X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 5

 

เฉาไห่พาพวกเขาไปส่งที่หน้าเขตอันเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ เขตเล็กๆ แห่งนี้น่าจะมีอายุแล้ว แต่ว่าบำรุงรักษาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังมีอัตราการเข้าอยู่อาศัยหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะที่นี่มีทำเลยอดเยี่ยม อีกทั้งราคาก็สูงลิ่ว

ลั่วอี้ยกจักรยานลง “คุณอาเฉา ขอบคุณนะครับ ขับรถระวังด้วย”

“โอเค เธอก็ดูแลตัวเองให้ดี”

เวินเสี่ยวฮุยจับมือกับเฉาไห่ ดวงตากลมโตจ้องเฉาไห่ไม่วางตาพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้าอันคลุมเครือ

“บ๊ายบายครับ ทนายเฉา”

เฉาไห่ยิ้ม เขาโบกมือและจากไปแล้ว

ลั่วอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ คนทั้งสองหรี่ตาลงเล็กน้อย ในรอยยิ้มของเขามีความขี้เล่นแฝงอยู่จางๆ

“พี่เสี่ยวฮุย เข้าไปกันเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปในเขตพักอาศัยกับเขา “เอ๋? ทนายเฉาเขานิสัยไม่เลวเลยนะ เขาอายุเท่าไรเหรอ”

“เหมือนจะสามสิบสองแล้ว เขาไม่เลวจริงๆ เด่นทั้งการงานและครอบครัว แล้วก็เป็นผู้ชายที่มีมันสมองมากด้วย”

เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างผิดหวัง “อ่อ เขาแต่งงานแล้ว”

“ใช่ ทำไมเหรอ”

“ไม่มีอะไร” เวินเสี่ยวฮุยเปลี่ยนหัวข้อ “นายกับพี่สาวของฉันอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ”

“ผมอยู่ที่นี่ตลอด”

“หมายความว่ายังไง”

“ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กจนโต แต่ว่าแม่ไม่ค่อยกลับมา”

“แล้วเธออยู่ที่ไหน”

“ยุ่งกับงานล่ะมั้ง แล้วก็มีเรื่องอื่นที่ผมไม่รู้” ลั่วอี้พูดอย่างสบายๆ มาก

ทั้งสองคนมาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์สามชั้นครึ่ง ครึ่งหนึ่งของชั้นบนสุดเป็นห้องใต้หลังคา อีกครึ่งหนึ่งเป็นสวนดอกไม้บนดาดฟ้า ลั่วอี้เอาจักรยานเข้าไปจอดในลาน

เวินเสี่ยวฮุยถาม “นายไม่ล็อกเหรอ”

“ชุมชนนี้ปลอดภัยมาก มีกล้องวงจรปิดทุกที่ ไม่เป็นไรหรอก” ลั่วอี้เปิดประตูคฤหาสน์ก่อนยิ้มให้เวินเสี่ยวฮุย “ยินดีต้อนรับสู่บ้านของผม”

เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไป ภายในคฤหาสน์สะอาดยิ่ง การตกแต่งเรียบง่ายและกว้างขวาง มีแกรนด์เปียโนสีขาวบริสุทธิ์ตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ตัวคฤหาสน์ให้บรรยากาศเย็นเยียบเล็กน้อย เขาอดที่จะถามไม่ได้

“นายอยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้คนเดียวตั้งแต่เด็กเหรอ แล้วใครดูแลนาย”

“ตอนเด็กๆ มีพี่เลี้ยง พอโตก็ไม่ต้องมีคนดูแลแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว เขาเป็นคนที่มีพ่อแม่เลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก เลยจินตนาการไม่ค่อยออกว่าการไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกายนั้นรู้สึกอย่างไร ลั่วอี้นับได้ว่าอยู่ในครอบครัวที่มีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่แม่ก็ไม่ค่อยกลับมาบ้าน เด็กหนุ่มจะโดดเดี่ยวแค่ไหนกันนะ และเพราะเขาไม่ใช่คนที่จะสงบปากสงบคำจึงโพล่งออกมาอีกครั้ง

“แล้วพ่อของนายล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเสียใจทันทีที่ถามจบเพราะเขาเห็นว่าแผ่นหลังของลั่วอี้แข็งทื่อไปครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

เขาเพียงแต่ได้ยินลั่วอี้พูดอย่างเฉยเมยว่า “เจอกันน้อยมาก”

เวินเสี่ยวฮุยไม่กล้าถามอะไรส่งเดชอีก เขามองไปรอบๆ ก่อนสายตาจะมาหยุดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง รูปถ่ายของลั่วหย่าหย่ากับลั่วอี้ในช่วงเวลาต่างๆ ทั้งวัยเด็กและวัยรุ่นแขวนอยู่บนผนัง เขาไม่ได้เห็นรูปถ่ายในวัยเด็กของหย่าหย่านานแล้ว ใบหน้านั้นเป็นความงามที่ล่มเมืองได้จริงๆ อีกทั้งยังกลายเป็นมรดกตกทอดให้ลั่วอี้อย่างสมบูรณ์แบบ สองแม่ลูกหน้าตาเหมือนกันมาก เวลาที่เขามองดูลั่วอี้ก็เหมือนได้เห็นลั่วหย่าหย่าในวัยเยาว์ พี่สาวที่เขาเคยเคารพที่สุด ชอบที่สุด และภาคภูมิใจที่สุด ตอนนี้สามารถมีตัวตนได้เพียงแค่ในความทรงจำของเขาเท่านั้น

บนตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ด้านล่างของผนังรูปถ่ายมีถ้วยรางวัลเรียงรายกันเป็นแถว เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปดู อันที่เขียนด้วยภาษาจีนเขาอ่านออก มีรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกและรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันฟิสิกส์ระดับนานาชาติมากมาย ทั้งยังมีถ้วยรางวัลการแข่งขันยิงธนู สกี และเปียโน ส่วนอันที่เป็นภาษาอังกฤษและตัวอักษรยุ่งเหยิงนั้นเขาอ่านไม่ออกแล้ว เขาหยิบขึ้นมาใบหนึ่งแล้วหันไปหาลั่วอี้

“ว้าว นายก็สุดยอดไปเลยแฮะ พวกนี้มันคืออะไรเหรอ”

ลั่วอี้กำลังต้มน้ำ “ที่พี่ถือในมือคือถ้วยรางวัลแชมป์เยาวชนการแข่งขันมวยไทยนานาชาติ พวกนี้เป็นรางวัลที่ผมชนะมาจากการเข้าร่วมแข่งขันรายการต่างๆ น่ะ พี่จะดื่มอะไร”

“นายเข้าร่วมการแข่งขันกี่อย่างเนี่ย”

“เอ่อ…ก็เยอะใช้ได้ ผมค่อนข้างเก่งพวกคณิตศาสตร์ โต้วาที ประดิษฐ์ของ ภาษา ยิงธนู ยิงปืน สกี แล้วก็มวยไทย ส่วนเปียโนกับเชลโลพอไปวัดไปวาได้ แต่อันที่เป็นมือสมัครเล่นก็พวกขี่ม้า เทนนิส แล้วก็ฟันดาบ ผมเป็นพวกไฮเปอร์น่ะ อยู่นิ่งไม่ได้ก็เลยชอบเรียนนั่นฝึกนี่ พี่เสี่ยวฮุย พี่จะดื่มอะไร ชาได้ไหม”

กรามของเวินเสี่ยวฮุยรับแรงดึงดูดไม่ค่อยได้ เขาเกือบจะตาบอดเพราะรัศมีเด็กเรียนที่เปล่งประกายบนตัวของลั่วอี้ เขาพูดติดอ่าง

“มะ…ไม่ล่ะ ฉันดื่มโค้ก”

“ขอโทษที ที่บ้านไม่มีโค้ก ผมคั้นน้ำผลไม้ให้พี่ก็แล้วกัน”

“โอเค” เวินเสี่ยวฮุยวางถ้วยรางวัลกลับไปอย่างสั่นๆ แล้วจัดเรียงอย่างเรียบร้อย จากนั้นเขาก็พนมมือไหว้ถ้วยรางวัลต่างๆ ที่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด โดยหวังว่าตัวเองจะได้รับรัศมีของเด็กเรียนมาบ้าง

ลั่วอี้หันกลับมาก็เห็นกิริยานี้ของเวินเสี่ยวฮุยเข้าพอดี รอยยิ้มจางๆ วาบผ่านดวงตา

เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงบนโซฟา ลั่วอี้วางแก้วน้ำผลไม้สีเขียวลงตรงหน้าเขา “แตงกวาผสมกีวี่”

เวินเสี่ยวฮุยหยิบขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง รสชาติไม่นับว่าแย่แต่ก็ไม่ได้เลิศเลออะไรขนาดนั้น เขาขมวดคิ้ว

“เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งสักหน่อยเถอะ”

ลั่วอี้จ้องหน้าเขา “ทั้งสองอย่างนี้ลดอาการบวมน้ำ ไม่เติมจะให้ผลได้ดีกว่า”

เวินเสี่ยวฮุยสัมผัสใบหน้าของตัวเองด้วยความประหม่าเล็กน้อย “หน้ากับเปลือกตาของฉันยังบวมอยู่อีกเหรอ แย่แล้ว รอยตีนกาจะขึ้นแล้วสิ ปกติหน้าของฉันเล็กกว่านี้ ตาก็โตกว่าตอนนี้ด้วย จริงๆ นะ”

“ผมรู้”

“นายรู้?”

“ผมเคยเห็นรูปของพี่”

“หา? พี่สาวของฉันให้นายดูเหรอ”

“อืม”

ทั้งสองคนจมลงสู่ความเงียบที่น่าอึดอัด เดิมทีก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันจึงไม่รู้ว่าจะคุยอะไรไปชั่วขณะ

เวินเสี่ยวฮุยครุ่นคิดแล้วพูด “ไอคิวของนายสูงขนาดนี้ กินอะไรเป็นอาหารเหรอ”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พรสวรรค์ล่ะมั้ง”

“นายเพิ่งจะสิบห้า แถมยังต้องไปโรงเรียน ทำไมถึงมีเวลาเรียนรู้อะไรเยอะขนาดนั้น”

“พี่คิดเรื่องพวกนี้ซับซ้อนเกินไปแล้ว ที่ผมเข้าร่วมมีแต่การแข่งขันระดับเยาวชน คนส่วนใหญ่ก็มาแข่งกันเล่นๆ”

เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ ต่อให้มาแข่งเล่นๆ คนธรรมดาเล่นแค่อย่างสองอย่างก็เพียงพอแล้ว เขาจำได้ว่าแม้หย่าหย่าจะค่อนข้างฉลาด แต่ว่าสติปัญญาก็ยังไม่สูงถึงขั้นที่จะบดขยี้ผู้อื่นได้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะให้กำเนิดลูกชายที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้

ลั่วอี้พูด “พี่เสี่ยวฮุย หิวหรือเปล่า เย็นนี้ก็กินข้าวที่นี่เถอะ”

“ได้ นายจะทำเองเหรอ ฉันทำไม่เป็นหรอกนะ”

ลั่วอี้ยิ้มก่อนเอ่ย “ผมทำเอง” เขาหยิบปากกาขึ้นมาแล้วจดชุดตัวเลข “รหัสไวไฟ พี่เล่นไปเถอะ ผมจะไปทำอาหาร”

“โอเค”

หลังจากลั่วอี้จากไปแล้วเวินเสี่ยวฮุยทรุดตัวลงบนโซฟาหนังตัวใหญ่ เขาหลับตาลง

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เกินจริงไปมาก จนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลย เขาได้กลายเป็นผู้ปกครองของเด็กหนุ่มอัจฉริยะแปลกหน้าไปแล้วจริงๆ น่ะเหรอ เขาไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับคำว่า ‘ผู้ปกครอง’ สามพยางค์นี้เลยสักนิด เขาไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรเพื่อลั่วอี้ได้บ้าง เห็นได้ชัดว่าลั่วอี้ทั้งฉลาดและมีความสามารถมากกว่าเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาซ่อนงำเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้จากแม่ของเขาและเซ็นชื่ออย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ตอนนี้เขายิ่งไม่กล้าบอกแม่เข้าไปใหญ่

แต่เขาจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ ตอนที่หย่าหย่าอ้อนวอนเขาในจดหมาย หรือแม้แต่ตอนที่ลั่วอี้บอกว่าหย่าหย่าต้องการจะให้เด็กหนุ่มมีครอบครัวสักคน…

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ เขาได้ผ่านวันที่ดูเงียบสงบทว่าบ้าคลั่งมาแล้ว

โซฟานั้นสบายมาก ทั้งร่างกายของเขาจมลงไป และด้วยความที่มันรองรับสรีระได้อย่างดีเยี่ยมเวินเสี่ยวฮุยจึงผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน

นอนไปได้ไม่เท่าไรเขาก็ได้ยินคนเรียกเขาที่ข้างหู

เขาลืมตาขึ้นก็พบกับดวงตาที่ทั้งใหญ่ทั้งสว่างไสวคู่หนึ่ง ใบหน้าของลั่วอี้อยู่ใกล้เพียงคืบ ใกล้ถึงขั้นที่เขาสามารถมองเห็นเส้นขนบางๆ บนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ผิวแบบนี้ต่างหากที่อ่อนโยนจนน้ำสามารถหยดออกมาได้ เวินเสี่ยวฮุยคิดอย่างอิจฉา

เขาหาว “ฉันหลับไปเหรอ”

“อืม ถ้าพี่ง่วงล่ะก็ กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนที่นี่เถอะ”

“ไม่ได้ ถ้าไม่กลับห้องตอนกลางคืนแม่ด่าฉันแน่”

ลั่วอี้หัวเราะ “พี่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอยังคุมพี่อยู่อีกเหรอ”

“คุมสิ ดุจะตาย” เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจ “หอมจังเลย นายทำอะไรน่ะ”

“ข้าวห่อไข่”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ “นายก็ชอบกินข้าวห่อไข่เหมือนกันเหรอ”

“เพราะพี่ชอบกิน”

เวินเสี่ยวฮุยนิ่งไป “พี่สาวฉันบอกนายเหรอ”

ลั่วอี้พยักหน้า “แม่เคยบอกว่าพี่ชอบกินข้าวห่อไข่ที่แม่ทำที่สุด”

สีหน้าของเวินเสี่ยวฮุยมืดมนลงทันใด เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ทั้งเสียใจแต่ก็ซาบซึ้ง

ลั่วอี้เชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมบอกแล้วว่าอย่าเสียใจเพราะแม่ พี่ควรจะดีใจกับเธอมากกว่า”

เสียงของลั่วอี้เจือปนเสน่ห์ที่ยากจะอธิบาย เวินเสี่ยวฮุยสติหลุดไปครู่หนึ่ง

เขาส่ายหน้า “ฉันไม่เข้าใจความคิดของนาย คนตายไปแล้วก็คือไม่มีแล้ว ไม่สามารถสัมผัส ได้ยิน หรือมองเห็นได้อีก แบบนี้จะไม่ให้ไม่ทรมานได้ยังไง จะดีใจกับเธอได้ยังไง”

“คิดว่าเธอได้หลุดพ้นและไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ทำไมจะไม่ดีใจกับเธอล่ะ”

“แล้วนายล่ะ” เวินเสี่ยวฮุยเสียงสั่นเล็กน้อย “นายเสียแม่นายไป นายไม่เสียใจเหรอ”

ลั่วอี้ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พูดว่า “มากินข้าวเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอึดอัดในใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนที่มีความคิดแบบลั่วอี้ เป็นไปได้ไหมว่าวงจรสมองของคนที่มีไอคิวสูงนั้นแตกต่างจากคนปกติ

เขานั่งลงที่โต๊ะกินข้าวแล้วมองดูไข่เจียวสีเหลืองอ่อนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนจานกระเบื้องสีขาวบริสุทธิ์ เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกระคายเคืองจมูกเล็กน้อย เขาลองชิมไปหนึ่งคำ รสชาตินั้นเหมือนกับที่เขาจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน

ลั่วอี้ถามขึ้น “อร่อยไหม”

“อร่อย” เวินเสี่ยวฮุยมองเขา “พี่สาวฉันพูดถึงเรื่องของฉันให้นายฟังเหรอ”

“อืม พูดถึงบ่อย แถมยังให้ผมดูรูปพี่ด้วย” ลั่วอี้นิ่งไป “แล้วก็เคยพาผมไปดูพี่ที่โรงเรียนด้วย พี่แค่ไม่รู้”

“ทำไมล่ะ” เวินเสี่ยวฮุยไม่อาจเข้าใจได้ “หลายปีมานี้ฉันรู้ว่าเธอมีลูก แต่ว่าอายุเท่าไร ผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันไม่เคยรู้เลย เธอเองก็ไม่เคยพูด ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่พานายมาเจอฉันล่ะ”

“แม่ไม่อยากทำให้พี่กับคุณนายเฝิงต้องลำบาก” ลั่วอี้หลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ

เวินเสี่ยวฮุยรู้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับพ่อของลั่วอี้จึงกลืนเอาความสงสัยกลับลงท้องไป

ช้อนของลั่วอี้กระทบกับจานกระเบื้อง เสียงใสดังขึ้นระหว่างคนทั้งสองที่อยู่ตกอยู่ในความเงียบ ช่างดูเหงาเป็นพิเศษ

ลั่วอี้กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เพราะอย่างนั้นแม้พี่จะไม่รู้ว่าผมมีตัวตน แต่ผมก็เห็นพี่เป็นครอบครัวมาโดยตลอด”

เวินเสี่ยวฮุยมองดูเด็กหนุ่มก้มศีรษะ ขนตาขยับเบาๆ ดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาและน่าสงสาร เขาเอื้อมมือออกไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ

“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปพี่เสี่ยวฮุยจะปกป้องนายเอง”

หลังจากกินข้าวเสร็จลั่วอี้ก็พูดขึ้น “พี่เสี่ยวฮุย พี่อยากชมบ้านหน่อยไหม”

“เอาสิ” เวินเสี่ยวฮุยหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดปาก จากนั้นก็ทาลิปบาล์มอย่างระมัดระวัง

“ไปกัน”

ชั้นหนึ่งหลักๆ เป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องพี่เลี้ยง และห้องเก็บของ ชั้นสองทั้งชั้นมีสามห้องนอน ลั่วอี้ผลักเปิดประตูห้องที่อยู่ใกล้กับบันไดมากที่สุด

“นี่คือห้องของแม่ ส่วนห้องข้างๆ ที่ทะลุถึงกันเป็นห้องแต่งตัวของเธอ ตรงข้ามเป็นห้องออกกำลังกาย”

เวินเสี่ยวฮุยจับที่กรอบประตู ฝีเท้าหนักอึ้งเล็กน้อย

ลั่วอี้กระซิบข้างหูเขา “เข้าไปดูสิ”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจในใจแล้วเดินเข้าไป

ห้องของลั่วหย่าหย่าถูกตกแต่งอย่างหรูหราขัดกับการตกแต่งที่เรียบง่ายและสง่างามของคฤหาสน์ทั้งหลัง เฟอร์นิเจอร์อิตาลีที่ทำจากไม้แท้และผ้าห่มขนมิงก์หนานุ่มบนเตียงสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความมั่งคั่งของเจ้าของ การจัดเรียงทุกอย่างในห้องล้วนเป็นระเบียบอย่างยิ่งคล้ายกับไม่มีคนแตะต้องมันมานานแล้ว ทว่าพื้นไม้กลับเพิ่งลงแวกซ์เงาวับอย่างไร้ที่ติ ซึ่งความขัดแย้งนี้ทำให้ห้องดูเย็นเยียบยิ่งขึ้น

รูปถ่ายของลั่วหย่าหย่าถูกแขวนอยู่ที่หัวเตียง ในรูปเธอใส่เครื่องประดับอัญมณีแวววับ คิ้วตาคมเข้ม งดงามจนดูเย่อหยิ่ง เวินเสี่ยวฮุยไม่เคยเห็นลั่วหย่าหย่าที่เป็นแบบนี้ ลั่วหย่าหย่าในความทรงจำของเขาจะไม่แสดงท่าทีที่ทั้งเย็นชาและเฉียบคมเช่นนี้

เวินเสี่ยวฮุยเดินมาที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่นั้นเหมือนกับตู้จัดแสดงเครื่องสำอาง เวินเสี่ยวฮุยล้วนใฝ่ฝันอยากได้ทุกอย่างที่อยู่บนนั้น ทว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ความคิดของเขาไม่ได้อยู่ที่ของล้ำค่าตรงหน้าเหล่านี้

ลั่วอี้พูด “พี่ชอบอะไรก็หยิบไปเถอะ หมดอายุไปก็เสียของ”

มือของเวินเสี่ยวฮุยไล่ไปตามขวดน้ำหอมรูปทรงงดงามเหล่านั้น ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่หวีอันหนึ่ง เขาเอาหวีขึ้นมาแตะปลายจมูก มีกลิ่นหอมของไม้แท้เข้มข้น เขาพูดว่า “ไม้หอมพาโลซานโต?”

ลั่วอี้พยักหน้า

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “หลายปีมานี้พี่สาวของฉันทำอะไรกันแน่ หวีเล่มหนึ่งก็ราคาหลายหมื่นหยวนแล้ว เฉาไห่เรียกเธอว่า ‘ผู้จัดการลั่ว’…” เขาหันไปและมองตรงเข้าไปในดวงตาของลั่วอี้ “นายบอกฉันมาตามตรงเถอะว่าเธอทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรหรือเปล่า”

ลั่วอี้ “ผมไม่รู้ ผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเธอเลย”

“นายฉลาดขนาดนี้ไม่รู้อะไรจริงเหรอ นายรู้ว่าเธอเจ็บปวด สิ้นหวัง นายรู้ว่าเธอถูกหลอก นายเป็นคนพูดเรื่องพวกนี้เองทั้งนั้น แต่นายกลับไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้เจ็บปวด สิ้นหวัง และถูกหลอกเหรอ” เสียงแหลมคมของเวินเสี่ยวฮุยสั่นเครือเล็กน้อย เขาไม่ใช่คนที่สามารถซ่อนคำพูดของตัวเองได้ แม้จะถูกเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ให้ขุดคุ้ยสาเหตุการตายของลั่วหย่าหย่าก็ตาม แต่การที่คนมีชีวิตคนหนึ่งตายไปอย่างไร้เหตุผลจะให้เขาทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร

ลั่วอี้ขมวดคิ้ว มีความน้อยใจจางๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา เขาพูดเสียงเบา “ผมไม่รู้จริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยเห็นท่าทางหวาดกลัวของลั่วอี้ก็นึกว่าตัวเองทำให้เด็กหนุ่มตกใจ จึงมีท่าทีอ่อนลงทันใด เขาลูบใบหน้าของลั่วอี้

“ฉันไม่ได้จะว่าอะไรนาย นายไม่รู้…ก็ช่างเถอะ”

ลั่วอี้พยักหน้า ดูค่อนข้างน่าสงสาร

เวินเสี่ยวฮุยพูด “หวีเล่มนี้ให้ฉันเก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ”

“ได้”

เวินเสี่ยวฮุยเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวของลั่วหย่าหย่าแล้วก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ ห้องกว้างใหญ่ทั้งห้องเป็นโชว์รูมเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และเครื่องประดับของลั่วหย่าหย่า ทั้งที่ที่นี่เป็นเพียงที่ที่เธอไม่ค่อยกลับมา

เวินเสี่ยวฮุยอุทาน “ต่อให้พี่สาวของฉันไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้นาย นายเอาของพวกนี้ไปขายก็มีกินทั้งชาติแล้ว”

“ผมไม่ขายหรอก แต่ถ้าพี่ชอบก็ยกให้ได้”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกผิดหวังเหลือเกิน เขาเห็นสิ่งที่สามารถทำให้เขาดวงตาลุกวาวได้ในเวลาปกติ แต่เขากลับไม่เห็นในสิ่งที่เขาอยากเห็นจริงๆ…ร่องรอยของพี่สาวในความทรงจำของเขา พี่สาวคนนั้นที่เลี้ยงเขาตั้งแต่เล็กจนโต ประหยัดค่าอาหารเช้าเพื่อที่จะซื้อไอศกรีมให้เขา แบกเขาที่กำลังหลับขึ้นหลังแล้วเดินกลับที่พักสองกิโลเพื่อประหยัดค่ารถสองหยวน เหมือนเป็นคนละคนกับราชินีในปราสาทอันหรูหราแห่งนี้

เขาสะบัดศีรษะ ต้องการจะหลุดพ้นจากอารมณ์ซึมเศร้า จึงแสร้งพูดอย่างผ่อนคลาย “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบ”

ลั่วอี้ยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู คล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ผมเคยอ่านบล็อกของพี่ น่าสนใจดี”

เวินเสี่ยวฮุยนึกถึงเวยป๋อของตัวเอง ทันใดนั้นก็ได้ลิ้มรสความเขินอายราวๆ หนึ่งวินาทีเพราะเนื้อหาในเวยป๋อของเขาแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก หนึ่งคือขั้นตอนการแต่งหน้าและจัดแต่งทรงผม สองคือการเซลฟี่ในอากัปกิริยาต่างๆ รวมถึงภาพของผู้ชายกล้ามแน่น ทว่าเขาก็ปล่อยวางได้ในทันที เขาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่สนว่าคนอื่นจะรังเกียจว่าตัวเองเป็นพวกรักร่วมเพศหรือไม่ คนอื่นจะคิดอย่างไรก็ช่างแม่ง

เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ “ฉันดังค่อนข้างเร็ว ประมาณปีนิดๆ ได้มั้ง นายรู้ไหมว่าเพราะอะไร”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “เพราะอะไร”

“แน่นอนว่าเป็นเพราะฉันหน้าตาดียังไงล่ะ” เวินเสี่ยวฮุยจิ้มๆ แก้มตัวเองหน้ากระจก

ลั่วอี้แสร้งพูด “มีเหตุผล”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มให้เขา “ไปกัน ไปดูห้องของนาย”

ห้องของลั่วอี้อยู่ชั้นสาม วินาทีที่ผลักประตูเข้าไปเวินเสี่ยวฮุยก็ตกตะลึง ลั่วอี้ทุบทั้งชั้นสามให้ทะลุถึงกัน ด้วยเหตุนี้ห้องจึงใหญ่มาก ทุกมุมและทุกผนังของห้องถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยวางสิ่งของต่างๆ นับไม่ถ้วน แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นระเบียบและความสะอาดเป็นอย่างดี

