X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3 บทที่ 81-83 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 3

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การสะกดรอยตาม การลักพาตัว

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 81

 

เวินเสี่ยวฮุยตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลียอย่างรุนแรง

เขาไม่ได้อ่อนเพลียขนาดนี้มานานมากแล้ว แม้จะเคยออกกำลังกายราวกับพวกมาโซคิสต์ที่หาที่ระบายอยู่ในฟิตเนสทั้งวันก็ยังไม่อ่อนเพลียขนาดนี้ ร่างกายของเขาราวกับหนักขึ้นหลายสิบจิน จนทำให้ไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้วด้วยซ้ำ

ส่วนล่างของร่างกายเขาแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้ดี ครั้งหนึ่งเขากับลั่วอี้เคยอ้อยอิ่งกันตลอดทั้งคืนโดยห้ามกันไม่อยู่ แล้ววันต่อมาก็แทบจะขยับตัวไม่ได้ ความอ่อนเยาว์และความสามารถทางกายภาพของลั่วอี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานมามากกว่าหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้มันสาหัสยิ่งกว่าเดิม

เขาพยายามยกมือขึ้นปิดตา แสงที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างนั้นสว่างและแสบตาจนเกินไป จิตใจที่หนักอึ้งและสภาวะอันมืดมนของเขาเป็นเหมือนแวมไพร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่สามารถมองดูและไม่คู่ควรกับแสงแดดเช่นนี้

ความทรงจำเมื่อคืนเลือนรางมาก แต่ก็ไม่เลือนรางเท่ากับตอนที่เขาทำกับลั่วอี้ครั้งแรก ครั้งแรกเขาเมาจนภาพตัด ครั้งนี้อย่างน้อยร่างกายของเขาก็ช่วยให้เขาจดจำได้ว่าลั่วอี้นั้นคลุ้มคลั่งแค่ไหน แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างจากครั้งแรกสุดนั้นไม่ใช่ว่าเขาจำได้หรือไม่ แต่เขากลับใจเย็นมากต่างหาก

เขาไร้ซึ่งความโกรธ ความขุ่นเคือง ความหงุดหงิด ความเสียใจ หรือแม้กระทั่งความละอายใจ มีเพียงความสงบเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขารู้ว่าวันนี้จะมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว การลงมือขณะที่เขาเมาจนไร้สตินั้นก็ยังดีกว่าอดทนจนถึงขีดจำกัดแล้วค่อยเผยเขี้ยวออกมาให้เห็น ถ้าถึงตอนนั้นมันจะไม่ส่งผลดีกับใครเลย

เขาลืมตานอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะพยายามอดทนต่อความเจ็บและลุกขึ้นมา บนร่างกายและบนเตียงของเขาสะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ ในอากาศอีกด้วย ลั่วอี้ทำความสะอาดแล้ว ความเอาใจใส่ของลั่วอี้นั้นคงเส้นคงวา เขาไม่เคยมีจุดบกพร่องใดให้ตำหนิเลย จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกที่คนคนหนึ่งจะทั้งสามารถอ่อนโยนและโหดร้ายจนถึงขีดสุดได้

หลังจากเขาสวมเสื้อเสร็จแล้วก็นึกถึงหลัวรุ่ยจึงเดินออกไปนอกห้อง

เมื่อกวาดตามองทางเดินเวินเสี่ยวฮุยก็เห็นลั่วอี้ลุกขึ้นมาจากโซฟา อีกฝ่ายเอาโน้ตบุ๊กบนตักออกแล้วเดินเข้ามา รอยยิ้มสะดุดตาที่ปกปิดไว้ไม่อยู่อ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าของเขา

“ตื่นมาทำไม พักผ่อนต่ออีกหน่อยเถอะ”

“หลัวรุ่ยล่ะ” ทันทีที่เขาเอ่ยปากก็เป็นอันต้องตกใจ ทำไมเสียงของเขาถึงได้แหบแห้งขนาดนี้

“ยังหลับอยู่เลย เขาเมากว่าพี่อีก”

เมื่อเวินเสี่ยวฮุยเปิดประตูห้องนอนแขกก็เห็นว่าหลัวรุ่ยกำลังหลับสบายอยู่บนเตียงจริงๆ เขาจึงวางใจ เมื่อมีลั่วอี้อยู่เขามักจะตึงเครียดอยู่เสมอไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

ลั่วอี้ปิดประตูเบาๆ แล้วโอบไหล่ของเขา “ตื่นแล้วก็กินอะไรสักหน่อยเถอะ กินเสร็จจะไปพักต่อก็ได้ เมื่อคืนคงเหนื่อยมากสินะ” น้ำเสียงนั้นยังคงอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูเช่นเคย

“อืม” เวินเสี่ยวฮุยหลีกเลี่ยงการกอดของเขาอย่างแนบเนียนแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว

ลั่วอี้มองดูมือของตัวเองอย่างอึ้งๆ แล้วลดมันลงอย่างแข็งทื่อ

เขาเปิดกล่องเก็บความร้อน อาหารเช้ามื้อเบาวางอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นเวินเสี่ยวฮุยก็กินมันเงียบๆ

ลั่วอี้นั่งลงตรงหน้าเขาพลางมองเขาอย่างล้ำลึก

เวินเสี่ยวฮุยกินเกลี้ยงภายในไม่กี่คำ จากนั้นก็ต้องการจะลุกขึ้น “ฉันจะไปปลุกและป้อนยาแก้เมาให้เขา”

ลั่วอี้คว้าข้อมือของเขา “ให้เขานอนต่อสักหน่อยเถอะ ถ้าไม่จำเป็นก็กินยาแก้เมาให้น้อยหน่อย มันไม่ดีต่อร่างกาย”

เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างเย็นชา “นายไม่ต้องเสแสร้งเป็นห่วงเขาขนาดนี้ก็ได้มั้ง จำเป็นด้วยเหรอ”

“เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ แน่นอนว่าผมต้องเป็นห่วงเขา”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะออกมา เมื่อดูจากสิ่งที่ลั่วอี้เคยทำ อีกฝ่ายเคยมองว่าหลัวรุ่ยเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วยเหรอ เขาต้องการสะบัดมือของลั่วอี้ออก แต่ครั้งนี้กลับทำไม่สำเร็จ

ลั่วอี้พยักพเยิดคาง “นั่งลง”

ทั้งๆ ที่เป็นประโยคสบายๆ แต่กลับมีกลิ่นอายของคำสั่ง เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงโดยไม่รู้ตัว เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าลั่วอี้ต้องการจะพูดอะไร

ลั่วอี้คว้ามือของเขามาไว้ข้างปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่คงไม่ได้ลืมเรื่องเมื่อคืนหรอกใช่ไหม”

“ไม่ได้ลืม” เวินเสี่ยวฮุยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ลั่วอี้หัวเราะ “อย่างนั้นก็ดี ผมยังนึกว่าพี่ดื่มมากไปแล้วจะลืมซะอีก เมื่อคืนผมควบคุมตัวเองได้ไม่ดี…เดี๋ยวผมนวดให้พี่สักหน่อยดีไหม”

“ไม่ต้อง”

ลั่วอี้ถูริมฝีปากอยู่บนข้อนิ้วของเขา ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นมีเสน่ห์น่าหลงใหล “ผมดีใจมากที่พวกเรายังรู้ใจกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เมื่อคืนมันสุดยอดจริงๆ พี่เสี่ยวฮุย พี่ก็ชอบมากเหมือนกันใช่ไหม”

“ฉันเพิ่งจะยี่สิบสี่ยี่สิบห้า แล้วก็ไม่ได้ตายด้านสักหน่อย ทำไมจะไม่ชอบ” เวินเสี่ยวฮุยต้องการดึงมือกลับแต่ลั่วอี้ไม่ยอมปล่อย เขารู้สึกว่าบริเวณที่ริมฝีปากของลั่วอี้เคลื่อนผ่านร้อนระอุราวกับกำลังเผาไหม้

เมื่อลั่วอี้เห็นใบหน้าที่ไร้คลื่นอารมณ์ของเวินเสี่ยวฮุยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่จำได้มากน้อยแค่ไหน จำได้ไหมว่าพวกเราทำไปกี่ครั้ง เปลี่ยนไปกี่ท่า จำได้ไหมว่าขาของพี่พันรอบเอวผมแล้วครางได้น่าฟังแค่ไหน”

“ร่วมรักกันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเยาะ “นายคงไม่คิดว่ามีแต่ฉันที่เป็นแบบนี้หรอกมั้ง ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะลองกับคนอื่นดูบ้าง ทักษะของฉันไม่เท่าไรหรอก โลกข้างนอกกว้างใหญ่จะตายไป”

สีหน้าของลั่วอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่จงใจจะยั่วโมโหผมใช่ไหม”

“เปล่า ฉันแค่อยากจะบอกนายว่าไม่ว่าฉันจะทำกับคนอื่นหรือนายจะทำกับคนอื่นก็ไม่แตกต่างอะไรจากเมื่อคืนหรอก”

ลั่วอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาสดใสร่าเริงที่เพิ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขามืดมนลงอีกครั้ง

“อ่อ น่าจะต่างอยู่นะ คนทั่วไปไม่ได้มีสมรรถภาพร่างกายดีเหมือนนาย” เวินเสี่ยวฮุยอาศัยช่วงที่ลั่วอี้กำลังตกตะลึงดึงมือกลับ เขาพิงพนักเก้าอี้พลางมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

หน้าอกของลั่วอี้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ทำให้เขาหลงใหลตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกเจ็บตรงหัวใจ ไอแห่งความโกรธพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มแรงกระตุ้นบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำ

“ถ้ารู้ว่าพี่ไม่แคร์ตั้งแต่แรก ผมก็คงไม่อดทนนานขนาดนั้น”

