everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 4 #นิยายวาย
หลันชิ่งหรี่ตามองตงฟางอวิ๋นชิงที่แต่ไรมาไม่ชอบสนิทสนมกับผู้คน ทว่าตอนนี้กลับปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้ลากดึง อารมณ์ในดวงตาเปลี่ยนกลับไปกลับมา และจากนั้นก็ถอยกลับเข้าไปในสายตาเย็นชาโดยไม่ปรากฏให้เห็นอีก
“ไอ้หยา! ตงฟาง ทำไมเจ้ายังไม่ตายอีกเนี่ย!” อยู่ๆ หลันชิ่งก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจพลางเอ่ยขึ้น “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ข้าใช้เวลาตั้งนานเพื่อปรุงพิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้เจ้าโดยเฉพาะ ทำไมเจ้าถึงใจร้ายทำข้าเสียน้ำใจได้นะ”
คำพูดของหลันชิ่งทำให้เสี่ยวชุนตัวสั่นเทิ้มจริงๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้เสี่ยวชุนสงสัยคือกิริยาและสีหน้าตอนพูดของหลันชิ่งทำไมถึงทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเขาเคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้มาก่อนเช่นกัน แต่คนคนนั้น…เสี่ยวชุนมองหลันชิ่งอีก…หน้าตาไม่ได้ธรรมดาทั่วไปเหมือนอย่างนี้นี่นา…
อวิ๋นชิงไม่พูดมาก เห็นเพียงเขาช้อนตาที่ฉายจิตสังหารขึ้น ขณะเดียวกันคนชุดขาวอีกหลายคนก็กรูกันขึ้นมาบนเวที โอบล้อมหลันชิ่งไว้
อวิ๋นชิงกระโดดพร้อมส่งคมกระบี่พุ่งตรงไปข้างหน้า ทว่าหลันชิ่งหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
คนชุดดำเห็นประมุขของตนถูกล้อมไว้ ส่วนใหญ่ก็กระโดดขึ้นเวทีมาด้วย พริบตานั้นเห็นเพียงเงาร่างคนชุดดำและเงาร่างคนชุดขาวประสานอาวุธกันบนเวทีกว้าง ออกกระบวนท่าอย่างดุเดือดฉับไว
โดยเฉพาะคู่ของหลันชิ่งและอวิ๋นชิง แม้จะทั้งดำทั้งขาว ท่วงท่าที่ฟาดฟันอาวุธนั้นปราดเปรียวว่องไวจนดวงตายากจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของกระบวนท่าได้ เห็นเพียงสองเงาร่างที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจนใกล้จะรวมกันเป็นสีเทาอย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวชุนหยิบกระบี่ขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งเข้าไประหว่างกลางทั้งสองคน เลือกช่องว่างจากที่อวิ๋นชิงออกกระบวนท่า ใช้กระบี่โจมตีหลันชิ่งโดยตรง แม้เขาจะไม่ชอบฆ่าคน แต่ถ้าหากครั้งนี้ปล่อยไว้ไม่สนใจ เกรงว่าทั้งกลุ่มคนและฝูงสัตว์ที่ปราสาทเขาหลิวเขียวคงถูกปีศาจตนนี้กำจัดจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
กระบี่ของอวิ๋นชิงวาดตรงไปที่ใบหน้าของหลันชิ่ง หลันชิ่งถอยหลังไปครึ่งก้าวราวกับมีเวลาให้ใช้เหลือเฟือ หน้ากากหนังมนุษย์ที่เดิมปกคลุมใบหน้าไว้นั้นถูกฟันเป็นสองส่วนแล้วร่วงร่อนลงมาสู่พื้นตามแรงลมอย่างช้าๆ
เสี่ยวชุนตาค้าง เพิ่งจะเห็นชัดว่าใต้หน้ากากหนังมนุษย์คือรูปโฉมงดงามเลิศล้ำที่ชวนให้ตะลึงลานและไม่อาจกะพริบตา
ถ้าหากอวิ๋นชิงคือบัวที่โผล่พ้นน้ำ คนคนนี้ก็คือโบตั๋นที่บานสะพรั่ง
“คะ…คนงาม!”
