ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)
แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตั
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11
เวินเสี่ยวฮุยแลกกะกับเพื่อนร่วมงานเพื่อพักผ่อนหนึ่งวัน วันนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน ได้แต่เล่นเกม ดูหนัง และกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญกับลั่วอี้ เพื่อนสมัยก่อนของเขาส่วนใหญ่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย บ้างก็อยู่นอกเมือง ยากที่จะพบปะสังสรรค์กันอีกครั้ง ฉะนั้นการที่เขากับลั่วอี้เล่นกันอย่างสนุกสนานและฆ่าเวลาโดยไร้กังวลเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปสมัยวัยเรียน สมัยที่ไม่มีปัญหามากมายและไม่ต้องเผชิญกับความจริง
เวินเสี่ยวฮุยนอนอยู่บนพื้น พักสายตาที่เมื่อยล้า ลั่วอี้ยัดองุ่นเข้าไปในปากของเขา
“พี่เสี่ยวฮุย พรุ่งนี้เข้ากะเช้าหรือกะดึก”
“กะเช้า”
“งั้นพรุ่งนี้พี่ก็กลับไปนอนที่ห้องน่ะสิ”
“ใช่”
ลั่วอี้พูดด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “พรุ่งนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ผมอยากออกไปเที่ยวกับพี่น่ะ”
“นายจะมาหาฉันตอนบ่ายก็ได้ แต่ว่าฉันต้องกลับห้องตอนกลางคืน”
“ก็ได้ ผมยังไม่ได้ไปดูสตูดิโอของพี่เลย คราวก่อนก็อยู่แค่ข้างล่าง”
เวินเสี่ยวฮุยพลิกตัวมามองเขา “จำไว้นะ อยู่ที่สตูดิโอห้ามเรียกฉันว่าพี่เสี่ยวฮุย”
“ทำไมล่ะ”
“ชื่อนี้เชยจะตายไป” เวินเสี่ยวฮุยเบะปาก “นายเรียกฉันว่า Adrian หรือไม่ก็ Adi จำไว้นะ”
ลั่วอี้หัวเราะ “วางใจเถอะ ความจำของผมดีมาก”
“พรุ่งนี้ไอ้สารเลวนั่นก็อยู่ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือทำอะไร นายก็ไม่ต้องไปสนใจเขา”
ลั่วอี้พูดอ่อลากเสียงยาว เขาเท้าคาง อมยิ้มมองเวินเสี่ยวฮุย “เขาจะทำอะไรได้”
“ใครจะรู้ วางใจเถอะ ฉันจะไม่ให้เขารังแกนายแน่”
“โอเค”
สิ่งที่พูดคุยกันกับลั่วอี้นั้นเตือนสติเวินเสี่ยวฮุย ไม่ว่าเขาต้องการจะหลีกหนีสักแค่ไหน พรุ่งนี้เขาก็ยังต้องกลับไปทำงานอยู่ดี นอกเสียจากว่า Raven จะไล่เขาออก แต่เขาคิดว่า Raven จะไม่ทำแบบนั้น ถ้าต้องไปจากสตูดิโอจริงๆ ก็น่าจะเป็นเพราะเขาเองที่กระอักกระอ่วนจะอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องให้ Raven ไล่ออก แต่ในเมื่อยังไม่ถึงขั้นนั้นเขาก็ควรค่อยๆ ดูต่อไปจะดีกว่า
เขานั่งตัวตรงแล้วหยิบมือถือออกมาเล่น
ลั่วอี้พูด “พี่จะทำอะไรน่ะ”
“โพสต์รูป…ฟิลเตอร์นี้โอเคไหม สดใสดี” เวินเสี่ยวฮุยชี้รูปเซลฟี่ของตัวเองเมื่อวานให้ลั่วอี้ดู
“ไม่เลว พี่ลองแบบ LOMO ไหม”
“เอ๊ะ อันนี้ดีแล้ว ฉันอยากเอารูปที่ฉันถ่ายกับหลี่ฮว่ามาไว้เป็นรูปแรก” เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เวลาที่ Luca ปัดเวยป๋อจะต้องโมโหจนนอนไม่หลับไปทั้งคืนแน่” หลังจากเวินเสี่ยวฮุยแก้ไขเวยป๋อเสร็จแล้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่าง เขากอดคอของลั่วอี้แล้วพูด “นี่ พวกเราสองคนยังไม่เคยถ่าย…”
ลั่วอี้ยื่นนิ้วออกมาปิดหน้ากล้องอย่างแผ่วเบา
เวินเสี่ยวฮุยนิ่งไป “ทำไมล่ะ”
ลั่วอี้พูด “ผมไม่ชอบถ่ายรูปลงอินเตอร์เน็ต”
เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะ นายหน้าตาดีขนาดนี้ ฉันอยากจะอวดสักหน่อย”
ลั่วอี้ยิ้มๆ “ก็แค่ไม่ชอบน่ะ”
“หรือว่าในโรงเรียนไม่เคยมีคนแอบถ่ายนาย?”
“คงจะมีล่ะมั้ง แต่ว่าไม่มีใครกล้าเอาลงอินเตอร์เน็ต”
เวินเสี่ยวฮุยคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก เขาเข้าใจได้ถ้าต้องการที่จะแอบซ่อนความมั่งคั่งเอาไว้ แต่เขาไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีคนไหนที่ต้องการปกปิดใบหน้าของตัวเองเลย ถ้าเขาหน้าตาดีเหมือนลั่วอี้ล่ะก็ เขาจะต้องเข้าสู่วงการบันเทิงโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน เขาเล่นลูกไม้ “อย่างนั้นฉันไม่เอาลงอินเตอร์เน็ต พวกเราแค่ถ่ายกันสักรูปก็พอ”
“ก็ได้ แต่ว่าจะต้องเก็บรูปไว้ในมือถือพี่เท่านั้น”
“วางใจเถอะ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่านายคิดอะไร” เวินเสี่ยวฮุยกอดคอเขาอีกครั้ง เอียงหน้าให้กับกล้อง จัดวางองศาที่ทำให้ตัวเองดูดีที่สุด ลั่วอี้ยิ้มน้อยๆ ให้กับหน้าจอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้จงใจแสดงท่าทางอะไร แต่กลับงดงามอย่างไร้ที่ติ เวินเสี่ยวฮุยมองดูหน้าจอมือถือพลางคิดในใจว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอดมองคนอื่นไม่ได้ขณะเซลฟี่
หลังจากถ่ายไปหลายรูปเวินเสี่ยวฮุยก็เลือกรูปที่ดีที่สุดแล้วส่งให้ลั่วอี้ “เก็บไว้เถอะ นายจะเอาไปตั้งรูปหน้าจอฉันก็ไม่รังเกียจ”
ลั่วอี้เปิดมือถือ จ้องมองรูปถ่ายเซลฟี่ที่เวินเสี่ยวฮุยส่งมาให้ ในรูปถ่ายมีเด็กหนุ่มสองคน ใบหน้าแนบชิดติดกัน ยิ้มด้วยความสดใสของวัยเยาว์ แสงพื้นหลังของมือถือสะท้อนในดวงตาทำให้รูม่านตาของพวกเขาสว่างเป็นพิเศษ
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ “เป็นอะไรไป หลงใหลในความงามของตัวเองไปแล้วเหรอ”
ลั่วอี้โบกมือถือไปมา “นอกจากแม่แล้ว พี่เป็นคนแรกที่ผมถ่ายเซลฟี่ด้วย”
“จริงเปล่าเนี่ย นายโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยถ่ายรูปกับคนอื่นนอกจากพี่สาวของฉันเหรอ”
“จริงๆ นะ ผมไม่ชอบถ่ายรูป ยิ่งกับคนอื่นยิ่งไม่ชอบถ่าย”
เวินเสี่ยวฮุยลูบจมูก “งั้นที่ฉันให้นายถ่ายรูปกับฉัน นายโกรธหรือเปล่า”
ลั่วอี้ยิ้ม “จะโกรธได้ยังไง พี่เป็นคนในครอบครัวเหมือนแม่ของผม”
เวินเสี่ยวฮุยยิ้มหน้าบาน
ในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อไปทำงานเวินเสี่ยวฮุยเห็นใบหน้าบูดบึ้งของ Luca ตามที่คาดไว้ เขายืดอกเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ อีกทั้งยังแอบรู้สึกสบายใจ
เสี่ยวอ้ายเดินเข้ามา “Adi ที่รัก ฉันเห็นเวยป๋อของนายแล้ว เป็นยังไงบ้าง หลี่ฮว่าสวยหรือเปล่า วังอวี่ตงเป็นเทพบุตรของฉันเลยนะ เขาสูงร้อยแปดสิบหรือเปล่า”
“หลี่ฮว่าสวยมากเลย ผิวก็ละเอียดมาก วังอวี่ตงค่อนข้างสูง สูงถึงร้อยแปดสิบแน่นอน”
เสี่ยวอ้ายพูดด้วยความตื่นเต้น “น่าอิจฉาจังเลย ถ้ารู้ว่านายจะไป ฉันจะต้องให้นายช่วยขอลายเซ็นกลับมาให้ฉันแน่ๆ”
“ลายเซ็นอะไรกัน ไปขอลายเซ็นในสถานที่แบบนั้นมันด้อยค่ามากโอเคไหม ฉันเป็นถึงแขกเชียวนะ” เวินเสี่ยวฮุยจงใจเพิ่มระดับเสียง
แน่นอนว่า Luca ส่งเสียงหึเยาะเย้ยออกมา
เสี่ยวอ้ายยู่ปาก ขมวดคิ้วแล้วกระซิบ “อิจฉาน่ะ”
ทั้งสองคนแอบหัวเราะอยู่ด้วยกัน
Luca หัวเราะเสียงเย็นชา “มีความสุขโง่ๆ น่ะสิ นายอยากเป็นอาข่ายคนที่สองหรือไง”
เวินเสี่ยวฮุยค้อนเขา “เป็นอาข่ายคนที่สองแล้วยังไง ตอนนี้อาข่ายก็ทำได้ดีเลย”
“ดี?” Luca มองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าในสตูดิโอมีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้น “ช่วงก่อนหน้านี้หลี่ฮว่าลงปกนิตยสาร VOGUE การแต่งหน้าแบบ ‘สวยใส’ ที่ฮิตกันนั่นน่ะอาข่ายเป็นคนออกแบบ แต่ถูก Raven แย่งไปเป็นของตัวเอง พวกนายคงไม่รู้สินะ นายคิดว่าอาข่ายออกนอกประเทศทำไม ที่บอกว่าไปเรียนน่ะคือถูก Raven เล่นงานก็เลยไปรักษาตัว”
เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง “Luca ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก นายก็กล้าไม่เบาเลยนะที่ปล่อยข่าวซุบซิบของ Raven”
“ฉันกล้าพูดก็แสดงว่าไม่กลัวว่านายจะไปบอกเขา ถึงยังไงจวี้ซิงก็จะแยกตัวกันแล้ว ฉันไม่ตาม Raven ไปหรอก นายคิดว่า Raven มีดีอะไร สงเคราะห์ให้นายได้ไปงานเลี้ยงก็เลยอวดเก่งขนาดนี้? ฉันขออวยพรจากใจจริงให้นายได้เป็นผู้ช่วยมือขวาคนต่อไปของเขา”
ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยจมดิ่งลง ทว่าภายนอกก็ยังพยายามเชิดหน้าไว้ “Raven เป็นยังไงฉันดูเองได้ ก็ยังดีกว่านายที่อยู่กับเสี่ยวเหยียนนานขนาดนั้น เธอยังไม่พานายออกไปพบปะผู้คนเลย เพราะนายมันน่าอายหรือเพราะนายมันน่าอายกันแน่”
Luca เผยรอยยิ้มชั่วร้าย “ในเมื่อนายมีหน้าตาที่เจอผู้เจอคนได้ Raven จะต้องช่วยนายต่อรองราคาดีๆ ได้แน่”
เวินเสี่ยวฮุยกำหมัดแน่น คิดอยากจะเข้าไปฉีกปากของ Luca ตอนนี้เสียเหลือเกิน คำพูดของ Luca จี้จุดที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุด ชั่วขณะนั้นเองความเกลียดชังที่เขาถูก Luca ยั่วยุและกดขี่ข่มเหงร้อยแปดพันเก้าตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานที่สตูดิโอได้ก่อตัวขึ้น
“นายมันไอ้ทึ่มน่ารังเกียจ ปากพ่นของเสียทั้งวัน ให้ฉันสอนนายหน่อยเถอะว่าต้องใช้ปากหมาๆ ของนายคุยกับคนยังไง!” เขาถีบเก้าอี้คว่ำแล้วปรี่เข้าไป
ประกายความกลัววาบผ่านดวงตาของ Luca เขาคิดไม่ถึงว่าเวลาที่เวินเสี่ยวฮุยโกรธจะน่ากลัวขนาดนี้
เสี่ยวอ้ายโอบรั้งเอวของเวินเสี่ยวฮุยไว้ “เสี่ยวฮุย อย่านะ นายใจเย็นหน่อยสิ ใจเย็นหน่อย จางสยง นายก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหม!”
Luca ส่งเสียงหึออกมา แล้วหมุนตัววิ่งไปที่ห้องล็อกเกอร์
เวินเสี่ยวฮุยหายใจอย่างแรงสองสามทีจึงจะสงบอารมณ์ลงได้
เสี่ยวอ้ายบ่นด้วยความโศกเศร้า “นานขนาดนี้แล้วนายก็น่าจะชินได้แล้วสิ วันนี้นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้เต้นไปตามคำพูดเขาแบบนั้น”
เวินเสี่ยวฮุยอายเกินไปที่จะบอกว่าเมื่อวาน Raven พยายามที่จะจัดหาผู้ชายให้เขาอย่างไรบ้าง จึงทำได้เพียงพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ฉันเป็นมนุษย์ป้าโอเคไหม”
เสี่ยวอ้ายหัวเราะพรืดออกมา
ทว่าเวินเสี่ยวฮุยกลับขำไม่ออก เขารู้สึกว่า Raven สามารถทำอย่างที่ Luca พูดได้ เขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองขึ้นมาทันที
ยุ่งมาตลอดทั้งช่วงเช้า เมื่อใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนกะลั่วอี้ก็มาถึง
ทันทีที่เสี่ยวอ้ายเห็นลั่วอี้ก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ว้าว น้องชาย นายมาหา Adi สินะ”
ลั่วอี้ยิ้มๆ “ครับ เขาอยู่หรือเปล่า”
“Adi ญาติสุดหล่อของนายมาแล้ว”
เวินเสี่ยวฮุยกำลังเป่าผมให้กับลูกค้า เมื่อได้ยินแบบนั้นก็หันมามอง “ลั่วอี้ นายนั่งรอแป๊บนะ ฉันใกล้จะเสร็จแล้ว”
ลั่วอี้นั่งลงบนโซฟาข้างประตู กวาดตามองสตูดิโอและมองเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังจัดการกับผมของคนอื่นอย่างชำนิชำนาญ ท่าทางที่เป็นมืออาชีพของเขานั้นแตกต่างจากช่วงเวลาปกติที่มักทำตัวเฮฮามาก
“สุดหล่อ ดื่มน้ำก่อนสิ”
ลั่วอี้เงยหน้าขึ้น เห็น Luca รินน้ำแล้ววางลงด้านหน้าเขา
ลั่วอี้พยักหน้า “ขอบคุณครับ”
“นายเป็นญาติของ Adrian จริงเหรอ”
“หืม?”
Luca ทำหน้าไม่เชื่อ “ญาติอะไรกัน พวกนายหน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิด” เขากดเสียงต่ำพูด “นายเป็นคู่นอนของเขาสินะ”
ลั่วอี้ยิ้มอ่อน “ผมเป็นหลานของเขา”
Luca มองสำรวจลั่วอี้ขึ้นลง “นายอายุเท่าไร”
“สิบห้า”
Luca อยากจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่เวินเสี่ยวฮุยวิ่งเข้ามาขวางหน้า Luca ทันที
เขาพูดอย่างไม่เกรงใจ “นายคุยอะไรกับเขาน่ะ”
“เกี่ยวอะไรกับนาย” Luca ค้อนเขา “ลูกค้าหมายเลขเจ็ด นายไปจัดการก็แล้วกัน”
“ตอนนี้ฉันเลิกงานแล้ว”
“ทำโอทีก็ได้นี่นา ฉันมีธุระต้องไปก่อน นายเป็นเด็กใหม่สุด นายก็จัดการเองแล้วกัน” Luca หยิบกระจกออกมาจัดแต่งทรงผม
เวินเสี่ยวฮุยค้อนเขาอย่างขุ่นเคือง
“พี่ไปทั้งแบบนี้ไม่ดีมั้ง” ลั่วอี้ยิ้มขณะเอ่ย
Luca เหลือบมองลั่วอี้ “นี่ นายอยากจะมัดฉันไว้ที่นี่หรือไง”
“ผมเห็นบันทึกการทำงานของพวกพี่ที่แผนกต้อนรับแล้ว พวกพี่ต้องรับผิดชอบในการป้อนข้อมูลเอง” ลั่วอี้พูดเรียบๆ “ถ้าพี่ไปก่อน ผมก็จะตัดจำนวนลูกค้าที่พี่รับในวันนี้ออกครึ่งหนึ่ง”
Luca เบิกตากว้าง “นะ…นายว่าอะไรนะ นายกล้าเหรอ!”
เวินเสี่ยวฮุยก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาถูก Luca หลอกมาตั้งหลายครั้ง ทำไมเขาไม่เคยคิดถึงวิธีนี้เลยนะ
ลั่วอี้ลุกขึ้น เขาสูงกว่า Luca เล็กน้อย “ผมกล้า งานก็ยังทำไม่เสร็จ ยังไงก็อยู่ต่ออย่างซื่อสัตย์เถอะ”
Luca ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ในขณะที่เวินเสี่ยวฮุยอยากจะปรบมือให้ลั่วอี้เหลือเกิน เขารู้สึกมีความสุขมาก
และในเวลานี้เองประตูสตูดิโอก็เปิดออก Raven สะพายกระเป๋าเดินเข้ามา เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามคนอื่นๆ เข้าไปทักทาย
สีหน้าของ Raven เหมือนกับทุกๆ วัน “วันนี้พวกนายเปลี่ยนกะช้าหน่อย มีนักลงทุนคนหนึ่งอยากเข้ามาชมที่สตูดิโอ”
“ครับ” ทุกคนทำได้เพียงกลับไปทำงานอย่างเชื่อฟัง
คาดไม่ถึงว่าอีกสิบนาทีต่อมาก็มีคนสองคนเดินตามกันเข้ามา ซึ่งก็คือหุ้นส่วนอีกสองคนของสตูดิโอจวี้ซิง เสี่ยวเหยียนกับหลิวซิง
คนจำนวนมากอยู่ในจวี้ซิงมานานก็ยังไม่เคยเห็นสามคนนี้ปรากฏตัวพร้อมกัน พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าอาจมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นในวันนี้
เสี่ยวเหยียนพูดกับ Luca “เดี๋ยวถ้านักลงทุนมาแล้วให้ติดต่อพวกเราทันที ฉันจะเข้าไปงีบก่อน”
Luca ยิ้มแล้วเอ่ย “ครับ พี่เสี่ยวเหยียน”
เวินเสี่ยวฮุยคิดว่าอีกประเดี๋ยวประธานหลัวจะเข้ามาจึงนึกอยากหาที่ซ่อนตัวทันที ทว่ามองไปมองมาก็ยังหาที่ซ่อนตัวไม่ได้
ลั่วอี้มองอาการของเขาออก “เป็นอะไรไป”
“อ่อ มีนักลงทุนคนหนึ่งหื่นมากน่ะ ไม่รู้ว่าวันนี้จะมาหรือเปล่า ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา”
ลั่วอี้ยิ้มอย่างมีนัยแล้วพูด “ไม่แน่ว่าอาจจะน่าสนใจกว่าก็ได้นะ”
“อะไรนะ”
“ผมหมายถึงเจรจากันไง”
“พวกเราดูไม่ได้หรอก พวกเขาจะคุยกันในห้องทำงาน”
หลังจากนั้นไม่นานประตูของสตูดิโอก็ถูกเปิดออกอย่างไร้มารยาท หญิงวัยกลางคนรูปร่างสูงแข็งแรงและดูมีฐานะเดินเข้ามาอย่างดุดัน ตามด้วยชายสองคนที่ดูเหมือนบอดี้การ์ด
ใบหน้าของ Luca ผุดรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าคุณ…”
หญิงคนนั้นคำราม “ใครคือ Luca”
Luca ตกตะลึง “เอ่อ…ผมเองครับ คุณมาหาผมเหรอ”
หญิงคนนั้นหันหน้ามาช้าๆ แววตาคมกริบราวกับจะจ้องหน้าของเขาให้เป็นรู ขณะที่ทุกคนยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอก็ง้างมือแล้วตบหน้า Luca ฉาดใหญ่
ทุกคนตะลึงงัน
ลั่วอี้ยืนอยู่ด้านหลังเวินเสี่ยวฮุย สองมือกอดอก เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ จนแทบจะมองไม่เห็น
Luca ถูกตบจนเกือบจะลงไปกองกับพื้น หญิงคนนั้นด่าเสียงสูงโดยไม่รอให้เขาได้ตอบสนองใดๆ
“ไอ้สารเลวหน้าไม่อาย กล้ามายั่วสามีฉันเหรอ แกไม่แหกตาดูบ้างเหรอว่าฉันเป็นใคร อยากตายนักใช่ไหม!”
ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก Raven และคนอื่นๆ วิ่งออกมาตามๆ กัน ต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์นี้
หลิวซิงตอบสนองเร็วที่สุด “คุณ…คุณคือประธานเฉิน?”
หญิงคนนั้นตอบ “ใช่ ฉันนี่แหละที่เป็นคนโทรหาพวกเธอ เพราะฉันอยากให้เจ้านายอย่างพวกเธอได้เห็นว่าพนักงานของตัวเองเป็นตัวอะไรกันแน่ ผู้ชายที่ยั่วสามีของคนอื่น ถุย! น่าขยะแขยงสิ้นดี!”
ใบหน้าของ Luca ซีดขาว ยิ่งขัดกับรอยฝ่ามือแดงฉานบนใบหน้าของเขา ทั้งร่างกายของเขากำลังสั่นสะท้าน
ทั้งสตูดิโอเงียบสงัด
เสี่ยวเหยียนพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน “ประธานเฉินคะ มีเรื่องเข้าใจผิดอะไร…”
“เข้าใจผิดกับผีน่ะสิ! รถของเขาคันนี้ก็เป็นชื่อของสามีฉัน โฉนดบ้านที่เขาอาศัยอยู่ก็เป็นชื่อของฉัน! ทุกบาททุกสตางค์ของสามีฉันที่เขาใช้จ่ายเป็นสินสมรสของฉัน ตอนนี้ฉันจะฟ้องเขาในข้อหาฉ้อโกง!”
“คือว่า…พวกเราเข้ามาคุย…”
ประธานเฉินพูดอย่างโหดเหี้ยม “เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่คุยกันได้ ตอนนี้ฉันอยากทำอยู่เรื่องหนึ่ง พวกเธอให้ฉันพังสตูดิโอนี้ซะ ถึงยังไงฉันก็จ่ายค่าชดเชยไหวอยู่แล้ว หรือไม่พวกเธอก็ให้ฉันสั่งสอนไอ้คนชั่วคนนี้”
Luca ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้เสี่ยวเหยียน
เสี่ยวเหยียนขมวดคิ้ว ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ประธานเฉินพามาพุ่งเข้าไปล็อกแขนของ Luca และเหยียบเท้าของเขาไว้ เขาร้องเสียงหลง พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ประธานเฉินก้าวเข้าไปตบหน้าด้วยมือทั้งสองข้างไปมา รวมถึงทั้งเตะและถีบ โดยการตบหน้าแต่ละครั้งนั้นส่งเสียงดังเป็นพิเศษ
เสี่ยวเหยียนรู้สึกหน้าร้อนตามไปด้วย ทั้งละอายทั้งโกรธเคือง
เวินเสี่ยวฮุยก็เป็นเหมือนคนอื่นในสตูดิโอที่ตกตะลึงกับสถานการณ์นี้ แม้เขาจะรู้สึกสมน้ำหน้า Luca แต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมากนัก ในทางกลับกันการที่พวกเสี่ยวเหยียนทั้งสามคนมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ ก็กลายเป็นภาพจำในใจอย่างสุดซึ้ง
เมื่อประธานเฉินตบจนเหนื่อยแล้วก็หยุด ใบหน้าของ Luca ห้อเลือด บวมเหมือนกับซาลาเปา แววตาของเขาเลื่อนลอย ทันทีที่บอดี้การ์ดทั้งสองคนปล่อยตัวเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้น แม้แต่ร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
ประธานเฉินพูดด้วยความโหดเหี้ยม “พวกเธอจ้างขยะที่ไร้คุณธรรมแบบนี้มันสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของบริษัทจริงๆ ตราบใดที่เขายังทำงานที่นี่ ฉันอาจจะมาอีกเมื่อไรก็ได้ พวกเธอก็จัดการให้มันรอบคอบก็แล้วกัน”
หลังประธานเฉินจากไป สตูดิโอก็ยังคงเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
ผ่านไปเนิ่นนานหลิวซิงก็พูดขึ้น “วันนี้ปิดร้านครึ่งวัน พวกเธอก็กลับไปกันเถอะ”
เวินเสี่ยวฮุยคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วรีบลากลั่วอี้ออกไป ภายในอึดใจเดียวเขาก็วิ่งลงไปถึงชั้นล่าง ก่อนจะถอนหายใจ
“ให้ตายเถอะ น่ากลัวชะมัด”
ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “พี่จะกลัวอะไร ไม่ได้ทำร้ายพี่สักหน่อย”
“ก็จริง แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี คุณป้าคนนั้นดุจะตาย เหมือนแม่ฉันเลย แต่แม่ฉันแค่ไม่มีมาดแบบการพาบอดี้การ์ดมาด้วย”
“ไปเถอะ ไปกินของอร่อยๆ ฉลองกัน”
“หา? ฉลองอะไร”
“Luca อยู่ที่จวี้ซิงต่อไปไม่ได้หรอก พี่ไม่ดีใจเหรอ”
เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้ว “จริงอยู่ที่ฉันอยากให้เขาออกไปตลอดเวลา แต่ว่า…”
“อะไร”
“ในจินตนาการของฉันคือฉันได้กลายเป็นสุดยอดสไตลิสต์ ให้เขารู้สึกด้อยกว่าฉันด้วยตัวเอง รับใช้ฉันและคุกเข่าให้ฉันนับจากนี้เป็นต้นไป แต่ไม่ใช่จากไปแบบนี้…แม้ว่าเขาจะสมควรได้รับมันก็เถอะ”
“เขาสมควรได้รับมันจริงๆ” ลั่วอี้โบกมือถือ “ผมแอบบันทึกเหตุการณ์เมื่อกี้ไว้แล้ว พี่อยากจะดูเมื่อไรก็ได้”
เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยความประหลาดใจ “นะ…นายบันทึกไว้ทำไม”
“มันน่าสนใจไม่ใช่หรือไง” ลั่วอี้ยิ้มอย่างไร้เดียงสามาก “พี่อยากปล่อยลงอินเตอร์เน็ตหรือเปล่า ผมจะสร้าง IP เสมือนให้ รับรองว่าไม่มีใครหาเจอ”
หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของลั่วอี้ทำให้เขาหวาดกลัวเล็กน้อย ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ของสตูดิโอต่างตกใจกันมาก สุดท้ายแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นแค่คนหนุ่มสาววัยยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน แต่ลั่วอี้กลับบันทึกมันไว้
เขารีบพูด “ไม่ๆ ไม่ต้อง ลบไปเถอะ ฉันไม่อยากดู”
ลั่วอี้ยักไหล่ “ผมนึกว่าพี่จะดีใจมากซะอีก แต่ว่าจากนี้ไปเขาก็จะไม่มากวนใจพี่อีกแล้ว”
“นั่นสิ” เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “แต่ว่าจู่ๆ ฉันก็นึกถึงคำพูดของนายขึ้นมาได้”
“คำไหน”
“คนเลวที่แยกง่ายกับคนเลวที่แยกยาก Luca เป็นคนเลวที่แยกได้ง่าย ฉะนั้นฉันก็เลยกันตัวเองจากเขาได้ อย่างมากสุดเขาก็ทำให้ฉันขยะแขยงได้แค่แป๊บเดียว แต่ทำร้ายอะไรฉันไม่ได้ ส่วนคนเลวที่แยกยากก็เป็นเหมือนที่นายพูด ‘คนที่จะกลายเป็นคนเลวก็ต่อเมื่อผลประโยชน์ของเขามีภัย’ ฉันคิดว่าเจ้านายของฉันเป็นอย่างหลัง”
ลั่วอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย “เขาได้ทำอะไรพี่หรือเปล่า”
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร แค่ได้ยินเรื่องซุบซิบมาบ้าง ช่างเถอะ หวังว่าฉันคงจะคิดมากไปเอง พวกเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะ อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลย”
“ถ้าพี่รู้สึกว่าเขามีอะไรผิดปกติล่ะก็อย่าลืมบอกผมล่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยยิ้มก่อนเอ่ย “โลกของผู้ใหญ่มันซับซ้อนมากนะ ถึงบอกนายไป นายก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“อย่างน้อยก็ช่วยพี่ออกไอเดียได้ ดีกว่าให้พี่ทนอยู่คนเดียวใช่ไหมล่ะ”
“ก็จริง” เวินเสี่ยวฮุยบิดขี้เกียจ “ไม่คุยเรื่องกวนใจพวกนี้แล้ว ไปๆๆ ไปกินข้าว”
บทที่ 12
Luca ไม่ได้มาทำงานอีกเลยตามที่คาดไว้ เวินเสี่ยวฮุยยังไม่ค่อยคุ้นเคยในช่วงแรก ทุกคนยังคงซุบซิบเกี่ยวเรื่องนี้ในช่วงหลายวันแรก แต่ในไม่ช้าเรื่องก็ซาไปและสตูดิโอก็กลับสู่สภาวะปกติราวกับว่าคนคนนั้นไม่เคยมีอยู่จริง
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปครึ่งเดือนวันหนึ่งเสี่ยวอ้ายก็มานินทากับเขา บอกว่าตัวเองได้ยิน Raven กับหลิวซิงคุยกันว่า Luca ซวยเพราะรถคันนั้น เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่สามารถซื้อรถได้ เมื่อตรวจสอบก็เจอได้ในทันที ซึ่งเรื่องซุบซิบนี้เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้สึกคลุมเครือไม่มีอะไรเจาะจงนัก ส่วนสาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างไร พวกเขาก็ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
ระหว่างนี้ประธานหลัวเคยนัดเวินเสี่ยวฮุยสองครั้งและเวินเสี่ยวฮุยก็มักจะปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการซึ่งทำให้ประธานหลัวไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนัก เวินเสี่ยวฮุยเตรียมใจรอว่า Raven จะนำความยุ่งยากมาให้เขา ทว่านอกจาก Raven จะไม่ได้สนใจอะไรเขาแล้ว ระหว่างนี้ก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรด้วย และนอกเหนือจากที่เสวี่ยหลีไม่มาหาเขาและไม่รับสายเขาแล้ว งานทุกอย่างของเขาก็เป็นปกติดี
ในชั่วพริบตาก็เข้าสู่ช่วงการสอบเกาเข่า
ขณะที่กำลังกินข้าวในวันหนึ่งเวินเสี่ยวฮุยถามถึงเป้าหมายของลั่วอี้
ลั่วอี้พยักหน้า “ผมคิดไว้แล้ว”
“จะไปประเทศไหนเหรอ” เวินเสี่ยวฮุยถามอย่างตั้งตาคอยเล็กน้อย “ถึงตอนนั้นฉันก็ไปหานายได้สินะ? ฉันยังไม่เคยออกนอกประเทศเลย”
ลั่วอี้กินอาหารโดยไม่เงยหน้า “ผมจะไม่ไปเมืองนอก อ่อ พี่อยากไปไหนล่ะ พวกเราไปเที่ยวกันช่วงวันหยุดฤดูร้อนก็ได้”
“หา?” เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างสับสน “มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั่วโลกมีเยอะขนาดนั้น นายไม่สนใจสักที่เลยเหรอ”
ลั่วอี้ส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ”
ตะเกียบของลั่วอี้หยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เวินเสี่ยวฮุย “ถ้าจะให้ผมพูด เพราะว่าผมทนที่จะจากพี่ไปไม่ได้น่ะสิ”
เวินเสี่ยวฮุยอึ้งไป จากนั้นก็ส่งเสียงชิออกมา “ฉันว่านายคงอาลัยอาวรณ์ของสะสมอีนุงตุงนังของนายมากกว่าล่ะมั้ง”
“ผมพูดเรื่องจริงนะ” ลั่วอี้วางตะเกียบลง สิบนิ้วประสานไว้ใต้คาง มองเวินเสี่ยวฮุยอย่างจริงจัง “พี่เสี่ยวฮุย ผมโตมาขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ถึง ‘บ้าน’ ผมอ่านหนังสือมาหลายเล่ม ฟังนิทานมาหลายเรื่อง ต่างก็บรรยายคำว่า ‘บ้าน’ ได้อย่างอบอุ่นและงดงามมาก แต่ว่าผมไม่เคยเข้าใจเลย คนที่อยู่กับผมจนโตไม่ใช่พ่อแม่แต่เป็นหนังสือกับพี่เลี้ยง จนกระทั่งมีพี่แล้วผมถึงเข้าใจคุณค่าของบ้านและครอบครัว ฉะนั้นผมก็เลยไม่สนใจมหาวิทยาลัยเมืองนอก มหาวิทยาลัยพวกนั้นอาจสอนผมได้ก็จริง แต่ถึงผมไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนรู้ได้อยู่ดี ผมจะอยู่ที่นี่แหละ”
เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย “ทำอะไรน่ะ จู่ๆ ก็พูดจาชวนแหวะแบบนี้”
ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ผมพูดจริงนะ”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ การที่มีคนเชื่อใจและพึ่งพาเขา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความสุขและความอบอุ่นที่มาจากใจ ยิ่งได้รู้จักกับลั่วอี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งชอบเด็กผู้ชายที่เกือบจะสมบูรณ์แบบคนนี้มากขึ้นเท่านั้น จนถึงกระทั่งว่าเขาค่อยๆ รู้สึกว่ามรดกล้ำค่าที่สุดที่ลั่วหย่าหย่าทิ้งไว้ให้เขาไม่ใช่ห้องชุดกับเงินสด แต่เป็นหลานชายที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ที่ทำให้เขารู้สึกสนิทชิดเชื้อเหมือนรู้จักกันมานาน
ลั่วอี้ใช้กระดาษทิชชูเช็ดปากเบาๆ พูดเสียงต่ำ “ยิ่งไปกว่านั้นผมยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำที่นี่”
เวินเสี่ยวฮุยถามเรื่อยเปื่อย “ทำอะไรเหรอ”
ลั่วอี้หลุบตาลง ขนตายาวซ่อนดวงตาของเขาเอาไว้ เขายิ้มพร้อมกับเอ่ย “เรื่องที่น่าสนใจมากๆ แบบมากๆ น่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยนึกว่าเขาพูดถึงงานอดิเรกอันยุ่งเหยิงเหล่านั้นจึงเห็นด้วย “นั่นสิ ไม่แน่ว่าระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยนายอาจจะขนถ้วยรางวัลมาอีกกองก็ได้ จริงสิ นายอยากเรียนคณะไหนเหรอ”
“ผมกะจะเรียนปริญญาตรีสองใบด้านการเงินกับกฎหมายน่ะ”
“เอ๋? ค่อนข้างธรรมดาเลยนี่นา ฉันยังนึกว่าเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างพวกนายจะเรียนอะไรที่ไม่ค่อยมีใครเรียนอย่างคณิตศาสตร์หรือโบราณคดีอะไรพวกนี้ซะอีก”
“พวกนั้นเอาไว้เป็นงานอดิเรกก็ได้ ไม่เหมาะกับการทำเป็นอาชีพ”
“จริงด้วย หางานก็ยาก แต่ว่านายไม่ต้องกังวลเรื่องงานหรอก”
ลั่วอี้พูดอย่างเป็นธรรมชาติ “พี่ก็ไม่ต้องกังวล ถ้างานทำให้พี่ไม่มีความสุข อย่างมากก็ลาออก ผมจะเลี้ยงพี่เอง”
เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “ในชีวิตนี้ความฝันสูงสุดของฉันก็คือถูกพ่อหนุ่มรูปหล่ออุปถัมภ์ จากนั้นฉันก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ เหมือนคนเมาที่ติดอยู่ในความฝันก็พอแล้ว…น่าเสียดาย ถ้าเปลี่ยนคนพูดประโยคนี้ก็ดีสิ”
“ทำไมต้องเปลี่ยนคนพูดด้วยล่ะ พี่กลัวว่าผมจะเลี้ยงไม่ไหวเหรอ”
เวินเสี่ยวฮุยขยี้ผมของเขา “นายยังไม่เป็นผู้ชายเลย นี่มันเป็นคำพูดของพ่อหนุ่มน้อย”
ลั่วอี้คว้ามือของเขา แววตาที่จ้องมองเวินเสี่ยวฮุยนั้นมีความกระตือรือร้นที่ชวนให้หน้าแดง
“เป็นผู้ชายหรือไม่ ไม่ค่อยเกี่ยวกับอายุเท่าไรหรอกนะ”
เวินเสี่ยวฮุยชักมือกลับ ก้มศีรษะลงตักข้าวเต็มคำ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วหัวเราะพลางพูดต่อไป
“ไว้นายอายุครบสิบแปดแล้วค่อยมาคุยกับฉันเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ลั่วอี้ยังคงมองเขา “คราวก่อนพูดถึงสเป็กผู้ชายที่พี่ชอบ พี่พูดถึงแค่ภายนอก แล้วภายในล่ะ นิสัย? พี่ชอบคนนิสัยแบบไหน”
เวินเสี่ยวฮุยเกิดความรู้สึกอ่อนไหวจนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขาพูด “นายถามเรื่องนี้ทำไม”
“สงสัย”
“สงสัยอะไร”
ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “ถ้าผมไม่ทันระวังแล้วโตไปเป็นผู้ชายแบบที่พี่ชอบจะทำยังไงล่ะ”
เวินเสี่ยวฮุยไอเบาๆ ทีหนึ่ง เขาหัวเราะเสียงดัง โทนเสียงสูงขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ “เลิกหยอกได้แล้ว” เขาวางตะเกียบลง “ฉันกินหมดแล้วนะ”
“พี่กินไปแค่นิดเดียวเอง”
“ช่วงนี้อ้วนขึ้น กำลังไดเอ็ตอยู่” เวินเสี่ยวฮุยหยิบมือถือแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่หันกลับมามอง
ส่วนลั่วอี้นั้นก็จ้องมองแผ่นหลังของเขาจนกระทั่งหายไปจากขั้นบนสุดของบันได
หลังจากเวินเสี่ยวฮุยกลับถึงห้องแล้วก็ถอนหายใจอย่างแรง เขาไม่ได้โง่ เขาค่อนข้างฉลาดในเรื่องประเภทนี้ด้วยซ้ำ ตอนเด็กๆ เพราะว่าหน้าตาดีเขาถึงได้รับกระดาษข้อความจากเด็กผู้หญิงเสมอ และเคยเห็นความเอาใจใส่ทุกรูปแบบ ดวงตาที่กระตือรือร้นและเปี่ยมด้วยความหวังของลั่วอี้ กอปรกับการดูแลอย่างพิถีพิถันในช่วงเวลานี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนก
ถ้าลั่วอี้ชอบเขาจริงๆ จะทำอย่างไร
เวินเสี่ยวฮุยถูกความคิดนี้กระแทกจนรู้สึกเวียนศีรษะ นั่นเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่พี่สาวของเขาทิ้งไว้ ถ้าลั่วอี้เบี่ยงเบนตั้งแต่เด็กก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเด็กหนุ่มถูกเขาทำให้เบี่ยงเบนล่ะก็ เขาจะต้องทนไม่ได้แน่ เขารู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ หวังว่านี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของเขา ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะยิ่งยุ่งเหยิงกว่าเดิม
เวินเสี่ยวฮุยตัดสินใจลดจำนวนครั้งที่เขาจะมาที่นี่ในทันที เขาคิดถึงขั้นที่ว่าจะไปนอนที่ห้องของหย่าหย่าดีหรือไม่ แต่เขาก็ค่อนข้างกังวลถ้าจะต้องนอนในห้องของคนตาย อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนกล้าหาญมากแต่ก็งมงายด้วย คิดแล้วก็ยอมแพ้น่าจะดีกว่า เพียงแต่ในใจของเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อลั่วอี้เหมือนญาติธรรมดาได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อการสอบเกาเข่าใกล้เข้ามา โรงเรียนของลั่วอี้อยู่ในช่วงปิดเทอม มหาวิทยาลัย XX รับเขาเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบเข้า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียนคนอื่นๆ ลั่วอี้กลับได้ปิดเทอมก่อนเวลา ทั้งสองคนวางแผนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรเวินเสี่ยวฮุยก็จัดการวันหยุดไม่ได้เสียที เขาจึงรู้สึกค่อนข้างหดหู่
เวินเสี่ยวฮุยพลิกดูปฏิทินพลางถอนหายใจ
เสี่ยวอ้ายโน้มตัวเข้ามา “ทำอะไรน่ะ”
“เสี่ยวอ้าย เธอว่าถ้าฉันจะขอลาหยุดสักหนึ่งอาทิตย์ Raven จะอนุมัติหรือเปล่า”
เสี่ยวอ้ายพยักหน้า “อนุมัติสิ”
“จริงเหรอ”
“ลาแต่งงาน ลาไปงานศพ ลาป่วย ลาคลอด นายเลือกมาอย่างหนึ่งได้เลย”
เวินเสี่ยวฮุยค้อนเธอ “ไปให้พ้น น่ารำคาญชะมัด”
เสี่ยวอ้ายหัวเราะ “ฝึกงานที่จวี้ซิงแล้วนายยังคิดที่จะลาพักร้อนอีกเหรอ ฝันไปเถอะ ว่าแต่นายจะทำอะไรน่ะ”
“ก็อยากออกไปเที่ยวนี่นา”
เสี่ยวอ้ายตบไหล่ของเขา “เลิกคิดไปเลยที่รัก ตั้งใจทำงานเถอะ”
ประตูสตูดิโอเปิดออก เสี่ยวอ้ายหันไปมองแล้วกระซิบกระซาบ “ว้าววว หล่อจัง Adi นายดูสิ จะต้องเป็นสเป็กที่นายชอบแน่ๆ”
เวินเสี่ยวฮุยหันไปมอง หึ ที่แท้ก็เป็นลูกของผู้มีอิทธิพลที่เขาเจอในงานเลี้ยงการกุศลคนนั้น…เซ่าฉวิน
เสี่ยวอ้ายผลักเวินเสี่ยวฮุยออกไป “อย่ามาแย่งลูกค้ากับฉันนะ”
เวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงชิออกมา “ใครอยากจะแย่งกับเธอ เธอวางใจได้เลย เขาไม่ตกไปถึงให้เธอต้องบริการหรอก”
“ทำไมล่ะ”
ระหว่างที่กำลังพูด Raven ก็เดินออกมาจากห้องทำงาน ก่อนพูดด้วยสีหน้าดีใจระคนประหลาดใจ
“คุณชายเซ่า?! แหมๆ ผมรู้สึกยินดีที่ได้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจริงๆ คุณจะมาทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะครับ ผมกลัวว่าพวกเราจะบริการได้ไม่ทั่วถึง”
เซ่าฉวินมองไปรอบๆ สตูดิโอ “ขับรถผ่านมา บังเอิญว่าผมยาวแล้วก็เลยมาตัดซะหน่อย”
Raven ยิ้มจนหน้าบานเหมือนดอกไม้ “เชิญนั่งๆ วันนี้ผมอยู่ที่สตูดิโอพอดี ไม่อย่างนั้นถ้าให้คนอื่นแตะต้องผมของคุณล่ะก็ ผมคงไม่มีความสุขแน่ๆ อย่างนั้นผม…”
“เขาก็แล้วกัน” เซ่าฉวินชี้เวินเสี่ยวฮุย
เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็คิดอย่างหลงตัวเอง เป็นไปได้ไหมว่าคุณชายเซ่าคนนี้ชอบเขา
รอยยิ้มของ Raven แข็งทื่อ “เอ่อ…เขาเป็นเด็กฝึกงาน ผมเกรงว่าเขาจะทำได้ไม่ดี”
“ไม่เป็นไร แค่เล็มออกนิดหน่อย” เซ่าฉวินนั่งลงบนเก้าอี้ราวกับไม่มีใครอยู่ข้างๆ พลางมองนาฬิกาข้อมือ
“รีบหน่อยนะ ผมยังมีธุระ”
Raven ชำเลืองมองเวินเสี่ยวฮุย ส่งสายตาให้เขา “ไปเถอะ ระวังหน่อยนะ” ในน้ำเสียงนั้นมีความอิจฉาที่เขาจงใจปกปิดเอาไว้
เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ นี่เขาทำผิดต่อ Raven อีกแล้วใช่ไหม
ช่วงหลังมานี้เวลาที่เขาเห็น Raven ก็แทบทนไม่ไหวจนอยากจะเดินเลียบกำแพงหนี แต่วันนี้กลับอยากนอนให้อีกฝ่ายลั่นไกจริงๆ
เวินเสี่ยวฮุยไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเดินเข้าไปหา “คุณชายเซ่า ผมสระผมให้คุณก่อนก็แล้วกัน”
เซ่าฉวินพูด “ไม่สระ ตัดเลย”
“อ่อ…ครับ”
เวินเสี่ยวฮุยหยิบอุปกรณ์ออกมา มองดูใบหน้าหล่อเหลาของเซ่าฉวินในกระจก แม้เวินเสี่ยวฮุยจะดูโหงวเฮ้งไม่เป็น แต่เขาอยู่ในวงการบริการมาปีกว่า จึงได้พัฒนาความสามารถในการสังเกตคำพูดและดูสีหน้าจนมาถึงขั้นสูงสุด เพียงดูแวบแรกก็รู้ว่านิสัยใจคอของเซ่าฉวินไม่ค่อยดีเท่าไร อีกทั้งยังไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีกด้วย เขากลัวว่าเขาจะทำอะไรผิดแล้วถูก Raven ใช้เหตุผลนี้ไล่เขาออก
เซ่าฉวินสบตากับเขาผ่านกระจก “นายตื่นเต้นเหรอ”
เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพร้อมเอ่ย “นิดหน่อยครับ ผมกลัวว่าถ้าตัดไม่ดีแล้วผมจะชดใช้ให้ผมของคุณไม่ไหว”
เซ่าฉวินหัวเราะเยาะ “ตัดไม่ดีแล้วยังไง ฉันจะกินนายเหรอ”
เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะแห้งๆ สองที “คุณอยากได้ทรงผมแบบไหน”
“มันทิ่มคอน่ะ นายจัดการเองเถอะ” เซ่าฉวินพูดพลางก้มหน้าเล่นมือถือ
เวินเสี่ยวฮุยเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อนจึงตัดให้สั้นตามทรงเดิม เขาเล็มปลายผมและด้านหลังศีรษะให้เซ่าฉวินก่อน เนื่องจากเซ่าฉวินนิ่งเงียบตลอดเวลา เขาจึงลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังตัดผมให้ใครอยู่ แล้วใช้นิ้วกดขมับของเซ่าฉวินตามความเคยชินเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา
“เงยหน้าให้ผมดูหน่อย”
ใบหน้าของเซ่าฉวินเผยร่องรอยไร้ความอดทนฉับพลัน
เวินเสี่ยวฮุยคลายมือทันที นิ้วแข็งค้างอย่างเก้ๆ กังๆ อยู่กลางอากาศ
เซ่าฉวินขมวดคิ้ว “นายเป็นบ้าหรือไง กลัวฉันทำไม”
เวินเสี่ยวฮุยคิดในใจ ก็นายมันน่ากลัวนี่นา
เซ่าฉวินเก็บมือถือ มองเขาผ่านกระจกแล้วพูด “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกนาย”
เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า
เซ่าฉวินยกยิ้มมุมปากน้อยๆ “ทายสิ”
เวินเสี่ยวฮุยกะพริบๆ ตา “คุณอยากนอนกับผม?”
เซ่าฉวินหรี่ตาลง “มีความมั่นใจในตัวเองดีนี่”
เวินเสี่ยวฮุยผุดรอยยิ้มเสแสร้ง “ผมล้อเล่นน่ะครับ”
เซ่าฉวินนั่งไขว่ห้างแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ “ถ้านายไม่แต่งหน้าก็จะเป็นประเภทที่ฉันนอนด้วยตามปกติ น่าเสียดาย ฉันเกลียดผู้ชายแต่งหน้าที่สุด เห็นแล้วหมดอารมณ์”
เวินเสี่ยวฮุยแอบด่าในใจ ไปหมดอารมณ์ที่บ้านปู่แกนู่น เพราะเขาอารมณ์เสียน้ำเสียงจึงขึ้นลงสูงๆ ต่ำๆ ทันที
“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าคุณชายเซ่ามาหาผมด้วยธุระอันล้ำค่าอะไรเหรอครับ”
“อยากให้นายช่วยอะไรหน่อย”
เวินเสี่ยวฮุยคิดไม่ออกจริงๆ พวกเขาต่างก็เป็นคนแปลกหน้า นอกจากจะนัดกันไปหลับนอนแล้ว เซ่าฉวินยังจะต้องการอะไรอย่างอื่นได้
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.