัดใบไม้ร่วงจากกิ่งไม้แต่เช้าตรู่ คนชุดดำคนหนึ่งชี้ดาบมาที่เขา มองเขาด้วยสายตาเยียบเย็นเป็นประกาย
พริบตานั้นศัตรูไม่ขยับข้าก็ไม่ขยับ ดวงตาดอกท้อของเสี่ยวชุนกะพริบแต่ร่างกายแน่นิ่ง พวกเขาคล้ายสมณะชราสองรูปที่กำลังเข้าฌานนิ่งอยู่บนถนนใหญ่ สี่ตาจ้องประสานฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ละสายตา
“มาแล้ว ขออภัยๆ!!” ชายชราที่หาบขายอาหารแต่เช้า แทรกผ่านกลางระหว่างคนสองคนที่ขวางทางอยู่บนถนนใหญ่ส่งเสียงเหนื่อยหอบ
ชายชราเดินหาบเร่พลางร้องขายของตามถนน “น้ำเต้าหู้ร้อนๆ ปาท่องโก๋จ้า! เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ เลยจ้า! น้ำเต้าหู้ร้อนๆ ปาท่องโก๋จ้า!!”
เมื่อชายชราสวนไปแล้วเสี่ยวชุนก็รีบสาดผงแป้งใส่คนชุดดำทันทีแล้วร้องลั่น “ดูนี่ ยาสลบข้า!”
คนชุดดำเคยเจอฤทธิ์ยาสลบมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นนอนกระดุกกระดิกไม่ได้สามวันสามคืนในป่ากันดาร จึงเอามือป้องปิดลมหายใจทันที คิดไม่ถึงว่าในพริบตาสั้นๆ ร่างเสี่ยวชุนจะแวบหายไปไม่เห็นเงาแล้ว
ชายชราที่กำลังหาบน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋อยู่ไม่ได้ล้มลง
คนชุดดำก็ไม่ได้ล้มลง
มีเพียงผงแป้งละเอียดลอยละล่อง ฟุ้งกระจายทั่วทิศทาง
ชายชรากะพริบตาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอก้มหน้าก็พบว่าของกินในหาบของตนเองเลอะฝุ่นอะไรไม่รู้หมดแล้ว โมโหจนแหกปากร้องลั่น “เด็กบ้าที่ไหนมาสาดอะไรเนี่ย แล้วน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ข้าจะขายอย่างไร!”
คนชุดดำแตะผงแป้งจำนวนหนึ่งมาดมด้วยความฉงน หน้าพลันคล้ำเขียว พบว่าตนเองถูกต้มแล้ว
ที่แท้ผงแป้งที่เสี่ยวชุนสาดไม่ใช่ยาสลบ แต่เป็นผงหวงเหลียน** ชั้นดีที่ใช้ขับร้อน ช่วยให้จิตใจสงบ
เสี่ยวชุนวิ่งจนหายใจไม่ทัน อีกทั้งกลัวว่าตอนนี้ตนเองสูญพลังปราณแล้ววิชาตัวเบาไม่ล้ำเลิศเท่าแต่ก่อน เขาจึงอ้อมรอบเมืองหานหยางเจ็ดแปดรอบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาข้างหลังแล้วจึงข้ามผ่านศาลาและป้อมของหอพู่หิมะ รีบรุดกลับห้องตนเอง
“มาแล้วๆ!” เสี่ยวชุนเข้าห้องพลางตะโกนบอก เดิมอยากบอกอวิ๋นชิงว่าตนเองเจอคนชุดดำเข้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าในห้องปีกจะว่างเปล่าไร้เงาคน ไม่รู้อวิ๋นชิงไปอยู่ไหนแล้ว
ครู่ต่อมาอวิ๋นชิงก็ผลักประตูเข้ามา เสี่ยวชุนยังไม่ทันได้เอ่ยปากอวิ๋นชิงก็ถามขึ้น “ไปไหนมา หายไปตั้งแต่เช้าอีกแล้ว”
“อ้อ…” เสี่ยวชุนชะงัก ยกห่อยาขึ้น “ไปซื้อยามาให้เจ้า”
“ฟ้าใกล้มืดแล้ว” อวิ๋นชิงบอก
“อ๊ะ มืดป่านนี้แล้วจริงด้วย!” เสี่ยวชุนมองสีท้องฟ้าแล้วบดยาเอาไปต้มทันที เขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไวด้วยกลัวว่าดึกแล้วพอพระจันทร์ขึ้นต้องลูบๆ คลำๆ เป็นเพื่อนอวิ๋นชิงอีก
ขณะที่กำลังเคี่ยวยา เสี่ยวชุนโน้มคอต่ำจวนจะแตะพื้น วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกอ่อนเพลีย อาจเพราะวิ่งรอบเมืองหลายรอบเกินไปตั้งแต่เช้าจึงทำให้เขาทั้งง่วงทั้งเหนื่อย
“ทำไมเจ้าไม่พูดไม่จา” ในห้องเงียบเกินไป อวิ๋นชิงรู้สึกไม่ชิน ทั้งๆ ที่สถานที่ที่เงียบสงัดหากมีจ้าวเสี่ยวชุนคนนี้อยู่ด้วยก็กลายเป็นท้องตลาดที่คึกคักได้ แต่วันนี้ทำไมถึงเงียบงันถึงขั้นนี้
“ไม่มีอะไร ไม่อยากพูดก็ไม่พูด” เสี่ยวชุนหยิบพัดที่ทำจากใบลานเอามาพัดไฟ แต่เผลอทำพัดไหม้ไปส่วนหนึ่ง เขาหาวหวอดอยากนอน
“เลี่ยวเชี่ยวคือใคร”
ได้ยินอวิ๋นชิงอยู่ๆ ก็พูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา เสี่ยวชุนถามกลับด้วยความประหลาดใจ “เจ้าก็รู้จักชื่อเลี่ยวเชี่ยวด้วยหรือ”
“เจ้าร้องเรียกในฝัน” อวิ๋นชิงแค่นเสียงหึเย็นชา คนคนนี้ตอนกลางคืนไม่รู้ฝันลามกอะไร นอนไปพลางน้ำลายไหล แล้วยังฉีกยิ้มร้องตะโกน ‘แม่นางเลี่ยวเชี่ยวรอข้าด้วย!’ ในสี่วันร้องเรียกไปสามครั้งแล้ว หนวกหูจนทำให้เขาเกือบจะสะบัดฝ่ามือซัดให้เจ้าตัวตื่น
“แม่นางเลี่ยวเชี่ยวคือสหายที่ข้าเพิ่งรู้จัก” เสี่ยวชุนยิ้มบอก
“…” ดูเจ้ายิ้มลามกเข้าสิ
เสี่ยวชุนโบกพัดพลางบอก “อีกทั้งยังเป็นสาวงามด้วย” นึกถึงท่าทางนุ่มนวลสง่างามน่ารักของเลี่ยวเชี่ยวแล้วมุมปากและหางคิ้วเสี่ยวชุนก็ยกขึ้นอีก “หลายวันก่อนเพิ่งรู้จัก นางเป็นคณิกาชื่อดังของหอพู่หิมะ งามเลิศอย่างหาใดเปรียบ ข้ามองจนตาค้างไปเลย”
“…”
