everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 4 #นิยายวาย
บทที่สี่
ลมใบไม้ร่วงโหมกระหน่ำดังซู่ๆ บนเวทีเด็กหนุ่มยืนอยู่ด้วยท่าทางหยิ่งยโส เส้นผมดำขลับปลิวสยายในสายลม ชุดผ้าไหมสีดำที่ขลิบขอบเงินดูมืดทะมึนอย่างประหลาดราวกับท้องฟ้ายามราตรีก่อนพายุฝนจะมา
เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นทุ้มต่ำ “ข้าก็หลงนึกว่ายุทธภพฝ่ายธรรมะจะมีคนแบบไหนออกมาต่อกรกับสำนักภูษานิลของข้า คาดไม่ถึงว่าดูอยู่ข้างล่างเวทีตั้งนาน แต่กลับเห็นเพียงกองขยะโง่เง่ากองหนึ่ง”
เสี่ยวชุนถอนหายใจ เขายังนึกว่าประมุขฝ่ายมารที่ผู้คนเล่าลือกันว่าผิดบาปอย่างไม่อาจอภัยได้ราวกับไร้บรรพบุรุษไม่มีทายาทนั้นจะมีสามเศียรหกกร ใครจะไปนึกว่าคนที่ปรากฏตัวกลับมีแค่หนึ่งจมูกหนึ่งปาก บวกกับอีกสองตา
ช่างทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
เด็กหนุ่มชุดดำพูดจบแล้ว พิษที่กระจายอยู่ในสายลมเมื่อครู่นี้ก็ได้เวลาออกฤทธิ์ อาวุธต่างๆ นานาข้างล่างเวทีหล่นลงพื้นดังเคร้งคร้างทันที ประกอบกับเสียงชาวยุทธ์กระอักเลือดดังโอ้กอ้ากและเสียงล้มบนพื้น ทั่วทั้งริมทะเลสาบและเพิงไม้ไผ่ชุลมุนโกลาหลกันไปหมด
“เซียนเนรเทศมือพิษ…หลันชิ่ง!” ซือถูกระอักเลือดพลางร้องคำรามลั่น “ทุกคนระวัง!”
“ถูกพิษกันหมดแล้วยังจะให้ระวังอะไรอีก” เสี่ยวชุนพึมพำ ซือถูอู๋หยาช่างเป็นคนที่ชอบทำวัวหายแล้วล้อมคอกจริงๆ
ชายชราหานไจที่อยู่ร่วมศาลาเดียวกันคล้ายมีกำลังภายในล้ำลึกยิ่ง เขาแค่สีหน้าซีดขาวและริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีดำเท่านั้น เขาหลับตาไม่ขยับเขยื้อน เสี่ยวชุนเดาว่าเขาคงกำลังปรับลมหายใจ
ตอนที่จามเมื่อครู่เสี่ยวชุนก็เดาได้คร่าวๆ ว่ามีคนยืนโปรยผงพิษอยู่เหนือลม พิษชนิดนี้เขาเคยเห็นมาก่อน จึงแอบยัดยาลูกกลอนครอบจักรวาลให้ชายชราแล้วบอกเบาๆ “ของดีขอรับ ผู้อาวุโสกินเถอะ ถือเป็นของขวัญที่ผู้น้อยตอบแทนสำหรับน้ำชากานี้”
ไม่ใช่เวลาจะล้อเล่นแล้ว เสี่ยวชุนเองก็เลิกพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ไม่ได้เรียกท่านผู้เฒ่าอีก แต่เรียกว่าผู้อาวุโสโดยตรง
หานไจกลืนยาลงไป แม้พลังปราณยังหยุดนิ่งไร้กำลัง แต่ความเจ็บรุนแรงก็หายไป เขายิ้มให้เสี่ยวชุนเป็นเชิงขอบคุณ เสี่ยวชุนก็คลี่ยิ้มสดใส
“ประมุขใหญ่ซือถู เจ้าว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” เสี่ยวชุนหันกลับมามองซือถู “คนที่ใช้พิษเก้าในสิบเป็นคนเสียสติ แม้หลันชิ่งนั้นจะไม่ได้เสียสติ แต่ข้าว่าก็ใกล้แล้วล่ะ คนของพวกเจ้าเหล่านี้จัดชุมนุมผู้กล้าอยากทำลายรังของเขา เป็นใครก็ไม่สบอารมณ์ คนเราพอไม่สบอารมณ์แล้วล่ะก็…” เขามองชาวยุทธ์ที่กระดุกกระดิกไม่ได้พวกนั้นแล้วถอนใจขึ้นอีก “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนตายมากน้อยเท่าไร บาปกรรมจริงๆ…”