“อืม สิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริง” เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นยืน “ลั่วอี้ ตอนนี้นายได้ทุกอย่างที่อยากได้แล้ว ยินดีด้วยนะ” เขาเอียงศีรษะ “ไม่สิ ฉันควรจะพูดว่าไม่ว่านายอยากได้อะไรนายก็จะได้ในที่สุด”

ลั่วอี้ก้มหน้าลง กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ “สิ่งที่ผมอยากได้ไม่ใช่พี่ที่เป็นแบบนี้”

เวินเสี่ยวฮุยแทบจะหลุดหัวเราะ “สิ่งที่ฉันอยากได้ก็ไม่ใช่นายที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน นายคืนมันให้ฉันได้ไหมล่ะ”

ในเวลานี้เองจู่ๆ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ทั้งสองคนต่างชะงัก

เวินเสี่ยวฮุยเช็ดหน้าแล้วหมุนตัวไปเปิดประตู คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นคนที่เขานึกไม่ถึง…หลีซั่ว

“พะ…พี่ใหญ่หลี” เวินเสี่ยวฮุยตะลึงงัน เขาอยากจะปิดประตูในแวบแรกแต่ก็รู้สึกว่ามันเสียมารยาทเกินไป ทว่าขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกจากด้านหลัง เขาก็คิดว่าการเสียมารยาทเป็นผลลัพธ์ที่เบาที่สุดแล้ว

อย่างไรก็ดีหลีซั่วกลับไม่ได้ให้โอกาสเวินเสี่ยวฮุยทำเช่นนี้ เขาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ บุคลิกที่เป็นสุภาพบุรุษและสง่างามตลอดเวลาเจือปนความหงุดหงิดเล็กน้อย เวินเสี่ยวฮุยมั่นใจว่าเขาเองก็ล้มเหลวในเรื่องของหลี่เฉิงซิ่วเช่นกัน

ลั่วอี้ลุกขึ้นยืน สายตาที่มองหลีซั่วนั้นราวกับงูพิษตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นคนรักที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าหลีซั่วเลย

หลีซั่วมองดูเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังตื่นตระหนก แล้วมองลั่วอี้อีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น

“ลั่วอี้ นายควรจะโตได้แล้ว”

“นายมีสิทธิ์สั่งสอนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” ลั่วอี้พูดอย่างเย็นชา

“ตั้งแต่ที่นายคุกคามเพื่อนของฉัน”

เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงเบา “พี่ใหญ่หลี พี่ไม่ควรมา พี่ควรกลับไปได้แล้ว”

หลีซั่วมองเวินเสี่ยวฮุย “เสี่ยวฮุย ที่ฉันมาก็เพื่อให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย ถ้านายไปอเมริกาตอนนี้ ฉันรับประกันว่าลั่วอี้จะไม่มีวันเจอนายกับแม่ของนายไปชั่วชีวิต” เขาหลุบตาลง ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “ฉันช่วยเฉิงซิ่วไม่ได้ แต่ฉันหวังว่าอย่างน้อยฉันจะช่วยนายได้”

คำพูดนี้ทำให้ลั่วอี้โมโหอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้าไปสองสามก้าว ความเกลียดชังและความริษยาที่เขามีต่อหลีซั่วมาเป็นเวลานานได้ระเบิดขึ้นในชั่วขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน หายากมากที่ลั่วอี้จะเจอคู่ปรับที่มีฝีมือสูสีสักครั้งในชีวิตนี้ เมื่อคิดว่าคนคนนี้ได้กลายเป็นภัยคุกคามจริงๆ เขาก็เพียงแค่ต้องการกำจัดโดยเร็วที่สุด

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าลั่วอี้ทำอะไรได้บ้างจึงคิดจะขวางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน แต่กลับถูกหลีซั่วดึงไปอยู่ด้านหลัง

การกระทำเช่นนี้ทำให้ลั่วอี้ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม การแสดงออกของเขาบิดเบี้ยวราวกับหมาป่าผู้หิวโหย เขาเดินเข้าไปหาหลีซั่วก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมาดึงคอเสื้อของหลีซั่วช้าๆ เขากำหมัดจนมันส่งเสียงดังกรอบแกรบ

ลั่วอี้มักจะแพ้หลีซั่วในเรื่องของความเป็นผู้ใหญ่และความใจเย็นเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทว่าความริษยาทำให้ลั่วอี้แสดงออกเหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบเป็นครั้งแรก

หลีซั่วไม่ขยับพลางมองเขาอย่างใจเย็น “เสี่ยวฮุยเป็นคนเช่าห้องนี้ ถ้านายลงมือที่นี่ พอตำรวจมาถึง นายคิดว่าเสี่ยวฮุยจะแจ้งว่าใครบุกเข้าห้องของเขาล่ะ”

ลั่วอี้สะบัดมือขวาคว้าคอของหลีซั่ว

หลีซั่วรู้สึกเพียงว่าตัวเย็นเฉียบ ประกายความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาของเขา

เวินเสี่ยวฮุยร้องอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่รู้ว่าลั่วอี้หยิบมีดพับแหลมคมมาจากไหน ใบมีดนั้นบางเหมือนปีกจักจั่นและเปล่งแสงสีเงินเย็นเยียบ ตอนนี้คอของหลีซั่วถูกกรีดเป็นรอยเลือดเล็กๆ แล้ว

“ลั่วอี้! นายทำอะไรน่ะ!” เวินเสี่ยวฮุยต้องการจะพุ่งเข้าไป

“อย่าขยับ” ลั่วอี้พูดกับเวินเสี่ยวฮุย ทว่าสายตากลับมองหลีซั่วอย่างเย็นชา คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางๆ นั้นชวนให้ผู้คนสันหลังเย็นวาบ “หลีซั่ว ต่อให้ฉันตัดหูหรือนิ้วของนายตรงนี้ ฉันก็มีปัญญาชดใช้ ถ้าแค่กรีดหน้าของนายไม่กี่รอยฉันก็ไม่ต้องเข้าคุกด้วยซ้ำ…”

“ลั่วอี้นายมันบ้าไปแล้ว!” เวินเสี่ยวฮุยคว้าแขนของลั่วอี้ ก่อนพูดเสียงสั่น “นายปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ ถ้านายกล้าแตะต้องเขาล่ะก็ ฉันสู้ตายแน่”

ลั่วอี้เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “พี่พูดขนาดนี้แล้ว ผมจะปล่อยให้เขาจากไปอย่างปลอดภัยได้ยังไงล่ะ”

หลีซั่วหรี่ตา “น่าสมเพชจริงๆ นายกับเซ่าฉวินเป็นพวกเดียวกันเลย ยิ่งหวาดระแวงมากเท่าไรก็ยิ่งผลักคนรักออกไปไกลมากขึ้นเท่านั้น เหตุผลง่ายๆ แค่นี้นายยังไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็สมควรแล้ว”

แววตาของลั่วอี้เปล่งประกายดุร้าย

เวินเสี่ยวฮุยกัดแขนของลั่วอี้อย่างแรง ลั่วอี้ปล่อยแขนเนื่องจากความเจ็บปวดฉับพลัน เวินเสี่ยวฮุยยื่นมือผลักหลีซั่วออกไป หลีซั่วคว้าแขนของลั่วอี้และบิดไปข้างหลัง ระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นเวินเสี่ยวฮุยพลันรู้สึกว่าไหล่ของเขาชา จากนั้นเขาก็ร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด

ลั่วอี้กับหลีซั่วต่างก็ตกตะลึง ลั่วอี้สะบัดหลุดจากพันธนาการของหลีซั่ว ทันทีที่หันตัวกลับไปมองก็เห็นว่ามีดของตัวเองกรีดไหล่ของเวินเสี่ยวฮุยเข้าให้แล้ว

“เสี่ยวฮุย!” หลัวรุ่ยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเดินออกมาจากห้องและเห็นฉากนี้เข้า

“พี่เสี่ยวฮุย” มีดของลั่วอี้ร่วงลงพื้นเสียงดัง เขาต้องการพุ่งเข้ามาแต่กลับถูกกระแทกด้วยหมัดของหลีซั่วจนล้มไปกองกับพื้น

หลัวรุ่ยวิ่งเข้าไปแล้วคลายเสื้อของเวินเสี่ยวฮุยเพื่อดูบาดแผลอย่างระมัดระวัง บาดแผลยาวเล็กน้อย แต่ตื้นมาก ใบหน้าซีดขาวของเขาจึงมีสีเลือดคืนกลับมาบ้างแล้ว

หลีซั่วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน “กล่องยาอยู่ที่ไหน”

ลั่วอี้ลุกขึ้นมาจากพื้น เช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ต้องการจะโจมตีหลีซั่วราวกับหมาป่าที่ดุร้าย

“พี่ใหญ่หลี” เวินเสี่ยวฮุยมองหลีซั่ว พูดแต่ละคำอย่างจริงจัง “พี่ไปเถอะ”

หลีซั่วมองเขาอย่างตกตะลึง

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าลงไม่กล้ามองเขา “ต่อไปพี่ก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของพวกเราอีก…ขอโทษด้วย”

หลีซั่วหลับตาก่อนจะถอนหายใจ ดูอ่อนล้าอย่างที่สุด เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “เสี่ยวฮุย ดูแลตัวเองด้วย” พอพูดจบเขาก็เดินจากไป

หลัวรุ่ยกำหมัดแน่น รีบตามออกไปส่งเขา

เมื่อเหลือเพียงลั่วอี้กับเวินเสี่ยวฮุยตามลำพังภายในห้อง ความเงียบก็เชือดเฉือนหัวใจของพวกเขาทั้งสองคนราวกับใบมีด

ลั่วอี้ดูสะบักสะบอมมาก เขาปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากออก ก่อนจะหยิบกล่องยาออกมาจากในตู้ด้วยต้องการที่จะทายาให้เวินเสี่ยวฮุย

เวินเสี่ยวฮุยแย่งแอลกอฮอล์มาเช็ดบาดแผล ลั่วอี้ก็ทายาห้ามเลือดให้เขาเช่นกัน จากนั้นก็พันด้วยผ้าพันแผลสองรอบ

หลังจากความเงียบงันอันยาวนานเวินเสี่ยวฮุยก็พูดขึ้น “เวินเสี่ยวฮุยคนที่นายต้องการได้หายไปพร้อมกับลั่วอี้คนที่ฉันต้องการแล้ว นายเป็นคนทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ คนแปลกหน้าสองคนที่ต้องการจะตามหาเงาที่คุ้นเคยจากอีกฝ่าย นายไม่คิดว่ามันตลกหรอกเหรอ มันจะมีความหมายอะไรล่ะ”

ลั่วอี้พูดเสียงเบา “ไม่ว่าพี่จะเปลี่ยนไปยังไง ผมก็ยังรักพี่”

“แต่ฉันไม่ได้รักนาย” เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้อย่างเฉยชา “ฉันเกลียดนาย ฉันกลัวนาย ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ฉันหวังว่าฉันจะไม่เคยรู้จักนาย”

ลั่วอี้ข่มความเจ็บปวดในหัวใจเอาไว้ ก่อนคว้ามือของเวินเสี่ยวฮุยแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ผมจะทำให้พี่รักผมในตอนนี้ รักที่ตัวจริงของผม”

เวินเสี่ยวฮุยมองอีกฝ่าย แววตาล่องลอยคล้ายไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย

ลั่วอี้โน้มตัวจูบริมฝีปากของเขา “อีกไม่กี่วันผมจะพาพี่กลับปักกิ่ง พวกเราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน”

เวินเสี่ยวฮุยเบือนหน้าหนี

หลัวรุ่ยกลับเข้ามาในเวลานี้พอดี เวินเสี่ยวฮุยจึงพูดขึ้น “ทำไมนายไม่ใส่เสื้อคลุมแล้วค่อยออกไปล่ะ หนาวจะตาย”

หลัวรุ่ยส่ายหน้า “ไม่หนาว ไหล่ของนายเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นไร แค่แผลภายนอก”

หลัวรุ่ยถลึงตามองลั่วอี้ ก่อนจะคว้าแขนของเวินเสี่ยวฮุยมาตรวจสอบอย่างละเอียด

เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมีดพับซึ่งตกอยู่บนพื้น เมื่อคิดว่าลั่วอี้พกของอย่างนี้ตลอดเวลาแม้ตอนอยู่บ้านก็ขนลุกขนพองอยู่ในใจ ถ้าหลีซั่วบาดเจ็บเพราะเขาจริงๆ เขาก็คงจะโทษตัวเองไปตลอดชีวิต โชคดีที่คราวนี้หลีซั่วคงจะยอมแพ้จริงๆ แล้วล่ะมั้ง…เมื่อเขานึกถึงแววตาผิดหวังของหลีซั่วก่อนที่จะจากไปก็รู้สึกทรมานเป็นที่สุด เขาเป็นหนี้บุญคุณหลีซั่วและคาดว่าทั้งชีวิตนี้ก็คงชดใช้ให้ไม่หมด

หลัวรุ่ยพูด “เสี่ยวฮุย ไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า “ฉันจะพานายออกไปเดินเล่น”

ลั่วอี้ก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน “ผมก็จะไปกับพวกพี่ด้วย”

“รถของฉันนั่งได้แค่สองคน”

ลั่วอี้อ้าปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงดัน “ออกไปข้างนอกก็ระวังด้วย”

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยกับหลัวรุ่ยสวมเสื้อเรียบร้อยก็ขับรถออกไปแล้ว

หลัวรุ่ยถอนหายใจยืดยาว “อยู่กับลั่วอี้แล้วอึดอัดเป็นบ้า”

“ฉันก็เลยพานายออกมาไง”

“พวกเราจะไปไหนกันเหรอ”

“ไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง ถ้า…ตอนนี้เจอได้น่ะนะ” เวินเสี่ยวฮุยหยิบมือถือออกมา เขาโทรหาหลี่เฉิงซิ่วด้วยความอึดอัดเล็กน้อย มีคนรับสายแล้ว “ฮัลโหล เฉิงซิ่ว?”

เสียงของหลี่เฉิงซิ่วฟังดูอ่อนแรง “Adi?”

“นายอยู่ที่ไหนน่ะ”

“อยู่ที่ห้องน่ะ”

“เยี่ยมไปเลย เซ่าฉวินทำให้นาย…เอ่อ…สุดท้ายได้กลับห้องก็ดีแล้ว”

“อืม พี่ใหญ่หลีพาฉันกลับมา”

“ตอนนี้เขายังอยู่กับนายหรือเปล่า”

“ตอนเช้าอยู่ แต่ตอนนี้กลับไปแล้ว เขาบอกว่าจะไปหานายน่ะ”

“อ่อ ฉันเพิ่งออกมาจากห้อง คือว่า…ฉันแวะไปหานายได้ไหม”

“…ได้สิ นายอยากกินอะไรล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ “ได้หมด”

หลังจากวางสายหลัวรุ่ยก็ถามขึ้น “ใครเหรอ”

“เพื่อนใหม่ ฉันคิดว่าเขาค่อนข้างเหมือนนาย”

หลัวรุ่ยพูดติดตลก “น่ารักเหมือนฉันน่ะเหรอ”

“ค่อนข้างเหมือนกับนายเมื่อก่อน” เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ดูน่าสงสารน่ะ”

“เพราะอย่างนั้นโรคแม่ไก่ของนายก็เลยกำเริบสินะ” หลัวรุ่ยยู่ปาก “ฉันชักจะหึงแล้วสิ”

เวินเสี่ยวฮุยบีบๆ แก้มของเขา “ไว้เจอแล้วนายต้องชอบเขาแน่”

เมื่อมาถึงที่พักของหลี่เฉิงซิ่ว ทั้งสองคนก็ซื้อผลไม้กันอยู่ที่ชั้นล่าง

ตัวของหลี่เฉิงซิ่วนั้นซีดขาวและอ่อนแอเหมือนกับเสียงของเขา มันไม่ใช่ความอ่อนแอทางร่างกาย หากแต่เป็นความอ่อนแอแบบที่จิตใจถูกทำร้าย เขาซูบผอมจนโหนกแก้มโปนออกมาเล็กน้อย เห็นแล้วชวนให้ปวดใจเป็นอย่างมาก

เมื่อหลี่เฉิงซิ่วเห็นหลัวรุ่ยก็ดูเหมือนต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนอง เขาถามเวินเสี่ยวฮุยด้วยแววตาสงสัย

“เขาคือ…”

“ใช่ เขาคือหลัวรุ่ย หลัวรุ่ย นี่คือเฉิงซิ่ว”

หลัวรุ่ยยิ้มพลางทักทายเขา “ไง สวัสดี”

หลี่เฉิงซิ่วมองดูรอยยิ้มที่สดใสและน่ารักของหลัวรุ่ย ในใจก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่เคียงข้างเวินเสี่ยวฮุยล้วนแต่มีความมั่นใจในตัวเองและเปล่งประกายเสมอ

“ฉันซื้อผลไม้มาให้นาย มาๆ นายเลี้ยงข้าวพวกเรานะ”

“โอ๊ย นายซื้อมังคุดมาได้ยังไง มันแพงมากนะ…” ทันทีที่หลี่เฉิงซิ่วรับผลไม้มาก็บ่นอุบ

หลังจากเวินเสี่ยวฮุยเข้ามาในห้องแล้วก็มองไปรอบๆ ร่องรอยจากการอาละวาดของเซ่าฉวินคราวก่อนถูกเก็บกวาดหมดแล้ว หลี่เฉิงซิ่วเป็นคนสะอาดเรียบร้อยมาก เขาจัดห้องอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่มีของบางอย่างเช่นแจกันที่ตกแตกหรือเก้าอี้พังๆ ที่ไม่อาจกลับมาเป็นแบบเดิมได้แล้ว

หลี่เฉิงซิ่วหั่นผลไม้ก่อนจะชงชาแล้วจึงยกเข้ามา “ฉันกำลังตุ๋นซุปไก่”

“อืม หอมจังเลย” หลัวรุ่ยสูดๆ จมูก

เวินเสี่ยวฮุยมองดูใบหน้าซีดขาวของหลี่เฉิงซิ่ว “นาย…กลับมาตอนไหนเหรอ”

“เมื่อวาน”

“เซ่าฉวินไม่ได้ทำอะไรให้นายลำบากใช่ไหม”

หลี่เฉิงซิ่วตัวสั่นทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เขากลืนน้ำลาย จะพยักหน้าก็ไม่ใช่ จะส่ายหน้าก็ไม่เชิง ได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “พี่ใหญ่หลีแค่พาพี่สาวของเขาไปด้วย เขาก็ปล่อยนายแล้วเหรอ”

ครั้งนี้หลี่เฉิงซิ่วส่ายหน้า

“เขาจะมาหานายอีกหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้” หลี่เฉิงซิ่วบิดมือไปมา “ฉันคิดว่าจะย้ายไปเมืองอื่น”

“ย้ายไปไหน”

“คงไม่ไกลมาก แต่ยังไม่ได้คิด”

“นายต้องการเงินหรือเปล่า”

หลี่เฉิงซิ่วส่ายหน้า “ฉัน…มีเงินเก็บนิดหน่อย”

“ถ้านายต้องการล่ะก็บอกฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” เวินเสี่ยวฮุยนึกอะไรบางอย่างได้ก็เขียนที่อยู่อีเมลและรหัสผ่านให้เขา “นี่เป็นอีเมลลับ ถ้านายเปลี่ยนบัญชีจะใช้อีเมลนี้ติดต่อฉันก็ได้ ฉันก็จะใช้อีเมลนี้ติดต่อนายเหมือนกัน”

หลี่เฉิงซิ่วพยักหน้าแล้วรับมันมาอย่างระมัดระวัง

เวินเสี่ยวฮุยไม่ต้องการพูดถึงเซ่าฉวินอีกต่อไปแล้ว เขาเองก็มีเรื่องน่าหงุดหงิดอยู่เต็มสมอง และไม่ต้องการพูดเรื่องกวนใจของคนอื่น เขากับหลัวรุ่ยต่างพร้อมใจกันเล่าเรื่องสมัยเด็กของตัวเอง กระทั่งบนใบหน้าของหลี่เฉิงซิ่วปรากฏรอยยิ้มจางๆ ในที่สุด

ทั้งสามคนกินดื่มอย่างมีความสุข และก่อนจะกลับเวินเสี่ยวฮุยก็บอกกับหลี่เฉิงซิ่วว่าเขาจะกลับเมืองหลวงแล้วและบอกอีกฝ่ายว่าต้องติดต่อเขาด้วยอีเมลนั้น หลี่เฉิงซิ่วคว้าเสื้อของเขาอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วพูดเสียงเบา

“เสี่ยวฮุย ขอบคุณนายมาก การได้รู้จักกับนายมันดีมาก”

เวินเสี่ยวฮุยขยี้ๆ ผมของเขาก่อนจะหัวเราะแล้วพูด “ไม่ต้องขอบคุณหรอก สบายมาก ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ฝากดูแลพี่ใหญ่หลีแทนฉันด้วย”

หลี่เฉิงซิ่วได้แต่ฝืนหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เวินเสี่ยวฮุยเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถให้คำสัญญาใดๆ ได้ ขณะที่เขามองดูความลังเล ความวิตกกังวล ความหมดหนทาง และความกลัวของหลี่เฉิงซิ่วในตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังส่องกระจก เพียงแต่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าหลี่เฉิงซิ่วมาก

หลังออกมาจากห้องของหลี่เฉิงซิ่ว หลัวรุ่ยก็กระซิบ “นายกลัวหรือเปล่า กลับไปน่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ฉันคิดถึงแม่น่ะ”

“ฉันจะอยู่กับนายเสมอ”

เวินเสี่ยวฮุยจับไหล่ของเขาแล้วยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ฉันรู้”

เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากที่กลับเมืองหลวง ลั่วอี้ที่ดื้อด้านขึ้นเรื่อยๆ พฤติกรรมที่เหมือนกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว จะดีหรือร้ายก็แค่วันวันหนึ่ง

เพียงแต่ลั่วอี้อย่าได้หวังว่าพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนเลย ไม่มีอะไรที่สามารถ ‘เริ่มต้นใหม่’ ได้ทั้งนั้น

บทที่ 82

 

หลังกลับมาถึงบ้านเกิดที่จากมานาน เวินเสี่ยวฮุยเดินออกมาจากห้องโดยสารแล้วสูดอากาศเฮือกใหญ่เพื่อสัมผัสกับอากาศร้อนแห้งซึ่งแตกต่างจากทางตอนใต้ อย่างไรก็ดีสภาพอากาศขมุกขมัว เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาสูดเข้าไปนั้นไม่ได้มีแค่อากาศเพียงอย่างเดียว

ลั่วอี้จูงมือของเขาเดินออกจากสนามบินราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจสายตาของฝูงชนพลุกพล่านที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ส่วนหลัวรุ่ยที่เดินตามอยู่ข้างๆ ก็พลันหูร้อนโดยไม่รู้ตัว

เมื่อขึ้นรถเวินเสี่ยวฮุยพยายามนั่งให้ห่างจากลั่วอี้มากที่สุด อย่างไรก็ดีพื้นที่เบาะหลังนั้นเล็กมาก ทั้งยังมีลั่วอี้ที่กุมมือของเขาอยู่ตลอดเวลาจนแทบจะเหมือนคนวิตกจริต คล้ายกับกลัวว่าเขาจะหายไปทันทีที่ปล่อยมือ พวกเขากุมมือจนกระทั่งมีเหงื่อซึมอยู่บนฝ่ามือ เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกไม่สบายตัวจึงดิ้นเบาๆ แต่กลับไม่อาจดิ้นหลุดได้

ภายในรถเกิดความเงียบอันน่าอึดอัด

หลังจากผ่านไปนานหลัวรุ่ยก็พูดขึ้น “เสี่ยวฮุย พรุ่งนี้คุณน้าก็จะกลับจีนแล้ว”

“เร็วจังเลยเนอะ” หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยบีบแน่น แม้เขาจะคิดถึงแม่ของเขามาก แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าอันที่จริงตัวเขาเองก็ยังไม่ได้เตรียมพร้อมเลย จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว

ลั่วอี้คล้ายกับอ่านความคิดของเขาออก “ไม่ต้องกลัว ถ้าพี่ต้องการ…”

“ไม่ ฉันไม่ต้องการให้นายไปกับฉัน นายอย่ากระตุ้นแม่ของฉันเชียว”

ลั่วอี้พูดอย่างเศร้าสร้อย “ก็ได้ ผมไม่ไป แต่ว่าพี่ต้องเอากล่องหยกนี้ให้เธอ พี่รับปากผมแล้วว่าจะเอาให้เธอในวันแต่งงาน”

เวินเสี่ยวฮุยกลัวว่าลั่วอี้จะดึงดันที่จะไปจึงรีบประนีประนอม “ก็ได้”

หลัวรุ่ยหันมาจากเบาะหน้า ก่อนพูดเสียงเบา “ฉันจะไปเป็นเพื่อนนายเอง ไม่ต้องตื่นเต้น”

เวินเสี่ยวฮุยมองเขาอย่างซาบซึ้ง

คนขับรถพาพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์ของลั่วอี้ เมื่อเวินเสี่ยวฮุยลงจากรถก็เงยหน้าขึ้นมองคฤหาสน์ตรงหน้า ในใจเปี่ยมไปด้วยร้อยพันความรู้สึก วาสนาที่ทำให้ได้มาเจอกันได้สิ้นสุดและถูกทำลายลงที่นี่ รักแรก รักที่หนักแน่น และรักที่บิดเบี้ยวจนกลายเป็นความมืดมนในที่สุดก็เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน นี่คือสถานที่ที่เขาไม่เต็มใจจะกลับมาเหยียบที่สุดในโลก แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทิ้งความทรงจำอันลึกซึ้งที่สุดให้แก่เขาเช่นกัน

ลั่วอี้ยิ่งจับมือของเขาแน่นกว่าเดิม ก่อนจะหันไปชำเลืองมองหลัวรุ่ยแวบหนึ่ง “พี่เพิ่งเคยมาบ้านผมเป็นครั้งแรกสินะ”

หลัวรุ่ยพยักหน้าอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขารู้สึกเย็นสันหลังวาบ เขารู้จักลั่วอี้มาก็นานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาคฤหาสน์ของลั่วอี้จริงๆ

ลั่วอี้หัวเราะ “ผมไม่เชิญพี่เข้าบ้านก็แล้วกัน คนขับรถจะพาพี่กลับไปเอง พรุ่งนี้ผมค่อยส่งพี่เสี่ยวฮุยกลับบ้าน”

หลัวรุ่ยพยักหน้าอีกครั้ง

เวินเสี่ยวฮุยพูด “แม่เล็ก อย่าขาดการติดต่อนะ เจอกันพรุ่งนี้”

“เจอกันพรุ่งนี้”

หลังจากหลัวรุ่ยกลับไปแล้ว ลั่วอี้ก็ก้มลงจูบผมของเวินเสี่ยวฮุย “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น ไอเย็นพุ่งขึ้นสู่สมอง เมื่อเขาได้ยินคำเพียงไม่กี่คำที่เรียบง่ายเช่นนั้นก็รู้สึกเย็นยะเยือก เขารู้ว่าลั่วอี้ข่มความโกรธไว้ตลอดเวลาที่เขาจากไป บางทีทุกฉากทุกตอนในเวลานี้อาจทำให้ลั่วอี้นึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ไม่อยากนึกถึงก็เป็นได้

“มัวตะลึงอะไรอยู่ เข้ามาสิ” ลั่วอี้จูงมือของเวินเสี่ยวฮุยเข้าไปในคฤหาสน์ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “ตอนที่บ้านหลังนี้ขาดพี่ก็เหมือนขาดจิตวิญญาณไปอย่างนั้นแหละ มันกำลังรอเจ้าของของมันอยู่”

“ฉันไม่ใช่เจ้าของของที่นี่” เวินเสี่ยวฮุยทนไม่ได้กับน้ำเสียงอันมืดมนของลั่วอี้

“ผมบอกว่าใช่ก็ใช่สิ” ลั่วอี้หันตัวมาผลักเวินเสี่ยวฮุยติดประตู ประตูที่ยังปิดไม่สนิทถูกเวินเสี่ยวฮุยผลักอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ เขายังไม่ทันจะได้สติจากอาการตกใจ ริมฝีปากอุ่นๆ ก็เข้ามาประกบแล้ว ในทรวงอกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นลมหายใจของลั่วอี้

ลั่วอี้โอบเขาไว้ระหว่างแขนของตัวเองแล้วล็อกท้ายทอยของเขา ขณะที่กำลังจูบอย่างแรงอยู่นั้นก็แทบรอไม่ไหวที่จะสอดมือเข้าไปในกางเกงของเขาเพื่อคว้าก้อนเนื้อนุ่มๆ นั่น