“แต่เสียดายที่วันนั้นนางถูกคนไถ่ตัวไป ข้าเพิ่งจะคุยกับนางได้แค่สองประโยคก็ถูกซือถูอะไรหยานั่นเข้ามากวน ประมุขปราสาทเขาไร้ฟัน*** อะไรนั่นไม่รู้นิสัยอย่างไร แม่นางเลี่ยวเชี่ยวร่างกายอ่อนแอ หากไม่ดูแลดีๆ จะไม่ได้การ” เสี่ยวชุนนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออกเสียที หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปรบมือสองข้างบอก “นึกออกแล้ว ประมุขปราสาทเขาหลิวเขียวซือถูอู๋หยา”
“ซือถูอู๋หยา? เจ้าสนิทสนมกับเขาหรือ” อวิ๋นชิงลังเลครู่หนึ่งแล้วอยู่ๆ ก็ถามขึ้น
“สนิทแบบถูกซัดหน้าอกหนึ่งฝ่ามือ” เสี่ยวชุนบอก
“…”
เสี่ยวชุนเห็นอวิ๋นชิงอยู่ดีๆ ก็เงียบจึงหันไปถาม “ไยเจ้าไม่พูดเล่า”
“ไม่มีอะไรให้พูด”
“เฮ้อ เจ้าว่างานชุมนุมผู้กล้าจะเป็นแบบไหนนะ ข้ายังไม่เคยเห็นเลย”
“คนเยอะ”
“ข้ารู้ว่าคนเยอะ” เสี่ยวชุนหัวเราะ บางครั้งคำตอบของอวิ๋นชิงก็ค่อนข้างประหลาด
เสี่ยวชุนจำได้รางๆ ว่างานชุมนุมผู้กล้าเหมือนจะจัดขึ้นที่ปราสาทเขาหลิวเขียวในอีกวันสองวันนี้ ถึงตอนนั้นผู้กล้าจากทุกสารทิศจะมารวมตัวกัน ที่นั่นจะต้องวุ่นวายแน่ๆ และไม่รู้ว่าจะอาศัยความวุ่นวายนั้นแอบเข้าไปในปราสาทเขาหลิวเขียวได้หรือไม่ แม่นางเลี่ยวเชี่ยวถูกซือถูอู๋หยาพาไปต่อหน้าต่อตาเขา แม้นางจะบอกไม่ให้เขากังวล แต่เขารู้ว่าในแง่คุณธรรมแล้วตนเองควรต้องไปเยี่ยมเยียนนางสักหน่อย
อา…ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะปรากฏตัวในงานชุมนุมผู้กล้าหรือไม่ เสี่ยวชุนนึกได้ว่าศิษย์พี่ห้าศิษย์พี่หกบอกว่าศิษย์พี่ใหญ่มีชื่อเสียงในยุทธภพไม่ใช่เล่น หากมีชื่อเสียงไม่ใช่ธรรมดาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้า และผู้กล้าก็ย่อมต้องมาร่วมงานชุมนุมผู้กล้า หากฉวยโอกาสแอบเข้าไปดู ไม่แน่อาจจะเจอศิษย์พี่ใหญ่
แต่… “คราวก่อนแม่เล้าบอกว่างานชุมนุมผู้กล้าจัดวันไหนเดือนไหนกันนะ…” เสี่ยวชุนครุ่นคิดอย่างหนัก
“ยี่สิบเก้า เดือนสิบ” น้ำเสียงของอวิ๋นชิงยังคงเย็นยะเยือก “เจ้าอยากไป?”
“อื้ม ไปหาคน”
“หาใคร” คงไม่ได้ไปหาแม่นางเลี่ยวเชี่ยวที่พูดถึงหรอกใช่หรือไม่
“ข้าจะไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของข้า” เสี่ยวชุนนึกถึงคนชุดดำพวกนั้น สถานที่แบบยุทธภพย่อมมีการขัดคอกัน ในเมื่ออวิ๋นชิงถูกคนชุดดำตามล่าสังหาร แสดงว่าอวิ๋นชิงอาจจะเกี่ยวข้องกับยุทธภพ “ว่าแต่อวิ๋นชิง เจ้าเองก็เป็นคนในยุทธภพสินะ!”
อวิ๋นชิงไม่ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นคนที่เจ้ารู้จักมีเยอะไหม เจ้ารู้จักศิษย์พี่ของข้าหรือไม่” เสี่ยวชุนไม่ใส่ใจที่อวิ๋นชิงเงียบไปอีก แต่จ้องอวิ๋นชิงตรงๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นใครอีกล่ะ” ประเดี๋ยวแม่นางเลี่ยวเชี่ยว ประเดี๋ยวศิษย์พี่ของเขา อวิ๋นชิงถูกเสี่ยวชุนทำให้หงุดหงิดนิดๆ คนคนนี้พูดพึมพำไม่หยุดแล้ววกกลับมาเรื่องชุมนุมผู้กล้าอีก งานชุมนุมผู้กล้าสำคัญกับเขาขนาดนั้นเลยหรือ
“ศิษย์พี่ใหญ่ข้าชื่อสือโถว เจ้าเคยได้ยินไหม” เสี่ยวชุนบอกอย่างตื่นเต้น
“…” อวิ๋นชิงอับจนคำพูดไปครู่หนึ่งแล้วบอก “ไม่เคยได้ยิน”
“เอ๋?” เสี่ยวชุนทำหน้าผิดหวัง
แม่นางเลี่ยวเชี่ยวบอกว่าคนที่ชื่อสือโถวมีมากมายก่ายกอง อวิ๋นชิงก็ไม่เคยได้ยิน ศิษย์พี่ใหญ่ของเขานี่หาตัวยากจริงๆ นะ แค่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยบอกชื่อแซ่จริงกับเขาแท้ๆ!
เงียบงันไปครู่หนึ่งก็ไม่ได้คุยอะไรอีก เสี่ยวชุนเพ่งสมาธิกับยาในหม้อ
สุดท้ายก่อนจะถึงยามไฮ่**** ก็บรรลุผลสำเร็จ เขาเอายาลูกกลอนสีดำที่มีส่วนผสมช่วยคลายพิษยาปลุกกำหนัดใส่ขวดลายครามให้อวิ๋นชิงเรียบร้อย และยาที่ทดลองทำก่อนหน้าพวกนั้นก็ให้อีกฝ่ายกินเล่นเป็นขนม
“ข้าทำยาใหม่ให้เจ้าแล้ว” เสี่ยวชุนคลี่ยิ้มพร้อมส่งขวดลายครามให้อวิ๋นชิง
“เหตุใดต้องทำยาใหม่ด้วย”
“เพราะยาปลุกกำหนัดนั่นร้ายกาจเหลือเกิน ข้าครุ่นคิดอย่างหนักมาสองวัน ในที่สุดข้าก็คิดออกว่าต้องใช้หวงเหลียน หญ้าดีมังกร***** ช่วยขจัดฤทธิ์ยา นอกจากนั้นยังเพิ่มสมุนไพรที่ช่วยให้หลับสบายอีกเล็กน้อย ขอเพียงเจ้ากินยาทุกวันก่อนยามไฮ่ จะช่วยต้านพิษที่กำเริบในยามไฮ่ให้เบาลง ตอนกลางคืนก็จะหลับสบาย!” เสี่ยวชุนบอกอย่างเบิกบานใจ
“หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้นอนก็เพราะคิดยาพวกนี้หรือ” อวิ๋นชิงถือขวดลายครามที่เสี่ยวชุนให้เขา เพราะเมื่อครู่กุมอยู่ในมือเสี่ยวชุนและได้รับความร้อนจากร่างของเขา ทำให้ขวดกระเบื้องเคลือบเย็นๆ อุ่นขึ้นมานิดๆ
อวิ๋นชิงหน้าอกบีบรัด กำขวดลายครามในมือแน่น เขาไม่รู้ว่าทำไมคนคนนี้ต้องดีกับเขาถึงเพียงนี้ ทุกอย่างที่คนคนนี้ทำคล้ายกระแสอุ่นร้อนลากผ่านหัวใจที่เย็นเฉียบของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเป็นเกลียวคลื่นอย่างต่อเนื่อง
“น่าเสียดายที่ข้ามีกำลังไม่พอ ช่วยถอนพิษให้เจ้าไม่ได้ วิธีในตอนนี้แค่ช่วยระงับความทรมานจากพิษกำเริบได้ชั่วคราว รู้สึกผิดต่อเจ้าจริงๆ” เสี่ยวชุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีก “ถ้าหากข้าได้พิษนั่นมา…เฮ้อ…เจ้าบอกว่าพิษนั่นชื่ออะไรนะ”
“จันทร์ครึ่งเสี้ยว”
“ใช่แล้ว ถ้าหากข้าได้จันทร์ครึ่งเสี้ยวมาศึกษาอย่างละเอียด จะต้องทำยาถอนพิษมาช่วยถอนพิษทั้งหมดของเจ้าได้แน่นอน” เสี่ยวชุนบอก “นอกจากนั้นยานี้ก็เหมือนกับยาครั้งก่อน กินครั้งละหนึ่งเม็ดเท่านั้น กินมากกว่านี้ไม่ดี ยาคราวก่อนทำร้ายตับ คราวนี้ทำร้ายตับและทำร้ายไตด้วย หากกินมากเกินไปน่ะนะ…” เสี่ยวชุนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เกรงว่าภรรยาในอนาคตเจ้าจะต้องเกลียดข้าแย่เลย”
“ทำไมพูดแบบนั้น” อวิ๋นชิงไม่เข้าใจ
“ ‘ยาลูกกลอนสยบปืนทอง’ ที่ทำเป็นพิเศษของจ้าวเสี่ยวชุนห้ามกินเยอะ กินแค่เม็ดเดียวแม้จะเป็นมังกรทะเลโผนทะยานก็กลายเป็นไส้เดือนตัวจิ๋ว ต่อให้เจ้าอยากโด่ก็โด่ไม่ขึ้น ทุกคืนจะสงบเสงี่ยมหลับยาวจนฟ้าสาง ไม่เกเรอีกตลอดกาล ปืนทองนั่นคืออะไรเจ้ารู้ใช่ไหม หากไม่เข้าใจข้าจะอธิบายให้ฟัง…” เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงคำรามของอวิ๋นชิง
“จ้าวเสี่ยวชุน เจ้าถึงกับกล้าให้ข้ากินยาแบบนี้” อวิ๋นชิงสีหน้าคล้ำเขียว เขาแค่เห็นสายตาของเสี่ยวชุนก็เดาได้แล้วว่าเสี่ยวชุนบอกใบ้ถึงอะไร
“เฮ้อ ข้าทำแบบนี้เพราะปรารถนาดีต่อเจ้านะ” เสี่ยวชุนหมดทางเลือก แม้ครึ่งของสาเหตุในนั้นก็เพื่อตัวเขาเองด้วย
“ทำร้ายตับทำร้ายไตนี่คือปรารถนาดีต่อข้ารึ” อวิ๋นชิงเดือดจัด อีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาแตะต้องขนาดนี้เชียวหรือ
“เดิมเจ้าก็ถูกลิขิตให้ตับเสียอยู่แล้ว ไตเสียเป็นเรื่องหลังจากนั้น”
อวิ๋นชิงหน้าตาถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ
อยู่ๆ แรงลมก็ปะทะเข้ามา ตามมาด้วยเข็มดอกท้อทั่วทุกหนแห่งราวกับห่าฝนโดยพลัน หนาแน่นมหาศาลราวกับหมอกครึ้มฝนพรำเข้าปกคลุม ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว
เสี่ยวชุนกุมศีรษะหลบหลีกอยู่ในห้องพลางร้องไม่หยุด ถูกเข็มของอวิ๋นชิงคนงามทิ่มทั่วร่าง คล้ายเม่นน้อยที่ตื่นตระหนกหนีหัวซุกหัวซุน
* สารน้ำจำเป็น คือสารที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต เป็นสารประกอบพื้นฐานของร่างกาย
** หวงเหลียน คือสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณขับความร้อน ความชื้น ขับพิษ
*** ไร้ฟัน ภาษาจีนคือคำว่าเหมยหยา (没牙) เป็นการเล่นคำ โดยเหมยแปลว่าไม่มี และหยาแปลว่าฟัน
**** ยามไฮ่ คือช่วงเวลา 21.00 น. ถึง 23.00 น.
***** หญ้าดีมังกร หรือเหล่งต๋าเช่า เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณดับร้อน ดับไฟที่ตับและถุงน้ำดี