X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 47 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย และการกระทำชำเรา

การล่อลวง การลักพาตัว การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 47

 

หลีซั่วขยี้ผมของเขา “นายคิดมากเกินไปแล้ว ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดอยู่แล้ว ถ้าความรู้สึกสามารถชั่งเป็นน้ำหนักหรือวัดความยาวได้ ในโลกใบนี้ก็คงไม่มีสุขทุกข์ของการพบเจอและจากลากันแล้ว ไม่มีคนไหนที่สามารถจัดการเรื่องความรู้สึกได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นถ้านายรู้สึกสับสนก็เป็นเรื่องปกติ”

เวินเสี่ยวฮุยฝืนยิ้ม “พี่เข้าใจปลอบคนดีจังเลย”

หลีซั่วกล่าวเยาะเย้ยตัวเอง “ตอนนี้ฉันก็ทำได้แค่ปลอบนายเท่านั้น”

เวินเสี่ยวฮุยชูแก้วไวน์ขึ้น “ดื่มให้พี่แก้วหนึ่งเพื่อขอบคุณสำหรับคำพูดพวกนี้”

หลีซั่วชูแก้วขึ้นชนกับแก้วของเขา

“พี่ใหญ่หลีจะร้องเพลงหรือเปล่า” เวินเสี่ยวฮุยดื่มไปหลายแก้วก็มีชีวิตชีวามากขึ้น

หลีซั่วยิ้มแล้วเอ่ย “นายไปเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินไปเลือกเพลง เมื่อเลือกเสร็จแล้วหันกลับไปมองก็พบว่าที่นั่งของตัวเองถูกเด็กหนุ่มอีกคนครอบครองไปแล้ว และเด็กหนุ่มคนนั้นก็กำลังพูดคุยกับหลีซั่วอย่างสนิทสนม คนอย่างหลีซั่วไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อยู่ท่ามกลางความสนใจของทุกคน แรงดึงดูดของเขามีผลกับทุกเพศทุกวัย คิดๆ แล้วก็น่าฉงน เขาปฏิเสธผู้ชายแบบนี้ได้อย่างไรกัน…

เวินเสี่ยวฮุยเลือกเพลงสากลที่มีจังหวะสนุกสนาน เจ้าของวันเกิดเชิญชวนให้ทุกคนมาเต้นด้วยกัน ฉะนั้นเวินเสี่ยวฮุยจึงเพิ่มเสียงถึงระดับสูงสุด เดินไปที่หน้าไมโครโฟนแล้วทั้งกระโดดทั้งร้องเพลง คนสิบกว่าคนในห้องวีไอพีก็ลุกขึ้นยืนและบิดตัวไปมาอย่างเมามัน

ไม่ช้าก็มีเกย์น้อยหลายคนห้อมล้อมหลีซั่ว รวมถึงเจ้าของวันเกิดในวันนี้ด้วย บางทีอาจเป็นเพราะดื่มมากเกินไปจึงไม่ปิดบังอาการอิจฉาริษยาเลย

ตอนนี้เฮ่าจื่อเดินเข้ามา โน้มตัวเข้ามาหาเขา คว้าไมโครโฟนมาแย่งร้องเพลงสองสามประโยค ทั้งสองมองตาแล้วยิ้มให้กัน เมื่อเพลงมาถึงจุดไคลแมกซ์เกือบทุกคนก็เริ่มแหกปาก บรรยากาศร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อมาถึงช่วงท้ายของเพลงทุกคนก็เต้นอย่างเอาเป็นเอาตาย บวกกับดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ทุกคนก็เต้นกันสุดเหวี่ยงและเริ่มหัวเราะเสียงดังเหมือนกลุ่มคนสติไม่ดี

เวินเสี่ยวฮุยก็หัวเราะตามจนดวงตาพร่ามัว วันนี้เป็นวันเกิดของลั่วอี้ แต่เขากลับมาร่วมงานวันเกิดของคนแปลกหน้า เขาตั้งใจเตรียมของขวัญล่วงหน้าถึงหนึ่งสัปดาห์ ทำเค้กในห้องครัวของหลัวรุ่ยเสียไปหลายครั้ง วันนี้ก็ตื่นมาแต่งตัวแต่เช้า เพียงแค่หวังว่าจะมอบวันเกิดที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลั่วอี้ และมอบความทรงจำแสนงดงามให้กับตัวเอง

ผลสุดท้ายล่ะ?! ทำไมถึงเกิดเรื่องน่าตลกแบบนี้ขึ้นได้ นี่มันไร้สาระสุดๆ ไปเลย!

