ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 4 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 4 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

“ยังจะพูดอีก เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าฆ่าเจ้าได้เลย!” ไม่รู้มือของหลันชิ่งมาวางบนคอของเสี่ยวชุนตั้งแต่เมื่อไร เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วจนผู้อื่นไม่ทันได้ป้องกันตัว

“ศิษย์พี่ฆ่าข้าไปแล้ว” เสี่ยวชุนยิ้มพร้อมชี้หน้าอกตนเอง “ไว้ชีวิตข้าเถอะครั้งนี้”

หลันชิ่งแค่นเสียงหึ คลายมือที่บีบคอเสี่ยวชุนแล้วย้ายไปวางบนบ่าอีกฝ่าย ดึงให้เด็กหนุ่มโน้มตัวลงนอน จากนั้นก็ผลักลงไปเบาๆ เสี่ยวชุนจึงได้นอนพิงตักหลันชิ่งไปแบบนี้

ทั้งสองคนคล้ายสนิทสนม ดูเหมือนศิษย์พี่จะอ่อนโยนกับเขาเต็มที่ แต่เสี่ยวชุนกลับรู้สึกหนาวสะท้านเพราะเหตุนั้น

คืนวันที่ได้อยู่ด้วยกันในหุบเขา เขารู้จักนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ยิ่งศิษย์พี่ใหญ่ดีกับเขามากเท่าไร ความทุกข์ทรมานที่เขาจะได้รับในภายหลังก็ยิ่งมากเท่านั้น นี่กลายเป็นกฎข้อบังคับที่มิอาจฝ่าฝืนมานานแล้ว สลักลึกอยู่ในใจของเสี่ยวชุน ไม่ว่าจะล้างถูอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้

“ศิษย์พี่เป็นคนวางยาพิษในร่างอวิ๋นชิงหรือ” เสี่ยวชุนขัดขืนอยากลุกขึ้นนั่ง

“อวิ๋นชิง? เรียกซะสนิทสนมขนาดนี้เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเขา พิษของข้าเจ้าถอนได้รึ แต่เห็นเขาท่าทางยังไม่หายดี ทำไมรึ ถอนพิษไม่ได้?” หลันชิ่งดื่มสุรา มือข้างหนึ่งกดลงบนบาดแผลของเสี่ยวชุนทำให้เขาเจ็บจนร้องครวญพร้อมกับขดตัวเป็นก้อน ยอมนอนหนุนตักหลันชิ่งอย่างว่าง่าย ไม่กล้าขยับอีก

เสี่ยวชุนเล่าเรื่องราวที่ตนเองได้เจออวิ๋นชิงให้ศิษย์พี่รู้ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วสำทับด้วยว่าพิษที่ศิษย์พี่ใช้นั้นไร้เทียมทาน ศิษย์น้องสติปัญญาทึ่มทื่อ ไม่ว่าจะถอนพิษอย่างไรก็ถอนไม่ได้ทำนองนั้น

หลันชิ่งฟังสองสามประโยคนี้แล้วจากโมโหก็กลายเป็นหัวเราะ

“หอคณิกา? คงมีแต่เจ้าที่คิดออกมาได้นะ มิน่าล่ะลูกน้องข้าหาเขาไม่เจอ” หลันชิ่งโบกมือ องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็รีบร้อนออกไป

“เปล่าประโยชน์ ข้านอนไปแล้วอย่างน้อยครึ่งเดือน เขาไม่มีทางทนรอได้นานขนาดนั้น น่าจะไปตั้งนานแล้ว”

“เจ้า…ตกลงรู้หรือไม่ว่าตงฟางอวิ๋นชิงคือใคร รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าจะฆ่าเขา” หลันชิ่งชะงัก ลองหยั่งเชิงถาม

“ไม่รู้ขอรับ” เสี่ยวชุนบอกตามตรง “ข้ารู้แค่ว่าเขาเป็นสหายคนแรกที่ข้ารู้จักหลังออกมาจากหุบเขา ข้าไม่อาจเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย พวกท่านมีความแค้นอะไรต่อกัน บอกไม่ได้หรือ”

หลันชิ่งขำพรืด พ่นสุราออกมาจากปาก แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะลั่น “เพราะเห็นคนเดือดร้อนแล้วต้องช่วย จึงทำให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันน่ะรึ คนหนึ่งคือศิษย์น้องที่รักของข้า อีกคนคือศัตรูตัวฉกาจของข้า”

เสี่ยวชุนพยักหน้า มองศิษย์พี่ใหญ่ของตนด้วยอาการลังเล

มีปัญหาแล้ว หัวเราะจนเป็นแบบนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ

“ศิษย์พี่ยังไม่ตอบข้าเลย” เสี่ยวชุนบอก

“เขาน่ะเป็นคนที่ต้องตายแน่นอน” หลันชิ่งลูบดวงหน้าคมคายของเสี่ยวชุน หัวเราะอย่างงดงามหยาดเยิ้ม “เจ้าตัวตลกนี่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ตนเองช่วยคือใคร อาจารย์ช่างโชคร้ายนัก สอนเจ้ามาตั้งนานก็ไม่ช่วยให้เจ้าฉลาดขึ้นบ้างเลย คนที่ไม่รู้จักกันก็ยังช่วยออกหน้าให้ ข้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องกลับไปหรอก ดูเหมือนวิชาจะรุดหน้าขึ้นบ้างเล็กน้อย จะได้ช่วยศิษย์พี่ด้วยเลย ศิษย์พี่จะได้สอนเจ้าไม่ให้เจ้าโง่งมต่อไป”

“ไม่ต้อง! ไม่ต้องขอรับ!” เสี่ยวชุนโบกมือ “ศิษย์พี่เอายาถอนพิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้ข้าเถอะ ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนยาพิษของท่านออกฤทธิ์ขึ้นมามันโหดร้ายแค่ไหน”

“เสี่ยวชุน…คนบางคนสมควรต้องตาย…” หลันชิ่งดื่มสุราอีก

“สวรรค์เมตตาทุกสรรพสิ่ง” เสี่ยวชุนบอก

“ข้าไม่ใช่สวรรค์ ยิ่งกว่านั้นตอนที่ข้าต้องแบกรับอะไรพวกนั้น ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยข้า” หลันชิ่งหมุนถ้วย มองเงาในถ้วยที่ขยับไม่หยุด

“แน่นอนว่ามี อาจารย์เป็นคนช่วยท่านไม่ใช่หรือ” เสี่ยวชุนบอก

“อาจารย์มาช้าเกินไป”

“แต่ท่านก็ยังรอดมาได้!”

“จ้าวเสี่ยวชุน!” หลันชิ่งถูกอีกฝ่ายเถียงจนทำให้หงุดหงิดแล้ว จึงซัดฝ่ามือใส่บาดแผลตรงหน้าอกเสี่ยวชุน ทำเอาเด็กหนุ่มเจ็บจนร้องโอยๆ เลือดซึมออกมาเปียกเสื้อผ้าตรงหน้าอก

คนยังมีชีวิตรอด แต่หัวใจกลับตายไปแล้ว เสี่ยวชุนเองก็รู้ดี

เสี่ยวชุนไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนจึงช่วยรักษาหัวใจของศิษย์พี่ใหญ่ได้ เหมือนกับที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะช่วยท่านแม่ที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนมาได้

เขานึกถึงอวิ๋นชิง นึกถึงคนที่ปราสาทเขาหลิวเขียวพวกนั้น

เข่นฆ่าไม่จบสิ้น…

หรือนี่ก็คือยุทธภพ…

 

ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมให้ยาถอนพิษเขา เช่นนั้นหากปรุงเองก็คงเหมือนกันนั่นแหละ

พักผ่อนมาหลายวันแล้ว บาดแผลก็ดีขึ้นแล้วสามสี่ส่วน เสี่ยวชุนคลำทางไปถึงห้องยาที่ไม่มีใครคอยเฝ้ายาม เปิดกล่องรื้อตู้หาสมุนไพรที่ถูกเก็บสะสมไว้ออกมาหมด

ในเมื่อจันทร์ครึ่งเสี้ยวมาจากสำนักภูษานิล ในห้องยาของสำนักภูษานิลต้องเหลือหญ้าพิษที่ใช้ทำยาในตอนแรกหลายอย่าง

เสี่ยวชุนเอามุกราตรีที่ควักออกมาจากเสาในตำหนักใหญ่มาใช้แทนเทียนไข แล้วเปิดไหเปิดหีบในห้องยา ค้นไปค้นมาอยู่อย่างนั้น

“ดีนกยูง ดอกลำโพง หญ้าไส้ขาด ยางน่อง หยางเหมย…สุดท้ายก็พอเดาถูกอยู่บ้าง…”

“หลิวเถา…อันนี้มีพิษ…สารหนู…อันนี้พิษแรงกว่า…” เสี่ยวชุนท่องชื่อยาที่หาเจอ

เสี่ยวชุนค้นไปค้นมาแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง

“ว้าก!! ตะขาบห้าสีตัวเบ้อเริ่ม…”

แล้วค้นหาดูอีกพักหนึ่ง

“มารดามันเถอะ ศิษย์พี่ไปหาแมงมุมหิมะตัวอ้วนขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย…”

ห้องยาห้องนี้ยิ่งดูก็ยิ่งน่ากลัว ถ้าหากอาจารย์ไม่ได้ฝึกเขาให้กลายเป็นหมอยาที่ร้อยพิษไม่กล้ำกรายตั้งแต่เด็ก ห้องยานี้เขาเข้ามาได้แต่คงออกไปไม่ได้ ลำพังแค่คลำสิ่งของพวกนี้เขาก็กลัวว่าตนเองคงต้องถูกพิษตาย

พลิกหาต่อไปอีก “ปีกนางฟ้า ถู่ซือจื่อ* ชะมด อู่เว่ยจื่อ**…ยาบำรุงพลังหยาง…”

อีกฝั่งหนึ่ง “เหอโส่วอู กระดองเต่า โสมคน บัวหิมะ…นี่ค่อนข้างปกติ…” แล้วมือก็หยิบบัวหิมะเอามาเคี้ยว กลิ่นหอมปะทะเข้าจมูก โคจรพลังบำรุงเลือด สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อบาดแผลของเขา

คืนนี้เขายุ่งอยู่ในห้องยา รู้คร่าวๆ แล้วว่าศิษย์พี่ใช้พิษอะไร แต่หากจะทำยาถอนพิษออกมาจริงๆ เสี่ยวชุนคิดว่าหากไม่ใช้เวลาสองถึงสามเดือนก็คงยาก หลังจากที่ศิษย์พี่ออกจากหุบเขาไปแล้ว ทักษะด้านใช้พิษก้าวหน้าไปมาก ส่วนเขาแม้จะได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรง แต่กลับเชี่ยวชาญในด้านรักษาอาการเจ็บป่วย บำรุงร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น ส่วนด้านการถอนพิษยังคงอ่อนด้อยไปหน่อย

ครั้นแล้วหลังจากนั้นหลายวันเสี่ยวชุนเดินไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่มีใครสนใจ เขาจึงเอาผ้าห่มพร้อมหมอนมาปูนอนบนพื้นในห้องยา

ไฟในเตาใหญ่ลุกไหม้โดยไม่สนวันและคืน ในห้องยาร้อนจนเขาหน้าแดงก่ำทั้งวัน

ศิษย์พี่เหมือนกำลังยุ่ง เหตุการณ์ที่งานชุมนุมผู้กล้าวันนั้นลุกลามใหญ่โต คนที่เรียกกันว่าฝ่ายธรรมะคงชิงชังศิษย์พี่ใหญ่เข้ากระดูก ไม่แน่ตอนนี้อาจเริ่มโจมตีสำนักภูษานิลกลับแล้ว

เสี่ยวชุนหยิบพัดใบลานมาโบกพัด ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด บางทีควรเรียกศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ห้า และศิษย์พี่หกมามัดตัวศิษย์พี่ใหญ่กลับหุบเขาไปด้วยกัน นับจากนี้ไม่เหยียบย่างเข้าไปในยุทธภพอีก คลื่นลมจึงจะสงบลงได้

เพียงแต่…หากจะจับศิษย์พี่ใหญ่มัดคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นแน่นอน

หากแบกอาจารย์มาด้วย ไม่รู้จะมีความเป็นไปได้มากขึ้นหรือไม่

ขณะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ยาในเตาก็ใกล้ได้ที่แล้ว เสี่ยวชุนเอาพัดมาพัด อารมณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ รอให้ยาเสร็จแล้วออกจากที่นี่ไปตามหาอวิ๋นชิงก่อน เอายาให้อวิ๋นชิงกินเป็นเรื่องสำคัญกว่า พิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวรุนแรงยิ่งนัก เกรงว่าในโลกนี้คงมีแค่อวิ๋นชิงกระมังที่ทนรับไหว!

ปากเริ่มร้องเพลงพื้นบ้าน ทำนองเพลงไม่มีความอ่อนโยนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของพวกสตรี แต่กลับเป็นความหาญกล้าอย่างบุรุษ เสี่ยวชุนครวญเพลงขณะที่โบกพัดไปด้วย

“รัวกลองผ่อนจังหวะตีฆ้อง กลองหยุดฆ้องชะงักฟังขับขาน ถ้อยคำเหลวไหลเรียงร้อยเพลงพาน ยินข้าขับขานสิบแปดลูบไล้ เพียงยื่นมือแตะปอยผมข้างแก้มพี่ เมฆดำทะยานรี่กลืนครึ่งฟ้า เพียงยื่นมือแตะเนินเนื้อพี่สาวตรงหน้า…”

“ข้ายังว่าเหตุใดหลายวันมานี้ไม่เห็นเจ้า ที่แท้ก็มาอยู่ตรงนี้เอง” อยู่ๆ เสียงบุรุษที่ฟังดูเกียจคร้านก็ดังขึ้นขัดเสียงร้องเพลงของเสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนหันกลับไป เห็นว่านอกจากกางเกงสีดำแล้วหลันชิ่งก็คลุมเสื้อนอกไว้แค่ตัวเดียว เสื้อคลุมทำจากผ้าไหม เนื้อผ้าบางและมองเห็นทะลุปรุโปร่ง สองแขนราวกับหยกไร้ตำหนิ เห็นผิวเนื้อกำยำได้วับแวม และยังมีเรียวคิ้วที่ประดับยิ้ม แผ่นอกเปลือยเปล่า เอวคอดกิ่ว เสี่ยวชุนมองจนเลือดลมพลุ่งพล่าน เลือดกำเดาเกือบพุ่ง

“ดึกป่านนี้แล้วศิษย์พี่ยังไม่นอนหรือ” เสี่ยวชุนรีบแสร้งหัวเราะ ทำอะไรไม่ถูก…ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ! แม้ตั้งแต่เล็กจะรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่งาม แต่ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยแสดงให้เห็นท่าทางที่ชวนให้จิตใจปั่นป่วนอย่างนี้มาก่อน

“ร้องเพลงสิบแปดลูบไล้ในที่ของข้า เจ้าเห็นที่นี่เป็นหอนางโลมหรือไร” หลันชิ่งถาม

“ศิษย์น้องแค่ว่างๆ อยู่รอให้ยาเสร็จขอรับ ก็เลยครวญเพลง ศิษย์น้องกำลังรอให้ยาเสร็จ รู้สึกเบื่อเลยครวญเพลงไปเรื่อยขอรับ” เสี่ยวชุนบอก

“ยาของเจ้าไม่มีวันเสร็จหรอก” หลันชิ่งพลันยิ้มสดใส

เสี่ยวชุนรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง

เห็นเพียงหลันชิ่งเดินไปข้างเตาแล้วซัดพลังออกไปหนึ่งฝ่ามือ เตาเกิดเสียงดังโครม แตกแล้ว พังแล้ว หล่นลงมาแล้ว หม้อใบใหญ่ที่อยู่ข้างบนก็พลิกเข้าไปในถ่านที่ร้อนแดง ยาไหลออกมาหมดและถูกไฟเผาไหม้จนแห้ง

เสี่ยวชุนอ้าปากกว้าง

“หากกล้าทำยาให้ตงฟางอวิ๋นชิงต่อหน้าข้าอีก ฝ่ามือถัดไปข้าจะซัดที่หัวของเจ้า” หลันชิ่งเดินเข้ามา ตบใบหน้าแดงเรื่อของเสี่ยวชุนที่ถูกไฟในเตาส่องเบาๆ

“ข้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านแท้ๆ ท่านมาที่ห้องยาเองนะ” เสี่ยวชุนพึมพำ

“เหมือนกันนั่นแหละ” หลันชิ่งบอก

“ความจริงข้าก็แค่ลองดูเท่านั้น” เสี่ยวชุนบอกเสียงแผ่ว “ศิษย์น้องไม่มีความสามารถจะถอนพิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวได้ ศิษย์พี่ประเมินศิษย์น้องสูงเกินไปแล้ว…พิษนี้…ยากนะ…”

“ยากแล้วยังลอง? เสียแรงไปเปล่าแล้วก็ช่างมันเถอะ แต่ยังจะผิดใจกับศิษย์พี่เพราะคนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่วันอีก ตอนนี้เห็นคนนอกสำคัญกว่าคนในแล้วใช่ไหม”

“ข้าแค่ไม่อยากเห็นใครตายไปต่อหน้าต่อตาข้า” เสี่ยวชุนบอก

“ถ้าอย่างนั้นก็ปิดตาซะสิ” หลันชิ่งสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป

แต่นอกจากเรื่องพวกนี้เสี่ยวชุนยังคิดด้วยว่าอยากให้อวิ๋นชิงเจ็บน้อยลงหน่อย อยากให้อวิ๋นชิงอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน

ชิงชังต่อสู้เพราะบุญคุณความแค้นอะไรนั่นเขาไม่สนและไม่คิดจะสนด้วย…

เขาแค่อยากให้อวิ๋นชิงดีขึ้นบ้างก็เท่านั้น…

 

* ถู่ซือจื่อ เป็นพืชชนิดหนึ่ง เมล็ดใช้ทำยา มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำหนัด เพิ่มปริมาณน้ำเชื้อ

** อู่เว่ยจื่อ (Schisandra berry) แปลตรงตัวว่าผลไม้ห้ารส มีทั้งรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด และขมปนกัน ช่วยบำรุงไต

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ ฉบับเต็ม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com