ซือถูกระอักเลือดอีกคำ
กระอักเลือดไม่ทำให้คนตาย เสี่ยวชุนรู้ฤทธิ์ของยาพิษ รู้ว่าตนเองมีเวลาอย่างน้อยครึ่งก้านธูป แต่ที่นี่มีคนอย่างน้อยก็หลายร้อยคน ข้อหนึ่งเขาไม่มียาครอบจักรวาลมากมายขนาดนั้น ข้อสองหากจะให้ถอนพิษให้ทีละคนก็คงเหนื่อยตาย
เสี่ยวชุนย้ายตำแหน่งกระถางธูปเก้ามังกรชิงมุกที่ตอนแรกวางอยู่ข้างหนึ่งมา แล้วเทยาครอบจักรวาลที่เหลืออยู่ลงไปทั้งหมด
“วันนั้นที่ทำร้ายจอมยุทธ์น้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้น้อยทำไม่ถูก ซือถูอู๋หยาขออภัยจอมยุทธ์น้อยไว้ตรงนี้ด้วย! วันนี้ทุกคนกำลังเผชิญหายนะ ขอให้จอมยุทธ์น้อยเห็นแก่คุณธรรมยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้ยุทธภพข้ามพ้นจากหายนะครั้งนี้ด้วย” แม้ซือถูจะชิงชังเสี่ยวชุนจนต้องกัดฟันกรอด แต่พอเห็นทุกคนถูกพิษกันหมด มีเพียงเสี่ยวชุนเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร ก็คิดในใจว่าเด็กบ้านี่ต้องมีวิธีถอนพิษแน่
ตอนนี้กลุ่มผู้กล้าถูกหลันชิ่งควบคุมอยู่ระหว่างความเป็นความตาย อีกทั้งเหตุยังเกิดที่ปราสาทเขาหลิวเขียวของตนด้วย ต่อให้ซือถูจะไม่เต็มใจอย่างไร แต่เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของปราสาทเขาหลิวเขียวและชีวิตของเหล่าผู้กล้าแล้ว ตอนนี้เวลานี้ก็ได้แต่ยอมก้มหัวให้เสี่ยวชุน
“ถ้าหากข้าให้เจ้าเอาแม่นางเลี่ยวเชี่ยวมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับข้าล่ะ เจ้าจะเอาไหม” เสี่ยวชุนจี้ใจดำ เย้าแหย่อย่างขี้เล่น
“เจ้า!” ซือถูบันดาลโทสะแล้วพ่นเลือดออกมาคำใหญ่
“เฮ้อๆ ล้อเล่นน่ะ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจริงใจกับแม่นางเลี่ยวเชี่ยวหรือไม่ก็เท่านั้น” คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ซือถูโมโหจนกระอักเลือดอีก เสี่ยวชุนเห็นดังนั้นแล้วก็รีบบอก
“เลี่ยวเชี่ยวกับข้าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่เพราะทางบ้านเกิดตกอับขึ้นมาจึงถูกบังคับให้ต้องเข้าหอคณิกา ข้าไถ่ตัวนางกลับมาย่อมต้องปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจอยู่แล้ว จอมยุทธ์น้อยจ้าวไม่ต้องเป็นกังวลให้มากหรอก!” ซือถูเอ่ยทุกคำด้วยเสียงดังกึกก้อง ดวงตาคู่นั้นที่มองเสี่ยวชุนอยู่แทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ดี” เสี่ยวชุนจึงได้สบายใจ
กลิ่นหอมของยาครอบจักรวาลในกระถางอวลออกมาแล้ว เด็กหนุ่มชุดดำที่บั่นหัวคนไปหลายคนแล้วสังเกตเห็นในทันที หันมองมาทางศาลารั้งสดับ
แม้จะได้รับยาถอนพิษแล้ว คนที่มีพลังแก่กล้าก็ยังต้องรอให้เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ* จึงจะฟื้นพลังกลับมาทั้งหมด คนที่อ่อนแอหน่อยอย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวชุนจ้องเด็กหนุ่มชุดดำ มองกระบี่เปื้อนเลือดในมืออีกฝ่ายที่ชี้มาทางกระถางธูป หรือก็คือชี้มาทางเขานั่นเอง
