everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 3 #นิยายวาย
ทั้งสองคนตีกันคราวนี้ยากจะควบคุม แม้อวิ๋นชิงจะถึงเวลาที่พิษกำเริบแล้ว แต่ก็ยังทำให้เสี่ยวชุนย่ำเท้าอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเสี่ยวชุนต้องร้องขอความเมตตาไม่หยุด คลื่นลมจึงได้สงบ
ก่อนนอนเสี่ยวชุนนึกเรื่องที่ตอนเช้าเจอคนชุดดำขึ้นมาได้ จึงพลิกตัวหันไปบอกอวิ๋นชิง “เกือบลืมไป วันนี้ตอนเช้าข้าเจอ…”
“ข้ารู้” อวิ๋นชิงขึ้นเตียง หลับตาพักผ่อน “ลูกน้องข้าเห็นแล้ว”
“ที่แท้เจ้ารู้แล้วนี่!” พอได้ยินคำพูดของอวิ๋นชิง เสี่ยวชุนจึงรู้สึกเหมือนว่าตนเองก็ไม่เคยถามว่าอวิ๋นชิงเป็นใครกันแน่ ลูกน้องของอีกฝ่ายรีบรุดมาถึงเมืองหานหยางแล้ว ต้องเป็นตอนที่เขาออกไปข้างนอกแน่ๆ อวิ๋นชิงติดต่อกับคนพวกนั้นได้แล้วสินะ!
ทว่าถามกับไม่ถามจะมีอะไรต่าง
ไหนๆ คนที่เขารู้จักคือตงฟางอวิ๋นชิงตรงหน้าคนนี้ก็พอแล้ว ส่วนที่ว่าคนคนนี้จะมีฐานะตำแหน่งใด สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ
คิดเสร็จแล้วเขาก็พลิกตัวอมยิ้มหลับต่อ
ตั้งแต่ยาดีกู้โลก ‘สยบปืนทอง’ สำแดงฤทธิ์บรรลุหน้าที่แล้ว หลายวันมานี้เสี่ยวชุนก็มีชีวิตสุขสบายจริงๆ
แต่สายตาที่อวิ๋นชิงมองเขากลับยิ่งแปลกประหลาดขึ้นทุกที ราวกับอยากจะเขมือบเขาอย่างนั้น เสี่ยวชุนถูกมองจนขนลุกเกรียวทั้งยังหวาดผวา
วันที่ยี่สิบเก้าเสี่ยวชุนเอายาลูกกลอนชุดสุดท้ายที่เพิ่งตากให้เห็นเมื่อคืนใส่ขวดให้อวิ๋นชิงแล้ว อวิ๋นชิงที่หายไปไม่เห็นเงาตั้งแต่เช้าตรู่ก็กลับมาจากข้างนอก
“เก็บเสร็จแล้ว” เสี่ยวชุนเอาขวดลายครามและแผ่นป้ายไม้มะเกลือให้อวิ๋นชิง “นี่คือชุดสำหรับสามเดือน ระหว่างนั้นข้าจะหาสูตรที่ถอนพิษได้หมดจดมาให้เจ้าอย่างเต็มความสามารถ ภายในช่วงนี้เจ้าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ภายในสามเดือนหากข้าไม่มาหาเจ้า เจ้าก็เอาแผ่นป้ายนี้ไปหาอาจารย์ข้าที่หุบเขาเทพเซียนที่อยู่สุดหล้าแสนไกล เขาจะช่วยระงับพิษร้ายในตัวเจ้าไว้ก่อน”
บนแผ่นป้ายไม้มะเกลือไม่มีลายสลักอะไรเลย เป็นแค่แผ่นไม้หนักๆ ด้านบนมีเชือกฝ้ายสีชมพูผูกอยู่หนึ่งเส้น
“เก็บไว้ดีๆ ล่ะ” เสี่ยวชุนกำชับอีก “สำคัญมาก อย่าทำหายส่งเดช”
อวิ๋นชิงมองจ้องแผ่นป้ายไม้มะเกลืออยู่ครู่ใหญ่ มันเหมือนสิ่งของที่อยู่ติดตัวเสี่ยวชุนไม่ห่างมานานปี เขายังได้กลิ่นยาอ่อนๆ จากแผ่นไม้ด้วย เป็นกลิ่นที่เหมือนกับกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่ออกมาจากร่างเสี่ยวชุน
อวิ๋นชิงเอาแผ่นไม้ผูกไว้ที่เอวแล้วก็คว้ามือเสี่ยวชุนลากออกไปข้างนอก
“อีกประเดี๋ยวข้ามีธุระ เจ้าจะทำอะไร” เสี่ยวชุนยังไม่ทันหยิบห่อสัมภาระก็ถูกอวิ๋นชิงดึงลงไปข้างล่างแล้ว
หอพู่หิมะตอนกลางวันยังมีแขกสองสามคน อวิ๋นชิงลากเสี่ยวชุนออกไปปรากฏตัว คนเหล่านั้นที่อยู่ในห้องโถงก็ตะลึงงันไป สายตามองจ้องนิ่งค้าง มองเสี่ยวชุนแล้วมองอวิ๋นชิง ไม่รู้ว่าคนงามมาจากไหนจึงได้งามล้ำอย่างเทพเซียนปานนี้
นักดาบที่กลิ่นสุราคลุ้งคนหนึ่งเพิ่งจะอ้าปากแล้วก็หุบไม่ลงเดินมาทางพวกเขา อวิ๋นชิงซัดอาวุธลับไร้เงาไร้รูปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า เข็มดอกท้อฝังเข้าไปสามส่วนส่งผลให้สิ้นใจทันที เสี่ยวชุนเห็นสีหน้าของคนคนนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำก็ดีดยาลูกกลอนที่เอาไว้ถอนพิษจากเข็มนั้นโดยเฉพาะเข้าปากอีกฝ่าย
“เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนกันแน่ ข้ามีธุระจริงๆ นะ!” พอถูกจับยัดเข้าไปในรถม้าที่มีคนเฝ้าอยู่ข้างหน้า เสี่ยวชุนจึงบอกอย่างหมดหนทาง
“ไปกับข้าก็พอ” อวิ๋นชิงเองก็ไม่คิดจะอธิบาย
รถม้าเป็นรถม้าทั่วไป สารถีคือคนสวมชุดขาวที่ไม่ใช่คนทั่วไป เสี่ยวชุนเดาว่าคงเป็นลูกน้องของอวิ๋นชิงกระมัง!
ตอนนี้อวิ๋นชิงใส่ชุดผ้าไหมสีขาว ขอบผ้าและคอเสื้อปักลายสายลมและเมฆเคลื่อนอย่างเรียบง่าย เส้นผมรัดด้วยหยกขาวรวบขึ้นด้วยเกี้ยวครอบ พู่ห้อยสีเดียวกันห้อยย้อยจากด้านหลังศีรษะ ยามเคลื่อนไหวแขนเสื้อนอกลอยพลิ้ว บุคลิกสะอาดสดชื่นดุจปทุมาพ้นจากธารากระจ่างใส ไม่จำเป็นต้องประดับตกแต่งก็งดงามดุจสวรรค์สร้าง
เสี่ยวชุนเห็นแล้วตะลึงงันไปอยู่นานสองนาน
อวิ๋นชิงคนนี้บริสุทธิ์ไร้ที่ติประหนึ่งเทพเซียน ไม่เปรอะเปื้อนด้วยกลิ่นอายของโลกโลกีย์สักนิดเดียว
บุรุษรูปโฉมงดงามได้ขนาดนี้ช่างเป็นบาปกรรมจริงๆ! ถ้าหากไม่เคยเห็นกับตาตนเอง ไม่เคยลูบคลำกับมือตนเอง ดวงหน้าเช่นนี้จะต้องทำให้ตนไม่อาจต้านทานได้แน่นอน แม้ต้องคอยตามตอแยก็จะอยู่ข้างกายเขา เฝ้ามองตั้งแต่เช้ายันค่ำ ชื่นชมเสียให้พอ
ตะลึงงันแล้วตะลึงงันอีกไปแบบนี้ จนเสี่ยวชุนได้สติอีกทีรถม้าก็จอดแล้ว
เสี่ยวชุนเลิกม่าน แวบแรกที่เห็นก็คิดว่า เฮ้อ ไม่ได้การละ บนแผ่นป้ายทรงเกียรติขนาดใหญ่ตรงทางเข้าประตูใหญ่เขียนด้วยลายมือที่ทรงพลังทั้งอ่อนช้อยว่า ‘ปราสาทเขาหลิวเขียว’
