everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 1 #นิยายวาย
เขารู้แต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้คงไม่ยอมเปื้อนโคลนแม้แต่น้อย เสี่ยวชุนเบิกตาที่ง่วงงุน หัวเราะออกมาทีหนึ่งแล้วหันไปบอกขอบใจสารถีที่ช่วยกางร่มให้ท่ามกลางฝนต้นเหมยที่ตกกระหน่ำ ขยับแข้งขาที่ถูกนอนทับจนเป็นเหน็บไปหมดก่อนเดินตามเข้าไปในโรงเตี๊ยม
นั่งอยู่ครู่หนึ่งชาร้อนๆ ก็ถูกยกมา เสี่ยวชุนถามอีกว่า “วันนี้มีธุระหรือ ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์กับข้าที่หุบเขาก่อนเสียอีก”
หลันชิ่งศิษย์พี่ใหญ่ของเสี่ยวชุนธาตุไฟเข้าแทรก จึงแสดงอาการคลุ้มคลั่งเป็นครั้งคราว เสี่ยวชุนคิดค้นยาที่ช่วยทะลวงเส้นลมปราณให้ไหลเวียนได้สะดวกขึ้นอย่างยากลำบาก คราวนี้อวิ๋นชิงจึงเดินทางเพื่อนำยาไปมอบให้หลันชิ่งพร้อมกับเสี่ยวชุน
แต่ยานี้ช่วยให้ผู้ที่กินมีสติแจ่มใสได้เพียงสามปีเท่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นหรือตายคงต้องแล้วแต่โชคชะตาจะนำพา
หลังส่งมอบยาให้ที่ศูนย์กลางใหญ่ของสำนักมารและลงจากเขาเยี่ยนตั้งแล้ว เสี่ยวชุนบอกว่าจะพาอวิ๋นชิงกลับหุบเขาเทพเซียน
ข้อแรกคืออยากจะพาภรรยาผู้งดงามไปพบอาจารย์ ข้อสองก็เพื่อจะขอร้องให้อาจารย์หาทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่
เสี่ยวชุนไม่ได้บอกเหตุผลข้อสองกับอวิ๋นชิง บอกไปแค่เพียงข้อแรกเท่านั้น อวิ๋นชิงเองก็รับปากแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้จึงได้หยุดพักที่นี่
“อืม” อวิ๋นชิงตอบกลับเรียบๆ “มีบางเรื่องต้องจัดการน่ะ เลยต้องหยุดพักที่นี่คืนหนึ่ง”
“เช่นนั้นก็อย่าหักโหมนัก” เสี่ยวชุนว่า
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยวุ่นวายกับธุระของอวิ๋นชิง เรื่องในราชสำนักนั้นน่ารำคาญจะตาย ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นชิงต้องขยันอะไรอย่างนี้
เสี่ยวชุนบีบนวดแขนตัวเองที่ปวดเมื่อย ทุบกระดูกหัวเข่าที่ปวดร้าว สูดลมหายใจลึกๆ จนเต็มปอดแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นแล้วก็กินยาเล็กน้อย ตามด้วยดื่มน้ำร้อนอึกใหญ่
เดิมทีอวิ๋นชิงกำลังก้มหน้าครุ่นคิด พอเหลือบมาเห็นท่าทางของเสี่ยวชุนซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สบาย ประกายอันเย็นชาก็วาบขึ้นมาในดวงตาทันที น้ำเสียงก็ยิ่งแปร่ง
อวิ๋นชิงพูดขึ้น “ทำไมถึงเอาแต่นอนหลับมาตลอดทางล่ะ ตั้งแต่ลงจากเขาเยี่ยนตั้งเจ้าก็เอาแต่หลับตลอดเวลา เป็นอะไรหรือเปล่า หรือตอนที่เจ้าเอายาขึ้นไปให้ เจ้าสารเลวหลันชิ่งทำร้ายเจ้า? มันทำร้ายเจ้าแต่เจ้าไม่บอกข้า? ไม่รู้ว่าจะทำดีกับมันถึงขั้นนั้นไปทำไม เจ้าสารเลวนั่นทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หน เจ้ายังไม่ได้รับบทเรียนบ้างเลยหรือ”
ได้ยินอวิ๋นชิงก่นด่าด้วยความโกรธแล้ว เสี่ยวชุนก็หลุดขำ “เจ้าอย่าคิดเลยเถิด เขาไม่ได้ทำร้ายข้า แต่เป็นเพราะถูกความชื้นจากฝนที่ตกมาหลายวัน ข้าถึงได้รู้สึกติดๆ ขัดๆ ตรงนั้นตรงนี้ไปทั่วตัว เคลื่อนไหวไม่ค่อยคล่อง”
อันที่จริงคนผู้นี้ห่วงใยเขาแต่ไม่แสดงออก คนอื่นแสดงความเป็นห่วงด้วยคำพูดจาที่อบอุ่นอ่อนโยน ส่วนอวิ๋นชิงกลับใช้ถ้อยคำเย็นชา ทว่าความเดือดเนื้อร้อนใจและขุ่นเคืองที่อยู่ในใจล้วนแสดงออกมาทางสีหน้าหมดสิ้น
“อากาศชื้นเพราะฝนตกมาหลายวันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าเจ็บปวดรวดร้าวจนติดขัดไปทั้งตัวด้วยเล่า” อวิ๋นชิงฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ
เสี่ยวชุนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะคิกๆ แล้วว่า “เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยตกจากหน้าผามา ทั่วร่างแตกหักป่นปี้แทบไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้ก็ยังคงมีอาการบาดเจ็บอยู่ แม้ไม่ได้ร้ายแรงก็ตาม แต่ยามฝนตกหรือหิมะตกเมื่อไร อากาศเย็นชื้นแทรกซึมเข้าร่าง กระดูกก็จะเกิดเจ็บร้าวขึ้นมา แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้กินยาก็หาย”
อวิ๋นชิงพอได้ยินคำว่า ‘ทั่วร่างแตกหักป่นปี้แทบไม่เหลือชิ้นดี’ หัวใจก็ปวดร้าวเหมือนถูกบีบ
เขาทำท่าจะพูดอะไรอีก แต่เสี่ยวชุนกลับไวกว่า ตัดบทไม่ให้พูดต่อ ไม่ปล่อยให้อวิ๋นชิงจดจ่ออยู่กับเรื่องตรงนั้นหักตรงนี้ป่นอีก “จะว่าไปฝนก็ตกมาสิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะหยุดตกเมื่อใด แวะพักโรงเตี๊ยมนี้ก่อนก็ดี”
เสี่ยวชุนจ้องมองอวิ๋นชิง ริมฝีปากหยักขึ้น ยิ้มจนตาหยี สีหน้าท่าทางเบิกบานใจ ทั้งๆ ที่เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ไปหมด แต่พอยิ้มแล้วกลับชื่นบานเหมือนสายลมในวสันตฤดู พัดเอาบรรยากาศอึมครึมช่วงฤดูฝนต้นเหมยให้กระจัดกระจายไป
เสี่ยวชุนพูดอีก “หลายวันมานี้ฝนตก เสื้อผ้านี่จากแห้งก็เปียกชื้นไปหมดแล้ว รู้สึกเนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะจะแย่ ข้ายังรู้สึก เจ้าก็ต้องรู้สึกเหมือนกันแน่! เราให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมห้องดีกว่า ต้มน้ำไว้ให้เจ้าอาบก่อน ข้าจะช่วยเจ้าถอดเสื้อ จะได้อาบน้ำสบายๆ ดีหรือไม่”
เสี่ยวชุนพูดจบก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตา ยิ้มไปพูดไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
คาดไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงจะตอบกลับมาอย่างหน้าตาย “เจ้าจะอาบให้ข้ารึ ก็ดีสิ เจ้าไม่เคยอาบให้ข้ามาก่อนเลยนี่”
เสี่ยวชุนได้ฟังดังนั้นก็เกือบจะตกเก้าอี้ อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “อวิ๋นชิง ข้าล้อเจ้าเล่น!”
“ล้อเล่นอะไรกันเล่า” อวิ๋นชิงนิ่วหน้า ปกติเขาเป็นคนฟังเรื่องล้อเล่นไม่ออกอยู่แล้ว ไม่ว่าเสี่ยวชุนจะพูดอะไรก็ล้วนฟังแล้วจดจำฝังใจ “อีกประเดี๋ยวเจ้าช่วยอาบน้ำให้ข้าก็แล้วกัน”
เสี่ยวชุนใบหน้าแดงซ่านทันทีแล้วบ่นกระปอดกระแปด “ไม่ดีล่ะมั้ง อีกอย่างตัวข้าก็สกปรก เจ้าไม่รังเกียจรึ ข้าว่าให้เจ้าอาบน้ำเองให้เรียบร้อยก่อน แล้วข้าค่อยให้เสี่ยวเอ้อร์ตักน้ำให้ใหม่”
“เจ้าไม่สกปรก แล้วก็ไม่เหม็นสักหน่อย” อวิ๋นชิงดึงผมปอยหนึ่งของเสี่ยวชุนมาดมดูแล้วว่า “ตัวเจ้าหอมกลิ่นยามาแต่ไหนแต่ไร” นี่เป็นกลิ่นพิเศษของมนุษย์ยา เป็นกลิ่นสมุนไพรหอมสดชื่นกรุ่นกำจาย
“เอ่อ…” คนหนึ่งหน้าแดงหูแดงไปหมด ทว่าอีกคนกลับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดจาเหมือนเกี้ยวพาราสี ขณะที่ทั้งสองกำลังใกล้ชิดกัน ข้างๆ ก็มีเสียงกระแอมดังขัดจังหวะขึ้นมา
เสี่ยวชุนรีบนั่งตัวตรงแล้วส่งยิ้มเอาใจไปให้เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูกระอักกระอ่วนพลางพูดว่า “จัดห้องใหญ่ให้สักห้องหนึ่งเถิด แล้วช่วยต้มน้ำร้อนให้ด้วย…”
ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นหันไปมองอวิ๋นชิง สองตาจ้องเขม็งเหมือนถูกตรึงไว้ไม่ให้หันไปทางอื่น ถลึงตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดจากเบ้า
“งาม…งาม…งามเหลือเกิน…” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างตะกุกตะกัก ซ้ำยังทำท่าปาดน้ำลายอย่างแรงอีกด้วย
เสี่ยวชุนเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็ยังต้องพยักหน้าหงึกๆ แสดงความเห็นพ้อง “เป็นคนงามจริงๆ นั่นแหละ ใครเห็นก็ว่าอย่างนี้”
แต่อวิ๋นชิงกลับแสดงท่าทางต่างจากเสี่ยวชุน พอเห็นเสี่ยวเอ้อร์ทำหน้ากรุ้มกริ่ม น้ำลายไหลย้อย เขาก็รู้สึกคลื่นเหียน สีหน้าบูดบึ้ง ประกอบกับถูกขัดจังหวะขณะพูดคุยกับเสี่ยวชุนจึงรู้สึกไม่พอใจมาก ปลายนิ้วที่วางบนหัวเข่าพลันขยับเล็กน้อย เข็มดอกท้อหลายเล่มก็พุ่งแหวกอากาศออกมาทันที