ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 96-97 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 96-97 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 97

ความกลัวของประธานฟั่น

 

วิหารเทพเจ้าเคร่งขรึม อึมครึมมืดสลัว ความหวาดกลัวแผ่ขยาย การประหัตประหารเริ่มต้นขึ้น

ทุกครั้งที่ด่าน 2/10 เปิด ดีมอสล้วนต้องเผชิญกับฉากเหล่านี้ เขาเป็นทั้งพยานทั้งผู้สร้างฉากเยี่ยงนรกภูมินี้ อีกทั้งยังใช้มันเพื่อแสวงหาความสุข

ในเมื่อเป็นแบบนั้นใครจะสามารถบอกกับเขาได้ว่าที่จริงแล้วคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในคืนนี้มีอะไรผิดปกติ

พวกเขาผ่านด่านไปได้แล้วสี่คน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผ่านไปได้ตามปกติ

หลังจากที่เขาเล่นงานชุยจั้นจนสลบ อดทนต่อหลวงจีน ใส่ใจชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขาเป็นพิเศษ เมตตาเปิดทางรอดให้ฉงเยวี่ย ไม่น่าเชื่อว่าเขายังอดทนฟังคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านสองคนบอกรักกันจนจบได้อีก

นายโกรธ ฉันโกรธ นายเป็นห่วงฉัน ฉันเป็นห่วงนายบ้าบออะไรกัน

ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือฝ่าด่านไม่ใช่หรือไง ให้เกียรติกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศบ้าง คิดว่านี่เป็นห้องนอนในบ้านของตัวเองเหรอ!

“ฟั่น…ประธานฟั่น” ฉงเยวี่ยกระทุ้งฟั่นเพ่ยหยางอย่างระมัดระวังคราวหนึ่งพลางกระซิบเตือน “เรื่องที่อยากพูดนั่นใกล้พูดจบแล้วใช่ไหม เลิกคุยกับหัวหน้าถังได้แล้ว” เขาชำเลืองดูดีมอสปราดหนึ่ง “บรรยากาศทางนั้นเหมือนจะอึมครึมมากขึ้นทุกที”

ไม่เพียงอึมครึม

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างชำเลืองมองไปทางผู้คุมด่าน เห็นได้ชัดว่านอกจากฝนฟ้าคะนองกำลังก่อตัวแล้ว ลมพายุเองก็กำลังพัดโหม

จะว่าไปอารมณ์เช่นนั้นของดีมอสก็พอเข้าใจได้อยู่

เพราะพวกเขาที่เดิมควรร่วมมือกับกลุ่ม VIP ล้วนอยากใช้ไอเทม ‘[ป้องกัน] น้ำเย็นหนึ่งกะละมังใจร่มเย็น’ สาดโครมใส่ฟั่นเพ่ยหยางตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกัน

เป็นประธานแล้วเจ๋งมากหรือไง

หน้าตาดีแล้วเจ๋งมากหรือไง

ขายาวแล้วเจ๋งมากหรือไง

มีผู้ชายเป็นของตัวเองแล้วเจ๋งมากหรือไง

เฮอะ

“รอคุณผ่านด่าน” ถังหลิ่นเอ่ยปากพูดคำสี่คำนั้นออกมา ใช้มันยุติบทสนทนารวมถึงถ่ายทอดความเชื่อมั่นไว้วางใจ

ฟั่นเพ่ยหยางไม่พูดอะไร เพียงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของถังหลิ่นก่อนจะพยักหน้ารับ

บรรยากาศภายในวิหารเทพเจ้าเคร่งขรึมอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง เห็นเขาหมุนตัว หันมองไปทางดีมอส ดูเขาเอ่ยปากอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ว่ามา” ฟั่นเพ่ยหยางพูดแผ่วเบารวดเร็วคล้ายอากาศดีน่าไปวิ่งเล่นที่ริมทะเลสาบ “จะเริ่มจากจุดไหนก่อน”

ดีมอส “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ทุกคนต่างรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าผู้คุมด่านน่าจะอยากให้เขาไม่ผ่าน แล้วปลิดชีวิตฟั่นเพ่ยหยางทันที

“นายเคยกลัวอะไรบ้างหรือเปล่า” จู่ๆ ดีมอสก็เอ่ยปาก เขาถามพลางขยับเข้าไปใกล้ฟั่นเพ่ยหยาง

ในเมื่อเป็นการพูดคุยกันฟั่นเพ่ยหยางจึงไม่คิดจะทำแบบขอไปที เขาครุ่นคิดจริงจังก่อนจะส่ายหน้าออกมาเบาๆ “ไม่มี”

ดีมอสนึกสนุก เขาหยุดนิ่งอยู่หน้าฟั่นเพ่ยหยาง “ฉันเคยเห็นคนแบบนายมามาก ความสามารถไม่เลว แถมยังประเมินตัวเองไว้สูงลิ่ว บางทีอาจนับเป็นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่แข็งแกร่งคนหนึ่งได้ แต่ทันทีที่ความมั่นใจถูกทำลาย คนพวกนั้นกลับพังทลายลงเร็วกว่าบรรดาคนที่อ่อนแอกว่า”

ฟั่นเพ่ยหยางถาม “คุณคิดว่าผมเหมือนกับคนพวกนั้น?”

ดีมอสกระตุกมุมปากหยันเย้ยเขาออกมาน้อยๆ “ไม่ใช่คิดว่า แต่มันเป็นเรื่องจริงต่างหาก สมัยโบราณ มนุษย์กลัวความอดอยาก กลัวความมืด กลัวสัตว์ร้ายบุกโจมตี ตอนนี้คนมีความต้องการมากขึ้น และนั่นก็ทำให้พวกเขามีความหวาดกลัวมากขึ้นเช่นกัน” รอยยิ้มหยันเย้ยของดีมอสกลับกลายเป็นลึกล้ำกว่าเดิม “แต่ตอนนี้นายกลับบอกฉันว่าตัวเองไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน นายไม่คิดว่าคำพูดประโยคนี้น่าขันหรือไง”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่หวั่นไหว “ความหมายของคำว่าหวาดกลัวของแต่ละคนแตกต่างกัน คุณถามผมตอบ ถ้าคุณไม่เชื่อ เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์”

ดีมอสจ้องเข้าไปในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง “งั้นฉันก็คงต้องเข้าไปดูเองแล้ว”

เพราะความสูงพอๆ กันพวกเขาสองคนจึงสบตากันได้พอดิบพอดี

ฟั่นเพ่ยหยางตอบรับสายตาของอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยปากอย่างสุภาพนอบน้อม “ด้วยความยินดี”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ท่ามกลางความเป็นความตาย พวกเขาสองคนยังจะมีพิธีรีตองอะไรกันอีกเนี่ย

วิหารเทพเจ้าถูกปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว การเปลี่ยนคนใหม่ในแต่ละครั้งอาจหมายถึงการประหัตประหารครั้งใหม่

พอมาถึงคราวของฟั่นเพ่ยหยางทุกคนก็รู้สึกว่านี่เป็นการเปิดโรงที่มีลำดับชัดเจนที่สุดของคืนนี้

ไม่ ไม่ใช่แค่การเปิดโรง

สองสามนาทีต่อมาสมรภูมิรบก็เงียบงันผิดปกติ

คล้ายตาของพายุเฮอร์ริเคน เห็นได้ชัดว่าผู้คนโดยรอบตึงเครียดจนยากที่จะสะกดกลั้นลมหายใจไว้ได้ แต่ภายในวังวนนั้นกลับสงบนิ่ง

ดีมอสกำลังค้นหา

ฟั่นเพ่ยหยางกำลังถูกค้น

การสบตาดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครบอกได้ว่าดีมอสค้นพบความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางหรือไม่ แต่จากการประเมินด้วยสายตา อย่างน้อยเขาก็คงจ้องลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งภายในจิตใจของอีกฝ่ายแล้วแน่ๆ

เพราะในเวลานี้ดวงตาใสกระจ่างของฟั่นเพ่ยหยางคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยอะไรบางอย่าง อาจไม่ถึงขั้นเหม่อลอยเหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกดีมอสรุกล้ำเข้าไปสำรวจจิตใจก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมองเห็นร่องรอยของการถูกบุกรุกได้อยู่

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วตำแหน่งที่ถังหลิ่นยืนอยู่เรียกได้ว่าห่างจากพวกเขาน้อยที่สุด

ความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางคืออะไร

จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ

ท่ามกลางการเฝ้ารอเนิ่นนาน ท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำสับสน ถังหลิ่นได้แต่หวังว่าฟั่นเพ่ยหยางจะผ่านด่านได้สำเร็จ

ดีมอสเดินเข้าสู่เหวลึกที่มองไม่เห็นก้น

ใจของทุกคนล้วนมีเหวลึกอยู่แห่งหนึ่งและเหวลึกที่ว่านี้ก็คือตู้เก็บความหวาดกลัว

ผู้คนต่างเก็บซ่อนความหวาดกลัวของตนไว้ในเหวลึก บ้างก็ชัดแจ้ง บ้างก็รางเลือน บ้างก็ถูกคนล่วงรู้ บ้างก็เป็นเพียงเงาสะท้อนของจิตใต้สำนึกที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้

ความหวาดกลัวเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนเป็นตัวประหลาดอัปลักษณ์ได้สารพัดสารพัน กองกันอยู่เต็มเหวลึก คอยหาโอกาสปีนไต่ออกมา

การก้าวเข้าไปสำรวจเหวลึกเหล่านี้คือหนึ่งในความสามารถของดีมอส

เขาไม่เคยพลาดมาก่อน

รวมถึงในเวลานี้

ฟั่นเพ่ยหยางบอกว่าเขาไม่มีเรื่องหวาดกลัว แต่พอเข้ามาถึงดีมอสกลับมองเห็นเหวลึกของอีกฝ่ายได้แทบจะทันที

ที่น่าขันก็คือปากเหวนั่นกินพื้นที่ถึงสามในสี่ส่วนของก้นบึ้งหัวใจ

หากบอกว่าก้นบึ้งของใจคนเป็นพื้นที่สีเขียว

เหวลึกแห่งความหวาดกลัวก็เหมือนกับท่อระบายน้ำบนพื้นที่สีเขียวที่ฝาท่อถูกขโมยไป ทำให้ตัวประหลาดทั้งหลายสามารถมุดลอดออกมาได้ทุกเมื่อและพร้อมจะมีคนพลัดตกลงไปอยู่ตลอดเวลา

ปากท่อเหล่านั้นบ้างก็ใหญ่ บ้างก็เล็ก บ้างก็ลึก บ้างก็ตื้น แต่สุดท้ายพวกมันก็ล้วนแต่เป็นจุดดำบนพื้นที่สีเขียว หากโชคดีดีมอสอาจต้องวนเวียนอยู่บนพื้นที่สีเขียวอยู่หลายรอบกว่าจะหาท่อที่ถูกปิดบังอำพรางเป็นอย่างดีนั่นพบ

แต่กับฟั่นเพ่ยหยางเขาไม่ต้องเปลืองเวลาแบบนั้น

เพราะมันไม่ใช่ท่อระบายน้ำ แต่เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์

นี่น่ะหรือที่บอกว่า ‘ไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน’?

ดีมอสไถลตัวลงไปตามผนังของเหวลึก หวังว่าอีกหนึ่งวินาทีถัดมาเขาจะลงไปถึงก้นเหวย้ายเอาความกลัวที่ใหญ่โตที่สุดออกมาโยนใส่หน้าฟั่นเพ่ยหยาง

ทว่าสุดท้ายเขากลับลงไปไม่ถึงก้นเหวนั่นเสียที

หลังจากนั้นดีมอสก็พบว่าในเหวลึกของฟั่นเพ่ยหยางนั้นไม่ได้มีตัวประหลาดเล็กๆ ที่ก่อขึ้นมาจากความหวาดกลัวสับสนอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงตัวประหลาดตัวใหญ่โตที่สุดซึ่งถูกซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดเบื้องล่าง

เหวลึกของฟั่นเพ่ยหยางไม่ต่างอะไรกับหลุมขนาดใหญ่ที่มีคนใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดทำความสะอาดเกลี้ยงเกลาหมดจด

ดีมอสลดความเร็วของตัวเองลง รู้สึกหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มีเหวลึกก็ต้องมีความหวาดกลัว หากฟั่นเพ่ยหยางไม่กลัวอะไรเลยจริง ในใจของเขาก็ไม่น่าจะมีเหวลึกอยู่

เรื่องนี้เหลือคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ตัวประหลาดชวนสะพรึงขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เหวลึกนี้ได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสามารถกลืนกินได้หมดแล้ว รวมทั้งพวกเดียวกัน