ตอนนี้ลั่วอี้ทำอะไรอยู่นะ ฟ้าก็มืดแล้ว คนที่ดูไร้ความปรานีคนนั้นจะฉลองวันเกิดกับลั่วอี้หรือเปล่า ตอนนี้ลั่วอี้จะโดดเดี่ยวและโมโหมากหรือเปล่า เขาไม่ควรออกมาเลย เขาควรจะรออยู่ที่หน้าคฤหาสน์ รอให้รถของคนคนนั้นจากไปแล้วเขาค่อยกลับเข้าไปอีกครั้ง เขาจะหนีมายังสถานที่ที่แปลกประหลาดนี้ทำไมกัน

ขณะนั้นเองก็มีมือมือหนึ่งมาโอบเอวของเขา

เวินเสี่ยวฮุยหันกลับไปมองด้วยความงุนงง ใบหน้าของเฮ่าจื่ออยู่ใกล้เขามาก อีกฝ่ายพูดขึ้นที่ข้างหูของเขา

“นายแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว ให้ฉันไปส่งนายกลับบ้านไหม”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางโบกๆ มือ “ขอบคุณ ฉันไม่เป็นไร” เขาต้องการกลับไปที่โซฟา

ทว่าเฮ่าจื่อกลับไม่ปล่อยมือ ปลายจมูกของอีกฝ่ายอยู่เหนือศีรษะของเขา ก่อนพูดอย่างคลุมเครือ “ตัวของนายหอมจังเลย”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย ความประทับใจแรกที่คนคนนี้ทิ้งไว้ให้เขาคือเป็นคนเหลาะแหละ และตอนนี้เขาก็ยังคงมีพฤติกรรมอย่างนั้น โชคดีที่เขาไม่เสียเวลาคบหากับอีกฝ่าย เขาผลักเฮ่าจื่อออกอย่างไม่เกรงใจแล้วเดินโซเซไปหาหลีซั่ว

เมื่อเดินมาถึงหลีซั่ว เขาก็เหยียบขวดไวน์ที่อยู่บนพื้นและลื่นไถลเข้าหาหลีซั่วทันที

หลีซั่วยื่นมือมารับเขา

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเสียงดัง หลีซั่วก็หัวเราะตามเช่นกัน “ดูเหมือนนายจะดื่มต่อไปไม่ไหวแล้วนะ”

“ไม่เป็นไร คอผมแข็งใช้ได้ แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก” เวินเสี่ยวฮุยนั่งตัวตรง คิดที่จะไปเอาขวดไวน์

หลีซั่วคว้าแขนของเขา “เสี่ยวฮุย การดื่มก็เพื่อความสนุกสนาน ฉันไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการดื่มเพื่อคลายความกังวลเพราะมันแก้ปัญหาไม่ได้ แถมยังจะทำเรื่องโง่ๆ ได้ง่ายอีก”

“แต่ว่าผมอยากดื่มจริงๆ นะ” เวินเสี่ยวฮุยมองเขาอย่างไร้เดียงสา

หลีซั่วดึงเขาขึ้นมาแล้วลากออกไปจากห้องวีไอพี เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกได้ถึงลูกศรน้อยๆ แห่งความริษยาที่ปักลงกลางกระดูกสันหลังของเขาดังฉึกๆ

ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก ช่วงค่ำของฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงนั้นหนาวมาก ทันทีที่มีสายลมโชยมาเวินเสี่ยวฮุยก็ตัวสั่นและสร่างเมาไปไม่น้อย

หลีซั่วมองเขา “ถ้านายรู้สึกไม่สบายใจก็คุยกับฉันเถอะ อย่าทำเรื่องโง่ๆ”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจพลางเอ่ย “พี่ใหญ่หลี ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจชีวิตแบบพี่ อีกอย่างผมก็ไม่เป็นอะไร ก็แค่ถูกคนเทเท่านั้น แถมยังไม่ใช่ความผิดของเขาด้วย ผมก็แค่เหงานิดหน่อย ไม่มีอย่างอื่นเลย จริงๆ นะ”

“แต่ฉันเห็นว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงบนแปลงดอกไม้ ใช้เท้าซ้ายเตะเท้าขวา ใช้เท้าขวาเตะเท้าซ้าย เล่นกับตัวเองอยู่แบบนี้

แน่นอนว่าเรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่เขาไม่สามารถระบายกับหลีซั่วได้ หรือแม้กระทั่งหลายๆ เรื่อง เขาก็ไม่สามารถระบายกับหลัวรุ่ยได้ เขาเก็บงำความลับไว้ในใจมากมายซึ่งมันก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้ที่ได้เจอกับ ‘คนคนนั้น’ เขาก็รู้สึกว่าความลับเหล่านี้ทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาเคยนึกว่าสัญญาฉบับนั้นรวมถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเขากับลั่วอี้จะทำให้พวกเขามีกำแพงต่อกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น

หลีซั่วนั่งลงข้างเขา ก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวฮุย ฉันเปลี่ยนใจนายไม่ได้ แต่ฉันยังต้องพูดกับนายอย่างแฟร์ๆ ความสัมพันธ์ไหนก็ตามที่ทำให้นายรู้สึกไม่มีความสุขแสดงว่ามันไม่ใช่”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะอย่างขมขื่น เขาจะบอกหลีซั่วอย่างไรดี เขากับลั่วอี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ

เขาพูด “พี่ใหญ่หลี เรื่องนี้ผมรู้ดี ขอบคุณมาก”

หลีซั่วหัวเราะ “นายอยากดื่มมากจริงๆ เหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า

“ก็ได้ งั้นวันนี้จะให้นายดื่มให้เต็มที่”

“พี่ไม่รังเกียจว่าผมจะทำเรื่องโง่ๆ แล้วเหรอ”

“ถ้านายทำเรื่องโง่ๆ ฉันจะจัดการปัญหาที่ตามมาเอง ฉันจะส่งนายถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย” หลีซั่วลุกขึ้นยืนและดึงเขาให้ลุกขึ้นเช่นกัน “ไปกันเถอะ”

เมื่อมองดูรอยยิ้มที่อ่อนโยนและหล่อเหลาของหลีซั่ว ความอบอุ่นก็ก่อตัวขึ้นในใจของเวินเสี่ยวฮุย ความรักของหลีซั่วเหมือนน้ำพุที่มีอุณหภูมิคงที่ ไม่เสียดแทงเหมือนน้ำพุเย็นและไม่ร้อนแรงเหมือนน้ำพุร้อน หลีซั่วมักจะใจเย็น มีเหตุผล มีไหวพริบ และปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเสมอ เขาให้ความเคารพและอิสระสูงสุดแก่ผู้อื่น พยายามอย่างยิ่งที่จะขจัดความหวาดระแวงและความเห็นแก่ตัวอันเกิดจากความปรารถนาส่วนตัว นี่คือวิธีที่หลีซั่วปฏิบัติต่อความรัก ไม่ร้อนไม่หนาว ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ แต่น่าเสียดายที่ผู้คนมักโหยหาความอ่อนโยนและความสงบหลังจากที่พวกเขาได้ไล่ตามความตื่นเต้นและความหลงใหลแล้ว การคบหากับคนอย่างหลีซั่วนี้ พูดเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือเขาอาจจะดีกับคุณมาก ทำให้คุณจับผิดไม่ได้ แต่คุณก็ไม่อาจรู้สึกได้ว่าเขารักคุณ

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่อเมริกา บางทีอาจเป็นเพราะมีหลีซั่วให้เปรียบเทียบ เวินเสี่ยวฮุยจึงรู้สึกว่าการสารภาพของลั่วอี้ทำให้เขาใจเต้นเป็นพิเศษ

เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงห้องวีไอพี บางคนมองพวกเขาด้วยสายตาที่คลุมเครือเป็นพิเศษ บางคนก็เปี่ยมไปด้วยความริษยา

เวินเสี่ยวฮุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ในเวลานี้ใครก็ตามที่หาเรื่องเขาจะต้องรนหาที่ตายแน่ๆ

หลีซั่วยกไวน์มาวางลงตรงหน้าเขา “มา ฉันดื่มเป็นเพื่อนนาย”

เวินเสี่ยวฮุยชนแก้วกับเขา ดื่มอย่างเต็มคราบ

ดื่มไปได้สักพักหลีซั่วก็ถูกเจ้าของวันเกิดเรียกตัวไป เวินเสี่ยวฮุยได้ยินไม่ถนัดว่าเขาตามหาหลีซั่วทำไมและเขาก็ขี้คร้านจะสนใจ ตอนนี้ในสมองของเขามีเพียงไวน์เท่านั้น ดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าราวกับน้ำเปล่า

ทันใดนั้นเองก็มีคนมานั่งข้างเขาอีกครั้ง เขาหรี่ตามอง ดูเหมือนจะไม่ใช่หลีซั่วแต่เป็นเฮ่าจื่อ ทำไมคนคนนี้ถึงได้น่ารำคาญแบบนี้นะ

เฮ่าจื่อยื่นหน้าเข้ามาด้วยความมึนเมา “ฉันดื่มเป็นเพื่อนนายดีไหม”

เวินเสี่ยวฮุยไม่ได้สนใจเขา ดื่มไวน์ตามลำพัง

“เจ้าหลีซั่วนั่นมีอะไรดี ทุกคนถึงได้หมุนตัวรอบเขา…” เฮ่าจื่อพูดเยาะเย้ย “เสแสร้ง…เล่นละครเก่ง”

เวินเสี่ยวฮุยไม่มีเรี่ยวแรงจะเย้ยหยัน ไม่อย่างนั้นเฮ่าจื่อได้วิ่งหางจุกตูดกลับไปแน่

เฮ่าจื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรก็ยิ่งได้คืบจะเอาศอก สองมือโอบเอวของเวินเสี่ยวฮุย ยิ้มร่าพลางพูด “เอวของนายนุ่มนิ่มจริงๆ เคยลองท่าพิเศษไหม”

เวินเสี่ยวฮุยชำเลืองมองเขา “ไม่เคยลอง นายจะสอนฉันเหรอ”

เฮ่าจื่อพยักหน้ารัวๆ “ไม่มีปัญหาเลย”

“ถอดกางเกงก่อน ฉันจะดูว่าของนายใหญ่แค่ไหน ถ้าคุณสมบัติผ่านแล้วค่อยว่ากัน”

เฮ่าจื่อหัวเราะเสียงดัง หลังจากหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่าเวินเสี่ยวฮุยกำลังเยาะเย้ยเขา แววตาจึงเปลี่ยนไปทันที

เวินเสี่ยวฮุยผลักเขา “พี่ชาย ฉันขอดื่มเงียบๆ คนเดียวได้ไหม”

เฮ่าจื่อพูดจาลิ้นคับปาก “ไม่เห็นต้องหยิ่งขนาดนี้ก็ได้นี่นา ในวงการนี้นอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครน่าเลือกหรอกมั้ง นัดนายตั้งหลายครั้งก็ไม่ออกมา แต่งหน้าร่านขนาดนี้จะแกล้งทำตัวจริงจังไปเพื่อ?”

ไฟชั่วร้ายระเบิดขึ้นในใจของเวินเสี่ยวฮุย “ฉันก็ไม่ได้ร่านให้นายดูสักหน่อย นายมีปัญญาแม่งก็ไปฟ้องฉันสิ”

เสียงของเวินเสี่ยวฮุยไม่เบาเลย แม้ในห้องวีไอพีจะเสียงดังแต่ก็มีคนข้างๆ ได้ยินแล้ว ทั้งยังส่งเสียงโห่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สีหน้าของเฮ่าจื่อเปลี่ยนไปไม่น่ามองอย่างที่สุด หน้าอกกระเพื่อมรุนแรง

เขาพูดอย่างเย็นชา “งั้นนายร่านโชว์ตูดให้ใครดูล่ะ หลีซั่ว? นายมันสำส่อน…”

ทันใดนั้นไหล่ของเฮ่าจื่อก็ถูกบีบ เขาเจ็บจนตัวสั่น เมื่อหันไปมองก็เห็นหลีซั่วกำลังยืนอยู่ด้านหลัง สีหน้าเย็นเยียบ

“หลีกทางหน่อย นายกำลังนั่งที่ของฉัน”

เฮ่าจื่อปัดมือของเขาออก ลุกขึ้นพรวด ทั้งสองคนสูงพอๆ กัน บรรยากาศตึงเครียดทันที

เจ้าของวันเกิดรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “เฮ่าจื่อ เฮ่าจื่อ นายดื่มเยอะแล้ว มากินของว่างมื้อดึกกัน” เขาดึงเฮ่าจื่อ พยายามลากออกไปอีกทาง

เฮ่าจื่อสะบัดมือของอีกฝ่าย ชี้ไปที่หลีซั่ว ก่อนพูดจาไม่ชัดเจน “นายคิดจะทำอะไร”

“ฉันแค่อยากกลับไปนั่งที่ของฉัน” แววตาของหลีซั่วที่คมราวกับใบมีดจ้องเฮ่าจื่อเขม็ง

ขณะที่เฮ่าจื่อกำลังคิดหาวิธีหนีไปจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนนี้ เวินเสี่ยวฮุยก็ลุกขึ้นยืนแล้วลากตัวหลีซั่วออกไป

“พี่ใหญ่หลี พวกเรา…กลับ”

หลีซั่วกล่าวขอโทษเจ้าของวันเกิดแล้วพาเวินเสี่ยวฮุยออกไป

ทันทีที่เวินเสี่ยวฮุยเดินออกจากบาร์มาก็ขาอ่อนล้มลงไปกับพื้น

“เสี่ยวฮุย ให้ฉันไปส่งนายที่โรงแรมเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะฮี่ๆ สองที ดึงขวดไวน์ออกมาจากด้านหลัง “ผมมีอีกขวดหนึ่ง ให้ผมดื่มให้หมดก่อน”

หลีซั่วขมวดคิ้ว “เสี่ยวฮุย นายจะดื่มอีกไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้นายจะทรมานมากนะ”

“ทรมานก็…ทรมานสิ ถึงยังไง…ถึงยังไงก็ไม่ได้ไปทำงาน” เวินเสี่ยวฮุยยกขวดขึ้นจรดปากแล้วกรอกไวน์เข้าปากตัวเองเสียงดังเอื๊อกๆๆ

หลีซั่วแย่งขวดไวน์มาแล้วดื่มไวน์ที่เหลือ “ดูสิ ตอนนี้หมดแล้ว นายควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยแย่งขวดไวน์คืนมา คว่ำขวดแล้วเขย่า เมื่อเห็นว่ามันหมดแล้วจริงๆ ก็ขว้างขวดทิ้งบนถนนด้วยความโมโห

“ให้ตายเถอะ แต่ละคนแม่งจงใจหาเรื่องฉันชัดๆ”

หลีซั่วถอนหายใจ

“ไอ้โง่นั่นมันเป็นใคร บอกว่าฉันร่าน ฉันไปขวางทางเขาหรือไง ฉันยังเป็นหนุ่มพรหมจารีอยู่นะโว้ย!”

หลีซั่วหัวเราะพรืดออกมา

เวินเสี่ยวฮุยสูดจมูก ก่อนพูดด้วยความหดหู่ “ให้ตายเถอะ อายุปูนนี้…ยังเป็นพรหมจารี ทำไมฉันถึงได้ขี้ขลาดแบบนี้…” เขาเรอออกมาอย่างแรง รู้สึกว่าโลกพลิกกลับ

“เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนได้แล้ว ไวน์ที่นายดื่มมันออกฤทธิ์ช้า ตอนนี้นายยังเดินได้ก้าวสองก้าว อีกสักพักนายก็จะเป็นอัมพาต นายให้ความร่วมมือฉันหน่อยเถอะ ให้ฉันออกแรงน้อยหน่อย โอเคไหม”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้าด้วยความงุนงง

หลีซั่วพยุงเขาขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่ง และพาเขาไปส่งที่โรงแรมใกล้เคียง

หลีซั่วพูดถูก เมื่อเวินเสี่ยวฮุยมาถึงโรงแรมก็แทบจะเดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งร่างล้มลง หลีซั่วกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องหามเขาขึ้นไปชั้นบน

เวินเสี่ยวฮุยทิ้งตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ รู้สึกว่าเพดานกำลังหมุนติ้ว เสียงของหลีซั่วเหมือนดังมาจากสถานที่อันไกลโพ้น

“นายนอนให้เต็มที่ ฉันจะไปซื้อยาแก้เมามาให้”

“กี่โมง…” น้ำเสียงของเวินเสี่ยวฮุยแหบแห้ง

“อะไร”

“กี่โมงแล้ว”

“เที่ยงคืนครึ่ง”

“…ผ่านไปแล้ว” เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างผิดหวัง

“อะไรผ่านไปแล้ว”

“วันเกิดของเขา…ผ่านไปแล้ว…” เสียงของเวินเสี่ยวฮุยเบาจนแทบไม่ได้ยิน

หลีซั่วได้ยินไม่ถนัดจึงถือว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจาไร้สาระ ขณะที่เขากำลังจะออกไปก็ได้ยินเสียงมือถือของเวินเสี่ยวฮุยดังขึ้น คนที่โทรมาเวลานี้ส่วนมากแล้วเป็นคนสนิท เขาหยิบมือถือของเวินเสี่ยวฮุยออกมา เมื่อเห็นว่าคนที่ติดต่อมาคือลั่วอี้ เขาก็รับสายโดยไม่ต้องคิด

“ฮัลโหล?”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “หลีซั่ว”

“ฉันเอง ที่แท้นายก็ยังจำได้”

“พี่ยังอยู่กับเขาอีกเหรอ…พวกพี่อยู่ที่ไหน”

“ยังอยู่เหรอ” หลีซั่วรู้สึกว่าคำนี้ถูกใช้อย่างไม่เหมาะสมเท่าไร แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก “อยู่ที่โรงแรม XX เวินเสี่ยวฮุยดื่มหนักมาก ฉันกำลังดูแลเขา”

“ผมจะไปรับเขา” ลั่วอี้พูดอย่างรวดเร็ว

หลีซั่วชะงักไปเล็กน้อย “อ้อ ได้สิ” ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปหรือเปล่า เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของลั่วอี้ออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง

“เอาหมายเลขห้องของเขาให้ผม ทิ้งคีย์การ์ดไว้ที่รีเซพชั่นแล้วทิ้งชื่อผมไว้ ส่วนพี่ก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่รบกวนพี่แล้ว” ลั่วอี้พูดอย่างเย็นชา

หลีซั่วขมวดคิ้ว เขานวดคลึงหว่างคิ้ว นึกว่าเพราะตัวเองดื่มไวน์ความสามารถในการคิดจึงลดลง อย่างไรเสียตอนนี้ก็อย่าไปวิเคราะห์ความผิดปกติในน้ำเสียงของลั่วอี้เลย

เขาพูดว่า “ฉันจะอยู่ดูแลเขาที่นี่จนกว่านายจะมา อีกอย่างตอนแรกฉันกะจะออกไปซื้อยาแก้เมาให้เขา นายก็ซื้อระหว่างทางมาก็แล้วกัน”

ลั่วอี้วางสาย

หลีซั่วเหม่อมองมือถือครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ ความง่วงและความเหนื่อยล้ากัดกินจิตสำนึกของเขา ห้องที่เขาเปิดสำหรับตัวเองนั้นอยู่ชั้นเดียวกัน เขาตัดสินใจรอลั่วอี้ก่อนแล้วค่อยไปนอน

เขาวางมือถือบนหัวเตียง เอนตัวพักผ่อนข้างเวินเสี่ยวฮุย เดิมทีเตียงหลังนั้นใหญ่มาก ทว่าเวินเสี่ยวฮุยพลิกตัวระหว่างหลับแล้วกลิ้งมาอยู่ข้างกายเขาพอดี เขาใช้ปลายนิ้วปัดหน้าม้าของเวินเสี่ยวฮุยพลางมองใบหน้าที่หลับใหลเหมือนเด็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก เขาจูบลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

“หลับให้เต็มที่เถอะ”

หลังจากงีบหลับอย่างเบลอๆ ไปสักพัก กริ่งประตูห้องก็ดังขึ้น หลีซั่วฝืนลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตู

ลั่วอี้ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมบรรยายกาศอันเยือกเย็น จ้องเขาตาไม่กะพริบ

“อ้อ สวัสดี” หลีซั่วกำลังจะเบี่ยงตัวให้ลั่วอี้เข้ามา ทว่าลั่วอี้กลับก้าวเข้าไปข้างในแล้ว และไม่รู้ว่าจงใจกระแทกไหล่ของหลีซั่วด้วยหรือเปล่า

หลีซั่วพิงอยู่ที่กรอบประตู เงยคอขึ้น นวดคลึงขมับที่ปวดเมื่อย

ลั่วอี้เดินเข้าไปในห้องนอน เห็นเวินเสี่ยวฮุยนอนขดตัวอยู่บนเตียง ผ้าปูที่นอนสีขาวนั้นมีรอยยับย่น เห็นได้ชัดว่าเหมือนมีคนสองคนเคยนอนที่ตรงนั้นมาก่อน เขาหรี่ตาลง

หลีซั่วหาว “งั้นนายก็ดูแลเขาเถอะ ฉันอยู่ที่ห้อง 1805 มีอะไรก็ไปหาฉันได้”

ลั่วอี้ไม่ได้หันกลับมา ไม่อย่างนั้นหลีซั่วก็จะได้เห็นดวงตาอาบยาพิษคู่นั้น

หลีซั่วเปิดประตูและจากไปแล้ว

ลั่วอี้ถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกแล้วนั่งลงข้างเตียง มองเวินเสี่ยวฮุยเงียบๆ

เวินเสี่ยวฮุยพึมพำ ละเมอถ้อยคำที่คลุมเครือ ดูเหมือนหลับไม่สบายเท่าไร

ลั่วอี้ลูบแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน พูดเสียงเบา “พี่เสี่ยวฮุย รีบลุกขึ้นมากินยาแก้เมาเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยพึมพำเสียงหนึ่งแล้วพลิกตัวไปกอดเอวของลั่วอี้

ลั่วอี้ก้มหน้าลงจูบแก้มของเขา “ลุกขึ้นมา กินยาแล้วค่อยนอน” ลั่วอี้ปัดหน้าม้าของเวินเสี่ยวฮุยเพื่อเช็ดเหงื่อของเขา

เวินเสี่ยวฮุยลืมตาที่พร่ามัวของเขา อันที่จริงเขามองเห็นอะไรไม่ถนัดเลย โคมไฟสลัวที่ติดผนังสะท้อนเพียงเงาจางๆ เขาอ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“พี่ใหญ่หลี…”

ร่างกายของลั่วอี้แข็งค้างทันใด เขาพูดด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “พี่…ว่าอะไรนะ”

“พี่ใหญ่หลี” เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยเสียงที่เบามาก “ยังจะดื่มอีกไหม”

ลั่วอี้กำหมัดแน่น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปดูดุร้ายเล็กน้อย เขาโน้มตัวลงจูบริมฝีปากของเวินเสี่ยวฮุยอย่างแรง พร้อมกับบดเบียดอย่างบีบบังคับ

สมองของเวินเสี่ยวฮุยขาดออกซิเจนอยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกกระหน่ำจูบจนหายใจไม่ออก เขาจับไหล่ของลั่วอี้โดยไม่รู้ตัว แล้วพูดอย่างคลุมเครือ “พี่ใหญ่หลี…อย่า…”

ลั่วอี้โมโห กัดริมฝีปากของเวินเสี่ยวฮุย ก่อนคำรามเสียงต่ำ “พี่ดูให้ดีว่าผมเป็นใคร!”

แม้การกัดนี้จะไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็สร้างความเจ็บปวดจนทำให้เวินเสี่ยวฮุยตัวสั่น เขาพยายามลืมตาขึ้น หลังจากหลุดโฟกัสไปสี่ถึงห้าวินาที เขาจึงพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

“…ลั่วอี้?”

ลั่วอี้พูดเสียงต่ำ “ผมเอง ไม่ใช่พี่ใหญ่หลีของพี่” พอคิดว่าเมื่อครู่หลีซั่วอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าได้พูดอะไรหรือทำอะไรกับเวินเสี่ยวฮุยบ้าง เขาก็ไม่สามารถกลืนความหึงหวงในหัวใจลงไปได้

“ลั่วอี้เหรอ…” เวินเสี่ยวฮุยพยายามยื่นมือออกไปคว้าคอของเขา พูดกระซิบ “นายไม่เป็นไรนะ”

ลั่วอี้อดไม่ได้ที่จะโอบร่างบอบบางของเวินเสี่ยวฮุยไว้ในอ้อมกอดของตัวเองด้วยร่างกายอันอบอุ่นและชวนฝันนี้

“ลั่วอี้ ลั่วอี้ ลั่วอี้” เวินเสี่ยวฮุยเรียกเขาติดต่อกันหลายครั้ง น้ำเสียงสะอื้นไห้เล็กน้อย “นายไม่เป็นไรนะ”

ลั่วอี้รู้สึกปวดใจ ลูบหลังของเขาอย่างอ่อนโยน “ผมไม่เป็นไร”

“ลั่วอี้ นายไม่เป็นไรนะ ลั่วอี้” เวินเสี่ยวฮุยกล่าวย้ำประโยคนี้ จากนั้นก็สะอื้นเบาๆ

ลั่วอี้จูบดวงตาที่เปียกชื้นและแก้มอันอบอุ่นของเขา จากนั้นก็จูบริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้น

“ผมไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร”

เวินเสี่ยวฮุยคว้าคอของเขาแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป เวินเสี่ยวฮุยยอมให้ลั่วอี้บุกรุกเข้าไปด้วยลมหายใจอันร้อนแรง ลั่วอี้รู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เลือดก็ดูเหมือนจะพลุ่งพล่าน ความปรารถนาที่ไร้คำพูดทำให้สมองของเขาตื่นตัว เขาลิ้มรสริมฝีปากของเวินเสี่ยวฮุยอย่างกระตือรือร้นและบ้าคลั่งในขณะที่ถอดสิ่งกีดขวางบนร่างกายของอีกฝ่ายออก

เวินเสี่ยวฮุยโอบรอบคอของลั่วอี้ นิ้วทั้งห้าของเขาเลื่อนไปมาระหว่างผมหนาๆ ของอีกฝ่าย จูบอันหนักหน่วงได้ขจัดสติสัมปชัญญะทั้งหมดของเขาออกไป มือของลั่วอี้ที่ลูบไล้อยู่บนเรือนร่างของเขาก็ยิ่งทำให้เขาราวกับลุกเป็นไฟ

“ลั่วอี้…”

ลั่วอี้แทบรอไม่ไหวที่จะปลดปล่อยความกระตือรือร้นของเขาออกมา เช่นเดียวกับความปรารถนาที่เขาพูดในตอนฟ้าสว่างว่าของขวัญที่เขาต้องการมากที่สุดนั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว ในอ้อมแขนของเขา

ทันทีที่ความปรารถนานี้เกิดขึ้นก็ไม่อาจดับลง และมันได้กวาดล้างสติสัมปชัญญะทั้งหมดของพวกเขาไปอย่างง่ายดาย

ลั่วอี้จูบและลูบไล้เวินเสี่ยวฮุย ทิ้งรอยของตัวเองไว้บนร่างกายของอีกฝ่าย เวินเสี่ยวฮุยพยายามดิ้นรนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ในที่สุดก็ตกอยู่ในกระแสน้ำวนแห่งความสับสน

ขณะที่ลั่วอี้กำลังรุกล้ำอย่างรุนแรงอยู่นั้น เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนปลาที่ถูกโยนขึ้นไปบนฝั่ง ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลั่วอี้

ร่างกายอันแข็งแกร่งและอ่อนวัยของลั่วอี้มีพลังแรงระเบิดอย่างน่าเกรงขาม เขาทุ่มความปรารถนาลงบนตัวของเวินเสี่ยวฮุยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งเวินเสี่ยวฮุยสับสน น้ำเสียงแหบแห้ง และดวงตาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกหนา

มันเป็นคืนที่ยาวนานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่าลั่วอี้รอวันนี้มานานแล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีทางจบลงง่ายๆ

ท้ายที่สุดเสียงของเวินเสี่ยวฮุยก็กลายเป็นเสียงสะอื้นแหบแห้ง ทำได้เพียงขยับขึ้นๆ ลงๆ ไปตามการเคลื่อนไหวของลั่วอี้…

ส่วนปฏิกิริยาที่ลั่วอี้มีต่อเขาคือการบุกรุกราวกับระลอกคลื่นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสองคนนอนซบกันและกันจนกระทั่งฟ้าสาง

ลั่วอี้ตื่นขึ้นด้วยเสียงมือถือของตัวเอง เขารับสาย เสียงแหบแห้งดังอยู่ในลำคอ “ว่ามา”

ลั่วอี้เงียบเพื่อฟังจนจบแล้วพูด “ฉันจะเข้าไป”

เมื่อวางมือถือลงลั่วอี้พยายามที่จะขยับแขนอีกข้างแต่ก็พบว่าแขนข้างนั้นถูกเวินเสี่ยวฮุยหนุนต่างหมอนมาทั้งคืนและตอนนี้มันชาไปเรียบร้อยแล้ว เขายกศีรษะของเวินเสี่ยวฮุยขึ้นเบาๆ แล้วดึงแขนกลับมา จากนั้นก็ชื่นชมใบหน้ายามหลับใหลที่สงบนิ่งของเวินเสี่ยวฮุยเงียบๆ

ตาของเวินเสี่ยวฮุยบวมเล็กน้อยเพราะเมื่อวานร้องไห้ จมูกก็แดง ริมฝีปากยิ่งถูกเขาจูบจนบวมแดง ไหล่ที่เผยออกมาจากผ้าห่มครึ่งหนึ่งนั้นกลมมนและขาวผ่อง ปอยผมยุ่งๆ ร่วงปรกใบหน้าสบายๆ ดูง่วงงุนและเซ็กซี่

สายตาของลั่วอี้อ่อนโยนจนแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำ เขาสัมผัสหน้าผาก แก้ม และกระดูกไหปลาร้าแผ่วเบา ทันทีที่คิดว่าคนคนนี้เป็นของเขาแล้ว ในใจก็เปี่ยมด้วยความพึงพอใจที่ยากจะอธิบาย

เขาจูบไหล่ของเวินเสี่ยวฮุยหลายครั้ง อีกทั้งต้องการจะจูบอีกฝ่ายแบบนี้ทั่วทั้งร่างกาย

เมื่อคืนเวินเสี่ยวฮุยดื่มไวน์ ทั้งยังใช้กำลังกายจนเกินขีดจำกัด เขายังคงหลับลึกอยู่โดยไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยสักนิด ลั่วอี้มองอีกฝ่ายแบบนี้เนิ่นนานก่อนจะออกมาจากผ้าห่มอันอบอุ่น สวมเสื้อผ้า แล้วจากไปเงียบๆ

 

ขณะที่หลีซั่วสแกนบัตรเข้ามาในห้องของเวินเสี่ยวฮุย สิ่งที่เขาเห็นก็คือเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังขดตัวหลับสบายอยู่ในผ้าห่ม ใบหน้าของอีกฝ่ายสะอาดเกลี้ยงเกลา นอกจากความเหนื่อยล้าก็มองไม่เห็นสภาพของคนที่ดื่มจนเมาเลย ดูเหมือนว่าลั่วอี้คงทำความสะอาดร่างกายให้แล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการปลุกเขาหลีซั่วจึงวางอาหารเช้าบนโต๊ะเงียบๆ จากนั้นก็ไปต้มน้ำ

ในเวลานี้เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่สูงที่สุด เวินเสี่ยวฮุยลืมตาขึ้น ช่วงเวลาที่เขาได้สติกลับคืนมา เขารู้สึกว่านอกจากความเจ็บแล้วก็มีแต่ความเจ็บ ทั้งปวดหัว ปวดตา เจ็บคอ เอวเคล็ด ทั้งยังมี…ทั้งยังมีความเจ็บปวดบางส่วนในร่างกายที่ยากจะอธิบายได้

เวินเสี่ยวฮุยเบิกตาโพลง รู้สึกเหมือนตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

“เสี่ยวฮุย นายตื่นแล้วเหรอ” เสียงอันอบอุ่นของหลีซั่วดังขึ้น เขาเดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟ

เวินเสี่ยวฮุยมองหลีซั่วด้วยความตกตะลึง สมองยังคงวุ่นวายสับสน

หลีซั่วแตะหน้าผากของเขา “เหมือนนายจะมีไข้นิดหน่อยนะ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ทะ…ทำไมผม…” แม้เวินเสี่ยวฮุยจะเป็นหนุ่มพรหมจารีในวัยยี่สิบสอง ทว่าเขาก็มีความรู้เรื่องเพศที่ควรรู้อยู่ไม่น้อย เขาได้เตรียมการมาอย่างดี เขารู้โดยธรรมชาติว่าความเจ็บปวดที่ผิดปกติจากร่างกายส่วนล่างนี้ไม่ใช่อาการท้องผูกหรืออะไรทำนองนั้นอย่างแน่นอน อีกอย่างคือมีฉากร่วมรักมากมายผุดขึ้นในสมองของเขาอย่างเลือนราง ฉากเหล่านั้นสมจริงมาก แถมผลลัพธ์ของมันยังสะท้อนอยู่บนร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์อีกด้วย ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นเอง

ในตอนแรกเวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าสมองว่างเปล่า จากนั้นรถไฟที่ส่งเสียงปู๊นๆ ขบวนแล้วขบวนเล่าก็วิ่งผ่านหน้าของเขา และชนกระแทกจนทำให้เขาวิงเวียนศีรษะและตาลาย

ให้ตายเถอะ! เขากับหลีซั่วขึ้นเตียงกันแล้วเหรอ!

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: