ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2
ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)
แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย และการกระทำชำเรา
การล่อลวง การลักพาตัว การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 46
จูบนี้ดูสงบกว่าจูบแรกมาก มือใหญ่ของลั่วอี้กดที่ท้ายทอยของเวินเสี่ยวฮุยเพื่อให้เขาแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางดูดริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนั้นอย่างละเอียดอ่อนและร้อนแรง ลิปบาล์มรสพีชชวนให้อยากที่จะกลืนกินเจ้าของริมฝีปากลงไปทีละคำๆ
เวินเสี่ยวฮุยจิกไหล่ของลั่วอี้โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าอยากจะผลักออกหรืออยากที่จะกอดแน่นกันแน่
ลั่วอี้ตัวสูงและรูปร่างกำยำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ตอนที่เจอกันครั้งแรกเห็นได้ชัดว่ายังสูงกว่าเขาไม่เกินหนึ่งช่วงศีรษะด้วยซ้ำ ทั้งยังมีความสดใสและบอบบางของวัยเยาว์ มองเห็นซี่โครงที่อยู่เหนือเอวได้อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ไหล่ของลั่วอี้ดูกว้างจนมือข้างเดียวแทบจะจับได้ไม่รอบ กล้ามเนื้อหน้าอกกดทับหน้าอกของเขาตามจังหวะการหายใจ ทั้งยังมีจูบที่ร้อนแรงและทรงพลังนั่นอีก
ในเวลานี้เวินเสี่ยวฮุยตระหนักได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ว่าลั่วอี้กลายเป็นชายหนุ่มแล้ว
เขาดึงสติกลับมาจากจูบอันเร่าร้อนนั้นแล้วผลักลั่วอี้ออกไปอย่างเคอะเขิน
ลั่วอี้เลียริมฝีปาก ยิ้มให้เวินเสี่ยวฮุย ร่องรอยแห่งความเสน่หาในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยแทบหยุดเต้น
เวินเสี่ยวฮุยถอยหลังไปสองก้าว “เอ่อ ฉะ…ฉันกลับก่อนนะ นายก็กลับไปนอนเถอะ ระหว่างทาง…ระหว่างทางก็ระวังตัวด้วย”
ลั่วอี้พยักหน้า “พวกเรามาฉลองวันเกิดด้วยกันนะ”
“ได้” เวินเสี่ยวฮุยหมุนตัววิ่งขึ้นชั้นบนไปด้วยความเร่งรีบ
ลั่วอี้มองดูแผ่นหลังของเวินเสี่ยวฮุยจนกระทั่งเขาหายลับไปในทางเดินอาคารก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา ผ่านไปสักพักก็มีเสียงทอดถอนใจดังขึ้นในเขตที่พักอาศัยอันว่างเปล่ากลางดึก
เวินเสี่ยวฮุยแอบย่องเข้าห้อง ขณะที่เปิดประตูห้องของตัวเองก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของหลัวรุ่ย เขาพุ่งเข้าไปในผ้าห่มราวกับลูกธนูแล้วกอดหลัวรุ่ยแน่น
“หนาวจะตายอยู่แล้ว”
หลัวรุ่ยตกใจ “นายทำฉันตกใจหมดเลย ฉันเพิ่งจะหลับไปเอง”
“ฉันเพิ่งจะลงไปไม่กี่นาทีเองนี่นา นายนี่หลับดีจริงๆ หัวถึงหมอนก็หลับเลย”
“อิจฉาล่ะสิ” หลัวรุ่ยส่งเสียงฮึออกมา “ทำไมนายถึงขึ้นมาเร็วแบบนี้”
“แล้วจะให้ทำอะไรอีกล่ะ ข้างนอกหนาวจะแย่”
“ไม่ได้ทำอะไรเลยเหรอ”
“ให้ตายสิ จะทำอะไรล่ะ มีเซ็กซ์กลางถนนเหรอ”
หลัวรุ่ยหัวเราะคิกคักพลางพูด “นายตั้งตารอไม่ใช่เหรอ”
“ไปให้พ้น” เวินเสี่ยวฮุยครุ่นคิดแล้วแอบยิ้มออกมา “คิสแล้ว”
“ฉันว่าแล้วเชียว!” หลัวรุ่ยจักจี้เอวของเขาอย่างแรง “น่ารำคาญชะมัด!”
เวินเสี่ยวฮุยหลบพลางหัวเราะ เขาพูดพร้อมทั้งหายใจหอบ “ช่วยฉันทำเค้ก ฮ่าๆ”
วันรุ่งขึ้นเวินเสี่ยวฮุยกับแม่ของเขาเข้าไปที่สถานีตำรวจก่อน ภาพจากกล้องวงจรปิดในชุมชนออกมาแล้ว เนื่องจากแสงไฟสลัวเกินไปจึงจับภาพได้เพียงแค่เงาของบุคคลต้องสงสัยเท่านั้น เขาสวมแจ็กเก็ตสีดำ สวมหมวกแก๊ปและแว่นกันแดด เขาดูไม่กระสับกระส่ายเลยสักนิดขณะเดินออกจากเขตที่พักอาศัย
ตำรวจพูด “เจ้าโจรคนนี้ทำให้สับสนมากๆ ไม่ค่อยเห็นคนขโมยของช่วงทุ่มสองทุ่มเลย คนส่วนใหญ่จะเลือกเวลากลางดึกตีสามตีสี่ตอนที่ทุกคนหลับสนิท หรือไม่ก็ตอนกลางวันเวลาทุกคนออกไปทำงาน คนที่ขโมยของในเวลานี้ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุบังเอิญหรือมีเจตนาชั่วคราว แต่ดูจากท่าทางของคนคนนี้แล้วจะต้องไม่ใช่เพราะเกิดจากเจตนาอย่างฉับพลันแน่”
“หรือว่าเขาซุ่มดูอยู่แล้ว?” เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกหนาวสั่นเพราะความกลัว ทุกคนต่างพูดกันว่าไม่กลัวโจรขโมยของ แต่กลัวความใส่ใจของโจรมากกว่า ทันทีที่คิดว่าห้องของพวกเขาเคยถูกคนแอบจับตาดูมาก่อนก็ชวนให้ขนหัวลุก
“น่าจะใช่ แต่เวลาทุ่มสองทุ่มเป็นเวลาที่คนกินอาหารค่ำและพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เขามั่นใจได้ยังไงว่าไม่มีใครอยู่ที่ห้อง”
ใบหน้าของเฝิงเยวี่ยหวาซีดขาวเล็กน้อย เธอกุมมือของเวินเสี่ยวฮุยด้วยความตื่นตระหนก
ตำรวจถามอะไรอีกสองสามอย่าง จากนั้นก็บอกว่าถ้ามีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมให้ติดต่อมา แล้วปล่อยพวกเขาไป
เมื่อเดินออกจากสถานีตำรวจเฝิงเยวี่ยหวาก็ถอนหายใจอย่างแรง “ถ้าพ่อของแกยังอยู่ เรื่องนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นแน่”
เวินเสี่ยวฮุยได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกทรมานในใจ เขาโอบไหล่แม่ “แม่ เราต้องคิดถึงเรื่องนี้ในแง่ดีนะ ข้อแรกพวกเราทุกคนปลอดภัย ข้อสองไม่มีอะไรหาย เวลาเดินไปตามถนนยังทำกระเป๋าสตางค์ตกได้เลย ถูกปล้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก หลังจากเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเขตที่พักอาศัยของเราก็จะได้ขยันขันแข็งมากขึ้น”
เฝิงเยวี่ยหวาพยักหน้า “ตอนนี้แกเลื่อนขั้นแล้ว ไม่ต้องทำโอทีจนดึกดื่น จากนี้ไปก็อยู่บ้านเพื่อนแกให้น้อยหน่อย กลับมาห้องให้มากขึ้น”
“ผมรู้”
“สองปีมานี้เพื่อนร่วมงานของแกไม่ได้แต่งงานหรือไง ถึงให้แกไปอยู่ด้วยตลอดเวลา”
“ไม่ได้แต่ง ผมมาเพิ่มเงินให้เธอทีหลังน่ะ บ้านเธอมีห้องว่างเยอะ”
“อ่อ”
เวินเสี่ยวฮุยมองดูท่าทางเป็นกังวลของแม่ก็พลันเกิดแรงกระตุ้นให้คิดที่จะพูดเรื่องของลั่วอี้อยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังกลั้นมันเอาไว้ แต่ว่าเขาคงปิดบังต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว เพราะเขากำลังจะได้รับมรดกส่วนหนึ่งและห้องชุดของหย่าหย่า ถึงตอนนั้นก็จะต้องเปลี่ยนที่อยู่ที่ดีกว่านี้ และตอนนั้นเขาก็ต้องสารภาพกับแม่ แต่เขาก็คิดในใจ ยังไงก็ยื้อออกไปก่อนเถอะ เมื่อคิดว่าต้องเผชิญกับเพลิงโทสะของแม่ เขาก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันที
เวินเสี่ยวฮุยคิดหนักมากสำหรับการเลือกของขวัญวันเกิดครบรอบสิบแปดปีให้กับลั่วอี้ ท้ายที่สุดเขาใช้เงินเดือนหนึ่งเดือนซื้อจักรยานฟิกซ์เกียร์คาร์บอนไฟเบอร์ให้กับลั่วอี้ ตัวจักรยานเป็นสีเงินขาวสุดเท่มีน้ำหนักเพียงสิบเอ็ดจินเท่านั้น เมื่อยกขึ้นมาก็ดูเหมือนว่าจะไม่หนักเท่ากล่องโมเดลของเขา แม้แต่เวินเสี่ยวฮุยที่ไม่สนใจจักรยานยังคิดว่าเจ้าของเล่นนี้ดูน่าตื่นเต้นจริงๆ
เขาผูกโบสีชมพูและการ์ดอวยพรไว้ที่แฮนด์จักรยาน และขอให้เจ้าของร้านไปส่งในวันเกิดของลั่วอี้ จากนั้นเขาก็ไปทำเค้กและอาหารในห้องครัวของหลัวรุ่ย ในที่สุดเขาก็สามารถแสดงฝีมือทำอาหารในวันเกิดของลั่วอี้ปีนี้ได้แล้ว
ชั่วพริบตาเดียววันเกิดของลั่วอี้ก็มาถึง
วันนั้นเวินเสี่ยวฮุยไม่ได้ทำงาน แต่ใช้เวลาทั้งเช้าทำสปาทั้งตัวให้ตัวเอง จากนั้นเขาก็แต่งหน้าเบาๆ ทำผม เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมองตัวเองในกระจก เมื่อรู้สึกค่อนข้างพอใจก็ขึ้นรถแล้วรีบไปที่คฤหาสน์ของลั่วอี้
ทันทีที่ลั่วอี้เปิดประตูก็เห็นใบหน้าอ่อนโยนของเวินเสี่ยวฮุย คิ้วตาบอบบาง กลิ่นน้ำหอมจางๆ แพร่กระจายออกมาเหมือนกับเค้กที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ ดูมีสีสันชวนยั่วน้ำลาย
“สุขสันต์วันเกิดปีที่สิบแปด!” เวินเสี่ยวฮุยเผยรอยยิ้มสดใส
ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “ขอบคุณ”
เวินเสี่ยวฮุยนำเค้กและอาหารทะเลที่ถืออยู่ในมือเข้าไปวางในห้องครัว “ตอนที่ฉันอยู่อเมริกาได้เรียนทำอาหารมาเยอะเลย วันนี้ฉันจะแสดงฝีมือให้นายได้กิน”
“จริงเหรอ” ลั่วอี้พิงอยู่ที่ประตู ยิ้มน้อยๆ “พี่เพิ่งจะทำเล็บมาสินะ ให้ผมทำไหม”
“ไม่เป็นไร สองปีที่ผ่านมานายก็เป็นคนทำอาหารให้ฉันตลอด วันนี้เปลี่ยนให้ฉันทำบ้าง รับรองว่ารสชาติไม่เลวแน่นอน” เวินเสี่ยวฮุยฮัมเพลงพลางเริ่มหั่นปลาแซลมอน
“งั้นให้ผมช่วยพี่เถอะ” ลั่วอี้เริ่มช่วยล้างผัก
เวินเสี่ยวฮุยหันไปมอง ลั่วอี้ยืนอยู่ข้างๆ เขา นิ้วที่ขาวผ่องเรียวยาวสอดผ่านถั่วแขกสีเขียวทีละฝักๆ เรื่องติดดินเช่นการล้างผักแบบนี้ลั่วอี้กลับทำมันได้อย่างสง่างามมาก เสียงสายน้ำไหลซู่ซ่ากับเพลงที่หลุดออกมาจากปากของเขาทำให้เขารู้สึกถึงความสงบสุขและเติมเต็มทันใด ความสุขอันละเอียดอ่อนผุดขึ้นมาในอก
“พี่คิดจะทำอะไรกับถั่วแขกเหรอ” ลั่วอี้หยิบถั่วแขกที่ล้างและคัดเลือกเรียบร้อยแล้วใส่ตะกร้า
“ผัด” เวินเสี่ยวฮุยหยิบปลาแซลมอนชิ้นโตเนื้อนุ่มขึ้นมาอวด “ฉันใช้มีดเก่งไหมล่ะ ตอนนั้นฉันมีเพื่อนร่วมคลาสที่เป็นคนญี่ปุ่น เขาสอนฉันให้หั่นตามลายเนื้อ”
“เก่งมาก” ลั่วอี้ยืนอยู่ด้านหลังเวินเสี่ยวฮุย ยื่นศีรษะข้ามไหล่ของเขามาแล้วอ้าปากร้อง ‘อา’ ออกมาเสียงหนึ่ง
เวินเสี่ยวฮุยหันหน้าไปเล็กน้อย ใบหน้าอันหล่อเหลาของลั่วอี้อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองหรือสามเซนติเมตร มันใกล้จนเขาสามารถชื่นชมผิวที่เรียบเนียนของลั่วอี้ได้ นอกจากนี้ยังมีไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนังเล็กน้อยที่เหมือนจะทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเช่นกัน หัวใจของเขาเต้นแรงอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็ยัดแซลมอนชิ้นนั้นเข้าปากลั่วอี้
ริมฝีปากของลั่วอี้เลื่อนผ่านนิ้วของเวินเสี่ยวฮุยอย่างนุ่มนวล ช่วงเวลาที่สั้นจนต้องนับเป็นมิลลิวินาทีนั้นกลับทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน
เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าลงเพื่อปกปิดอารมณ์ ขณะที่กำลังจะหั่นปลาแซลมอนต่อ จู่ๆ ลั่วอี้ก็จับคางของเขาและบังคับให้เขาเอียงศีรษะมา วินาทีต่อมาจูบที่ค่อนข้างหยาบกระด้างก็เข้าจู่โจมแล้วจูบอย่างดุเดือด คลื่นความร้อนพุ่งสู่ศีรษะของเขาทันที
เวินเสี่ยวฮุยเบิกตากว้าง ไม่ชินกับความกล้าแบบทันทีของลั่วอี้เลยจริงๆ
ลั่วอี้ดึงตัวเขาให้หันมา โอบเอวบอบบางของเขาแน่น ใช้ลิ้นแหวกฟันและเหงือกของเขาอย่างก้าวร้าวเพื่อกวาดทุกตารางนิ้วในช่องปากของเขา
เวินเสี่ยวฮุยตะลึงงัน เขาต้องการจะผลักลั่วอี้ออกไป แต่กลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้แน่น ไม่อาจขยับตัวได้เลย
ลั่วอี้เป็นเหมือนสัตว์ป่าในกรงที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย อีกฝ่ายพยายามที่จะบดเบียดริมฝีปากของเขาด้วยแรงปรารถนาที่จะกลืนกินเวินเสี่ยวฮุยเข้าไปในท้องของตน
“อั่ก…ลั่วอี้…” ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าวเล็กน้อย ลั่วอี้ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ยากที่จะรับได้ เขาออกแรงกระแทกลั่วอี้
ลั่วอี้ถึงได้หยุดการช่วงชิง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวของเวินเสี่ยวฮุย เขาหายใจหอบ
“พี่เสี่ยวฮุย ผมจูบพี่ไม่ได้เหรอ”
ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยแทบจะไหม้ “วันนี้นายเป็นอะไรไป น่ากลัวเกินไปแล้ว”
พายุแห่งราคะคล้ายกำลังก่อตัวอยู่ในดวงตาสีดำของลั่วอี้ “ผมเป็นผู้ชายแล้ว และพี่ก็ไม่ใช่ผู้ปกครองของผมอีกแล้ว ฉะนั้นผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอดกลั้นในสิ่งที่ผมอยากทำกับพี่อีก”
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าใบหน้าแทบจะมีเลือดหยดออกมา เขาติดอ่างอยู่นาน เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเมื่อเผชิญหน้ากับลั่วอี้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ลั่วอี้บีบคางของเขา ใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากที่บวมเป่งจากการถูกจูบเบาๆ “พี่เสี่ยวฮุย ผมอยากจูบพี่ให้เต็มที่ แถมยังอยากถอดเสื้อของพี่ออกด้วย…ไม่ได้เหรอ พี่ก็ชอบผมเหมือนกันใช่ไหม”
เวินเสี่ยวฮุยเสียงสั่น “ฉัน…แต่ว่า…”
“พี่ชอบผมใช่ไหม ไม่อย่างนั้นจะปฏิเสธหลีซั่วทำไม” ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูด “วันนี้พี่ทั้งน่ามองและน่ากินมากจริงๆ ไม่ว่าพี่จะเตรียมของขวัญอะไรให้ผม แต่ผมอยากได้พี่มากที่สุด”
เวินเสี่ยวฮุยได้ยินเพียงเสียงหึ่งๆ ดังในหัว เหมือนมันกำลังจะระเบิดออก
ลั่วอี้…เป็นแบบนี้เหรอ ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ลั่วอี้มีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและมีนิสัยที่ละเอียดอ่อน จะเผยอาการเขินอายออกมาเมื่อถูกกอดหรือหอมแก้ม แต่ว่าคนที่ดูเจ้าเล่ห์และแข็งแกร่งคนนี้คือใครกัน ต้องยอมรับว่าลั่วอี้ในตอนนี้แทบจะทำให้หัวใจของเขาหลุดออกมาข้างนอก แต่เขาก็ทำตัวไม่ถูกอยู่ดี เพราะดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบอีกด้านของลั่วอี้เข้าให้แล้ว เหมือนว่าลั่วอี้นั้นยังมีอีกหลายด้าน ดังนั้นเขาถึงไม่สามารถมองเห็นทุกด้านได้ตลอดเวลา
ลั่วอี้กัดริมฝีปากของเขาเบาๆ พูดด้วยเสียงต่ำและคลุมเครือ “ได้ไหม ของขวัญที่ผมอยากได้ในวัยบรรลุนิติภาวะ พี่จะให้ผมได้ไหม” ในน้ำเสียงนั้นระคนความออดอ้อนเล็กน้อย
ตอนนี้เวินเสี่ยวฮุยอยากเรียกตัวหลัวรุ่ยจอมวางแผนมาช่วยเขาจัดระเบียบสมองที่ยุ่งเหยิงเหลือเกิน ความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายทำให้เขากลายเป็นใบ้ไปแล้ว
ในเวลานี้เองเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้
ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “หรือว่าจะเป็นของขวัญของพี่?”
ในที่สุดเวินเสี่ยวฮุยก็เจอเสียงของตัวเอง “อืม นะ…นายรีบออกไปดูเถอะ”
ลั่วอี้ปล่อยเขาอย่างเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวไปเปิดประตู
เวินเสี่ยวฮุยพิงอยู่ที่ผนัง สูดหายใจเข้าลึกหลายรอบ ใบหน้าของเขายังคงเผาไหม้อยู่
ของขวัญชิ้นนั้นที่ลั่วอี้ต้องการมากที่สุด…
เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงกล้ามเนื้อหน้าอกแน่นๆ และแขนที่แข็งแรงของลั่วอี้ ในใจก็เกิดความคาดหวังเล็กน้อย หรือว่าคืนนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญของเขาจริงๆ?!
ดูเหมือนก็ไม่แย่นี่นา…
รออยู่สักพักก็ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วๆ ดังมาจากหน้าประตู เขาไม่ได้ยินเสียงประหลาดใจของลั่วอี้ เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หรือว่าลั่วอี้จะไม่ชอบจักรยานฟิกซ์เกียร์คันนั้น
ขณะที่เขากำลังจะไปที่ห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องครัวอย่างร้อนรน ไม่สิ ควรจะพูดว่าเสียงวิ่งมากกว่า
เวินเสี่ยวฮุยยังไม่ทันได้ตอบสนอง ลั่วอี้ก็พุ่งเข้ามาในห้องครัวแล้ว ทั้งยังดูโมโหมากอีกด้วย!
“ลั่วอี้ เป็นอะไรไป” เวินเสี่ยวฮุยตกใจกับการแสดงออกที่ค่อนข้างดุร้ายของลั่วอี้
ลั่วอี้พูดอย่างรวดเร็ว “พี่เสี่ยวฮุย ตอนนี้พี่กลับไปก่อนเถอะ”
“…หา?” เวินเสี่ยวฮุยนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
“พี่กลับไปซะ” ลั่วอี้พูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
เวินเสี่ยวฮุยงงงวย ถามคำถามด้วยความตกตะลึง “ทำไมล่ะ วินาทีก่อนนายยังทั้งจูบทั้งกอดซะขนาดนั้น วินาทีต่อมาก็ไล่ฉันไปเหรอ นี่มันหมายความว่ายังไง”
ลั่วอี้ไม่ได้พูดจาไร้สาระกับเขาอีก แต่คว้าแขนของเขาแล้วลากเขาออกไป
หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยระเบิดด้วยความโกรธ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เขาพูดด้วยความโมโห “นายเป็นบ้าหรือไง พวกเราเพิ่งจะ…”
ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ต้องหุบปาก
มีคนสองคนยืนอยู่ที่ประตู ทุกคนสวมเสื้อสูทสีดำ เขาเคยเห็นหนึ่งในนั้นซึ่งก็คือบอดี้การ์ดที่มาส่งของขวัญเมื่อปีที่แล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งเขาเคยเห็นรูปถ่ายซึ่งอยู่บนชั้นสี่ของคฤหาสน์ รูปนั้นที่ถูกลั่วอี้ยิงธนูใส่จนเป็นรูพรุน!
คนคนนั้นก็คือพ่อของลั่วอี้!
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนปวกเปียกทันที
ผู้ชายคนนี้สูงกว่าและสง่างามกว่าที่เห็นในรูปมาก ริมฝีปากเป็นเส้นตรงแม้ไม่ได้เม้มเข้าหากัน ดวงตาเฉียบคมดุจเหยี่ยวราวกับสามารถจ้องทะลุเข้าไปในเนื้อได้ เพียงแค่สัมผัสออร่าของเขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหัวใจได้รับแรงกดดันที่เกินพิกัด
ลั่วอี้จงใจหันตัวเพื่อปิดบังใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์
เวินเสี่ยวฮุยไม่ขัดขืนอีกต่อไป ปล่อยให้ลั่วอี้ลากเขาออกไปด้านนอก
เมื่อเดินผ่านคนคนนั้น เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก้มหน้าลงมามองเขา ซึ่งเขารู้สึกได้เพียงอย่างเดียวคือหวาดหวั่น
ลั่วอี้ลากเวินเสี่ยวฮุยออกไปด้านนอกโดยไม่พูดไม่จา และปิดประตูใส่หน้าเขาเสียงดังปัง
เวินเสี่ยวฮุยมองดูประตูไม้ที่ปิดสนิท ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับคืนมา
เขาเดินลงบันไดด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา เดินออกจากคฤหาสน์ราวกับวิญญาณหลุดลอย
จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ความกดดันในใจจึงค่อยๆ คลายลง
ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน เพียงแค่มองหน้ากันก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความหวาดผวาแล้ว ตอนนี้ลั่วอี้กำลังเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้น…ลั่วอี้จะได้รับอันตรายหรือเปล่า ทำไมคนคนนั้นต้องมาที่นี่ในวันนี้ด้วย มันจะเกี่ยวข้องกับมรดกหรือเปล่า หรือว่าแค่มาเยี่ยมลูกชายเฉยๆ
สมองของเวินเสี่ยวฮุยวุ่นวายสับสน ความอบอุ่นและความหวานชื่นเมื่อครู่ถูกกวาดออกไปจนหมด ท้องฟ้าคล้ายมืดลงทันใด วันเกิดครบรอบสิบแปดปีที่เขากับลั่วอี้รอคอยมาเนิ่นนานพังทลายไม่เป็นท่า
เขาคลำในกระเป๋า มีเพียงมือถือเท่านั้น แม้แต่กระเป๋าสตางค์เขาก็ทิ้งไว้ที่คฤหาสน์ของลั่วอี้ เขาจะกลับไปเอาก็ไม่ได้ ทำได้แค่หยิบมือถือออกมาเพื่อโทรหาหลัวรุ่ยให้มารับเขาและให้เขาไปค้างคืนด้วย เขารู้ว่าแม่น่าจะไปค้างคืนที่อพาร์ตเมนต์ของเอียน อีกอย่างตัวเขาไม่มีกุญแจห้อง กลับไปก็เข้าห้องไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าเมื่อโทรไปหลัวรุ่ยกลับปิดเครื่อง เขาสบถด้วยความโมโห ทำเอาคนที่เดินผ่านไปมาตกใจ
ตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ ไม่ว่าจะเดินกลับห้องหรือเดินไปที่ร้านของหลัวรุ่ยก็ทำให้เขาเหนื่อยตายได้ทั้งนั้น
ไอ้หลัวรุ่ยเฮงซวย ทำไมต้องมาปิดเครื่องในเวลาสำคัญอย่างนี้ด้วยนะ!
เขาเดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เวลานี้ไฟเพิ่งจะส่องสว่างและเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี บนถนนอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างก็มีคนเดินด้วยหรือไม่ก็จ้ำอ้าวด้วยความรีบร้อน พวกเขาจะต้องมีแผนอะไรแน่ๆ คงมีเขาเพียงคนเดียวที่สับสนไม่รู้จะไปที่ไหนดี
เมื่อนึกถึงว่าวันที่เขารอคอยและวางแผนมาแสนนานกลับต้องลงเอยด้วยการที่เขาต้องเดินอยู่บนถนนและไม่สามารถแม้แต่จะนั่งรถประจำทางได้ ประกอบกับความเป็นห่วงลั่วอี้ เขาก็พลันรู้สึกระคายเคืองจมูกทันใด อีกทั้งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ในเวลานี้เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกดูด้วยความคาดหวัง เป็นหลีซั่วที่โทรเข้ามา เขาอดที่จะรู้สึกผิดหวังในใจไม่ได้ แต่ก็คิดว่าสามารถขอความช่วยเหลือให้หลีซั่วไปส่งเขาที่บ้านหลัวรุ่ยก็ได้นี่นา
“ฮัลโหล พี่ใหญ่หลี”
“เสี่ยวฮุย” เสียงของหลีซั่วดังมาจากในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างอึกทึก เมื่อได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นสถานที่ประเภทผับบาร์ เขาหัวเราะแล้วเอ่ย “วันนี้วันเกิดเพื่อนน่ะ มีคนที่มาด้วยกันรู้จักนาย นายอยากแวะมาดื่มสักแก้วสองแก้วไหม”
“อ่อ ใครเหรอครับ”
“ชื่อเฮ่าจื่อน่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยพยายามค้นหาในความทรงจำ ในที่สุดก็จำคนคนนี้ได้ คนคนนี้เป็นคนที่หลัวรุ่ยแนะนำให้เขารู้จักแต่เขาไม่ได้ชอบ
“อ่อ เคยคุยกันน่ะ” เวินเสี่ยวฮุยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงเขาก็ไม่อยากผ่านวันนี้ไปอย่างเปล่าเปลี่ยวแบบนี้ ตอนนี้อารมณ์ของเขาต้องการความครึกครื้น ดังนั้นจึงพูดว่า “ได้ ผมจะไป”
“ฉันจะส่งที่อยู่ให้นาย”
“พี่ใหญ่หลี”
“หืม?”
เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างเกรงใจ “คือว่า…ผมไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์ออกมาจากห้อง เดี๋ยวพอผมนั่งรถไปถึงแล้ว พี่ช่วยจ่ายค่ารถให้ผมหน่อยได้ไหม”
หลีซั่วหัวเราะพรืดออกมา “นายนี่ขี้หลงขี้ลืมจริงๆ รีบมาเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยเรียกรถและรีบไปที่บาร์ทันที
เมื่อมาถึงที่หมายหลีซั่วก็จ่ายค่ารถให้เขา เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างขัดเขิน “น่าขายหน้าจริงๆ เลย”
หลีซั่วขยี้ผมของเขา “วันนี้นายแต่งหน้าสวยจัง จะต้องมีนัดแน่ๆ ทำไมถึงลืมพกกระเป๋าสตางค์มาได้ล่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “อย่าพูดถึงมันเลย เป็นวันที่อธิบายไม่ถูกจริงๆ”
หลีซั่วหัวเราะ “งั้นไม่ต้องพูดก็ได้ เข้ามาดื่มกันเถอะ”
“ไปกัน!” เวินเสี่ยวฮุยพบว่าตัวเองจำเป็นต้องดื่มแก้เซ็งสักสองสามแก้วเพื่อบรรเทาความหดหู่ใจ
“จริงสิ เพื่อนของนายคนนั้น…”
“อ่อ เขาไม่ใช่เพื่อนของผม” เวินเสี่ยวฮุยอธิบาย “ก็แค่เคยดื่มด้วยกันครั้งหนึ่ง จะว่าไปก็เป็นบาร์ที่ผมชวนพี่คุยวันนั้น”
หลีซั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ย “บังเอิญจังเลย”
“นั่นสิ คิดไม่ถึงว่าจะผ่านไปสองปีแล้ว เวลาเดินเร็วเป็นบ้า” เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ “ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นพี่ไม่สนใจผมด้วยซ้ำ”
หลีซั่วกะพริบตา “ใช่เหรอ”
“ใช่สิ ผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ”
หลีซั่วหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้นายก็เลยแก้แค้น”
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกกระอักกระอ่วนทันที เขาไม่ควรเริ่มพูดถึงหัวข้อนี้เลย
หลีซั่วโอบไหล่ของเขา ช่วยเขาหลบคนเมาที่กำลังเดินมา เวินเสี่ยวฮุยบังเอิญได้กลิ่นน้ำหอมของหลีซั่วซึ่งปนมากับกลิ่นแอลกอฮอล์ มันไม่หอมเท่าไรแต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เขา สิ่งที่คนที่เป็นผู้ใหญ่และคนเอาใจใส่อย่างหลีซั่วสามารถให้ได้ดีที่สุดก็คือความรู้สึกปลอดภัยในทุกขณะ
หลีซั่วพาเขาเข้าไปในห้องวีไอพี คนกลุ่มหนึ่งกำลังร้องเพลง เพียงแวบแรกเวินเสี่ยวฮุยก็เห็นเฮ่าจื่อที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่ง เฮ่าจื่อดูอ้วนขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วยังหล่อมาก ดวงตาของเฮ่าจื่อเป็นประกายในวินาทีที่เห็นเขาและเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักทายก่อน
เวินเสี่ยวฮุยจับมือของเขาพร้อมกับยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลย”
เฮ่าจื่อดูเหมือนจะดื่มไปมากแล้ว จึงพูดจาลิ้นคับปาก “วันนั้นฉันเห็นนายในทีวีด้วย ตอนนี้นายกลายเป็นปรมาจารย์ช่างแต่งหน้าไปแล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเสียงดัง “มันเป็นผลพวงจากรายการน่ะ ก็โม้ไปเรื่อย”
“ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้นายสวยและมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าเมื่อก่อน” เฮ่าจื่อมองเขาด้วยความหลงใหล “น่าเสียดายจริงๆ ที่ตอนนั้นฉันไม่ได้ลงแรงตามจีบนาย”
เวินเสี่ยวฮุยยิ้มน้อยๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าเต็มห้องก็ออกจะอึดอัดไม่น้อย
หลีซั่วควงแขนของเวินเสี่ยวฮุยอย่างสุภาพ “มา ทุกคนนั่งลงเถอะ” พูดจบก็ถือโอกาสพาเวินเสี่ยวฮุยมานั่งข้างตัวเอง
เฮ่าจื่อชะงักไป มีความไม่พอใจวาบผ่านดวงตา
หลีซั่วแนะนำเพื่อนของตัวเองให้เขารู้จัก จากนั้นทั้งสองคนก็หามุมสงบๆ เพื่อพูดคุยและดื่มไวน์
“ทำไม เฮ่าจื่อจีบนายเหรอ”
“ก็ไม่เชิงมั้งครับ หลังจากเจอหน้ากันเขาก็นัดผมสองครั้ง ผมได้ยินเพื่อนบอกว่าเขาค่อนข้างมั่วก็เลยไม่ได้ออกไปกับเขา”
หลีซั่วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอนว่านายคู่ควรกับคนที่ดีกว่านี้”
เวินเสี่ยวฮุยถูกชมจนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่พอนึกถึงลั่วอี้อารมณ์ก็ดิ่งวูบทันที
หลีซั่วจับอาการของเขาได้ “เป็นอะไรไป”
เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า
“ให้ฉันเดานะ วันนี้นายออกมาเดตแต่ถูกเทใช่ไหม”
เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างจนปัญญา “พี่ใหญ่หลี เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะที่จะพูดออกมาหรอก พี่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้หรือไง”
หลีซั่วยิ้มพลางเอ่ย “ขอโทษที แต่พอฉันคิดว่านายถูกเท ฉันก็รู้สึกโกรธขึ้นมาหน่อยๆ สู้เดตกับฉันตั้งแต่แรกยังจะดีซะกว่า”
เวินเสี่ยวฮุยหมุนแก้วไวน์ไปมาแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว หงุดหงิด พวกเรามาดื่มกันเถอะ”
หลีซั่วคว้าข้อมือของเขา “ไม่ต้องรีบดื่มขนาดนั้น นายอยากเมามากหรือไง”
เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง หดมือกลับมา เงียบงันไม่พูดไม่จา
หลีซั่วพูด “คนที่นัดเดตนายเป็นคนแบบไหนเหรอ เขาดีมากไหม”
เวินเสี่ยวฮุยยิ้มอย่างขมขื่น “เหมือนจะเทียบพี่ไม่ได้”
หลีซั่วเลิกคิ้ว “นายหมายความว่าเขาไม่ดีเท่าฉัน แต่นายกลับปฏิเสธฉัน นี่ฟังๆ ดูแล้วเหมือนว่าคนคนนั้นจะเก่งกว่าฉันอีกนะ แถมยังทำให้หดหู่ใจยิ่งกว่าด้วย”
เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
หลีซั่วถอนหายใจ “แต่นายชอบเขาใช่ไหม”
เวินเสี่ยวฮุยมองหลีซั่วด้วยความสับสน “บางครั้งผมก็แยกไม่ออกว่าผมชอบเขาจริงหรือเปล่า หรือว่าความชอบคืออะไรกันแน่…พี่ใหญ่หลี ผมมันไร้เหตุผลเกินไปหรือเปล่า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.