เสี่ยวชุนแอบคิดใคร่ครวญ มากน้อยอย่างไรก็ต้องช่วยถ่วงเวลาให้พวกผู้กล้า ไม่อย่างนั้นแม้จะถอนพิษแล้วแต่พลังยุทธ์ยังไม่ฟื้นคืนก็ยังไม่มีกำลังต่อต้านอยู่ดี และคงตายหมดไม่เหลือสักคน
เขาจึงส่งยาถอนพิษที่กำลังไหม้ให้ท่านผู้เฒ่าหนวดขาวที่สีหน้าไม่ได้ย่ำแย่เท่าก่อนหน้าพร้อมบอกว่า “ผู้อาวุโส ต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าจะไปเจอเจ้านั่นก่อนเพื่อถ่วงเวลาไว้สักเล็กน้อย”
หานไจพยักหน้าแล้วปลดกระบี่สีเงินที่พันรอบเอวส่งให้เสี่ยวชุน
“สหายน้อยระวังตัวด้วย”
“ขอรับ” เสี่ยวชุนยิ้ม
หานไจยกกระถางธูปให้ซือถูดมก่อน จากนั้นก็ออกจากศาลารั้งสดับ ทยอยช่วยถอนพิษให้คนอื่นๆ ทีละคน
เสี่ยวชุนเห็นท่านผู้เฒ่าทำหน้าที่ได้ดีก็วางใจ หันกลับไปมองเด็กหนุ่มในชุดดำ หยักยกมุมปากเป็นรอยยิ้มสดใส กระโดดจากศาลารั้งสดับไปยังบนเวที ใช้วิชาตัวเบาเหินทะยานเมฆา เงาร่างคล่องแคล่วงดงามแผ่วเบาดุจนางแอ่นเหิน
คนสองคนบนเวทีประจันหน้ากัน
หลันชิ่งเห็นคนผู้นี้แต่งกายด้วยผ้าป่านสีขาวธรรมดาๆ ผมที่ผูกไว้หลุดลุ่ยหลายปอย ดูท่าอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ด แต่กลับมีรูปโฉมงดงามน่าหลงใหล หล่อเหลาคมคาย อีกทั้งแผ่นหลังตั้งตรงแน่ว ท่วงท่าสูงตระหง่านราวกับต้นสนโดดเดี่ยวที่ตั้งอยู่บนโลกและสวรรค์ ดวงตาทั้งคู่ดำขลับดุจดาราที่รวมตัวกันทอรัศมีสว่างไสว
พอคิดว่าอีกประเดี๋ยวคนที่เป็นอิสระทำตัวสบายๆ ไม่อยู่ใต้การควบคุมของผู้ใดคนนี้จะต้องตายด้วยคมกระบี่ของเขา หลันชิ่งก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้
“น้องชาย ถอนพิษที่มีแค่เฉพาะสำนักข้าได้ วิชาแพทย์ไม่เลว แต่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าหลันชิ่ง ไม่กลัวจะตายโดยไร้ที่ฝังกลบรึ” หลันชิ่งบอก
“กลัวแต่ว่าเจ้าฆ่าคนพวกนี้เกลี้ยงแล้ว ต่อให้ข้าไม่เป็นศัตรูกับเจ้าแล้วนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น เจ้าก็คงไม่เมตตาละเว้นข้าหรอกกระมัง” ลมรุนแรงพัดชายเสื้อส่งเสียงดังเป็นระยะ เสี่ยวชุนเงยหน้าหัวเราะลั่นหลายครั้ง
เขาสะบัดกระบี่ที่ท่านผู้เฒ่าให้เขา พลังไหลเคลื่อนทั่ว ปลายกระบี่ชี้ที่พื้น ตอนนี้มันส่งเสียงมังกรครวญออกมาอย่างน่าเกรงขามอยู่ในหูไม่หยุด
กระบี่นี้เป็นสีขาวปลอดทั้งหมด เดิมนั้นสีและความแวววาวก็แตกต่างจากอาวุธทั่วไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ถูกกำอยู่ในมือของเสี่ยวชุน มังกรทะยานขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าที่สลักไว้ตรงส่วนหัวอย่างวิจิตรราวกับมีชีวิตคล้ายจะเผ่นโผนออกมาจากตัวกระบี่เข้าโรมรันกับหลันชิ่งด้วยกัน
“แม้หานไจจะให้กระบี่มังกรครวญแก่เจ้า แต่เกรงว่าเจ้าคงต้านข้าได้ไม่นานเท่าไร”
“ต้านได้หรือไม่ได้ แน่ล่ะว่าต้องลองต้านดูก่อนจึงจะรู้” เสี่ยวชุนเสียงดังกังวาน บอกโดยไม่มีความกลัวสักนิด
เสี่ยวชุนรู้ตนเองดี วิชากระบี่เขาไม่โดดเด่น วรยุทธ์ก็พื้นๆ ปกติเวลาบรรดาศิษย์พี่ฝึกยุทธ์ เขามักจะเล่นสมุนไพรอยู่ในห้องยา แต่พลังวัตรชั้นยอดที่พากเพียรฝึกฝนมาหลายสิบปีที่อาจารย์มอบให้เขาล้วนเป็นพลังวัตรลึกล้ำที่ยากจะมีได้ อีกทั้งเขาเป็นคนเคลื่อนไหวว่องไว ดังนั้นเสี่ยวชุนจึงตัดสินใจจะเอาชนะอีกฝ่ายด้วยความเร็ว
ตอนที่หลันชิ่งลงมือ เสี่ยวชุนรวบรวมสมาธิไม่กล้าฟุ้งซ่าน เกรงว่าหากเผลอเข้า วันนี้คงต้องสิ้นใจอยู่ที่ปราสาทเขาหลิวเขียว จะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตสำเริงสำราญอย่างเทพเซียนของเขาที่หุบเขาเทพเซียนอีก
กระบี่พุ่งเข้ามาพร้อมพลังเต็มเปี่ยมตรงเข้าประชิดเสี่ยวชุน ด้วยกระบวนท่ารวดเร็วเหี้ยมโหดและแม่นยำประหนึ่งมังกรแหวกว่ายผ่านอากาศด้วยความเร็วราวสายฟ้า เสี่ยวชุนรู้ว่าหากฝืนรับกระบี่นี้เกรงว่าจะถูกพลังที่มาพร้อมกับกระบี่สะเทือนจนกระดูกมือแตก เขาจึงถอยร่นติดๆ กันแล้วใช้ข้อมือหมุนกระบี่เกาะเกี่ยวบนกระบี่ของอีกฝ่าย โคจรกำลังภายในทั้งหมดที่มีกระแทกกระบี่ในระยะประชิด
ตะวันส่องแสงอยู่เหนือศีรษะพอดี บนเวทีพลันเกิดเสียงดังสนั่น ไม่มีใครทันได้เห็นชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นเพียงเสี่ยวชุนถูกสะเทือนจนกระเด็นสูงลิ่วหลายจั้ง** แล้วจึงร่วงตกลงมาอย่างแรง พอตกถึงพื้นก็กระอักเลือดคำใหญ่
หลันชิ่งคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะมีพลังวัตรลึกล้ำขนาดนี้ แม้ตอนที่กระบี่ทั้งสองประสานกันนั้นจะถอนกำลังทันเวลา แต่ก็สายเกินไปแล้ว พลังปราณฟ้าดินที่แข็งแกร่งสองสายปะทะกันซึ่งๆ หน้าอย่างเต็มกำลัง หน้าอกเขาเจ็บรุนแรงไปพักหนึ่ง แวบร่างหลบแล้วแต่ก็ยังบาดเจ็บไม่น้อย
“เจ้าหนู ถ้าหากข้าไม่ดึงกำลังภายในกลับ เมื่อครู่เจ้าอาจจะสิ้นใจตรงนี้แล้วก็ได้” หลันชิ่งยิ้มบาง แม้จะควบคุมเลือดลมที่พลุ่งพล่านม้วนตลบอยู่ในร่างอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังมีเลือดซึมออกมาจากมุมปากอยู่ดี
“ถ้าหากเจ้าไม่ดึงกำลังภายในกลับ ข้าตาย เจ้าเองก็หนีไม่พ้นต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ผู้น้อยย่อมต้องเสี่ยงตาย มิฉะนั้นด้วยชื่อเสียงเลื่องลือของประมุขฝ่ายมารหลันชิ่ง เกรงว่าแค่กระบวนท่าเดียวก็คงถูกเจ้าซัดจนหมอบแล้ว มีหรือจะมีเวลามายื้อเวลาให้ผู้อาวุโสในยุทธภพเหล่านี้ได้ฟื้นคืนกำลังมาสังหารปีศาจอย่างเจ้า” เสี่ยวชุนก็ยิ้มด้วยเหมือนกัน ยิ้มอย่างสบายๆ ไร้ข้อยึดติด
การจู่โจมนี้ล้วนอาศัยเพียงสองสามกระบวนท่านั้นที่ใช้เล่นกับท่านผู้เฒ่า ครั้งนี้จำต้องสู้ด้วยกำลังทั้งหมด เมื่อครู่เขานึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหันจึงใช้กระบวนท่าอันตรายหลอกล่อศัตรูเช่นนี้
“เยี่ยม!” ชาวยุทธ์ที่อยู่ข้างล่างเวทีไม่มีผู้ใดที่ไม่โห่ร้องชื่นชมคนที่ใจกว้างและกล้าหาญสู้เพื่อคุณธรรมไม่ยอมถอยผู้นี้
“เจ้าอยากช่วยพวกเขารึ” หลันชิ่งถาม
“ณ ที่นี้เหลือข้าเพียงคนเดียวที่สู้ได้ แล้วทำไมจึงจะไม่ช่วย” เสี่ยวชุนตอบ
อยู่ๆ หลันชิ่งก็ยิ้ม ยกมือขึ้น จากนั้นอยู่ๆ รอบทิศก็มีกลุ่มคนชุดดำกระโดดเข้ามาพร้อมกระบี่ในมือ ในเวลาสั้นๆ ที่ยกมือขึ้น คมกระบี่ก็ตวัดลงมา เสียงร้องโหยหวนจากข้างล่างเวทีดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ชาวยุทธ์จำนวนหนึ่งที่ขยับตัวไม่ได้เป็นอัมพาตอยู่บนพื้นถูกคนชุดดำสังหารจนเลือดสาดอยู่ตรงนั้นโดยไร้กำลังตอบโต้
“ทำไมเจ้าถึงอำมหิตขนาดนี้!” เสี่ยวชุนสีหน้าเปลี่ยน หน้าซีดไม่หาย
“อำมหิต?” หลันชิ่งหัวเราะอีก “เป็นเช่นนั้นรึ”
“ทำไมจะไม่ใช่!” เสี่ยวชุนตะโกน “ฆ่าคนตั้งมากมายไปทำไม! ฆ่าคนแล้วจะทำให้เจ้ามีความสุขหรือ”
“มีความสุขสิ! ทำไมจะไม่มีความสุข!” หลันชิ่งฉีกยิ้มร้ายกาจ
แต่แค่ชั่วเวลาดีดนิ้วที่ต่อสู้กับหลันชิ่งก็มีคนจำนวนหนึ่งค่อยๆ ฟื้นคืนวรยุทธ์แล้วหยิบอาวุธยันร่างกายที่อ่อนแรงฝืนตอบโต้คนชุดดำ
หลันชิ่งรู้สึกว่าเวลาสายมากแล้ว ตอนนี้ควรยุติเรื่องราวเสียที
เขายิ้มพร้อมเดินมาทางเสี่ยวชุน ค่อยๆ เข้าใกล้อีกฝ่าย “เจ้าอายุยังน้อยแต่มีความสามารถขนาดนี้ ถ้าวันนี้ปล่อยเจ้าไว้ วันหน้าจะต้องเป็นภัยใหญ่หลวงต่อข้าแน่ ข้าจะกำจัดเจ้าแต่เนิ่นๆ ดีไหม หาไม่แล้วต่อไปคงจะมีคนที่ทำให้ข้าต้องหนักใจเพิ่มขึ้น”
“ไม่ดี!” เสี่ยวชุนถอยร่นไปหลายก้าว รีบร้องบอก
“อยากฆ่าเขา เจ้าต้องถามข้าก่อน” ร่างสีขาวพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วพลิ้วร่อนลงมา กระบี่เงินที่เย็นเยียบนำพาจิตสังหารที่ชวนให้คนสั่นสะท้าน
ร่างที่ลอยละล่องขาวสะอาดดุจหิมะ ดวงหน้างามล่มเมืองเย็นยะเยือกประหนึ่งน้ำค้างแข็ง เขาคืออวิ๋นชิงที่หายไปจากข้างกายเสี่ยวชุนโดยไร้ร่องรอยเป็นเวลานาน
“อวิ๋นชิง เจ้ามาได้อย่างไร!” พอเสี่ยวชุนเห็นอวิ๋นชิงปรากฏตัวก็รีบตะโกนลั่น
คราวนี้เขาตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อครู่ตอนที่หลันชิ่งบอกว่าอยากฆ่าเขาเสียอีก รีบดึงมืออวิ๋นชิงมาทางตนเอง อวิ๋นชิงบาดเจ็บสาหัสยังรักษาไม่หาย แถมร่างกายยังถูกพิษร้าย คนรอบจัดร้ายกาจอย่างหลันชิ่ง อวิ๋นชิงหรือจะเป็นคู่ต่อกรของอีกฝ่ายได้
“ข้าตามหาทุกที่แล้วไม่เจอเจ้า ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง” อวิ๋นชิงยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย เห็นรอยเลือดตรงหน้าอกเสี่ยวชุนแล้ว นัยน์ตาที่เดิมไม่มีอารมณ์กลับวูบไหว
* เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร