บทที่ 8
ยามจื่อ ศาลาเหอชิงในจวนหลิ่งหนานอ๋องมีแสงไฟสว่างไสว
เนื่องจากต่งป๋อหรูมาช้าไปก้าวหนึ่งหลังเข้าประตูมาก็ให้เฉินเฉาเกอเล่าคำพูดเมื่อครู่อีกรอบ เฉินเฉาเกอกล่าวซ้ำอย่างละเอียดแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “สี่เสียงผู้นั้นแม้มิได้เอ่ยชัดแจ้ง แต่ดูท่า…เรื่องนี้ฮ่องเต้มิได้ใส่พระทัยดูแลนัก ล้วนเป็นองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ควบคุมจัดการ เสียดายที่จวนพวกเราไม่มีสมาชิกที่เป็นหญิงไปคารวะองค์หญิงใหญ่ เช่นนั้น…คงทำได้เพียงสืบดูความเห็นขององค์รัชทายาทแล้ว”
ต่งป๋อหรูยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามีทางกู้สถานการณ์กลับมาได้ เขาชายตามองไป่เริ่นวูบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นก็ยังดี…ซื่อจื่ออย่าได้กังวล กระหม่อมขอพูดไม่น่าฟังประโยคหนึ่ง โหรวจยาจวิ้นจู่เพียงยึดครองเกียรติของทายาทสายตรง หากพูดถึงความโปรดปรานจากท่านอ๋อง คังไท่จวิ้นจู่ยังคงมากกว่าเล็กน้อย องค์รัชทายาทอาจทรงลังเลพระทัย ยังมีเวลาสิบวัน หากเคลื่อนไหวเยี่ยมเยียนอาจยังมีโอกาส…”
ริมฝีปากบางของไป่เริ่นเม้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เป็นความผิดข้า…ก่อนหน้านี้เพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับความขัดแย้ง ตอนรัชทายาทมาพูดคุยด้วยข้ากลับไม่ไยดี ช่างเถิด ได้ยินว่ารัชทายาทชื่นชอบใบชาของพวกเรา ช่วยเตรียมของชั้นดีให้ข้าสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนรัชทายาทเที่ยวหนึ่ง”
ต่งป๋อหรูพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…กระหม่อมได้ยินว่านิสัยขององค์รัชทายาทไม่ดีสักเท่าไร ก่อนหน้านี้ซื่อจื่อไม่สนใจเขา ครั้งนี้…พระองค์เดินทางไปเกรงว่าจะได้รับความไม่เป็นธรรมบ้าง ซื่อจื่ออดทนให้มากหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นอันใด” ไป่เริ่นยิ้มหยัน “อย่างข้ายังจะได้รับความเป็นธรรมอันใดด้วยหรือ”
ต่งป๋อหรูสั่นศีรษะ “สวรรค์มอบบททดสอบอันยิ่งใหญ่ ให้เท่านั้น ซื่อจื่ออย่าดูถูกตนเองไป เฉาเกอ พรุ่งนี้เจ้า…เฉาเกอ?”
“อ๊ะ?” เฉินเฉาเกอพลันหลุดจากภวังค์ เอ่ยอย่างใจลอย “อาจารย์เรียกข้าหรือ”
ไป่เริ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ทันใส่ใจว่าต่งป๋อหรูอยู่ข้างกายด้วย ถามเสียงค่อยด้วยความเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้ “อ่อนเพลียหรือ”
“มิได้” เฉินเฉาเกอหัวเราะแห้งๆ พลางนวดหัวคิ้วแล้วยิ้ม “เพียงง่วงงุนอยู่บ้าง อาจารย์มีเรื่องใดมอบหมายหรือ”
ต่งป๋อหรูแย้มยิ้ม “ไม่มี แค่จะบอกเจ้าคำหนึ่ง เจ้าบอกว่าวันนี้สี่เสียงค้างคืนข้างนอกไม่ใช่หรือ เช่นนั้นหากพรุ่งนี้มีเวลาก็ไปเยี่ยมเขาอีก ซื่อจื่อเสียเงินไปไม่น้อยเพื่อหาทางติดต่อเลขาธิการใหญ่จนได้ อย่าได้ทำให้ช่องทางนี้ขาดสะบั้นเด็ดขาด”
เฉินเฉาเกอกำลังกลัดกลุ้มว่าพรุ่งนี้ไม่มีเหตุผลไปหาสี่เสียงควรทำอย่างไรดีพอดี วาจานี้ของต่งป๋อหรูพูดตรงใจเขาพอดีจึงรีบร้อนรับคำ “ทราบแล้ว อาจารย์วางใจเป็นพอ ข้าจะไปพรุ่งนี้เช้า”
ต่งป๋อหรูยิ้มออกมา “ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนขนาดนั้น วันนี้เจ้าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงเหน็ดเหนื่อยติดกันหลายวัน ไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เฉินเฉาเกอฝืนยิ้มเล็กน้อยและหันหน้าไปมองไป่เริ่น ต่อหน้าต่งป๋อหรู ไป่เริ่นเอ่ยมากคงไม่เหมาะจึงเพียงเอ่ยเสียงค่อยว่า “ไปเถิด”
ราตรีนี้ไม่มีอันใดต้องเอ่ยอีก รุ่งเช้าวันถัดมาไป่เริ่นก็สั่งให้คนส่งเทียบเยือนไปยังจวนรัชทายาท ยามซื่อตนก็พาคนไปยังจวนรัชทายาท
ในจวนรัชทายาทเจียงเต๋อชิงยกน้ำชาให้ไป่เริ่นอย่างเกรงอกเกรงใจ คลี่ยิ้มมีไมตรี “ขออภัยอย่างยิ่ง วันนี้องค์รัชทายาทมีประชุมราชกิจออกไปตั้งแต่เช้าตรู่จึงไม่เห็นเทียบ ไม่ทราบว่าซื่อจื่อจะมา ยามนี้องค์รัชทายาทยังไม่กลับ…เกรงว่าในราชสำนักจะมีเรื่องติดพันเข้าแล้ว”
ไป่เริ่นในใจร้อนรนทว่าภายนอกไม่เผยออกมา เพียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยถามขึ้น “เช่นนั้นไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทจะกลับมาเมื่อใด”
เจียงเต๋อชิงมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “ข้อนี้กระหม่อมไม่อาจตอบได้ เวลานี้องค์หญิงใหญ่ตุนซู่พำนักในวัง ช่วงเที่ยงทรงให้องค์รัชทายาทไปเสวยด้วยบ่อยครั้ง หากองค์หญิงใหญ่ทรงเรียกไป เช่นนั้น…เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะถึงชั่วยามใดแล้ว”
เมื่อไป่เริ่นได้ยินว่าเป็นองค์หญิงใหญ่ตุนซู่หัวใจก็กระตุกวูบยิ่งร้อนรนขึ้น เรื่องนี้องค์หญิงใหญ่ตุนซู่เป็นคนออกปาก หากฉีเซียวอยู่กับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่เป็นประจำ กำหนดงานอภิเษกสมรสย่อมแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตนคิดวิธีการอันใดก็ไร้ผล ไป่เริ่นยิ่งรู้สึกเสียใจ วันนั้นฉีเซียวสนทนากับตนเองเหตุใดจึงไม่อดทนพูดดีๆ กับเขาสักสองสามประโยค บัดนี้ผู้อื่นไม่ไยดีตนเอง คิดพูดอันใดล้วนสายเกินไป ที่ว่ารุ่งเช้าออกไปแต่เช้าไม่เห็นเทียบเยือน หรือแท้จริงเพราะไม่ยินดีสนใจตนก็มิอาจรู้ได้ ไป่เริ่นคิดถึงเส้นตายสิบวันที่เฉินเฉาเกอเอ่ยถึงยิ่งร้อนใจ
เจียงเต๋อชิงดูสีหน้าไป่เริ่น คลี่ยิ้มอ่อนโยน “ซื่อจื่อมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ เช่นนั้นกระหม่อมจะส่งคนเข้าวังไปบอกองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้ ต่อให้อยู่กับองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ หากซื่อจื่อมีธุระองค์รัชทายาทต้องกลับมาแน่”
ไม่กี่ประโยคของเจียงเต๋อชิงมลายความกังขาในใจไป่เริ่นจนสะอาดหมดจด เขาคิดแค่อีกฝ่ายไม่จงใจหลบหน้าก็พอ เจียงเต๋อชิงเห็นไป่เริ่นไม่เอ่ยวาจาจึงถามอีก “เชิญซื่อจื่อไปรอที่ห้องทรงอักษรก่อนดีหรือไม่ กระหม่อมจะส่งคนเข้าวังประเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่จำเป็น” ไป่เริ่นรีบร้อนบอกปัด เขาย่อมรู้จักขอบเขตว่าตนเองมีฐานะใด ไหนเลยจะให้คนเข้าวังไปหาฉีเซียวได้ เขานิ่งเงียบเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “มิได้มีเรื่องอันใด เพียงบังเอิญได้ยินว่าองค์รัชทายาทชอบใบชาที่ส่งบรรณาการมาในครั้งนี้ยิ่งนัก ประจวบเหมาะที่จวนมีใบชาชั้นดีจำนวนหนึ่ง วันนี้ไม่มีธุระอันใดจึงมาส่งให้ด้วยตนเองเสียเลย ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ข้าก็ไม่ขอรบกวนแล้ว”
เจียงเต๋อชิงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ถ้าองค์รัชทายาทกลับมากระหม่อมจะบอกทันที”
ไป่เริ่นเบือนหน้าไป ผู้ติดตามด้านหลังก้าวขึ้นหน้ายื่นกล่องสลักบุปผาย้อมสีแดงมาให้ เจียงเต๋อชิงรีบโน้มตัวไปรับ ไป่เริ่นชะงักเล็กน้อยก่อนหันหน้าไปเอ่ยกับผู้ติดตามอย่างไม่พอใจ “เหตุใดจึงนำมาแค่กล่อง การชงชานี้ต้องใช้กาชาที่สลักขึ้นจากหยกพันวารีเท่านั้นจึงจะมีรสชาติ สั่งให้เจ้านำมาด้วยกัน เหตุใดข้าไม่เห็น”
ผู้ติดตามคนนั้นตะลึงงัน พลันรีบร้อนคุกเข่าขออภัย “ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิต ตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่ชุดชานั้นก็ถูกเก็บอยู่ในห้องไม่เคยแตะต้องมาตลอด ผู้น้อยนำออกมาไม่ได้ ซ้ำเมื่อคืนตอนไปบอกพ่อบ้านเขาก็นอนหลับพอดี เดิมผู้น้อยคิดว่าเช้าตรู่วันนี้จะรับป้ายคำสั่งไปหยิบของ ทว่า…ผู้น้อยสมควรตาย เช้าตื่นมาเลอะเลือนกลับลืมสนิท”
ไป่เริ่นขมวดคิ้ว “เรื่องเล็กแค่นี้ยังทำไม่ได้อีกรึ!”
เจียงเต๋อชิงคลี่ยิ้มในใจ รีบร้อนเอ่ยคลี่คลายสถานการณ์ “ซื่อจื่ออย่าได้โมโห ระวังสุขภาพ”
“ทำให้ต้องขบขันแล้ว…” ไป่เริ่นหัวเราะเจื่อน “เพียงแต่น่าเสียดาย ชานี้แตกต่างจากชาอื่น ใช้เครื่องกระเบื้องชงได้แค่รสธรรมดา ต้องใช้เครื่องหยกชงเท่านั้นจึงจะมีสีออกมา อีกทั้งใช้หยกพันวารีของหลิ่งหนานจะดีที่สุด ช่างเถิด…ส่งพระส่งถึงตะวันตก วันพรุ่งนี้ข้ามาอีกครั้งเป็นใช้ได้”
เจียงเต๋อชิงเอ่ยรับคำระรัว “เช่นนั้นดีที่สุด แต่ต้องลำบากซื่อจื่อเกินไปแล้ว”
ไป่เริ่นระบายยิ้มบาง “ไม่เป็นไร”
ไป่เริ่นพาคนจากไป เจียงเต๋อชิงร้องเรียกคนมาเก็บชาและขนมหวานต่างๆ ส่วนตนเองหอบกล่องเดินอ้อมไปหลังฉากกั้นลม ค้อมกายเอ่ย “องค์รัชทายาท ซื่อจื่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวที่อยู่หลังฉากกั้นลมมองกล่องที่เจียงเต๋อชิงหอบไว้ในมือพลางยิ้มอย่างนึกสนุก “สมองเขาว่องไวนัก แต่งคำพูดชุดนี้ออกมาได้”
“คนที่พระองค์ต้องตาย่อมมิใช่พวกโง่เขลาเบาปัญญา” เจียงเต๋อชิงเปิดกล่องออกให้ฉีเซียวดูพลางยิ้มประจบ “ซื่อจื่อมีใจมุ่งมั่นต้องการพบพระองค์ พรุ่งนี้คาดว่าคงมาตั้งแต่หัววันอีก”
ในกล่องใส่โถชาเล็กๆ สี่โถ ทั้งหมดล้วนใช้ไหมสีแดงมัดไว้แน่นหนา ฉีเซียวหยิบโถหนึ่งขึ้นมาดมกลิ่นดู “พรุ่งนี้เขามาอีก ข้าก็ไม่พบ”
เจียงเต๋อชิงหลุดหัวเราะ “นี่หมายความว่าอันใด พระองค์…”
ฉีเซียววางโถชากลับลงกล่องและเอ่ยราบเรียบ “หนึ่งเพื่อขัดเกลาความอดทนของเขา สอง…รอฝ่ายสี่เสียงมีข่าวแล้วค่อยว่ากันเถิด”
สี่เสียงไม่ทำให้ฉีเซียวรอนาน ข่าวคราวมาอย่างรวดเร็วยิ่ง หลังจากนั้นสองวันรายชื่อผู้ติดตามการคุมเสบียงกลับหลิ่งหนานก็ออกมา ฉีเซียวใช้ลูกไม้เล็กน้อยดึงหน้าที่การออกรายงานมาไว้ที่ตน เดิมเรื่องการส่งเสบียงครั้งนี้ฉีเซียวก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้อื่นจึงไม่สงสัยในตัวเขา แค่ออกรายงานเท่านั้นจะออกจากกรมปกครองหรือจวนองค์รัชทายาทล้วนมีค่าเท่ากัน
เจียงเต๋อชิงมองรายงานบนโต๊ะของฉีเซียวพลางยิ้มประจบ “องค์รัชทายาทหนนี้วางใจได้แล้วกระมัง จริงด้วย สี่เสียงยังให้กระหม่อมมอบสิ่งนี้แก่พระองค์…” เจียงเต๋อชิงหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้ฉีเซียว “ทั้งหมดนี้คือที่เฉินเฉาเกอมอบให้สี่เสียงไม่กี่วันนี้ สี่เสียงกล่าวว่าทำงานให้องค์รัชทายาท แม้รู้ว่าพระองค์ไม่เห็นเงินเล็กน้อยนี้ในสายตา ทว่าเขามิกล้ารับไว้ส่วนตัวจึงให้กระหม่อมนำมาถวายให้พระองค์ กำชับให้พระองค์ทรงรับไว้ให้ได้”
ฉีเซียวยิ้มหยัน “เขาช่างเคารพนบนอบยิ่งนัก…นี่ทั้งหมดมี…”
“หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเต๋อชิงเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนเสริมอีก “ในนี้มีสามพันตำลึงที่ให้เพื่อสืบข่าวการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ ยังมีหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงที่ให้ภายหลังเพื่อจะได้ตามขบวนทหารคุ้มกันเสบียงกลับหลิ่งหนาน”
ฉีเซียวแสยะยิ้มเสียดสี “ไป่เริ่นมีเงินเท่าไรกัน ถึงให้เขาสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้”
เจียงเต๋อชิงส่ายหน้า “ซื่อจื่อคล้ายยังไม่รู้กระมัง คงนึกไปว่าใช้เพื่อจัดการเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เฮ้อ…”
ขณะทั้งสองพูดคุยกันสาวใช้ด้านนอกก็เข้ามาย่อกายเอ่ย “องค์รัชทายาท หลิ่งหนานซื่อจื่อมาแล้วเพคะ”
เจียงเต๋อชิงหันมองฉีเซียว นับรวมหนนี้ไป่เริ่นก็มาเป็นครั้งที่สามแล้ว ทุกครั้งฉีเซียวล้วนสั่งให้เขาขัดขวาง เจียงเต๋อชิงมองดูสีหน้าฉีเซียว “รัชทายาทครั้งนี้…”
“ครั้งนี้ข้าพบ” ฉีเซียวมองรายงานบนโต๊ะหนังสือพลางระบายยิ้มเรียบๆ “สองสามวันนี้ซื่อจื่อมอบของให้ข้าไม่น้อย อย่างไรข้าก็ต้องตอบแทนเสียบ้าง…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.