everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
‘หุบเขาเทพเซียน’ ตั้งอยู่ ณ สุดหล้า สุดหล้าที่ว่านี้แบ่งออกเป็นเขตเส้นขอบฟ้ากับปลายแหลมสมุทร ดินแดนลึกลับแห่งนี้ดำรงอยู่มานานนับร้อยปี และเก็บซ่อนความลี้ลับของมนุษย์ยาเอาไว้
ว่ากันว่าเมื่อร้อยปีก่อนราชสกุลเคยมีธรรมเนียมเลี้ยงมนุษย์ยาด้วยการรวบรวมเด็กชายหญิงที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงมาหลอมรวมกับยาสมุนไพรนับร้อยชนิดแล้วกินเข้าไป พิษทั้งหลายจึงไม่อาจทำอันตรายผู้กินมนุษย์ยาได้ ซ้ำยังมีชีวิตยืนยาวไม่แก่เฒ่า ผิวพรรณขาวละมุนไม่เหี่ยวย่น และยืดอายุต่อไปได้
ขุนนางใหญ่หลายคนในรัชกาลต่อมาจึงทูลทัดทานอย่างแข็งขันถึงขั้นยอมตายเพื่อคัดค้านธรรมเนียมอันชั่วร้ายนี้ จนในที่สุดธรรมเนียมนี้ก็ได้ถูกยกเลิกไป
หลังจากนั้นมนุษย์ยาที่ยังเหลือรอดจึงถูกส่งไปอยู่ ณ สุดหล้า วิธีเลี้ยงดูและสถานที่ที่กักตัวพวกเขาซึ่งมีบันทึกไว้ในปูมประวัติศาสตร์ถูกทำลายไปจนสิ้น นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครทราบว่าสุดหล้าอยู่ที่ใด รู้เพียงว่ามนุษย์ยาแต่ละคนซึ่งอยู่ที่นั่น ไม่เพียงมีพละกำลังกล้าแข็งในระดับต้นๆ ของผู้มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ และเนื่องจากร่างกายค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ จึงมีหน้าตางดงามหมดจดโดดเด่นราวกับเซียน
ด้วยเหตุนี้สุดหล้าจึงถูกเรียกขานด้วยอีกนามหนึ่งว่า ‘หุบเขาเทพเซียน’ มนุษย์ยาซึ่งอยู่ที่นั่นเป็นหนุ่มสาวและไม่มีวันแก่เฒ่า ซ้ำยังมีหน้าตาราวกับเทพเซียน
ในยุทธภพเคยมีเรื่องเล่าขานกันว่าเมื่อราวสามปีก่อนมีมนุษย์ยาผู้หนึ่งออกมาจากหุบเขาเทพเซียน เกือบจะถูกหลันชิ่งประมุขสำนักมารจับตัวได้ ผู้คนต่างหวาดกลัวหลันชิ่งผู้โหดเหี้ยมซึ่งเชี่ยวชาญการใช้พิษ เขาเป็นคนชั่วร้ายไร้ความปรานี ผู้คนต่างกลัวว่าหากเขาได้ตัวมนุษย์ยาไปสักคนหนึ่ง ทั่วหล้าจะไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขไปอีกนับร้อยปี จึงบุกเข้าโอบล้อมโจมตีและฆ่าฟันทั้งหลันชิ่งและมนุษย์ยาบนเขาลั่นชางให้ตายไปพร้อมๆ กันเพื่อขจัดภัยร้ายของยุทธภพให้สิ้นซาก
ภายหลังหลันชิ่งหนีไปได้ มนุษย์ยาตกหน้าผาลึกหมื่นจั้ง ตาย ยับยั้งความใฝ่ฝันที่จะครอบครองยุทธภพของหลันชิ่งลงได้ชั่วคราว
มนุษย์ยาซึ่งไร้ความผิดกลับต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
บางคนบอกว่ามนุษย์ยาผู้นั้นชื่อจ้าวเสี่ยวชุน บังเอิญมาพบกับประมุขสำนักมารซึ่งกำลังถูกโจมตีที่ปราสาทเขาเพลินภิรมย์บนเขาลั่นชางเข้าพอดี จึงโชคร้ายติดร่างแหไปด้วย และบางคนก็ว่าจ้าวเสี่ยวชุนผู้นั้นเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุค ไม่หวั่นเกรงแม้ศัตรูที่แข็งแกร่ง นำยาครอบจักรวาลมามอบให้แก่หลันชิ่งที่ถูกพิษ ณ ปราสาทเขาเพลินภิรมย์
หลังจากนั้นยังมีคนพูดอีกว่าเพื่อเห็นแก่ธรรมะของคนทั่วหล้า จ้าวเสี่ยวชุนผู้นี้ยอมโดดลงจากหน้าผาจบชีวิตตัวเองเพื่อไม่ให้ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของประมุขสำนักมาร กลายเป็นเครื่องมือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ยุทธภพ
หลังจากหนีรอดจากเขาลั่นชางไปได้ ชาวยุทธ์พากันบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ในที่สุดสำนักมารจึงกลายเป็นใหญ่ในยุทธภพ เรื่องราวในตอนนั้นไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาพูดอีก แม้ผู้คนจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่ยากจะลืมเลือนมีเพียงรอยยิ้มหยิ่งทะนงและเสียงหัวเราะอันเปิดเผยร่าเริงของชายหนุ่มก่อนที่จะตกหน้าผาลงไป ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น
ชายหนุ่มพูดว่า ‘ชีวิตนี้ของข้าจ้าวเสี่ยวชุนเงยหน้าไม่หวั่นเกรงฟ้า ก้มหน้าไม่ละอายต่อดิน ต่อให้วันนี้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ก็ยังจะหยิ่งผยองแบบนี้ อวดดีแบบนี้’
หลายปีต่อมาเมิ่งฉานเซิงผู้เขียนประวัติศาสตร์ยุทธภพบังเอิญได้พบกับหลันชิ่งซึ่งลงจากตำแหน่งประมุขสำนักมารแล้ว
หลันชิ่งได้บอกว่า ‘เจ้าโง่นั่นก็แค่หมดกำลัง ถึงได้ลื่นล้มแล้วตกลงไป’
‘ตายรึ หากตายง่ายดายปานนั้นก็ไม่ต้องเรียกว่าจ้าวเสี่ยวชุนแล้ว’ ใบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์ของหลันชิ่งยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้หวั่นไหว ‘คนชั่วช้าอย่างนั้นน่ะ…ไม่รู้จักตายหรอก…’
เมิ่งฉานเซิงฟังแล้วถึงกับตะลึง
ในยุคนี้คนที่สมกับคำว่า ‘คนชั่วช้า’ หากบอกว่าอดีตประมุขสำนักมารที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงลำดับสอง ก็เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นคนชั่วช้าที่เขาพูดถึงแท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้เมิ่งฉานเซิงที่น่าสงสารก็ยังสงสัยใคร่รู้
จ้าวเสี่ยวชุนที่แท้เป็นคนอย่างไรกันนะ
ถึงฤดูฝนต้นเหมย สายฝนตกพรำๆ ยาวนานนับสิบวัน
รถม้าประดับเครื่องยศสีขาวแล่นทะยานท่ามกลางสายฝนเข้าไปในเมืองแล้วหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง สารถีเลิกม่านรถขึ้นแล้วยืนคอยรอรับผู้เป็นนายที่อยู่ด้านในรถ กางร่มน้ำมันคันหนึ่งไว้รอเหนือศีรษะตรงปากประตู ปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนจนชุ่มแต่ไม่ยอมขยับตัวไปไหนแม้แต่น้อย
“เสี่ยวชุน ถึงแล้ว ตื่นเถอะ” มีเสียงชายหนุ่มดังออกมาจากด้านในรถ เสียงนั้นไม่สูงไม่ต่ำ จะบอกว่าเย็นชาก็ไม่ใช่ จะว่าอบอุ่นอ่อนโยนก็ไม่เชิง
“อ้อ…ข้านอนในรถก็ได้…ไม่กินอะไรแล้วล่ะ…” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวชุนพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“คืนนี้เราพักที่นี่ นอนในรถไม่ได้หรอก รีบลงมาเร็ว” ชายในชุดสีขาวคนหนึ่งก้าวออกจากรถ เดิมทีจะก้าวถึงพื้นอยู่แล้ว แต่เห็นว่าด้านหน้าโรงเตี๊ยมมีแต่โคลนตมเละเทะไปหมดก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยืนบนบันไดรถแล้วเตะเท้าเบาๆ ร่างก็โผขึ้นอย่างสง่างามราวกับห่านป่า พุ่งตรงเข้าไปในโรงเตี๊ยมโดยไม่ทันได้เปียกฝนเลยแม้แต่น้อย
ท่าทางอันพลิ้วไหวเรียกความสนใจและเสียงชื่นชมจากบรรดาแขกเหรื่อของโรงเตี๊ยมได้ไม่น้อย
เสี่ยวชุนที่กำลังนอนหลับอยู่ในรถม้า พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็พลิกตัวไปมา พยายามจะตะกายลุกขึ้นจนกลิ้งไปมาหลายรอบ พยายามอยู่นานจนสุดท้ายก็ตะกายจากเบาะขนกระต่ายแสนนุ่มลุกขึ้นมาได้
“เฮ้อ…วันนี้เจ้ามีธุระรึ…อวิ๋นชิง…” เสี่ยวชุนที่ง่วงงุนขยี้ตาอันพร่ามัวพร้อมทั้งหาวหวอดติดๆ กันอีกหลายที ตอนนี้เขาคิดแต่เพียงว่าจะรีบปีนกลับขึ้นไปนอนบนเตียงไวๆ ถึงขนาดที่แม้จะเดินย่ำลงไปในโคลนหลายก้าวจนรองเท้าเปียกแฉะแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
พอเสี่ยวชุนถามแล้วไม่มีใครตอบก็ค่อยรู้ตัวว่าอีกฝ่ายใช้กำลังภายในโผทะยานเข้าไปในโรงเตี๊ยมนานแล้ว