เวินเสี่ยวฮุยไม่เคยเห็นห้องของใครที่จัดหมวดหมู่ได้ยากขนาดนี้ เพราะว่าที่นี่มีทุกอย่าง หนังสือจำนวนมหาศาล คอมพิวเตอร์สามเครื่อง เครื่องเล่นเกม กล้องถ่ายรูป ฟิกเกอร์นานาชนิด งานฝีมือ ของสะสม เครื่องดนตรี อุปกรณ์กีฬา หุ่นกันดั้ม และเหรียญทองแดงยุโรปโบราณที่จัดแสดงอยู่ในตู้เดียวกัน อุปกรณ์สกีและโคมไฟหนังแกะที่วางไว้ตรงมุมห้อง กล่าวโดยย่อคือสิ่งเหล่านี้มีตั้งแต่ของจากจีนจนถึงตะวันตก จากโบราณสู่ปัจจุบัน จากดั้งเดิมถึงไฮเทค จากสองมิติถึงสามมิติ เหมือนห้างสรรพสินค้าที่เป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง ความรู้สึกไม่ลงรอยที่เกิดจากการผสมปนเปของสิ่งของที่มีรูปแบบแตกต่างกันเช่นนี้กลับกลายเป็นความกลมเกลียวอย่างน่าประหลาด

เวินเสี่ยวฮุยอุทาน “ของในห้องนายมันเยอะเกินไปแล้วมั้ง”

ลั่วอี้หัวเราะพลางเอ่ย “ผมบอกแล้วว่าผมมีความสนใจที่หลากหลาย ในห้องใต้หลังคาที่ชั้นสี่ก็เป็นของผมทั้งหมด”

“หลากหลายมากจริงๆ” เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือพลางเล่นกับปากกาที่สวยงามด้ามหนึ่ง

ลั่วอี้โน้มตัวเข้ามา หน้าอกแทบจะแนบติดกับลำคอของเวินเสี่ยวฮุย อีกฝ่ายคว้ามือของเขาแล้วเปิดฝาปากกาด้ามนั้น

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด ลั่วอี้อยู่ใกล้เขาเกินไปแล้ว ใกล้จนเขาสามารถได้กลิ่นอบอุ่นบนตัวของอีกฝ่าย ไรผมนุ่มๆ นั้นวาดผ่านแก้มของเขาเบาๆ คล้ายจะคันเข้าไปถึงหัวใจ การหายใจของเขาหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

“นายทำอะไรน่ะ”

ลั่วอี้กระซิบ “จู่ๆ ก็นึกอยากเขียนชื่อของพี่”

ร่างกายของเวินเสี่ยวฮุยแข็งทื่อ บรรยากาศคลุมเครือเปี่ยมไปด้วยความรุนแรงประเภทนี้มันคืออะไรกัน เขารู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออกอยู่ลึกๆ และไม่นึกโทษ Luca เจ้าคนชั่วนั่นที่วันๆ เอาแต่หัวเราะเยาะเย้าเขาว่าเป็นหนุ่มน้อยพรหมจารีที่มีความต้องการสูง แต่ต่อให้เขาเป็นเกย์ก็จะมีอารมณ์กับเด็กหนุ่มวัยสิบห้าไม่ได้หรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นลูกชายของพี่สาวเขาด้วย

ลั่วอี้จับมือของเขาเขียนคำว่า ‘เวินเสี่ยวฮุย’ สามคำนี้ลงบนกระดาษ จังหวะของปากกามีพลังเหมือนด้ามขวาน มีความเป็นธรรมชาติสูง ไม่เหมือนมาจากมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

เวินเสี่ยวฮุยดึงมือกลับ เอ่ยปากชม “ลายมือของนายสวยจริงๆ”

“ขอบคุณครับ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยอย่างน่าประหลาด เขายืนขึ้น ต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจ แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ชั้นวางหนังสือตรงหน้าเขา “เอ๋? ในที่สุดห้องนายก็มีของที่ฉันสนใจแล้ว” เขาหยิบขวดน้ำหอมที่แกะสลักอย่างบรรจงขึ้นมาจากชั้นวางหนังสือ ลายฉลุกลวงสีทองกับหินหยกโมเสกสไตล์ของชนเผ่าเร่ร่อน เขาเอามันมาดมที่ปลายจมูก มันถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดี มีกลิ่นหอมเบาบาง “อืม หอมดีจัง”

“นี่ไม่ใช่น้ำหอม” ลั่วอี้พูด

“แล้วมันคืออะไร”

“มันเป็นยาปลุกเซ็กซ์ชนิดหนึ่งที่ตกทอดมาจากชนเผ่ายิปซีมานับพันปี หรือจะเรียกว่ายาพิษก็ได้”

“หา?”

ลั่วอี้ยิ้มในขณะที่เอ่ย “ความเข้มข้นของสูตรนี้ต่ำมาก ผมเป็นคนทำเอง ถ้าความเข้มข้นสูงล่ะก็ ทันทีที่เปิดดมก็จะเกิด ‘ความกำหนัด’ ขั้นสูงและอาจตายได้ถ้าใช้มัน”

เวินเสี่ยวฮุยวางขวดกลับไปที่เดิม “เจ้าเด็กคนนี้นี่ ศึกษาค้นคว้าของแปลกๆ แบบนี้ทั้งวันเลยสิท่า ไม่มีใครคุมนายเลยเหรอ”

ลั่วอี้กะพริบตา ดวงตาดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด “พี่จะคุมผมก็ได้นะ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าไม่กล้ามองตาของลั่วอี้อย่างอธิบายไม่ถูก เขากลอกตา “ฉันคุมไม่ไหวหรอก ถ้ากังวลมากไปจะเกิดริ้วรอยได้ ฉันจะกลับแล้ว”

ลั่วอี้คว้าแขนของเขา “พี่เสี่ยวฮุย อยู่เป็นเพื่อนผมอีกหน่อยเถอะ”

“ฟ้ามืดแล้ว ขืนดึกกว่านี้จะไม่มีรถกลับ”

“งั้นคืนนี้พี่ก็ค้างที่นี่เถอะ”

“ไม่ได้หรอก แม่ด่าฉันแน่”

ลั่วอี้ก้มหน้าลงแล้วกระซิบ “นานมากๆ แล้วที่ไม่มีใครนอกจากผม พอในบ้านมีคนคุยด้วย มันรู้สึกดีมาก ผมไม่อยากให้พี่ไปจริงๆ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าสมองชา แค่คิดจะไปจริงๆ ก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว ลั่วอี้ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์คนเดียวแบบนี้จะต้องเหงามากแน่ๆ…

เวินเสี่ยวฮุยดิ้นรนอยู่นานมากก่อนที่จะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น…ฉันจะโทรหาแม่ฉันก่อน”

ลั่วอี้ยิ้มออกมาทันใด มันไม่เกินจริงเลยหากจะบรรยายว่ารอยยิ้มนั้นราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง ทันใดนั้นเวินเสี่ยวฮุยพลันรู้สึกว่าการถูกดุก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่กล้าโทรไป เขาหาเหตุผลแล้วส่งข้อความไปให้แม่ของเขาจากนั้นก็ปิดเครื่อง อันที่จริงเขาโกหกแม่ไม่ลง ถ้ากลับไปแล้วต้องโดนดุ สู้อยู่เงียบๆ คืนนี้จะดีเสียกว่า

ลั่วอี้มีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด “พี่เสี่ยวฮุย คืนนี้พี่อยากนอนตรงไหน เพราะว่าบ้านผมไม่เคยมีแขกเลย ฉะนั้นก็เลยไม่มีห้องนอนสำหรับแขก ห้องพี่เลี้ยงก็ไม่ได้เก็บกวาดนานแล้ว นอนไม่ได้หรอก พี่อยากนอนในห้องของแม่หรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้าทันที แม้ว่าเขาจะคิดถึงลั่วหย่าหย่ามาก แต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ ทั้งยังออกจะงมงายเล็กน้อยด้วยซ้ำ

“งั้นพี่ก็มานอนกับผมแล้วกัน เตียงผมใหญ่มาก ตอนกลางคืนพวกเราจะได้คุยกันก็ได้”

เวินเสี่ยวฮุยมองดูท่าทางตรงไปตรงมาของลั่วอี้ ในใจพลันรู้สึกสับสน ถ้าเขาปฏิเสธไม่เท่ากับว่าตัวเองมีความผิดหรอกเหรอ ฉะนั้นเขาจึงพูดอย่างสบายๆ “ก็ได้”

บทที่ 6

 

หลังจากที่เวินเสี่ยวฮุยอาบน้ำและสวมชุดนอนของลั่วอี้เสร็จแล้วก็เดินออกมา ส่วนลั่วอี้ไปอาบน้ำที่ห้องของลั่วหย่าหย่าจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา เวินเสี่ยวฮุยทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดหกฟุตของลั่วอี้อย่างไม่เกรงใจ เตียงนั้นมีความนุ่มที่เหมาะสมจึงให้ความสบายอย่างที่สุด

เขายืดตัวบิดขี้เกียจ กลิ้งอยู่สองรอบ แล้วเริ่มทำท่าขี่จักรยานกลางอากาศ

เมื่อลั่วอี้กลับมาที่ห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเวินเสี่ยวฮุยเหยียดขาเรียวยาวขาวๆ สองข้างเพื่อออกกำลังกาย กางเกงขาสั้นตัวใหญ่เลื่อนหล่นไปที่ต้นขาตามการเคลื่อนไหวของเขา จนสามารถมองเห็นร่องรอยของชั้นในได้เลือนราง

ลั่วอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง กรามแข็งทื่อ

เวินเสี่ยวฮุยพูดพลางหายใจหอบ “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดกับฉัน”

ลั่วอี้ยิ้ม “พี่พูดกับผมก่อนนะ” พูดจบก็ยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู มองดูเวินเสี่ยวฮุยเตะขาราวกับไม่มีใครอยู่ด้วย ขาคู่นั้นเหมือนกระต่ายที่กระโดดไปมา ชวนให้อยากจะเข้าไปกดห้ามไว้…

หลังจากที่เวินเสี่ยวฮุยออกกำลังกายจนครบสามเซ็ตแล้วก็หายใจแฮกๆ พลางลดขาลง นอนแผ่แขนขาอยู่บนเตียง

“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

“พี่ทำอะไรแบบนี้ทำไม”

“ขาเรียวกระชับสะโพกไง”

ลั่วอี้พูด “เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อันที่จริงยิ่งช้ายิ่งดี พี่ถีบขาเร็วขนาดนั้น การหายใจของพี่ก็จะปั่นป่วนได้ง่าย และศักยภาพของกล้ามเนื้อพี่จะไม่ถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่”

เวินเสี่ยวฮุยเบิกตากว้าง “จริงเหรอ”

“จริงสิ ถ้าพี่อยากเทรนตรงจุดนั้น ทางที่ดีที่สุดก็หาเทรนเนอร์มืออาชีพดีกว่า เข้าคอร์สสักหน่อย พอมีความรู้เบื้องต้นแล้วถึงจะเริ่มทำต่อเองได้”

เวินเสี่ยวฮุยเบะปาก “เทรนเนอร์ส่วนตัวแพงจะตาย ฉันจ่ายไหวที่ไหนล่ะ”

“พี่เอาเงินค่าใช้จ่ายของผมไปใช้เถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยดวงตาเป็นประกาย “หา? มะ…ไม่ดีมั้ง”

ลั่วอี้ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร”

“แล้วนายจะกินข้าวยังไง”

“ผมมีเงินเก็บต่างหาก แล้วก็หุ้นกับกองทุนอะไรพวกนั้น”

ลั่วอี้ในสายตาของเวินเสี่ยวฮุยใกล้จะกลายเป็นเทพบุตรที่เปล่งแสงได้แล้ว เขาพูดอย่างเขินอาย

“นี่ก็…ไม่ค่อยดีเท่าไร…”

“ไม่เป็นไร ถึงยังไงเงินก้อนนั้นก็ปล่อยให้พี่จัดการอยู่แล้ว พี่ก็คิดซะว่าเป็นเงินเดือนแล้วกัน”

เวินเสี่ยวฮุยเบิกบานในหัวใจ “งั้นก็ขอบคุณนะ วางใจเถอะ ฉันจะซื้อของดีๆ ให้นายบ่อยๆ จริงสิ วันมะรืนมาหาฉันที่จวี้ซิงสิ ฉันจะทำผมให้นาย”

ลั่วอี้จับๆ ผมของตัวเอง “ไม่ยาวนี่”

“ไม่ยาว แต่มันไม่เป็นทรง เปลี่ยนทรงผมให้นาย รับรองว่าต้องหล่อกว่าเดิมแน่ สาวๆ เห็นนายแล้วเป็นต้องขาอ่อนกันหมด”

ลั่วอี้หัวเราะ “เอาสิ”

เวินเสี่ยวฮุยเล่นหูเล่นตา “เอ๋? นายมีแฟนยังล่ะ”

ลั่วอี้ส่ายหน้า “ไม่มี”

“จริงหรือเปล่า จะต้องมีเด็กผู้หญิงตามจีบนายเยอะแน่ๆ”

“ก็มีบ้าง แต่ผมไม่มีเวลาคบใคร”

เวินเสี่ยวฮุยกลอกตา “แต่นายมีเวลาทำอะไรพวกนี้น่ะเหรอ” เขาเหยียดนิ้วชี้ไปที่สิ่งของเยอะแยะมากมายภายในห้อง

“ของพวกนี้น่าสนใจมากนะ”

“แล้วเมื่อก่อนนายก็ไม่เคยมีแฟนเหรอ”

ลั่วอี้ยังคงส่ายหน้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

เวินเสี่ยวฮุยแสดงอาการเหลือเชื่อออกมา เขานั่งตัวตรง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเขินอาย

“ฉันจะบอกนายให้นะ หน้าตาดีแถมมีเงิน ไม่มีความกดดันจากการสอบเกาเข่า แต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษายาพิษกับมวยไทยเนี่ยนะ นายไม่เสียดายเวลาช่วงวัยรุ่นหรือไง ยังเด็กอยู่ก็ไปมีความรักเถอะ”

ลั่วอี้ถามกลับ “พี่ล่ะ พี่มีแฟนหนุ่มหรือเปล่า”

เวินเสี่ยวฮุยพูดอะไรไม่ออก “ฉัน…เอ๋? นายรู้ได้ยังไงว่าฉัน…”

ลั่วอี้ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

เวินเสี่ยวฮุยจับๆ ผม “อ่อ นายอ่านบล็อกของฉันสินะ” เขาเหล่มองลั่วอี้ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “นายรับได้หรือเปล่า”

ลั่วอี้ยักไหล่ “ทำไมจะรับไม่ได้ล่ะ นี่เป็นอิสระของพี่”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “อย่างนั้นก็ดี อันที่จริงฉันไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นจะพูดยังไง แม้แต่แม่ฉันก็ยังไม่สนใจฉันเลย คนอื่นน่ะถือเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว”

“พี่พูดถูก” ลั่วอี้ถาม “แล้ว…พี่มีแฟนหรือเปล่า”

“ตอนนี้ยังโสดอยู่” เวินเสี่ยวฮุยนึกถึงอะไรบางอย่างแล้วก็เบะปาก “ปีที่แล้วฉันมีแฟนคนหนึ่ง รักแรกเลยนะ ทั้งสูงทั้งหล่อ ปากก็หวานด้วย แก่กว่าฉันไม่กี่ปี สุดท้ายหลังคบกันได้แค่ครึ่งเดือนฉันก็จับได้ว่าไอ้ชั่วนั่นคบซ้อน มีแฟนที่คุยเรื่องแต่งงานแล้วด้วย แถมแม่งยังนัดนอนกับคนอื่นไปทั่ว ไอ้เฮงซวย ตอนนั้นฉันต้องตาบอดแน่ๆ ทำไมถึงต้องไปสนใจคนชั่วๆ พรรค์นั้นด้วย น่าโมโหจริงๆ” เมื่อเวินเสี่ยวฮุยนึกถึงเรื่องแย่ๆ เหล่านั้นก็โมโหขึ้นมา

มุมปากของลั่วอี้ขยับน้อยๆ “อ่อ ทำเกินไปจริงๆ”

“ไม่ใช่แค่มากเกินไปนะ แต่เป็นคนเลวเลย หลังจากที่ฉันรู้ ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างนี้ให้แฟนสาวของมันฟัง จากนั้นก็อัดมัน แถมยังกรีดรถมันด้วย” เวินเสี่ยวฮุยพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง “ฉันเอาเหล็กหมาด* เขียนคำว่า ‘ไอ้สารเลว’ บนรถมันตั้งหลายคำ ล้อรถทั้งสี่ล้อก็ถูกฉันปล่อยลมหมด ส่วนไฟรถก็ถูกฉันทุบแตก ฮ่าๆๆๆ ตอนนั้นหน้ามันเขียวปั้ดเลย สมน้ำหน้า”

ลั่วอี้เห็นด้วย “สมน้ำหน้าจริงๆ”

“สมควรแล้วล่ะ” เวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงหึออกมา “ฉันไม่กล้าบอกแม่ฉัน เพราะแม่ไม่ให้มีความรักจนกว่าฉันจะจบมัธยมปลาย ถ้าให้แม่รู้ล่ะก็ แม่จะต้องไม่ปล่อยมันไว้แน่ แต่ว่าฉันก็คงต้องตายด้วยเหมือนกัน”

“ต่อไปก็ต้องดูคนให้ดีนะ”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “พูดง่ายน่ะสิ บางคนจงใจเสแสร้ง ดูภายนอกก็เป็นคนดีทั้งนั้น จะมองออกได้ยังไง พอทำงานแล้วถึงได้ค้นพบว่านั่นเป็นแค่ในวัยเรียน” เขานอนลงไปบนเตียง ใบหน้านั้นแสดงความเหงาหงอยออกมาเล็กน้อย แม้สิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบจะไม่ได้ทำร้ายเขามากนัก แต่ก็ทำให้เขาขยะแขยงมากพอ ดูเหมือนว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ตั้งการ์ดจากคนอื่นจริงๆ

ลั่วอี้พูด “งั้นต่อไปเวลาพี่จะมีความรักก็ต้องให้ผมดูก่อน อย่างน้อยก็มีอีกคนที่ช่วยพี่สแกน”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “ได้เลย นายฉลาดขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีความสามารถแยกแยะคนดีคนเลวได้”

ลั่วอี้ยกยิ้มมุมปาก “คนเลวในสายตาของพี่เป็นยังไงเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว “ก็เป็นคนเลวไง อาชญากร นิสัยไม่ดี หลอกลวง มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง”

“คนเลวประเภทนี้แยกได้ง่ายมาก”

เวินเสี่ยวฮุยกะพริบตา ความสนใจทั้งหมดถูกลั่วอี้ดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว “แล้วคนเลวแบบไหนที่แยกยากล่ะ”

ลั่วอี้จ้องตาของเขา น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “คนที่จะกลายเป็นคนเลวก็ต่อเมื่อผลประโยชน์ของเขามีภัยยังไงล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่ผุดขึ้นที่ท้ายทอยอย่างประหลาด เขานึกว่าตัวเองคิดไปเอง เมื่อลูบๆ คอของตัวเองพลางนึกถึงคำพูดของลั่วอี้ ทว่าอันที่จริงเขาก็ไม่รู้อะไรมากนัก

ลั่วอี้เผยรอยยิ้มสบายๆ “เอาเป็นว่าต่อไปพี่ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน อย่าเชื่อใครง่ายๆ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า “แน่อยู่แล้ว ฉันก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”

ลั่วอี้เลิกผ้าห่มออกแล้วสอดตัวเข้าไป “นอนเถอะ พรุ่งนี้ผมยังต้องไปเรียนอีก”

“ได้”

ลั่วอี้ปิดไฟ เวินเสี่ยวฮุยหาวแล้วหลับตาลง

ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ ลั่วอี้ก็ถามขึ้นในความมืด “พี่เสี่ยวฮุย พี่ชอบผู้ชายแบบไหนเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเสียงดัง “ฉันชอบผู้ชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่ ตัวสูง แล้วก็มีกล้ามด้วย ยิ่งถ้ามีเงินก็ยิ่งดีเลย”

ลั่วอี้หัวเราะเสียงต่ำสองที “พี่ต้องหาเจอแน่”

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามีความรักหรอก ฉันอยู่ที่จวี้ซิงยุ่งแทบตาย ฉันต้องขยันทำงาน ต่อไปจะได้มีเงินมีเวลาว่าง มีความรักตอนนี้เสียเวลา เอ๊ะ ช่างมันเถอะ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

“อืม พี่เสี่ยวฮุย ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์”

ลั่วอี้ลืมตามองเพดาน คริสตัลในรูม่านตาดูสว่างเป็นพิเศษในความมืด

 

พอตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็สว่างแล้ว เวินเสี่ยวฮุยลืมตาที่ง่วงซึมขึ้น ปรับตัวอยู่สามวินาทีก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่ห้องแต่เป็นคฤหาสน์ของลั่วอี้ เมื่อคิดได้ว่าการค้างคืนที่คฤหาสน์ของชายแปลกหน้าครั้งแรกกลับไม่ใช่แฟน เวินเสี่ยวฮุยก็นึกอยากหัวเราะ บางทีสายใยแห่งความรักในครอบครัวอาจจะก้าวข้ามสายเลือดจริงๆ ก็ได้ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งเคยเจอลั่วอี้เป็นครั้งแรกแต่กลับไร้ช่องว่างโดยสิ้นเชิง แม้เขาจะไม่ยอมให้ลั่วอี้เรียกเขาว่าคุณน้า แต่ในใจเขากลับเห็นลั่วอี้เป็นหลานจริงๆ

ลั่วอี้เปิดประตูเข้ามาก็เห็นเขาลุกขึ้นจากเตียงพอดี “ตื่นแล้วเหรอ พอดีเลย ลงมากินข้าวเถอะ” ท่อนบนของลั่วอี้สวมเสื้อสเว็ตเตอร์ ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงวอร์มพอดีตัวสีดำแบบนักกีฬามืออาชีพ บริเวณเป้าปูดออกมาชวนให้คิดเลยเถิด เส้นกล้ามเนื้อที่ทอดยาวจากต้นขาถึงน่องนั้นมองเห็นได้ชัดเจน ขายาวทั้งสองข้างนี้สามารถเปล่งประกายจนทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลายเอื๊อก แม้เขาจะไม่สนใจเด็ก แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้ตัวเองหยุดชื่นชมความงาม ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของลั่วอี้ก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่ยังไม่เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ นอกเหนือจากรูปร่างค่อนข้างผอมบางแล้ว นับว่าเขาเติบโตได้ดีทีเดียว!

เวินเสี่ยวฮุยแสร้งขยี้ตา “นายตื่นเช้าจัง ฉันแปรงฟันแล้วค่อยลงไป”

“ได้ เร็วหน่อยนะ ไม่งั้นโจ๊กจะเย็นหมด”

เวินเสี่ยวฮุยล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปชั้นล่าง ลั่วอี้กำลังรอเขาในขณะที่ดื่มนมและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะกินข้าว

เวินเสี่ยวฮุยลูบๆ ผม “ทำไมบ้านนายไม่มีของพวกที่เอาไว้จัดแต่งทรงผมเลย พอดีผมฉันยุ่งนิดหน่อยน่ะ”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “อาจจะอยู่ในห้องแม่ พี่จะไปดูก็ได้”

“…ช่างเถอะ” เวินเสี่ยวฮุยนั่งอยู่หน้าโต๊ะ มีโจ๊กฟักทองหนึ่งชาม ไข่ดาวหนึ่งฟอง แซนด์วิชสองชิ้น และเครื่องเคียงสี่อย่างวางเรียงอยู่ด้านหน้า นม กาแฟ และน้ำถูกจัดวางเรียงกัน การจัดวางมีความเฉพาะเจาะจง แค่มองก็น่ากินมากแล้ว “ว้าว ทำอาหารเช้าได้ประณีตมาก”

ลั่วอี้วางหนังสือพิมพ์ลง “มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน จะต้องกินให้ดี”

“แม่ฉันทำอาหารได้แย่มาก ตอนเช้าส่วนใหญ่กินกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวาน” เวินเสี่ยวฮุยยักไหล่ “น่าเสียดายที่ฉันขี้เกียจ ต่อให้ไม่อร่อยฉันก็ไม่อยากทำกินเอง”

ลั่วอี้กะพริบตาปริบๆ “ที่ที่พี่ทำงานอยู่ใกล้บ้านผมมาก พี่ก็มาหาผมบ่อยๆ สิ ผมจะทำให้พี่กิน”

เวินเสี่ยวฮุยครุ่นคิด ระยะทางจากสตูดิโอไปถึงห้องของเขานั้นห่างจากคฤหาสน์ของลั่วอี้มากกว่าถึงสามเท่า โดยรวมแล้วมันครอบคลุมครึ่งหนึ่งของเมือง ไปกลับทำงานทุกวันจึงค่อนข้างเหนื่อย อีกอย่างแม่ของเขาก็มักจะวุ่นวายกับเขาตลอดเวลา จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อยกับข้อเสนอของลั่วอี้

“ผมอยู่ในบ้านหลังใหญ่คนเดียวแบบนี้ อันที่จริงก็รู้สึกเหงานิดหน่อย…” ลั่วอี้มองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงเบา “บางครั้งที่นี่ก็ไม่มีเสียงเลยสักนิด เงียบเหมือนป่าช้า พอพี่มาแล้วก็ครึกครื้นขึ้นเยอะเลย”

ทันใดนั้นเวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกสงสารลั่วอี้ขึ้นมาอีกครั้ง “นายวางใจเถอะ ในเมื่อฉันตัดสินใจที่จะดูแลนายแล้วก็จะไม่ทำให้พี่สาวของฉันผิดหวัง ฉันจะมาหานายบ่อยๆ”

ลั่วอี้คนกาแฟหอมกรุ่นด้วยช้อนคันเล็กอย่างช้าๆ “ถ้าพี่ย้ายมาได้ก็คงจะดี”

เวินเสี่ยวฮุยลูบๆ ผม “อันที่จริง…ที่นี่ค่อนข้างสะดวกสบาย แต่ฉันไม่ค่อยไว้ใจแม่ของฉัน คือว่า…พ่อของฉันเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน นายคงรู้สินะ”

“ผมได้ยินแม่พูดอยู่”

“อืม ถึงแม่จะดูหยาบคายไปหน่อย อันที่จริงเธอค่อนข้างต้องพึ่งพาฉันน่ะ ฉันปล่อยให้เธออยู่ห้องคนเดียวบ่อยๆ ไม่ได้หรอก แต่ว่าฉันจะแวะมาค้างคืนเป็นครั้งคราว ฉันจะกลับไปคุยกับแม่ก็แล้วกัน ครึ่งปีนี้ฉันวิ่งไปวิ่งมาระหว่างที่ทำงานกับที่พัก อันที่จริงมันก็เหนื่อยอยู่ นั่งรถไฟใต้ดินก็ต้องใช้เวลาชั่วโมงกว่าทุกวัน ไกลเกินไป”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “งั้นผมจะรอข่าวจากพี่”

 

* เหล็กหมาด เป็นเหล็กปลายแหลม มีด้ามจับ ใช้สำหรับไชวัตถุให้เป็นรู

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 12 มี.. 66

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: