everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 1 #นิยายวาย
เสี่ยวชุนสายตาเฉียบแหลม เดินลมปราณแล้วยื่นมือออกไปขวางอาวุธลับที่ร้ายกาจโดยไม่ทันคิด แต่กลับนึกขึ้นได้ว่าปราณของตนอ่อนแอจากการบาดเจ็บสาหัส กำลังภายในยังไม่ฟื้นตัว ไม่อาจสกัดอาวุธลับได้
เนื่องจากทั้งสามคนอยู่ใกล้กัน จู่ๆ มีการลงมือเช่นนี้เป็นใครก็ยั้งมือไม่ทัน เข็มเหล่านั้นจึงพุ่ง ‘สวบๆๆ’ ฝังเข้าไปในกระดูกข้อมือของเสี่ยวชุน เสี่ยวชุนเจ็บจนต้องร้องออกมาเสียงโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด
“โอ๊ยยย!”
สีหน้าของอวิ๋นชิงซึ่งตอนแรกเย็นชาไร้ความรู้สึกประหนึ่งน้ำแข็งพลันเผือดสีลงทันที เขาหน้าซีด คว้าข้อมือเสี่ยวชุนแล้วรีบเดินกำลังภายในรีดเค้นเอาเข็มดอกท้อออกมา แต่ไม่ทันคิดว่าจับแรงไปหน่อยทำให้เสี่ยวชุนเจ็บจนถึงกับมีเหงื่อเย็นผุดซึม
อวิ๋นชิงตกใจรีบปล่อยมือ ใบหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเสี่ยวชุนเสียอีก ในใจทั้งเจ็บปวดทั้งเป็นห่วง
“จ้าวเสี่ยวชุน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!” อวิ๋นชิงพูดพลางกัดฟันกรอด น้ำเสียงเต็มไปด้วยอาการขึ้งโกรธ แต่ที่ชัดเจนไม่อาจปิดบังคือความตื่นตกใจ
“เจ้าซัดเข็มมาโดนข้า…” เสี่ยวชุนหันไปมองอวิ๋นชิงที่กำลังโกรธด้วยสีหน้าน่าสงสารจับใจ
“ใครให้เจ้าสอดมือมายุ่งเล่า กลายเป็นว่าข้าทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บไปซะนี่!” อวิ๋นชิงตอบอย่างเคืองๆ เจ้านี่ไม่เคยได้รับบทเรียนเอาซะเลย กลัวเจ็บแต่ก็ชอบยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง กี่ครั้งแล้วที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวโดยไม่ได้ตั้งใจก็ไม่รู้จักได้บทเรียนซะบ้าง ยังชอบดันทุรังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
“แต่ไม่ยุ่งก็ไม่ได้นี่” เสี่ยวชุนฉีกยิ้มแล้วว่า “เข็มนี่มีพิษ คนทั่วไปที่ไหนจะรับมือได้ ข้าไม่เหมือนคนอื่น พิษทั้งหลายไม่อาจกล้ำกราย ถูกเข็มซัดใส่ไม่กี่เล่มไม่เป็นอะไรนักหรอก”
“เจ้า…” อวิ๋นชิงโกรธจนพูดไม่ออก คว้าแขนเสี่ยวชุนแล้วพาเดินขึ้นบันไดไป
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นถึงกับตัวสั่น ในหัวมีคำพูดว่า ‘เข็มนี่มีพิษ…พิษทั้งหลายไม่อาจกล้ำกราย’ สะท้อนไปมาไม่หยุด เขาเดินตัวสั่นเทิ้มตามขึ้นไป เหงื่อกาฬไหลพลั่กๆ ทั่วร่าง แต่ก็ต้องเดินขาสั่นนำแขกทั้งสองไปที่ห้องพัก
หลังจากพูดกำชับเบาๆ สองสามคำ เสี่ยวชุนก็ให้เสี่ยวเอ้อร์ลงไปได้ ประตูถูกปิดสนิท กั้นเสียงเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมที่ร้องโหวกเหวก เสียงตะโกนสั่งของลูกค้า และเสียงจานชามกระทบกันที่ดังสับสนไว้ด้านนอก ในห้องจึงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝนโปรยปรายข้างนอกที่ตกกระทบกระดาษกรุหน้าต่างแผ่นบางแว่วมาเพียงแผ่วเบา
“มานี่ซิ” น้ำเสียงอวิ๋นชิงฟังดูขรึมเล็กน้อย เสี่ยวชุนได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้ง
พอหันไปมองก็เห็นว่าคนงามกำลังก้มหน้าเปิดห่อสัมภาระอยู่บนตั่งแล้วคุ้ยหายารักษาบาดแผลที่อยู่ในกองขวดยาหลากสี เส้นผมดำขลับค่อยๆ สยายลงประบ่าราวกับน้ำตก เผยให้เห็นลำคอขาวผ่อง
กระทั่งคนงามเลือกขวดยาได้แล้วก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ดูเย็นชางดงามประหนึ่งภาพวาด ดวงตางามแม้จะแฝงความขุ่นเคืองไว้แต่กลับยิ่งสะกดสายตา
เพียงเหลือบมองชั่วประเดี๋ยวเสี่ยวชุนก็ถึงกับหายใจติดขัด หัวใจเต้นรัว
อวิ๋นชิงขมวดคิ้วพลางจ้องมองเสี่ยวชุน ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังไม่เดินมาหา
เสี่ยวชุนก็เอาแต่จ้องอวิ๋นชิง จ้องไปจ้องมาใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นทุกที
“ยังไม่มาอีก?” อวิ๋นชิงขึ้นเสียง
“มา…มาแล้ว…” เสี่ยวชุนตื่นจากภวังค์ รีบสาวเท้าเดินไปหา
อวิ๋นชิงคว้ามือเสี่ยวชุนไว้ เอาหินแม่เหล็กมาประกบพร้อมถ่ายทอดกำลังภายใน ไม่ช้าก็ถอนเข็มพิษที่ฝังอยู่ในกระดูกข้อมือออกมาได้ เสี่ยวชุนเจ็บจนต้องกัดฟันร้องโอดครวญ ดวงตาพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา
พอใส่ยาเสร็จแล้วเสี่ยวชุนจะดึงมือกลับ แต่อวิ๋นชิงกลับจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“อะไรอีกเล่า” เสี่ยวชุนหันไปหัวเราะใส่อวิ๋นชิงอย่างงงๆ พลางถาม ยื้อยุดฉุดกันไปมาอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมปล่อย ดึงอยู่สองสามทีก็ต้องยอมแพ้ อย่างไรเสียถ้าอวิ๋นชิงจับได้แล้วก็มักจะหนีไม่พ้น ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์
“ยังจะมาหัวเราะอีก เจ้ายังหัวเราะได้อีกรึ! อย่างไรเจ้าก็ไม่ควรทำให้ข้าต้องทำร้ายเจ้า!” อวิ๋นชิงเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมา
คนผู้นี้จะทำให้อวิ๋นชิงโกรธจนแทบคลั่งทุกครั้งที่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บ พอเห็นนิ่วหน้าร้องโอดครวญ หัวใจเขาเองก็เหมือนถูกบีบเค้นจนเต้นรัวแทบจะหลุดจากอก แต่ไหนแต่ไรเขาล้วนไม่เจตนาทำร้ายเสี่ยวชุน แต่กลายเป็นว่าทำให้เสี่ยวชุนต้องเจ็บตัวหลายครั้งหลายครา
“เข็มดอกท้อโหดเหี้ยมและมีพิษร้ายแรง คนทั่วไปทนรับไม่ไหวแน่ จะไม่เข้าไปขวางไว้ได้อย่างไร” เสี่ยวชุนมองไปยังอวิ๋นชิงนิ่งๆ ตาไม่กะพริบ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า!” อวิ๋นชิงต่อว่า
เสี่ยวชุนครุ่นคิดแล้วถอนหายใจ บอกว่า “ลองคิดอีกที! หากมีใครจะมาฆ่าข้า เจ้าจะทำอย่างไร”
ในใจเสี่ยวชุนรู้ดีว่าที่อวิ๋นชิงมีนิสัยอย่างนี้ก็เพราะไม่มีใครสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้โตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ อวิ๋นชิงเป็นคนเย็นชา ในใจไม่เคยคำนึงถึงผู้ใด ความเป็นความตายของคนพวกนี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขา คิดๆ แล้วเสี่ยวชุนก็อดนึกสงสารอวิ๋นชิงไม่ได้
“ข้าตงฟางอวิ๋นชิงเคยลั่นวาจาไว้ ใครกล้าทำร้ายเจ้า…จ้าวเสี่ยวชุนแม้เพียงขนสักเส้น ข้าจะตัดแขนขา ถลกหนังมันออกมา จับมันยัดใส่โอ่งแช่น้ำเกลือจนตาย” ดวงตาอวิ๋นชิงราวกับมีเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วง น้ำเสียงเอาจริงเอาจังจนไม่อาจตั้งคำถาม
ในใจเสี่ยวชุนสั่นสะท้าน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ผู้คนทั่วหล้าล้วนเป็นคน ไม่ควรจะมีเพียงข้าที่แตะต้องไม่ได้ พวกเขาต่างก็มีลูกชายลูกสาว มีคนที่รักใคร่เอ็นดู ถ้าพวกเขาเห็นว่าญาติพี่น้องของตนถูกทำร้าย จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าเจ้ารึ”
“เจ้าก็ส่วนเจ้า คนอื่นก็ส่วนคนอื่น ข้าก็ส่วนข้า จะเอามาเหมารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไร” อวิ๋นชิงรู้สึกเหมือนมีอะไรมาติดขัดในใจ เขาจ้องมองเสี่ยวชุน “หรือว่าในสายตาเจ้า ข้าก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป?”
พอได้ยินเสี่ยวชุนพูดแทนคนอื่น อวิ๋นชิงก็ถึงกับขึ้นเสียง เห็นได้ชัดว่าโกรธเคือง หากใครๆ ก็ล้วนไม่มีความแตกต่าง ถ้าเช่นนั้นในสายตาเสี่ยวชุน เขาจะไปมีความสำคัญอะไร เขารู้ว่าเสี่ยวชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่เคยใส่ใจเขา ในใจเฝ้าแต่คำนึงถึงคนอื่น ไม่เห็นว่าเขามีความสลักสำคัญอะไร
“อ้าวๆๆ อย่าเพิ่งโกรธสิ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” เสี่ยวชุนคิดไม่ถึงว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งยุ่งจึงเริ่มทุกข์ร้อน
“ต่อให้คนทั่วหล้าล้วนเหมือนกันก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ในโลกนี้คนที่ห่วงใยข้ามีแต่เจ้า คนที่สงสารข้าก็มีแต่เจ้า นอกจากเจ้าแล้วใครกันจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้ข้า ไยข้าต้องสนใจคนพวกนั้นด้วย” อวิ๋นชิงพูด “คนที่ข้าใส่ใจ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่เจ้าเท่านั้น!”
เสี่ยวชุนได้ฟังก็นิ่งอึ้งตกตะลึงไปพักใหญ่ นานครู่หนึ่งจึงได้สติ ยิ้มแล้วค่อยๆ พูดว่า “ข้ารู้แล้ว อย่าโกรธเลยนะ”
“จะว่าไป” เสี่ยวชุนพูดอีก “ก็เพียงแค่คำว่าคนงามมิใช่หรือ หรือเจ้าไม่ชอบฟัง?” นี่เป็นคำชม เสี่ยวชุนรู้สึกว่าแม้อวิ๋นชิงจะเป็นชาย แต่ก็เป็นคนงามล้ำเลิศ ในใต้หล้าไม่มีใครเทียบได้
อวิ๋นชิงหันไปมองเสี่ยวชุน ระบายความโกรธที่เก็บไว้ในใจออกมา พูดด้วยความรังเกียจ “เมื่อก่อนในคุกใต้ดินที่ไม่เห็นแสงตะวัน เจ้าพวกผู้คุมสารเลวนั่นก็เรียกข้าอย่างนี้ พวกมันเอามือมาแตะต้องข้า ยัดปากข้า…”