แม้ว่าตรงนี้สองฝ่ายจะปะทะกันอยู่ระหว่างความเป็นความตาย หัวใจที่รักของสวยงามของเสี่ยวชุนก็ไม่ได้ผงะถอยสักนิด ดวงตาดอกท้อสุกใสทั้งคู่ถลึงกว้าง สายตาจับจ้องรูปโฉมงดงามที่ไร้ผู้ใดเทียมเท่าของหลันชิ่งไม่วางตา ปากก็อ้ากว้างจนน้ำลายเกือบหยดติ๋งๆ แล้ว
ความงามของหลันชิ่งคือความสง่างามที่ต่างจากอวิ๋นชิงโดยสิ้นเชิง รูปโฉมงดงามพร้อมสรรพ บุคลิกโดดเด่นเหนือผู้คน ดวงตาหงส์ฉายประกายเจ้าเล่ห์ เรียวคิ้วดุจกิ่งหลิว ชุดผ้าไหมแบบชาวฮั่นสีดำขลิบขอบเงินและผมดำขลับที่ถูกรัดด้วยเชือกเงินขับเน้นผิวเนื้อประหนึ่งหิมะ ยามกวาดสายตานั้นช่างเพริศพริ้งรัดรึงใจ รอยยิ้มบางแขวนประดับอยู่ที่ปลายคิ้ว
ทว่าคนที่เดิมควรจะบริสุทธิ์เหนือโลก ในดวงตากลับฉาบด้วยความงามประหลาดที่พรากจิตวิญญาณผู้คน ความงามประหลาดนี้ตกอยู่ในความหล่อเหลาของเขา ทำให้พอเขายิ้มแล้วดูสง่างามอย่างเยือกเย็นชั่วร้าย รอบตัวก็ยิ่งมีกลิ่นอายปีศาจเข้มข้น
หลันชิ่งประมุขฝ่ายมารเป็นคนที่ชวนให้จิตใจสั่นสะท้านเช่นนี้
เสี่ยวชุนมองไปเรื่อยๆ แล้วเหม่อไปอีกครา
ทำไมออกจากหุบเขาครั้งแรกก็ได้เจอคนงามถึงสามคน
ตอนแรกก็อวิ๋นชิง ตามด้วยเลี่ยวเชี่ยว ต่อมาก็หลันชิ่ง
เขาออกมาคราวนี้โชคดีอะไรอย่างนี้นะ…
คนงาม…
ยามยอดฝีมือประมือกันมีใครบ้างที่ใจลอยขาดสติเช่นนี้ หลันชิ่งเห็นเสี่ยวชุนยิ้มเซ่อเผยให้เห็นช่องโหว่จึงใช้ท่าหลอกล่ออวิ๋นชิงออกไป แล้วจู่ๆ ก็ตวัดคมกระบี่ ประกายเงินที่ว่องไวราวอสรพิษก็หายวับ กระบี่แทงทะลุตำแหน่งด้านหน้าของหัวใจตรงหน้าอกเสี่ยวชุน รวดเร็วจนคนไม่ทันกะพริบตา
เสี่ยวชุนรู้สึกเจ็บปวดสาหัสรุนแรงไปพักหนึ่ง เห็นมือที่กุมด้ามกระบี่ของหลันชิ่งอยู่ตรงหน้าอกตนเอง และยังคงเห็นตัวกระบี่ที่เหลือให้เห็นส่วนเล็กๆ นั้นได้อย่างแจ่มชัด เลือดพุ่งปรี๊ดออกมาเล็กน้อย เลือดอุ่นร้อนไหม้สีแดงสดเจือด้วยกระไอสีม่วง
เสี่ยวชุนสะท้านไปทั้งตัว เริ่มเหงื่อแตก
พอเงยหน้ามองเจ้าของกระบี่เล่มนี้ เห็นเพียงคนงามจับใจเผยรอยยิ้มยั่วยวน ในรอยยิ้มที่ทำให้เขาหนาวเข้ากระดูกมาพร้อมกับสีหน้าเกียจคร้านอย่างแมวที่อิ่มเอมใจ
สีหน้าแบบนี้เสี่ยวชุนเคยเห็นมาก่อน…เขามั่นใจว่าตนเองเคยเห็นมาก่อน
ในหุบเขาเทพเซียน ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ใหญ่วางยาพิษในร่างกายเขา ตอนที่แสร้งถามอย่างปรารถนาดีว่าเขาปรับตัวได้แล้วหรือยัง สีหน้าที่แสดงออกมาก็คือสีหน้าแบบนี้
แล้วมองดวงตานี้ คิ้วนี้ ปากนี้ จมูกนี้ เสี่ยวชุนยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย
“เสี่ยวชุน!” อวิ๋นชิงร้องลั่น
หลันชิ่งหันกลับไปมองอวิ๋นชิงที่อยู่ข้างกายอย่างนึกสนุก คนที่จิตใจเย็นชาและเลือดเย็นคนนี้เริ่มมีความรู้สึกตั้งแต่เมื่อไร เสียงที่เรียกเสี่ยวชุนนั้นสั่นสะเทือนออกมาจากเลือดเนื้อ
แค่เพียงประโยคนี้ก็ทำให้คนคนนี้สมควรตายแล้ว!
หลันชิ่งกระชากกระบี่ออกจากหน้าอกเสี่ยวชุนอย่างสนอกสนใจ เลือดคล้ายไหลพุ่งออกมาเป็นละอองไออยู่บนเวที คนที่บาดเจ็บสาหัสก็กลับเก่งกาจนัก แค่โงนเงนสองที ดวงตาที่เฉลียวฉลาดสุกใสคู่นั้นยังจับจ้องเขาอยู่
หลันชิ่งอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่คนคนนั้นกลับเอ่ยพูดกับเขาก่อน
“ศิษย์พี่ใหญ่…” เสี่ยวชุนร้องเรียกด้วยเสียงหายใจอ่อนแรง “ศิษย์พี่…ศิษย์พี่สือโถว…”
ในระยะที่อยู่ใกล้ชิดกันที่สุด ได้ยินเสียงเรียกที่ดังออกจากปากของเสี่ยวชุนแล้วหลันชิ่งก็ตะลึงงัน
“ศิษย์พี่…เป็นท่านใช่ไหม ข้าคือ…เสี่ยวชุนอย่างไรล่ะ…ศิษย์น้องแปดของท่านจ้าวเสี่ยวชุน…”
เสี่ยวชุนไอทีหนึ่ง ห้ามเลือดที่ไหลออกจากมุมปากไม่อยู่ เขาเอามือปิดปากและจมูกก่อนจะไออีกที ต่อมาจึงนึกได้ว่ารูตรงหน้าอกของตนเองใหญ่กว่า เลือดที่ไหลออกมาก็มากกว่า จึงใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายสกัดจุดชีพจรใหญ่ทั้งหกไว้ เขาโงนเงนจนใกล้จะยืนไม่อยู่แล้ว
การถ่วงเวลาของอวิ๋นชิงและเสี่ยวชุนในคราวนี้ทำให้ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะฟื้นคืนพลังกันพอสมควรแล้ว หลันชิ่งเห็นสถานการณ์ศึกอยู่ในสภาพที่คุมเชิงกันอยู่ หากเสียเวลาต่อไปก็จะมีแต่เสียเปรียบ จึงยกกระบี่ขึ้นบีบอวิ๋นชิงที่พุ่งเข้ามาหมายจะชิงตัวคนให้ถอยไป
กระบี่ดุดันฉับไวทุกท่วงท่า อวิ๋นชิงไม่อาจต้านทานได้ พอกระบี่ของหลันชิ่งตวัดลงมาก็สะเทือนอาวุธในมือของอวิ๋นชิง อีกทั้งฉวยโอกาสสะบัดอย่างรุนแรงเพื่อให้อาวุธร่วง อวิ๋นชิงรู้สึกเจ็บ แขนเกือบถูกหลันชิ่งฟันขาด
“อ๊ะ…” พอเสี่ยวชุนเห็นเหตุการณ์ก็ร้องอย่างเจ็บปวด
“วันนี้สายมากแล้ว ข้าออกมาทั้งวันจนเพลียแล้ว” หลันชิ่งหัวเราะบอก “ตงฟาง สหายน้อยคนนี้ของเจ้าถูกชะตาข้าทีเดียว เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้ข้ายืมเขาก่อน ให้เขาเล่นเป็นเพื่อนข้าสักสองสามวัน เจ้าคงไม่ถือสาหรอกใช่ไหม!”
หลันชิ่งโอบเอวเสี่ยวชุน แต่กลับไม่รีบช่วยห้ามเลือดให้ แค่ให้เสี่ยวชุนพิงร่างเขาอย่างโงนเงน ลูบผมเสี่ยวชุนอย่างสนิทสนมนิดๆ
“เจ้ากล้ารึ” อวิ๋นชิงประชิดเข้ามาอีก
หลันชิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ทำไมจะไม่กล้า”
“อวิ๋นชิง…มือ…” เสี่ยวชุนล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างยากเย็น หยิบเอาขวดสีเหลืองส้มออกมา จากนั้นขวดก็หล่นลงบนเวทีโดยไร้แรงจะถือไว้ให้มั่น
หลันชิ่งยกแขนโบก อุ้มเสี่ยวชุนแล้วสำแดงวิชาตัวเบาราวนกกระเรียนโบยบินสู่ฟ้า คนชุดดำรีบตามหลังหลันชิ่งอย่างใกล้ชิด สกัดพวกอวิ๋นชิงที่พยายามตามมาอย่างเต็มที่
หลันชิ่งมีพลังยุทธ์เลิศล้ำ อีกทั้งมีคนคอยสกัดหลังให้ เงาร่างปราดเปรียวหายลับไปในป่าทึบนอกเขตปราสาทเขาหลิวเขียว
อวิ๋นชิงตามหาอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งตะวันลับเหลี่ยมเขา ผืนป่าเป็นสีดำสนิท จึงรู้ตัวว่าตนเองคลาดกับหลันชิ่งแล้ว เงาร่างของเสี่ยวชุนก็หายลับไปแล้วเช่นกัน
“หลันชิ่ง…” อวิ๋นชิงกัดฟันกำหมัด และกำปั้นอีกข้างที่กำไว้หลวมๆ ยังมีเลือดไหลไม่หยุด นั่นคือบาดแผลที่หลันชิ่งมอบให้เขา
ร้อนรุ่มไปทั้งตัว เจ็บไปทั้งตัว
เสี่ยวชุนวนเวียนอยู่ระหว่างความฝันกับความจริง แต่กลับไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเลย
เขาได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวข้างๆ หู ได้ยินใครกำลังพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ ยังเหมือนแต่ก่อนอยู่อีก ไม่ก้าวหน้าเลยสักนิด”
แล้วใครบางคนก็ทั้งหัวเราะทั้งถอนหายใจข้างหูเขาอีก และยังยื่นมือมาแตะหน้าผากเขาด้วย
ช่วงเวลากึ่งฝันกึ่งตื่น ร่างกายร้อนไหม้ราวกับเตาหลอม ความเจ็บเข้ากระดูกที่ยากจะทานทนยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างที่สะลึมสะลือเขาลืมตาขึ้น พบว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีขาว นั่นคือท้องฟ้าในเมืองหลวงที่เป็นสีเทามืดมัวในวันที่หิมะโปรยปราย
เขาลืมตา ไม่กล้าหลับตา ปล่อยให้หิมะที่ปลิวเข้ามาในตาและในปากเริ่มละลายอย่างช้าๆ
หันหน้าไปอย่างยากเย็น ข้างๆ มีมารดาที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัว เขาพยายามขยับร่างกาย ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ เพื่อไปหามารดา ถนนที่เต็มไปด้วยหิมะพลันถูกร่างกายท่อนล่างของเขาลากเลื่อนมาจนอาบย้อมกลายเป็นสีแดง
นอนอยู่ในอ้อมอกมารดา ทั้งเย็นเฉียบทั้งเป็นน้ำแข็ง แต่กลับนำพาความร้อนไหม้ที่ราวกับถูกแผดเผาด้วยไฟนรกในร่างกายของเขาออกไปได้พอดี
ลืมตามองท้องฟ้า หิมะยังคงตก แต่เขาไม่รู้สึกหนาว ไม่เลยสักนิด
ใครบางคนกระซิบข้างหูเขาอีก “หลับตาลงซะ เจ้าลืมตามาทั้งวันแล้ว ควรนอนได้แล้ว”
เสี่ยวชุนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาอุดลำคอไว้ ลองส่งเสียงออกมาสองครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้
“นอนไม่ได้…นอนแล้ว…ก็คือตาย…”
ท่านแม่ก็นอนแล้วและไม่ลืมตาขึ้นมาอีก ร่างกายอ่อนนุ่มที่เดิมนั้นอวลอุ่นหอมหวนเย็นลงแล้ว
“เป็นไข้จนเลอะเลือนแล้วรึ”
ใครบางคนตีแก้มเขาสองทีด้วยแรงที่ไม่ถือว่าเบา ดึงสติเขากลับมา
คนคนนั้นจับหัวเขาให้หันไป เขาจึงเห็นใบหน้าหล่อเหลายวนใจและรอยยิ้มในดวงตาที่ซ่อนไม่มิด
“มนุษย์ยาแห่งเขาเทพเซียนหรือจะตายง่ายๆ ตอนนั้นที่ถูกฟันเป็นสองท่อนเจ้ายังรอดมาได้เลย คราวนี้แค่กระบี่ทะลุหัวใจ หัวใจและเส้นเลือดบาดเจ็บแค่นิดเดียว หากเจ้าอยากตายพญายมก็ไม่รับเจ้าไว้หรอก!”
“ศิษย์…ศิษย์พี่ ท่านแม่ข้า…ล่ะ…”
“ใต้หลุมศพ” ศิษย์พี่หัวเราะ ในดวงตาฉายความเยียบเย็นอันอ่อนจาง
เสี่ยวชุนหลับตาลงช้าๆ
ที่แท้เป็นความฝัน! ท่านแม่คือของปลอม เป็นภาพลวงตา ศิษย์พี่ต่างหากที่เป็นของจริง เป็นความจริง
แต่ไม่ว่าจะภาพลวงตาหรือความเป็นจริงเขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม เจ็บจังเลย…
มารดามันเถอะ
สิ่งที่ทนไม่ไหวมาตลอดชีวิตนี้ก็คือความเจ็บนี่แหละ…
เมื่อเสี่ยวชุนลืมตาอีกครั้งก็กลายเป็นเรื่องหลังจากนั้นนานมากแล้ว เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ มีผ้าม่านโปร่งสีดำที่กั้นเตียงให้แยกจากข้างนอก
พอลองขยับตัว มีแค่ตอนที่รั้งแผลตรงหน้าอกที่ยังทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย หลังจากโคจรพลังและปรับลมหายใจแล้วก็พบว่าไม่ได้เป็นอันตราย แค่ชีพจรอ่อนไปหน่อย ต้องกินยาและใช้เวลาบำรุงสักหน่อยก็จะหายดี
พระจันทร์นอกหน้าต่างทั้งโตทั้งกลม คงเป็นวันที่สิบห้าแล้วกระมัง
เสี่ยวชุนสวมชุดคลุมสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ กุมหน้าอกเดินออกไปข้างนอกช้าๆ
ทางเดินยาวข้างนอกมีคนชุดดำเฝ้าอยู่ พอเห็นเขาออกมาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขวาง แสดงว่าต้องมีคนกำชับไว้แล้วแน่ เขาเดินวนไปทั่วทุกที่ สุดท้ายก็เดินออกจากประตูเล็กแล้วไปถึงตำหนักใหญ่
ในตำหนักใหญ่ของสำนักภูษานิล นักดนตรีและนางรำฝึกหัดกำลังเล่นดนตรีและร่ายรำ ในตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหราเต็มไปด้วยของประดับประดาแบบโบราณ ไม่มีสักชิ้นที่มาจากช่างฝีมือไร้ชื่อ เสี่ยวชุนลูบต้นเสาที่ปิดแผ่นทองคำ คิดอย่างเหม่อๆ ว่าต่อให้เป็นพระราชวังก็คงหรูหราอย่างมากเท่านี้กระมัง
บนเสามีมุกราตรีเม็ดใหญ่เท่ากำปั้นหลายเม็ดคอยให้แสงสว่างในตำหนัก หลันชิ่งที่ห่อตัวด้วยผ้าเนื้อบางสีดำกำลังหรี่ตามองหญิงนางรำข้างล่างเวทีที่เริ่มร่ายรำอย่างสง่างาม ข้างกายยังมีสตรีร่างแบบบางน่ารักคอยรินสุราให้ ส่วนสองข้างของเขาก็มีองครักษ์ชุดดำสองคนยืนเฝ้าอยู่นิ่งนาน
แต่ไม่ว่าสตรีในตำหนักใหญ่จะงดงามเพียงใด พอรวมกันแล้วก็ยังสู้เสน่ห์น่าหลงใหลส่วนเดียวของหลันชิ่งไม่ได้ รูปโฉมของหลันชิ่งชวนให้หวั่นไหวอย่างมิอาจพรรณนา ทั้งยังแฝงด้วยความกล้าหาญเฉพาะตัวของบุรุษ แค่มองเรียวคิ้ว แค่ยกมุมปาก สีหน้าที่ชำเลืองมองสรรพสิ่งในโลกนี้ คงมีไม่กี่คนที่จะต้านทานไหว
“ตื่นแล้วหรือ” พอหลันชิ่งแลเห็นศิษย์น้องแปดของเขาก็กวักมือเรียก
“คนงาม…” เสี่ยวชุนฉีกยิ้มมุมปากอย่างสดชื่น
“หืม?” หลันชิ่งเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเข้า
เมื่อเสี่ยวชุนพบว่าตนเองเรียกผิดไปก็รีบแก้ “แหะๆ…ศิษย์พี่ใหญ่…”
เขาเดินมาหน้าตั่งของหลันชิ่ง หลันชิ่งโบกมือให้สตรีข้างกายถอยออกไป ยกตำแหน่งที่มีคนนั่งจนร้อนแล้วให้เขา
เสี่ยวชุนนั่งลงด้วยหน้ายิ้มแป้น
“ยังกล้ายิ้มอีก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเรื่องดีของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าพังหมดแล้ว” หลันชิ่งบันดาลโทสะ กลอกตาใส่เสี่ยวชุน
“ถ้าหากฆ่าคนเป็นเรื่องดี ทำพังไปก็ดีแล้วล่ะ” เสี่ยวชุนบอก