นอกปราสาทเขาหลิวเขียวมีชาวยุทธ์แต่งกายทะมัดทะแมงมาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ขาดสาย เหล่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ขี่ม้าหรือไม่ก็เดินเท้า ส่วนพวกที่นั่งรถม้ามาแบบเขานี่ยังไม่เห็นจริงๆ
บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูรับเทียบเชิญผู้กล้าจากสารถีอย่างนอบน้อม จากนั้นก็มีพ่อบ้านที่หน้าตาเกินอายุรีบมาต้อนรับ นำทางให้สารถีขับรถม้าเข้าไปจอดที่เรือนรับแขกเดี่ยวอีกแห่ง
หลังจากรถม้าจอดแล้วพ่อบ้านเหมือนยังอยากพูดอะไรบางอย่าง คนขับรถม้าจึงบอก “คุณชายเจ็ดของเราออกจากสำนักคราวนี้ไม่ได้ป่าวประกาศ โปรดเรียนประมุขซือถูด้วยว่ามิจำเป็นต้องมาต้อนรับ”
จนเมื่อเสี่ยวชุนและอวิ๋นชิงลงจากรถม้า พ่อบ้านที่เป็นบ่าวรับใช้และคนขับรถม้าก็ถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อมนานแล้ว
“เจ้าจะส่งข้ามาปราสาทเขาหลิวเขียวแล้วทำไมไม่บอกข้า” เสี่ยวชุนคลี่ยิ้มถามอวิ๋นชิง “เดิมข้ายังกังวลอยู่เลยว่าจะแอบเข้ามาอย่างไรดี!”
“ไหนๆ ก็เป็นทางผ่าน มาถึงแล้วเจ้าย่อมรู้เอง” อวิ๋นชิงแค่ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร แต่ก่อนเขาไม่เคยต้องอธิบายให้ใครฟังไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม
“ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ เจ้าช่วยข้าได้เยอะเลย” เสี่ยวชุนยิ้มเบิกบานพร้อมเข้ามาใกล้อวิ๋นชิง คราวนี้ไม่รอให้อวิ๋นชิงดึงมือ เขาก็เป็นฝ่ายดึงแขนเสื้ออวิ๋นชิงมุ่งหน้าเดินเข้าไปข้างใน
อยู่ๆ พวงแก้มอวิ๋นชิงก็อาบย้อมสีแดงเรื่อด้วยความขวยเขิน
จ้าวเสี่ยวชุนคนนี้มีดวงตาดอกท้อยั่วยวนใจ ทุกครั้งที่ยิ้มจะทำให้คนสติหลุดลอยไม่รู้ตัว เดินทางมาที่ปราสาทเขาหลิวเขียวครั้งนี้ไม่รู้ว่าสารเลวสำนักภูษานิลนั่นจะเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เดิมทีเขาไม่ควรพาเสี่ยวชุนมา แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวชุนบอกลาเขาทำให้เขารู้สึกสับสนปั่นป่วนไปหมด ตอนนั้นเขาคิดแต่ว่าหากต้องให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากขอบเขตสายตาเขา มิสู้เก็บอีกฝ่ายไว้ข้างกายจะดีกว่า
จ้าวเสี่ยวชุนเป็นคนแบบใดกันแน่ มีสิ่งใดควรค่าให้ใส่ใจ ทุกครั้งอวิ๋นชิงคิดว่าคุณค่าของคนคนนี้อยู่ที่ความสามารถในการถอนพิษเขาจึงเก็บอีกฝ่ายไว้ แค่เพราะคนคนนี้มีประโยชน์ให้ใช้ จะทิ้งก็เสียดาย แต่พอแค่เห็นคนคนนี้ยิ้ม ตนเองก็เกิดสับสนอีกแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบอวิ๋นชิงคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดดวงหน้าแย้มยิ้มนั่นจึงทำให้เขานึกถึงดอกท้อในฤดูใบไม้ผลิ สดใสเป็นประกายจนทำให้เขาไม่อาจละสายตา สติหลุดลอยในฉับพลัน
ปราสาทเขาหลิวเขียวแห่งหานหยาง หนึ่งในสำนักใหญ่ในรอบร้อยปีของยุทธภพ
ปัจจุบันใต้หล้าแบ่งเป็นสามส่วน หนึ่งนั้นเป็นของโอรสสวรรค์แห่งราชสำนักสมัยปัจจุบัน สองเป็นของฝ่ายมารสำนักภูษานิลที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมสังหารผู้คนราวกับบี้มด สามคือปราสาทเขาหลิวเขียวที่ชาวยุทธ์ทุกคนยกย่องเลื่อมใส ถือหลักธรรมในการปกป้องยุทธภพ มีหน้าที่กำจัดคนชั่วและช่วยเหลือคนอ่อนแอ
แต่ทุกวันนี้ธรรมะหดหายอธรรมเติบโต โอรสสวรรค์สมัยปัจจุบันทรงล้มหมอนนอนเสื่อประชวรหนักบรรทมติดเตียง เหล่าโอรสแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ราชสำนักโกลาหล มารร้ายสำนักภูษานิลนับวันยิ่งแข็งแกร่ง ไม่เพียงแค่กวาดล้างสามเขาสิบหกสำนักที่เป็นปรปักษ์จนเรียบภายในหนึ่งเดือน แต่ยังสังหารกลุ่มคนที่ทำมาหากินด้วยการขนส่งทางน้ำเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการขนส่งพืชพรรณธัญญาหารทางน้ำด้วย งานชุมนุมผู้กล้าครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเห็นสภาพการณ์น่าเป็นห่วง โดยมีปราสาทเขาหลิวเขียวเป็นประธาน อีกทั้งสำนักใหญ่แต่ละแห่งก็ช่วยกันเลือกเฟ้นกลุ่มผู้กล้าที่โดดเด่นในยุทธภพเพื่อร่วมแรงร่วมใจต่อต้านสำนักมารภูษานิล
เสี่ยวชุนเดินตามท่านลุงที่กำลังเล่าเรื่องในใต้หล้าให้ลูกชายของตนเองที่ออกมายุทธภพครั้งแรกฟังจนมาถึงโถงใหญ่ที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับทุกคน พอได้สติอีกทีจึงพบว่าถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว
เมื่อหันกลับไปหมายจะถามอวิ๋นชิงว่าจะเข้าไปนั่งกินอะไรหรือไม่ แต่กลับเห็นพ่อบ้านชราแห่งปราสาทเขาหลิวเขียวพาอวิ๋นชิงเดินไปไกลแล้ว พอเขามองไปก็เห็นเงาร่างอวิ๋นชิงเลี้ยวหายไปตรงมุมพอดี
คิดดูแล้วว่าอวิ๋นชิงน่าจะไม่ชอบเบียดอยู่ในห้องเดียวกันกับพวกผู้ชายที่เหม็นฉึ่งไปทั้งตัวพวกนั้น อีกฝ่ายอาจจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ส่วนพ่อบ้านชรามีท่าทางนอบน้อมต่ออวิ๋นชิง คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
กลางโถงใหญ่ ซือถูอู๋หยาในชุดแต่งกายแบบชาวฮั่นท่าทางยึดมั่นในคุณธรรมกำลังเล่าว่าฝ่ายมารเข่นฆ่าสหายในยุทธภพอย่างไร ตั้งแต่สำนักทะเลทรายเลือดแห่งซีเป่ยไปจนถึงสำนักดาบใบหม่อนแห่งตงหนาน นับอาชญากรรมยิ่งใหญ่สิบอันดับแรกทีละเหตุการณ์ บอกว่าหลันชิ่งประมุขฝ่ายมารนั่นไม่ตายหนึ่งวัน คนในฝ่ายธรรมะก็ไม่ได้สงบสุขหนึ่งวัน ทุกวันทุกคืนล้วนต้องกังวลว่าจะมีศิษย์สำนักภูษานิลที่สวมชุดดำลอบเข้ามาในห้องนอนแล้วฉวยโอกาสตัดหัวขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับหรือไม่
เสี่ยวชุนดึงความคิดจากร่างอวิ๋นชิงกลับมาที่ห้องโถง คิดอย่างนึกสนุกว่าถ้าหากในบ้านตนเองยังถูกคนนอกลอบทำร้ายได้ นั่นควรตำหนิที่ความสามารถของตนเองไม่ได้เรื่องหรือเพราะว่าอีกฝ่ายเก่งกาจเกินไป?
เห็นซือถูคุยโม้โอ้อวดคุณธรรมความแข็งแกร่งไม่จบไม่สิ้น เสี่ยวชุนทอดสายตามองไปในห้องที่เต็มไปด้วยคนแน่นขนัด จึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเองมาหาแม่นางเลี่ยวเชี่ยวและศิษย์พี่ใหญ่
เขามองแต่ละโต๊ะอย่างถี่ถ้วน ในห้องโถงไม่ค่อยมีสตรี เลี่ยวเชี่ยวไม่อยู่ในนั้น ดูท่าจะถูกซือถูเก็บซ่อนตัวไว้ จากนั้นพอได้สติอีกทีตอนจะตามหาศิษย์พี่ใหญ่จึงพลันนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่ออกไปจากหุบเขา ตัวเขาเพิ่งอายุสิบสอง ตอนนี้ผ่านมาหกปีแล้ว จากเด็กน้อยจนเป็นเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ต่อให้คราวนี้เขาเจอศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะจำอีกฝ่ายได้หรือไม่
กินข้าวเสร็จแล้ว พ่อบ้านเฒ่าอยู่ๆ ก็ปรากฏตัว ไปมาอย่างกับเงา ทำเอาประมุขซือถูสะดุ้งโหยง เสี่ยวชุนเห็นแล้วนึกขำ ท่านลุงผู้เฒ่านั่นกำลังภายในสูงส่งจึงเดินเหินไม่ได้ยินเสียง
ทั้งสองคนก้มหน้าคุยกันอยู่พักหนึ่ง อยู่ๆ ซือถูก็ประกาศเชิญทุกคนเคลื่อนย้ายออกไปนอกห้อง โดยบอกว่าจัดเวทีเสร็จแล้ว เชิญผู้กล้าวีรบุรุษจากแต่ละแห่งร่วมประลองยุทธ์เพื่อเลือกเฟ้นเจ้ายุทธภพคนใหม่ นำกลุ่มผู้กล้าไปกวาดล้างสำนักภูษานิล
พูดจบบ่าวรับใช้ก็เข้ามานำทางทุกคน แต่ซือถูกลับมีสีหน้าร้อนรน มุ่งหน้าไปทางห้องโถงกับพ่อบ้านเฒ่าของเขา
เสี่ยวชุนมองซือถูแล้วมองด้านนอก สุดท้ายก็เลือกข้างนอก เขาค่อนข้างสนใจเรื่องเจ้ายุทธภพมากกว่า
ศิษย์พี่ห้าศิษย์พี่หกเคยบอกว่าเวทีเอาไว้ใช้ประลอง ยุทธภพคือสถานที่ที่แบ่งแยกสูงต่ำด้วยพลังยุทธ์ เสี่ยวชุนไม่เคยเห็นฝูงชนต่อสู้กัน ย่อมสนใจเหตุการณ์ข้างนอกมากกว่า
ทว่าจากในห้องโถงเดินเข้าไปในสวน เสี่ยวชุนจึงพบว่าปราสาทเขาหลิวเขียวกว้างใหญ่แค่ไหน
ทัศนียภาพสวยงามของสวนกินพื้นที่หลายหมู่* แบ่งเป็นสี่ด้าน ด้านตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่พักของประมุขที่โอ่อ่ากว้างขวาง ด้านตะวันออกเฉียงเหนือคือเรือนบนเขาขนาดเล็ก ด้านซ้ายมียอดเขารูปร่างประหลาด หินหายาก และลำธารในหุบเขาลึกที่สงบเงียบเป็นเอกเทศ ด้านซ้ายคือทะเลสาบคลื่นหยกที่บริสุทธิ์งดงามซึ่งมีต้นหลิวเขียวอยู่ริมฝั่ง
ทุกคนมาถึงริมทะเลสาบซึ่งตั้งเวทียกพื้นขึ้นเวทีหนึ่ง ดูท่าจะใช้ประลองยุทธ์ ไม่รู้พ่อบ้านเฒ่าโผล่มาจากไหน ขึ้นไปพูดบนเวทีแล้ว จากนั้นก็มีชายร่างกำยำใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสองคนกระโดดขึ้นเวที ฝั่งหนึ่งคือประมุขสำนักแห่งหนึ่ง อีกฝั่งคือศิษย์คนสุดท้ายของยอดฝีมือท่านหนึ่ง แล้วพวกเขาก็คารวะจับมือกัน ข้างล่างเวทีมีเสียงปรบมือดังสนั่น
เสี่ยวชุนเติบโตอยู่ในหุบเขาลึกมีหรือจะเคยเห็นเรื่องแบบนี้ พอเห็นภาพที่คึกคักเป็นพิเศษ ดวงตาก็เป็นประกายทันที
เขาอ้อมริมทะเลสาบไปหาที่นั่งตำแหน่งดีๆ แต่เพิงไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นสองฝั่งมีคนนั่งหมดแล้ว คนของสำนักพวกนั้นพอเห็นเขาเข้ามาใกล้ บางคนก็ถลึงตาใส่เขาด้วยความฉงน บ้างก็ถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย
ละครสนุกๆ กำลังจะเปิดฉาก เสี่ยวชุนเองก็ไม่อยากเสียเวลาจ้องตากันไปมากับคนพวกนั้น วิ่งตรงเข้าไปหาที่นั่งเหมาะๆ ที่มีน้ำชาทั้งมีที่กันแดดและไม่เบียดเสียดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
บนแผ่นป้ายเขียนไว้ว่าศาลารั้งสดับ ไม่เหมือนกับเพิงไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นชั่วคราวเหล่านั้น เห็นชัดว่าเป็นศาลาหินที่โอ่อ่า
ข้างในก็มีคนไม่เยอะด้วย มีแค่ชายชราหนวดขาวที่ค่อนข้างดูเป็นผู้ดีมีชื่อเสียง และพ่อบ้านที่ก่อนหน้านี้พาเขากับอวิ๋นชิงเข้ามาในปราสาทเขาหลิวเขียว
* หมู่ หรือไร่จีน เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนในสมัยโบราณ 1 หมู่ = 666.67 ตารางเมตร