ดีมอสคุมด่านมานาน ไม่เคยพบเจอตัวประหลาดแบบนั้นมาก่อน

ในความรู้สึกหวั่นไหวเขากลับรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กๆ

ท่ามกลางเสียงเสียดสีของทักซิโดที่ดังสวบสาบ ในที่สุดดีมอสก็ไถลลงมาถึงก้นเหว

บางทีสำหรับคนอื่นแล้วเขาก็แค่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ถูกค้นหาเท่านั้น

แต่สำหรับเขานี่เป็นการทดสอบที่แท้จริง

ก้นเหวมืดดำกว่าที่เขาคิดไว้มาก ไม่ต่างอะไรกับคุกใต้ดินที่ไม่มีวันได้พบแสงสว่าง

ดีมอสขมวดคิ้วลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนเสื้อพลางกวาดตามองไปรอบๆ

สายตาของเขาค่อยๆ คุ้นชินกับความมืดที่อยู่โดยรอบ จนสุดท้ายก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ชัดเจน

พื้นที่ว่างแห่งนี้ใหญ่พอๆ กับวิหารเทพเจ้าทว่ากลับเล็กกว่าปากเหวอยู่หลายส่วน ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าคือโคลนสีดำ ส่วนที่อยู่รอบๆ คือผนังหินสีดำที่มีพืชกับดอกไม้สีดำปกคลุม ที่อยู่ตรงกลางคือโต๊ะทำงานสีดำ ข้างๆ มีชั้นหนังสือสีดำตั้งอยู่ บนชั้นมีหนังสือเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แม้แต่สันหนังสือก็ยังเป็นสีดำ

ดีมอส “…”

ช่างเป็นสุนทรียภาพที่ไร้ชีวิตชีวาสิ้นดี

ไม่ถูก ดีมอสได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นเหวลึกแห่งความหวาดกลัว ปัญหาที่ใหญ่โตหนักหนากว่าสุนทรียภาพด้านการตกแต่งย่อมต้องเป็นเรื่องความหวาดกลัว แล้วความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางล่ะอยู่ที่ไหน ทำไมถึงเป็นโต๊ะทำงาน หรือเจ้าตัวประหลาดที่น่าหวาดกลัวที่สุดซึ่งสามารถแว้งกัดผู้เป็นเจ้าของกลืนกินตัวประหลาดอื่นๆ ที่นอนหลับอยู่ที่ก้นเหวนั่นจะลุกขึ้นมาทำงานอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่ถูกปลุกให้ตื่น?

ผู้คุมด่านหน้าตาหล่อเหลาขยับเข้าไปหาโต๊ะทำงานนั่นด้วยสีหน้างุนงง

โต๊ะทำงานไม้สีดำ นาฬิกาตั้งโต๊ะชั้นเลิศทำงานอยู่เงียบๆ บนโต๊ะมีกระดาษเอสี่สองสามแผ่นกระจัดกระจายอยู่ บนนั้นคือตัวอักษรยุ่งเหยิงกับตารางแปลกๆ ที่วาดขึ้นด้วยมือ ปากกาที่ปลายเป็นสีทองงดงามด้ามหนึ่งวางอยู่บนกระดาษพวกนั้น คล้ายคนที่นั่งทำงานอยู่บนโต๊ะเพิ่งจากไปไม่นาน

ข้อความบนกระดาษจดบันทึกนั่นยากจะเข้าใจได้

ดีมอสทำได้เพียงขมวดหัวคิ้ว เดินตรงไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ข้างๆ

ชั้นหนังสือเรียงรายอัดแน่นไปด้วยหนังสือ สันของพวกมันล้วนเป็นสีดำทว่าชื่อหนังสือกลับแตกต่างกันออกไป

 

‘อันตรายภายในด่านที่อาจเกิดขึ้นกับถังหลิ่น’

‘สร้างจิตสำนึกในการลดความเสี่ยงให้ถังหลิ่น’

‘ความเป็นไปได้ที่โรคที่ไม่อาจรักษาของถังหลิ่นจะกำเริบขึ้นมาอีก’

‘ความเป็นไปได้ที่ถังหลิ่นจะเต๊าะคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และมาตรการรับมือเมื่ออีกฝ่ายหวั่นไหว’

‘ถังหลิ่น…’

‘ถังหลิ่น…’

 

หลังกวาดตามองจากบนลงล่างตั้งแต่แถวที่หนึ่งมาจนเกือบสุดแถวที่สองเขาก็พบว่าไม่มีหนังสือแม้แต่เล่มเดียวที่ไม่มีชื่อของถังหลิ่นอยู่บนนั้น เล่นเอาเขายากจะปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จักตัวหนังสือสองตัวนั่น

นี่คือก้นบึ้งภายในจิตใจของฟั่นเพ่ยหยางจริงงั้นเหรอ แล้วหนังสือเกี่ยวกับถังหลิ่นที่วางอยู่เต็มชั้นหนังสือนั่นมันอะไรกัน

โอเค รู้แล้วว่าพวกนายสองคนมีความรู้สึกที่ดีให้กัน แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักแยกแยะ ให้เกียรติเหวลึกแห่งความหวาดกลัวบ้าง!

ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณวิหารเทพเจ้า ในที่สุดบนชั้นหนังสือแถวสุดท้ายคำว่าถังหลิ่นก็หายไปแล้ว

หนังสือที่อยู่ชั้นล่างสุดดูคล้ายเป็นบทกวี

 

‘ช่วงเวลาที่ถูกลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์’

‘สหายชั่วชีวิต’

‘ให้ผมได้อยู่ข้างกายคุณ’

‘อย่าชอบคนอื่น’

‘…’

 

จู่ๆ ใจของดีมอสก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

เขายกมือกุมหน้าอก รู้สึกงุนงง ขณะเดียวกันก็คล้ายเข้าใจ

เรื่องที่เขาเข้าใจมีอยู่ด้วยกันสองเรื่อง

เรื่องแรก ชั้นหนังสือนี้ก็คือความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยาง

เรื่องที่สอง ฟั่นเพ่ยหยางใส่ใจถังหลิ่นมาก ทว่าถังหลิ่นกลับลืมเขา

ที่งุนงงคือเขาถึงขั้นรู้สึกเป็นทุกข์ไปกับหนอนแมลงตัวหนึ่ง

ไม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา เรื่องที่สองนี้มันโคตรรันทด รันทดเกินไปแล้ว

 

ที่วิหารเทพเจ้า

การสบตากันดำเนินไปเนิ่นนาน นานเสียจนคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านส่วนใหญ่ต่างคิดว่าจะนั่งลงดีหรือเปล่า

หลวงจีน “ตกลงพวกเขาทำอะไรอยู่กันแน่”

เฉวียนม่าย “ฉันดูนาย นายดูฉัน”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว ตกลงผู้คุมด่านนั่นดูอะไรออกหรือเปล่า พวกเขาสองคนไม่ขยับแบบนี้ ดูน่ากลัวจะตายชัก”

“ยังมีที่น่ากลัวกว่านี้อีก” อู่อู่เฟินฟั่นผมหยักศกของตัวเองทีหนึ่ง “พวกนายดูตาของดีมอสให้ดีๆ สิ”

เพราะฟั่นเพ่ยหยางเป็นฝ่ายถูกค้น คนส่วนใหญ่จึงต่างทุ่มเทความสนใจไปที่เขา แต่ทันทีที่ได้ยินอู่อู่เฟินเอ่ยปากขึ้นมาแบนนั้น พวกเขาก็ชักสายตาไปที่ใบหน้าของดีมอสเป็นครั้งแรก

จากนั้นพวกเขาก็พบว่าสายตาของดีมอสเหมือนจะเหม่อลอยอยู่เล็กๆ จนสุดท้ายเหมือนจะมากกว่าฟั่นเพ่ยหยางเสียอีก

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “เกิดอะไรขึ้น”

อู่อู่เฟิน “ถึงฉันจะไม่อยากยอมรับ แต่ดูท่าเขาเหมือนจะถูกเล่นงานกลับแล้ว”

ฉงเยวี่ยสองตาเป็นประกาย นึกอยากชูป้ายไฟให้กับไอดอลของตัวเอง “นายหมายความว่าประธานฟั่นเองก็สำรวจลึกลงไปในใจของดีมอสด้วยเหมือนกัน?”

“หรือไม่ความหวาดกลัวของเขาอาจไม่ธรรมดา” ไป๋ลู่เสียที่นั่งอยู่กับพื้นก่อนหน้าพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ทำเอาดีมอสขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว”

สมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงรายหนึ่งประชดเสียงออกจมูก “เลิกยกหางชาวบ้านได้แล้ว ก็แค่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางทำผู้คุมด่านตกใจเสียขวัญได้หรอก”

เฉวียนม่าย หลวงจีน และอู่อู่เฟินสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนทั้งสามที่เคยผ่านการต่อสู้ในนครใต้พิภพมาก่อนต่างหันหน้ามองไปยังสมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรรายนั้น “ตอนอยู่ด่าน 1/10 เขาเล่นงานเทียร์ซึ่งเป็นผู้คุมด่านจนสลบมาแล้ว”

สมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงรายนั้น “ขอโทษ”

ถังหลิ่นแทบจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังอยู่รายรอบ

นับตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้สายตาของเขายังไม่เคลื่อนออกจากคนทั้งคู่ ไม่กล้าเสียสมาธิแม้แต่เสี้ยววินาที ระหว่างนั้นมีอยู่หลายครั้งที่เขาแทบห้ามตัวเองไม่ให้ลงมือไม่อยู่ ไม่ว่าจะใช้เงาร่างหมาป่าก็ดีหรือพุ่งตรงเข้าไปก็ช่าง ขอแค่สามารถยุติการสบตาที่สุดแสนอันตรายเนิ่นนานนี้ลงได้ก็พอ

แต่ทุกครั้งสิ่งที่หยุดยั้งเขาไว้กลับเป็นประกายวับวาวเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง

ฟั่นเพ่ยหยางยังไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้ถูกความมืดเล่นงาน จิตใจของเขาก็ยังคงมีแสงสว่างเล็กๆ เหลืออยู่

ก้นบึ้งภายในจิตใจของประธานฟั่นมีแสงสว่าง?

ทว่าดีมอสกลับมองไม่เห็น เขาคลำตามความมืดลงไปก่อนจะคลำตามความมืดขึ้นมา กว่าจะคลานออกจากหลุมดำได้ก็ไม่ง่ายเลย ดีมอสสาบานกับตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่เข้ามาสำรวจจิตใจของคนคนนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

“นายนี่มันพิเศษจริงๆ”

หลังจากดีมอสพูดประโยคนี้ออกมาบรรยากาศหยุดนิ่งภายในวิหารเทพเจ้าก็เริ่มขยับไหวอีกครั้ง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจออกมายาวๆ บอกไม่ได้ว่ายินดีหรือผิดหวัง

ที่ยินดีคือดีมอสยังคงทำตามขั้นตอน ไม่มีเรื่องนอกเหนือการควบคุมจนเป็นเหตุให้ซวยไปถึงปลาในบ่อ

ที่ผิดหวังคือไม่มีเซอร์ไพรส์อย่างผู้คุมด่านถูกเล่นงาน

ฟั่นเพ่ยหยางเองก็กลับมาได้สติอีกครั้ง เพียงแต่ช้ากว่าดีมอสอยู่เล็กน้อย

ทัศนวิสัยกระจ่างชัด เขามองเห็นก็แต่ดีมอสที่เพิ่งพูดจบไปกับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เขาบอกว่านายพิเศษ” ในบรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านมีคนกระตือรือร้นเอ่ยปากสรุป ไม่ใช่เพื่อฟั่นเพ่ยหยาง หากแต่เพื่อให้พวกเขาสามารถกินแตง* ต่อได้

อะไรที่เรียกว่า ‘พิเศษ’

ตกลงว่าระหว่างการสบตาเนิ่นนานเมื่อครู่นั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ฟั่นเพ่ยหยางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาถามดีมอสออกมาตรงๆ “คุณเห็นแล้วหรือยัง”

ดีมอสบอก “ความหวาดกลัวของนาย”

หว่างคิ้วฟั่นเพ่ยหยางขมวดเข้าหากันเล็กๆ

ดีมอสมองดูฟั่นเพ่ยหยาง คิดอยากตบไหล่ปลอบใจอีกฝ่าย แต่เพราะต้องควบคุมความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่อยู่ลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจเขาจึงได้แต่รักษาท่าทีเย็นชาไว้ “ฉันบอกแล้วว่าทุกคนล้วนมีความหวาดกลัวด้วยกันทั้งนั้น นายเองก็ไม่มีข้อยกเว้น”

ฟั่นเพ่ยหยางนึกกระหายใคร่รู้ “งั้นความพิเศษของผมอยู่ตรงไหน”

ดีมอสคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะรู้ว่าตัวเองมีความกลัวซุกซ่อนอยู่ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าฟั่นเพ่ยหยางสนใจกับคำว่า ‘พิเศษ’ มากกว่า

ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเขาก็ต้องพูดออกมาอยู่แล้ว “ลึกลงไปในใจของทุกคนล้วนมีเหวลึกแห่งความหวาดกลัวอยู่ ใหญ่เล็กลึกตื้นต่างกันออกไป ภายในมักจะอัดแน่นไปด้วยตัวประหลาดที่ก่อกำเนิดจากความกลัว ต้องผ่านเจ้าตัวประหลาดพวกนั้นลงไปที่ก้นเหวถึงจะพบกับความหวาดกลัวสุดขีดที่ซ่อนตัวเร้นลับอยู่ที่นั่น”

คำอธิบายของดีมอสทำเอาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหลายต่างพากันสองหูตั้ง

ถึงพวกเขาจะจินตนาการกันได้อยู่เลาๆ ถึงขั้นตอนการสำรวจความหวาดกลัวของดีมอส แต่เรื่องเหวลึกนี้กลับถูกผู้คุมด่านพูดออกมาเป็นครั้งแรก

“ในเหวลึกของเขามีแค่บ้านของพ่อแม่” ดีมอสชี้ไปทางชุยจั้นที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ หลังจากนั้นก็ชี้ไปทางหลวงจีน ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา และฉงเยวี่ยตามลำดับ “ของเขาคือโบสถ์ร้างปราสาทร้างริมผา ของเขาน่าเบื่อที่สุดเพราะเป็นตัวประหลาดอันเกิดจากความกลัวตาย ส่วนของเขาโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็น ‘ช็อปปิ้งอาร์เคด’ ของโลกใต้บาดาล”

ฟั่นเพ่ยหยางอดทนรอฟังเหวลึกของตัวเอง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเองก็อยากรู้อยากเห็นแทบแย่แล้ว

“แต่ของนายกลับไม่ใช่อะไรพวกนั้น” ดีมอสแบมือส่ายหน้า “ของนายเป็นพื้นที่ทำงาน”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ไม่เสียทีที่เป็นประธานเผด็จการ ไม่เหมือนใครจริงๆ

ฟั่นเพ่ยหยางพยายามนึกตาม แต่เพราะนึกไม่ออกเขาจึงยิ่งรู้สึกสนใจ “รายละเอียดล่ะ เฟอร์นิเจอร์เป็นแบบไหน ตกแต่งเป็นสไตล์อะไร”

“โต๊ะไม้สีดำตัวหนึ่ง นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนหนึ่ง กระดาษจดบันทึกสองสามแผ่น ปากกาหมึกซึมด้ามหนึ่ง ยังมี…” ดีมอสจู่ๆ ก็หยุดไว้แค่นั้น

นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายคอยตอบคำถามของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแบบนี้ด้วย

ฟั่นเพ่ยหยาง “ยังมีอะไรอีก”

ดีมอส “ชั้นหนังสือ”

ผู้คุมด่านจำเป็นต้องบอกคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านให้รู้ถึงผลการสำรวจความหวาดกลัว

ผู้คุมด่านจำเป็นต้องบอกคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านให้รู้ถึงผลการสำรวจความหวาดกลัว

หลังเตือนสติตนเองถึงกฎระเบียบการทำงานเงียบๆ อยู่ภายในใจสองรอบ อารมณ์ของดีมอสก็ค่อยๆ สงบนิ่ง

“ขออภัย” ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากอย่างเกรงอกเกรงใจ “ผมอาจต้องย้อนกลับไปที่ปัญหาแรกสุดก่อน ความหวาดกลัวของผมอยู่ที่ไหน”

ทุกคนต่างพยักหน้ากันอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ใครอยากรู้เรื่องโต๊ะสับปะรังเคพื้นที่ทำงานอะไรนั่นกัน เรื่องสำคัญคือความหวาดกลัวต่างหาก ความหวาดกลัวสุดขีดของคนที่สามารถเล่นงานเทียร์จนสลบได้คืออะไร

“หนังสือบนชั้น” ดีมอสแบ่งปันผลลัพธ์ของการสืบค้นอย่างใจกว้าง “ทุกเล่มล้วนเป็นความหวาดกลัวของนาย คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนที่ฉันเคยเจอ ความหวาดกลัวล้วนระเกะระกะอยู่ในเหวลึก ไม่มีการจัดระเบียบ ทันทีที่สบช่องมันก็จะอาศัยความหวาดกลัวอื่นๆ เป็นที่วางเท้าปีนไต่ขึ้นมา

มีแค่นาย” น้ำเสียงของดีมอสลุ่มลึกจนฟังไม่ออกว่าตอบรับหรือปฏิเสธ “มีแค่นายเท่านั้นที่ยัดความหวาดกลัวใส่ไว้ในชั้นหนังสือ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบจนฉันดูไม่ออกว่าอันไหนเป็นเรื่องที่นายกลัวที่สุด เพราะฉะนั้นฉันถึงได้บอกว่านายพิเศษ”

จนถึงตอนนี้ในที่สุดฟั่นเพ่ยหยางก็พอมองเห็นเค้าโครงความหวาดกลัวของตัวเองขึ้นมาได้เล็กๆ “แล้วมันดีเป็นพิเศษหรือว่าแย่เป็นพิเศษ”

“พิเศษ…” ดีมอสลากเสียงยาว สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา “แบบแย่ๆ”

น้ำเสียงหยอกเย้าคล้ายกำลังล้อเล่น

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดต่างรู้ชัด ผู้คุมด่านรายนี้ไม่เคยล้อเล่นกับพวกเขา

ฟั่นเพ่ยหยางยังคงสงบนิ่ง “แย่ยังไง ไหนคุณลองเล่าให้ผมฟังหน่อย”

ดีมอสตัดสินชะตากรรมของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ได้รังเกียจที่จะมอบคำสั่งเสียให้อีกฝ่ายมากหน่อย “ทุกคนล้วนมีระดับความเข้าใจในความกลัวของตนเองแตกต่างกัน ยิ่งสับสนก็ยิ่งแปลว่าเจ้าตัวไม่รู้ชัด ก็เหมือนกับเจ้าหัวโล้นที่กลัวการอยู่คนเดียวไปจนวันตายนั่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นความกลัวสุดขีดของตัวเอง”

หลวงจีน “…”

อุตส่าห์ถอยห่างออกมาจากแนวรบแล้วแท้ๆ ยังถูกชาวบ้านยิงธนูปักหัวเข่าอีก

ดีมอส “แต่สิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัวนี้ ยิ่งสติสัมปชัญญะชัดแจ้งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น พูดอีกอย่างคือยิ่งนายรู้ว่าตัวเองกลัวอะไร ความหวาดกลัวของนายก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี โชคร้ายมากที่นายเป็นคนที่ตระหนักรู้ถึงความหวาดกลัวของตัวเองชัดแจ้งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ”

ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งเงียบ

ถังหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองดูใบหน้าสงบนิ่งของอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ว่าคนที่มีสติสัมปชัญญะชัดแจ้งที่สุดเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด

“คุยกันแค่นี้ดีกว่า” ดีมอสลดเสียงลง ท่าทีผ่อนปรนยากจะพบเห็น “นายบอกว่าตัวเองไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน แต่ผลกลับเป็นว่านายรู้ถึงความกลัวของตัวเองชัดเจนกว่าใครเพื่อน นายโกหกฉัน เรื่องนี้ฉันไม่ถือสา และฉันเองก็ไม่คิดจะเปิดเผยความกลัวมากมายแบบนั้นภายในวิหารเทพเจ้านี้”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ผ่านด่านแล้วเหรอ ตกลงมันเป็นความหวาดกลัวอะไรแบบไหนกัน ถึงได้ทำให้คนเลือดเย็นอย่างดีมอสหวั่นไหวได้

ดีมอส “ความหวาดกลัวของนายชวนให้รู้สึกรันทด เพราะฉะนั้นตายซะเถอะ ตายแล้วจะได้ไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรอีก ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป”

ฟั่นเพ่ยหยาง “…”

ถังหลิ่น “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน!

 

* กินแตง ใช้เปรียบเปรยถึงอาการล้อมมุงดูเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง โดย ‘แตง’ หมายถึงข่าวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนหรือเรื่องซุบซิบบางอย่าง คล้ายคำว่า ‘กินเผือก’ ของไทย

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com