เวินเสี่ยวฮุยครางเสียงต่ำ ขณะที่คิดจะขัดขืนมือก็หยุดชะงัก ทำไมต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ด้วย เขาคิด การยั่วโมโหลั่วอี้จะมีประโยชน์อะไร ก็เหมือนที่เขาพูดเองว่ามันเป็นแค่การร่วมรักเท่านั้น

“ผมอยากจะ…” ลั่วอี้หายใจหอบอยู่ข้างหูของเขา “อยากจะมีอะไรกับพี่ตรงนี้เลย อยากจะมีอะไรกับพี่ตรงไหนก็ได้ในบ้านหลังนี้เหมือนเมื่อก่อน” จากนั้นก็ออกแรงดึงกางเกงของเวินเสี่ยวฮุยแล้วพลิกตัวกดเขาไว้บนพรมหนังแกะหนาๆ

เวินเสี่ยวฮุยกัดริมฝีปาก เขามองข้ามไหล่ของลั่วอี้ไปยังโคมไฟระย้าที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะ เมื่อลั่วอี้สอดนิ้วเข้าไปในบริเวณที่ยากจะบรรยายนั้น เขาก็ลิ้มรสได้ถึงความเค็มของเลือดในปาก ดวงตาของเขาค่อยๆ ล่องลอย ร่างกายเกร็งและแข็งทื่อ ขณะที่ริมฝีปากของลั่วอี้จูบหน้าอกของเขาอยู่นั้น เขาก็จินตนาการภาพว่าถูกลิ้นของอสรพิษวาดผ่าน มันทั้งอันตรายและน่าพรั่นพรึง ชวนให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น ทว่าก็ยังระคนไปด้วยความตื่นเต้นน่าเย้ายวนที่ไม่สามารถบรรยายได้

ลั่วอี้ในอดีตอ่อนโยนและสุภาพอยู่เสมอ ทว่าลั่วอี้คนที่ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไปแล้วนั้นยังคงสามารถทำตัวเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบในวันธรรมดาได้ แต่ทันทีที่ถอดเสื้ออีกฝ่ายก็ดุร้ายและรวดเร็วราวกับสัตว์ร้ายที่หลุดออกมาจากกรง คืนนั้นเวินเสี่ยวฮุยดื่มมากเกินไปจึงจำทุกอย่างได้เพียงเลือนราง แต่ตอนนี้เขาตื่นตัวเป็นที่สุด ตื่นตัวจนกระทั่งสามารถมองเห็นความปรารถนาที่ลึกซึ้งและรุนแรงภายในดวงตาของลั่วอี้ เมื่อมองไปยังใบหน้าที่บิดเบี้ยวของลั่วอี้ มองดวงตาที่แดงก่ำเนื่องจากความปรารถนาที่จะครอบครองอันแรงกล้า โดยเฉพาะความพึงพอใจในชั่วขณะที่ลั่วอี้สอดใส่อย่างดุเดือดนั้น มันเหมือนว่าเขาได้ครอบครองโลกทั้งใบแล้ว

ในไม่ช้าเขาก็ไม่สามารถมองสำรวจลั่วอี้ได้อีกต่อไป แม้แต่การควบคุมสติของตัวเองก็กลายเป็นเรื่องยากภายใต้การลงทัณฑ์อันแข็งแกร่งของลั่วอี้ เขาทำได้เพียงจมดิ่งอยู่ในห้วงสมุทรแห่งราคะตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย โลกเบื้องหน้าของเขาพลิกกลับ พื้นที่ที่คุ้นเคยตรงหน้าบิดเบี้ยว สติของเขากระจัดกระจาย…

ลั่วอี้เปลี่ยนสถานที่และท่วงท่าต่างๆ ราวกับเป็นบ้า พวกเขาร่วมรักรุนแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ฟ้าสว่างจนกระทั่งภายในห้องมืดสนิท คล้ายต้องการแพร่กระจายกลิ่นอายของทั้งสองคนที่พัวพันกันไปทั่วทุกซอกทุกมุมของคฤหาสน์หลังนี้ เหมือนพิธีพิสดารและลามกอนาจารบางอย่าง เพียงเพื่อขังเวินเสี่ยวฮุยไว้ในมือตลอดไปรวมถึงหัวใจของเขาด้วย

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกตื่นตระหนกในช่วงแรก จากนั้นก็หวาดกลัว จนกระทั่งหมดสติในท้ายที่สุด ทั้งร่างกายและจิตใจของเขารู้สึกได้ถึงธรรมชาติของสัตว์ร้ายอันไม่มีที่สิ้นสุดในตัวของลั่วอี้ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายกระแทกเข้ามาในร่างกายของเขานั้น เขาเข้าใจยิ่งกว่าตอนไหนๆ ว่าลั่วอี้กำลังแก้แค้นต่อการที่เขาจากไป และกำลังร้องขอในสิ่งที่พวกเขาขาดหายมาตลอดสองปี โดยใช้ความสุขที่บ้าคลั่งและสิ้นหวังนี้เพื่อเตือนสติไม่ให้เขาหลงลืมชั่วชีวิต นอกจากนี้เขาก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าครั้งนี้เขาคงไม่มีวันหนีจากคนคนนี้ได้อีกแล้ว…

เมื่อเวินเสี่ยวฮุยตื่นขึ้นมาภายนอกหน้าต่างมืดมิด เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง เขาจำไม่ได้ว่าหมดสติไปตั้งแต่ตอนไหน จำได้เพียงแค่ว่าลั่วอี้ได้มอบความทรงจำที่ชวนตัวสั่นให้แก่เขา

ร่างกายปวดเมื่อยไปหมด ลำคอแห้งผาก เวินเสี่ยวฮุยกัดฟัน ต้องการจะลุกขึ้นมาดื่มน้ำ ทว่าทุกส่วนของร่างกายกำลังประท้วงทุกการเคลื่อนไหวนี้

ลั่วอี้ตื่นขึ้นก่อนถามเสียงเบา “เป็นอะไรไป อยากเข้าห้องน้ำเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยเหลือบมองเขาอย่างดุร้ายท่ามกลางความมืด “ดื่มน้ำ” เสียงของเขาแหบแห้งทันทีที่อ้าปาก

ลั่วอี้พลิกตัวลงจากเตียง ไม่ช้าก็รินน้ำแก้วหนึ่งกลับมาแล้วยื่นมันมาจรดริมฝีปากของเวินเสี่ยวฮุย

เวินเสี่ยวฮุยดื่มน้ำอึกๆ เมื่อของเหลวสดชื่นไหลผ่านลำคอที่แห้งผากก็เจ็บแสบราวกับถูกไฟแผดเผา

ลั่วอี้ลูบคลำใบหน้าของเขา “ยังอยากดื่มอยู่ไหม”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า

“หิวไหม”

เวินเสี่ยวฮุยนอนกลับลงไปบนเตียง ไม่อยากพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

ลั่วอี้พูดอย่างอ่อนโยน “ทำให้พี่เหนื่อยแล้ว พอกลับมาที่นี่ก็มีความทรงจำเยอะเกินไป ผมเลยควบคุมตัวเองไม่ได้…”

เวินเสี่ยวฮุยเอาหูแนบชิดกับหมอน หวังว่าจะไม่ได้ยินเสียงของลั่วอี้อีก แต่เขาก็ยังมีหูอีกข้างหนึ่ง

ลั่วอี้โอบเอวของเขาจากด้านหลัง “เพิ่งจะตีสี่กว่าๆ เวลานี้มันน่าอึดอัดจริงๆ พี่ก็นอนต่ออีกหน่อยเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยยังคงเงียบงัน

ลั่วอี้จูบคอของเขา “แต่ว่าตอนนี้พี่ก็หลับมาเกือบสิบชั่วโมงแล้ว คงนอนต่อไม่หลับแล้วล่ะ ผมนั่งคุยเป็นเพื่อนพี่ดีไหม”

“ฉันอยากนอน” เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงต่ำ

ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “พวกเราคุยกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพี่ก็หลับไปเองแหละ” เขาอดไม่ได้ที่จะจูบเวินเสี่ยวฮุยอีกครั้ง “พี่ชอบหรือเปล่า ไม่มีใครทำให้พี่พึงพอใจไปมากกว่าผมแล้วสินะ พี่ครางอยู่ตลอดเวลา ครางได้น่าฟังมาก เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายคลิปเอาไว้”

ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าว ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างอยู่ในความมืด

“พี่ยังจำคลิปที่พวกเราเคยถ่ายกันได้ไหม สองปีมานี้เวลาที่ผมคิดถึงพี่ก็จะเปิดมันขึ้นมาดู พี่ทั้งมีเสน่ห์และอร่อยแบบนี้ผมจะปล่อยพี่ไปให้คนอื่นได้ยังไง” ลั่วอี้พลิกตัวเวินเสี่ยวฮุยให้หันเข้าหาตัวเอง “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในโลกใบนี้นอกจากพี่แล้วก็ไม่เคยมีใครที่รักผมจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยใจสั่น เขาสามารถมองเห็นดวงตาที่ล้ำลึกดุจมหาสมุทรของลั่วอี้ผ่านแสงจันทร์ มันดูเหมือนมีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างที่สามารถทำให้คนจมน้ำตายได้ เขาแอบหยิกตัวเองแล้วพูดอย่างเย็นชา

“หย่าหย่าทำเพื่อนายมากขนาดนี้ ท้ายที่สุดแล้วเธอเป็นอะไรในสายตาของนายเหรอ”

“พี่ไม่เข้าใจ แม่เป็นคนที่ขัดแย้งในตัวเองมาก เธอเกลียดที่ผมเกิดมา กลัวว่าผมจะเติบโต แต่ก็ไม่สามารถตัดความผูกพันของความเป็นแม่ได้ เธอรักผมงั้นเหรอ ก็อาจจะใช่ แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็เกลียดและกลัวผม เพราะอย่างนั้นผมถึงได้บอกว่าการตายของแม่คือการหลุดพ้น ไม่ได้แค่หลุดพ้นจากเขาคนนั้น แต่เธอยังเลือกที่จะออกไปจากความทรมานต่อความรู้สึกบิดเบี้ยวที่มีให้ผมด้วย อันที่จริงเธอก็อยากจะไปจากผมนั่นแหละ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเย็นวาบในใจ ลั่วอี้ไม่เคยกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาเลย ทว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายหัวใจของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาพี่สาวของเขาต้องทนทุกข์กับความทรมานแบบไหนบ้าง เธออยู่กับหมาป่าชั่วร้ายและให้กำเนิดลูกหมาป่าอีกตัวหนึ่ง ถึงตอนนี้แม้กระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่หย่าหย่าเลือกนั้นดีที่สุดสำหรับเธอแล้ว

“ฉะนั้นถึงมีแค่พี่” ริมฝีปากอ่อนนุ่มของลั่วอี้จูบปลายจมูกของเขา “มีแค่พี่ที่เคยรักผมอย่างบริสุทธิ์ใจ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “นายต้องให้ฉันพูดอีกสักกี่ครั้งว่าคนที่ฉันเคยรักไม่ใช่นาย”

“ถึงจะเป็นผมคนที่เคยเสแสร้ง แต่นั่นก็คือผมเหมือนกัน ลั่วอี้คนนั้นที่พี่ชอบก็คือผม ไม่ใช่คนอื่น ผิวทุกตารางนิ้ว ทุกรายละเอียดที่พี่ชอบ ผมสามารถให้พี่ได้ ถึงผมจะเคยโกหกพี่หลายครั้ง แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้พี่เป็นของจริง เพราะงั้นให้โอกาสผมสักครั้งเถอะนะ ผมสามารถให้พี่ได้ทุกอย่างที่พี่ต้องการ”

เวินเสี่ยวฮุยวางมือบนหน้าอกของลั่วอี้แล้วค่อยๆ ดันตัวออกห่าง ดวงตาที่เป็นประกายของเขามองตรงไปยังอีกฝ่าย

“ลั่วอี้ มันเป็นไปไม่ได้ ทำไมนายยังไม่เข้าใจอีก นอกเสียจากว่าเวลาจะเดินถอยหลังแล้วนายไม่เคยโกหกฉัน ไม่อย่างนั้นอะไรก็เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น นายอยากให้ฉันอยู่ข้างนาย ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นายอยากร่วมรักฉันก็ทำให้ นายอยากให้ฉันทำยังไงฉันก็จะรับปาก ตราบใดที่นายไม่ทำให้ครอบครัวและเพื่อนของฉันเดือดร้อนก็พอ แต่ระหว่างพวกเราก็เป็นได้แค่นี้ กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว”

ลั่วอี้คว้ามือของเขา “แล้วพวกเราเป็นอะไรกัน”

“นายอยากให้มันเป็นแบบไหนก็แบบนั้นแหละ แฟน คู่นอน ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ แล้วแต่นายเลย” เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงเบา “ลั่วอี้ นายเก่ง ฉันชื่นชมนาย ฉันปล่อยให้นายจัดการ แต่สิ่งเดียวที่นายจัดการไม่ได้ก็คือหัวใจของฉัน พวกเราอยู่ในความเป็นจริงกันแล้วเล่นไปตามน้ำเถอะ” พูดจบเขาก็พลิกตัวกลับไปอีกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าของลั่วอี้อีก

ลั่วอี้มองดูแผ่นหลังที่เย็นชาของเวินเสี่ยวฮุย เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วส่งเสียงดังกรอบแกรบ เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้เลยว่าเวินเสี่ยวฮุยจะเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ขนาดนี้ มาถึงตอนนี้เขาก็ได้รู้ซึ้งด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว

ทั้งสองคนนอนไม่หลับทั้งคืนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกแม้แต่คำเดียว เวินเสี่ยวฮุยลืมตาจนฟ้าสว่าง เขาฝืนลุกขึ้นมาอาบน้ำและเตรียมตัวไปรับแม่ที่สนามบิน

ลั่วอี้ก็ลุกขึ้นเช่นกัน จากนั้นก็เลือกเสื้อผ้าและทำอาหารเช้าให้เขาเงียบๆ แล้วให้คนขับรถไปส่งเขาที่สนามบิน

ก่อนจะออกจากคฤหาสน์ลั่วอี้ก้มหน้าลงจูบหน้าผากของเขา “ถ้าผมดีกับพี่สิบปี ยี่สิบปี หรือทั้งชีวิตจะมีสักวันที่พี่จะยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยชำเลืองมองเขาเงียบๆ แล้วหมุนตัวจากไป

หลังจากมองแผ่นหลังของเวินเสี่ยวฮุยที่หายเข้าไปในรถแล้ว ลั่วอี้ก็หยิบมือถือออกมา เขากดเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งแล้วโทรออก เสียงทุ้มต่ำสะท้อนอยู่ในห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า “…ฉันต้องการให้นายทำอะไรบางอย่าง” เขาไม่มีความอดทนพอที่จะรอได้นานถึงขนาดนั้น เขาอยากเห็นเวินเสี่ยวฮุยยิ้มให้เขาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะต้องจ่ายด้วยอะไรก็ตาม

บทที่ 83

 

เวินเสี่ยวฮุยปรากฏตัวที่สนามบินพร้อมกับหลัวรุ่ยอย่างไม่สบายใจนัก เขาเน้นย้ำอีกฝ่ายอยู่หลายรอบ “เดี๋ยวเจอแม่ฉันแล้วต้องให้ความร่วมมือตามที่ฉันพูด ตอนนี้แม่สบายดีมากแล้ว อย่าทำให้เธอต้องเป็นห่วงฉัน”

หลัวรุ่ยพยักหน้าอย่างขุ่นเคือง

เวินเสี่ยวฮุยขยี้ผมที่เป็นลอนน้อยๆ ของเขา “นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก”

“เบบี๋ ฉันเชื่อฟังนาย แต่นายก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ”

“วางใจเถอะ” เวินเสี่ยวฮุยแสยะยิ้ม “นายลืมไปแล้วเหรอ เป้าหมายในชีวิตของฉันก็คือการหาคนอุปถัมภ์ ตอนนี้ก็เป็นจริงแล้วไม่ใช่หรือไง ดีจะตายไป”

หลัวรุ่ยฝืนหัวเราะ

เครื่องบินลงจอดแล้ว เวินเสี่ยวฮุยรออยู่ที่ทางออก สายตาสอดส่องอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินออกมา

“แม่!” เวินเสี่ยวฮุยตะโกนเสียงดัง ดวงตาเปียกชื้นทันใด เขาพุ่งตัวเข้าไปกอดแม่ของเขาอย่างแรง

เฝิงเยวี่ยหวาก็น้ำตารื้นด้วยความตื้นตันเช่นกัน เธอตบๆ หลังของเขาอย่างแรง จากนั้นก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา

“แม่ครับ ผมคิดถึงแม่จังเลย” เวินเสี่ยวฮุยดมกลิ่นหอมสดชื่นจากผมของเธอ เมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่คุ้นเคยเขาก็ไม่สามารถระงับความคับข้องใจ ความหดหู่ และความเจ็บปวดในใจได้อีกต่อไป ความรู้สึกทั้งหมดนั้นหลั่งไหลออกมาพร้อมกับน้ำตา

“เจ้าเด็กบ้านี่ อยากไปก็ไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ นี่แกคิดถึงฉันตรงไหน…” เฝิงเยวี่ยหวาด่าเสียงสะอื้น

“แม่ครับ ผมขอโทษ ผมทำผิดต่อแม่” เวินเสี่ยวฮุยน้ำตานองหน้า ไม่อาจบรรยายความเสียใจที่อยู่ในใจได้เลย ขณะที่กอดคนที่รักที่สุดในโลกใบนี้เขากลับไม่กล้าและไม่สามารถพูดความจริงได้ด้วยซ้ำ ในใจเขามีความคับข้องใจมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถอ้อนและบ่นกับแม่ของตัวเองได้เหมือนตอนเด็กๆ เมื่อก่อนดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะสามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่ๆ ได้ทุกเรื่อง แต่พอโตมาก็ได้รู้ว่ายิ่งปัญหาใหญ่เท่าไรก็ยิ่งต้องแบกรับไว้ด้วยตัวเอง

เฝิงเยวี่ยหวาทุบเขาอย่างแรงอีกสองครั้ง แล้วซบหน้าไว้ที่ไหล่ของเขา ไหล่นั้นกระตุกอย่างรุนแรง

หลัวรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยตาแดงไปด้วย

เวินเสี่ยวฮุยปลอบประโลมเธออยู่นานก่อนที่ทั้งสองจะออกมาจากสนามบิน

หลังจากขึ้นรถเฝิงเยวี่ยหวาก็ปาดน้ำตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “หลัวรุ่ย ขอโทษทีนะ เสียมารยาทไปหน่อย”

“คุณน้าจะเกรงใจอะไรผมกันครับ”

เวินเสี่ยวฮุยโอบไหล่แม่ของเขา “แม่ครับ คราวนี้ผมจะไม่ไปไหนแล้ว จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

เฝิงเยวี่ยหวาคว้ามือของเขา ก่อนสูดหายใจเข้าลึกหนหนึ่ง “แกกับลั่วอี้…ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เวินเสี่ยวฮุยเข้าใจนิสัยของแม่ดี แม่เป็นคนที่มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยเหตุนี้ต่อให้ปัญหานี้ยากที่จะบรรยายมากแค่ไหน เขาก็หลบเลี่ยงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

เขาก้มหน้า “แม่ ผมกับเขา…คืนดีกันแล้ว”

เฝิงเยวี่ยหวาเบิกตากว้าง “แกว่าไงนะ”

เวินเสี่ยวฮุยพยายามแสดงท่าทีผ่อนคลาย “ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมโกรธเขา ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาอีกก็เลยไปที่เผิงเฉิง แต่ตอนนี้ปรับความเข้าใจกันแล้ว พวกเราก็เลย…”

เฝิงเยวี่ยหวาตบหน้าเขาเสียงดังเพียะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคม “นี่แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ!”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนผ่าว เขาเลียริมฝีปาก พูดอย่างดึงดัน “แม่ ตอนนี้ผมตื่นตัวดีมาก สุดท้ายแล้วพวกเราก็รักกัน ช่วงที่ผมปกปิดแม่พวกเราต่างก็เห็นอีกฝ่ายเป็นครอบครัว ต่อมาก็…เอาเป็นว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องเข้าใจผิดมากมาย แต่ตอนนี้ผมคิดจะลองเริ่มต้นใหม่กับเขาอีกครั้ง” เขาพูดแล้วก็รู้สึกตลกสิ้นดี คำพูดเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่ลั่วอี้อยากได้ยินมากที่สุด และเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถพูดได้เวลาที่เผชิญหน้ากับครอบครัวหรือเพื่อน แม้มันจะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง หวังเหลือเกินว่าระหว่างเขากับลั่วอี้จะเป็นเพียงการเข้าใจผิด ไม่ใช่ความเกลียดชังที่ไม่มีทางคลี่คลายได้

เฝิงเยวี่ยหวาเหม่อมองเวินเสี่ยวฮุย สีหน้านั้นซับซ้อนยากจะอธิบาย เธออ้าๆ หุบๆ ปากแล้วพูดเสียงต่ำ

“เดี๋ยวนี้ฉันว่าอะไรแกไม่ได้แล้วใช่ไหม”

เวินเสี่ยวฮุยปวดใจ “แม่ ผมดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”

เฝิงเยวี่ยหวาหลับตาลงแล้วพิงอยู่บนเบาะรถ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอ่อนล้า

เวินเสี่ยวฮุยทั้งปวดใจทั้งรู้สึกผิด เขากดนวดขมับของแม่เบาๆ

เฝิงเยวี่ยหวาเงียบงันไปเนิ่นนานก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วพูดอย่างใจเย็น “ให้เขามาหาฉัน”

มือของเวินเสี่ยวฮุยแข็งค้างกลางอากาศ “แม่ เรื่องนี้มัน…”

“แกอยากคืนดีกับเขาไม่ใช่หรือไง แกคบกับเขามาตั้งนานขนาดนี้ จะไม่พาเขามาเจอฉันหน่อยเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่ว่าเขาจะพูดเก่งสักแค่ไหน ทว่าเขาก็ไม่สามารถโต้แย้งภายใต้สายตาที่ดุดันของแม่ได้เลย

หลัวรุ่ยมองเวินเสี่ยวฮุยจากกระจกมองหลังครู่หนึ่ง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง เหงื่อเย็นซึมอยู่บนหน้าผาก อันที่จริงเขาก็เหมือนกับเวินเสี่ยวฮุยที่ตอนเด็กๆ ค่อนข้างกลัวเฝิงเยวี่ยหวา แม้เฝิงเยวี่ยหวาจะดีกับเขามากมาโดยตลอด แต่ความแข็งแกร่งและความฉุนเฉียวของเธอก็มักอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดการเติบโตเสมอมา

เวินเสี่ยวฮุยเม้มริมฝีปาก “…ได้”

“วันนี้เลย”

“แม่ แม่เพิ่งลงจากเครื่อง พักผ่อนสักหน่อยก่อนเถอะ”

“ฉันไม่เหนื่อย แกไปเรียกเขามาวันนี้เลย” เฝิงเยวี่ยหวาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วไม่พูดอะไรอีก

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว ก่อนหยิบมือถือออกมาอย่างลังเล เขาร้องขอลั่วอี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ให้ปรากฏตัวต่อหน้าแม่ของเขา คิดไม่ถึงว่าแม่กลับร้องขอที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายเสียเอง…หลังจากทั้งสองคนเจอกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แม่ของเขาทั้งอ่อนไหวและเฉียบแหลมขนาดนั้น จะค้นพบสิ่งที่เขาซ่อนอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เขาไม่กล้าคิดมากแล้ว เขาส่งข้อความหาลั่วอี้ด้วยนิ้วที่สั่นเทาเล็กน้อย และบอกให้ลั่วอี้มาที่ห้องของเขาตอนบ่ายสามโมง

 

เมื่อกลับถึงห้องเฝิงเยวี่ยหวาก็ไปอาบน้ำ ส่วนเวินเสี่ยวฮุยกับหลัวรุ่ยกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว

หลัวรุ่ยพูดเสียงเบา “คุณน้าอยากเจอลั่วอี้จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยแสร้งพูดอย่างสบายใจ “น่าจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง แม่ฉันก็ไม่ได้กินคนสักหน่อย”

หลัวรุ่ยมองเขาคล้ายกำลังครุ่นคิด

เวินเสี่ยวฮุยพูด “เป็นอะไรไป”

“นายดูตื่นเต้นมาก”

“…นิดหน่อยมั้ง ถ้าแม่ฉันถามอะไรนาย นายอย่าพูดจาส่งเดชนะ”

“นายหมายถึงอะไร”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “ถ้าแม่ฉันถามว่าพวกเราคบกันเป็นยังไงบ้าง นายแค่บอกว่าดีก็พอ”

หลัวรุ่ยขมวดคิ้ว “นายจะโกหกคุณน้าเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยเน้นเสียง “ไม่ได้ให้นายโกหก อันที่จริงตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้แย่เท่าไร นายก็อย่าคิดเหลวไหลแล้วกัน”

หลัวรุ่ยพูดอย่างลังเล “…ก็ได้”

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าหั่นผัก ไม่กล้ามองหลัวรุ่ยตรงๆ

“พี่ใหญ่หลี…”

เวินเสี่ยวฮุยมือสั่น คมมีดหั่นโดนนิ้วของเขา เลือดพลันไหลออกมาในทันที

หลัวรุ่ยรีบเอานิ้วของเขาล้างน้ำผ่านก๊อก เวินเสี่ยวฮุยหดมือกลับด้วยความหงุดหงิด

“ไม่เป็นไร…พี่ใหญ่หลีเป็นยังไงบ้าง”

หลัวรุ่ยพูดอย่างหดหู่ “นายไม่คิดจะติดต่อพี่ใหญ่หลีอีกแล้วจริงๆ เหรอ วันนั้นนาย…ทำร้ายเขาเกินไปแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยระคายเคืองจมูกเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างหัวแข็ง “ไม่ติดต่อแล้ว มันเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย”

“แต่ว่า…”

“นายเลิกเซ้าซี้สักทีได้ไหม!”

หลัวรุ่ยตกใจจนตัวสั่น ดวงตาพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเสียใจในทันที ทว่าคำพูดนั้นก็เอ่ยออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เอามันกลับคืนมาไม่ได้ เขาพูดอย่างหดหู่

“ขอโทษที ฉันเครียดไปหน่อย”

หลัวรุ่ยก้มหน้า ปกปิดความอึดอัดด้วยการล้างผัก

ทันใดนั้นเวินเสี่ยวฮุยก็ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลัวรุ่ยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขารู้ว่าหลัวรุ่ยยังคงสงสัยในคำพูดของเขา สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วอี้ หลัวรุ่ยเป็นคนไร้เดียงสาแต่ไม่ได้โง่ ตรงกันข้ามอีกฝ่ายเป็นคนที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางปิดบังความรักระหว่างเขากับลั่วอี้จากหลัวรุ่ยได้เลย ในขณะเดียวกันก็เสแสร้งไม่ได้ด้วย เกรงว่าหลัวรุ่ยคงจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งนานแล้วเพียงแต่ไม่ยอมรับก็เท่านั้น เขาพอจะจินตนาการออกว่าหลัวรุ่ยจะเสียใจมากแค่ไหนต่อการปิดบังและคำโกหกของเขา การสร้างความเชื่อใจต้องใช้ความซื่อสัตย์เป็นระยะเวลานาน ทว่าการทำลายความเชื่อใจนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอแล้ว หลัวรุ่ยจะต้องผิดหวังมากแน่ๆ

ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกทรมานจนรู้สึกเจ็บหน้าอก ลั่วอี้จะต้องพรากสิ่งที่อยู่ในชีวิตของเขาไปมากแค่ไหนกันถึงจะยอมรามือ

หลังจากทำอาหารเสร็จทั้งสามคนก็นั่งล้อมวงกินข้าวกัน พวกเขาต่างก็ไม่เอ่ยถึงลั่วอี้ไปโดยปริยาย แต่พูดคุยถึงช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันกว่าสองปี

เวินเสี่ยวฮุยฟังเฝิงเยวี่ยหวาเล่าถึงชีวิตที่อเมริกาเงียบๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้มแห่งความสุข ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจหาใดเปรียบ

หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเขาก็นั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น เวินเสี่ยวฮุยอดไม่ได้ที่จะดูเวลา และยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

บ่ายสามโมงเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นแทบจะตรงเวลา

หน้าอกของเฝิงเยวี่ยหวากระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่จับจ้องไปยังประตูห้อง

เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นไปเปิดประตู ในห้องของเขามีฉากกั้นระหว่างประตูห้องกับห้องนั่งเล่น เขาคว้าลูกบิดประตู ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดออก

ลั่วอี้ยืนอยู่ด้านนอกพร้อมด้วยรอยยิ้ม วันนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อสูทแต่สวมชุดลำลองและรองเท้าบาสเกตบอลแทน อีกทั้งยังใส่หมวกแก๊ปด้วย ทำให้เขาดูเหมือนเด็กนักเรียนอย่างสมบูรณ์ ท่วมท้นไปด้วยลมหายใจของความสดใสแห่งวัยเยาว์

เนื่องจากความเป็นผู้ใหญ่และสติปัญญาที่เป็นเลิศของลั่วอี้ เวินเสี่ยวฮุยจึงมักลืมอยู่เสมอว่าที่จริงแล้วลั่วอี้เพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น การแต่งตัวแบบนี้ทำให้ผู้คนลดความระวังตัวลงมากอย่างเห็นได้ชัด

ลั่วอี้กะพริบๆ ตา ก่อนพูดเสียงเบา “ไม่ต้องตื่นเต้น”

เวินเสี่ยวฮุยหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากในตู้รองเท้าก่อนจะพูดเสียงต่ำ “นายเอาให้เธอเองเถอะ” มันคือเครื่องประดับหยกที่ลั่วอี้ขอให้เขามอบให้แม่ของเขา

ลั่วอี้รับถุงกระดาษมาแล้วก้มหน้าลงจูบเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินเข้าห้องไป

เฝิงเยวี่ยหวากับหลัวรุ่ยหันมามองพวกเขาพร้อมกัน

ลั่วอี้เผยรอยยิ้มอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ เขาพูดอย่างสบายๆ “สวัสดีครับคุณป้า พี่หลัวรุ่ย พี่ก็อยู่ด้วยเหรอ”

สีหน้าของหลัวรุ่ยดูอึดอัดมาก

เฝิงเยวี่ยหวาตะลึงงัน ไม่รู้เป็นเพราะใบหน้าของลั่วอี้ที่เหมือนกับลั่วหย่าหย่าถึงเก้าส่วน หรือเป็นเพราะบุคลิกอ่อนเยาว์ที่ทั้งสดชื่นและสุภาพเรียบร้อยของเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ชัดเจนว่าทำให้เธอประหลาดใจมาก

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าลั่วอี้ในจินตนาการของเฝิงเยวี่ยหวาเป็นอย่างไร แต่เด็กน้อยอายุแปดขวบที่ถูกเรียกว่า ‘สัตว์ประหลาด’ และคิดที่จะเผาพ่อของตัวเองคงจะไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของเธออย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงสามารถเข้าใจความประหลาดใจของเธอได้ ก็เหมือนเขาในตอนแรกที่ไม่เชื่อว่าลั่วอี้ที่อ่อนโยนและเอาใจใส่ถึงเพียงนั้นจะมีปีศาจซ่อนอยู่ในหัวใจ

เฝิงเยวี่ยหวาได้สติจากอาการตื่นตระหนก หลังจากสีหน้าที่ตึงเครียดในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยความมึนงงก็ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เธอไอเบาๆ ทีหนึ่ง “เอ่อ…สวัสดี นั่งสิ” คนเรามักทำใจตบหน้าคนที่สำนึกผิดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าเธอจะมีข้อสงสัยและอคติต่อลั่วอี้มากเพียงใด แต่ในเวลานี้ก็ไม่สามารถที่จะเผยมันออกมาได้เลย

ลั่วอี้กับเวินเสี่ยวฮุยเดินไปนั่งลงบนโซฟา ลั่วอี้วางของขวัญลงตรงหน้าเฝิงเยวี่ยหวาอย่างใส่ใจ

“คุณป้า นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เดิมทีผมกะว่าจะให้ในวันแต่งงานของคุณป้า แต่ว่า…” เขาเผยรอยยิ้มเขินอาย “ตอนนั้นผมกับพี่เสี่ยวฮุยมีเรื่องผิดใจกัน ก็เลยทำให้คุณป้าต้องพลอยเป็นกังวลไปด้วย”

เฝิงเยวี่ยหวาพูดทันที “ฉันจะรับน้ำใจของเธอไว้ แต่ฉันขอไม่รับของขวัญก็แล้วกัน”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่แค่สำหรับพี่เสี่ยวฮุยเท่านั้น แต่ผมอยากขอบคุณคุณป้าแทนแม่ของผม คิดซะว่าเห็นแก่แม่ของผม คุณป้าก็ควรจะรับไว้นะครับ”

เฝิงเยวี่ยหวาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ฉันก็มีเรื่อง…ที่ทำผิดต่อหย่าหย่าเหมือนกัน ฉันรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าฉันจะรับน้ำใจไว้ก็แล้วกัน”

ลั่วอี้พูดอย่างผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นผมจะฝากไว้ที่พี่เสี่ยวฮุยให้ดูแลแทนคุณป้าแล้วกันนะครับ ผมรู้ว่าคุณป้ามีเรื่องกังวลเกี่ยวกับผมเยอะมาก ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณป้ายอมรับผมด้วยใจจริงจริงๆ ค่อยรับมันไว้ก็ไม่สาย”

ลั่วอี้พูดจาอย่างไร้ช่องโหว่ ทำให้เฝิงเยวี่ยหวาไม่อาจปฏิเสธได้แม้อยากจะปฏิเสธมากสักแค่ไหนก็ตาม ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสองนาทีนับตั้งแต่ที่ลั่วอี้เข้าประตูมา บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจากที่ทุกคนคาดไว้

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเป็นกังวลดี เขานึกว่าลั่วอี้จะได้รับคำตำหนิและถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรง ทว่าแม่ของเขาที่แข็งแกร่งอยู่เสมอกลับไม่สามารถระเบิดอารมณ์ต่อหน้าลั่วอี้ที่สงบและสุภาพแบบนี้ได้

เฝิงเยวี่ยหวาน่าจะตระหนักถึงจุดนี้ได้เช่นกัน เธอกระแอมกระไอเบาๆ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ วันนี้ที่ฉันอยากเจอเธอ ข้อแรกเพราะอยากเห็นว่าเธอเป็นคนยังไงกันแน่ ข้อสองเพราะอยากคุยกับเธอเรื่องของเสี่ยวฮุย”

ลั่วอี้ยิ้มอย่างสุภาพ “คุณป้าว่ามาเลยครับ” เขาถอดหมวกแก๊ปแล้วจัดทรงผมที่ถูกหมวกทับไว้จนยุ่งเหยิง ท่าทางสบายๆ ของเขาเผยให้เห็นความไร้เดียงสาอันเลือนราง

หลัวรุ่ยมองอย่างตกตะลึง เวินเสี่ยวฮุยเองก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ทักษะการแสดงของลั่วอี้นั้นไร้ที่ติ

คำพูดที่เฝิงเยวี่ยหวาคิดมาอย่างดีล้วนไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ เธออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างติดอ่างเล็กน้อย

“เอ่อ…ตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่”

“เปิดบริษัทของตัวเองครับ” ลั่วอี้พูดอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ตั้งบริษัทเองเหนื่อยใช่เล่นเลย”

“อายุแค่นี้ก็เปิดบริษัทแล้วเหรอ เธออายุเท่าไร”

“ย่างยี่สิบเอ็ดครับ ผมเรียนจบเร็ว” ลั่วอี้ยิ้มขณะเอ่ย “พี่เสี่ยวฮุยไม่ได้บอกคุณป้าเหรอครับว่าผมเรียนข้ามชั้น”

“อ่อ เหมือนเคยบอกอยู่นะ” เฝิงเยวี่ยหวาเหลือบมองเวินเสี่ยวฮุยด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน

“ถึงจะเหนื่อยแต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีมาก อีกอย่างมีพี่เสี่ยวฮุยอยู่ข้างผม ผมก็รู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษ” ลั่วอี้ยิ้มจนตาแทบจะกลายเป็นสระอิ “คุณป้าครับ ผมยืนกรานจะให้ของขวัญคุณป้าเพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะขอบคุณคุณป้ายังไงดี คุณป้ากับคุณลุงช่วยแม่ของผมไว้ แล้วพี่เสี่ยวฮุยก็มาช่วยผมอีก…ไม่สิ ควรจะพูดว่าพี่เสี่ยวฮุยช่วยชีวิตผม ผมอยากขอบคุณที่คุณป้าส่งเขามาอยู่ข้างๆ ผม สำหรับผมแล้วพี่เขาสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”

เฝิงเยวี่ยหวาเบิกตากว้าง อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

ลั่วอี้ยิ้มอย่างเหนียมอาย “ตอนเด็กๆ ไม่มีใครดูแลผม ผมก็เลยมีนิสัยปิดกั้นตัวเองแล้วก็ผิดแปลกจากคนอื่น บ่อยครั้งที่ผมไม่คุยกับใครอยู่หลายวัน ความคิดก็ต่างจากคนทั่วไป แต่ว่าตั้งแต่ที่พี่เสี่ยวฮุยเดินเข้ามาในชีวิตผม เขาก็สอนวิธีสื่อสารและการทำตัวเหมือนคนปกติให้กับผม จะพูดว่าเขาได้เปิดโลกใบใหม่ให้ผมก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา อย่าว่าแต่บริษัทเลย การไปเรียนก็อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับผมด้วยซ้ำ” ลั่วอี้กุมมือของเวินเสี่ยวฮุยเบาๆ พลางหันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นทั้งอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนให้หวั่นไหว

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ส่วนทางด้านเฝิงเยวี่ยหวาก็กะพริบตา สมองงุนงงไปชั่วขณะ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: