everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย
บทที่ 2
หลังเสร็จกิจ อวิ๋นชิงรู้สึกเหนียวตัวจนทนไม่ไหวจึงให้คนไปตามเสี่ยวเอ้อร์มา
เวลานี้เสี่ยวชุนนอนแผ่กะปลกกะเปลี้ยอยู่บนเตียง แทบไม่มีแรงแม้แต่จะพลิกตัวหรือลุกขึ้น อวิ๋นชิงจึงต้องเป็นคนไปเปิดประตู
อวิ๋นชิงผู้มีสีหน้าเยือกเย็นยังคงทำทีเรียบเฉยเหมือนที่เคยเป็นมา เหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เขารินน้ำชาให้ตัวเองแล้วนั่งดื่มชาอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทางสงบผ่อนคลาย
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นยกน้ำมาให้ เดินกลับไปกลับมาสองสามรอบ สุดท้ายก่อนจะจากไปบังเอิญสบตากับเสี่ยวชุนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งสองก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ใบหน้านั้นเรียกได้ว่างดงามยิ่งกว่าแสงสายัณห์ที่สาดส่องสะท้อนหมู่เมฆเสียอีก
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มให้อย่างประดักประเดิด
“ลำบากพี่เสี่ยวเอ้อร์แล้ว” เสี่ยวชุนยิ้มให้ ท่าทางประดักประเดิดยิ่งกว่าเสี่ยวเอ้อร์เสียอีก
เสี่ยวชุนหยักยิ้มมุมปาก ขยิบดวงตาเรียวงาม สีหน้าแย้มยิ้มอย่างอ่อนแรงหลังจากร่วมรักนั้นดูมีเสน่ห์เย้ายวนยากจะหาใครเหมือน ดวงตางดงามของเขายังดูแดงระเรื่อ แม้ใบหน้านั้นจะหล่อเหลาอยู่แล้ว แต่เวลานี้กลับยิ่งมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลมากขึ้นไปอีก
เสี่ยวเอ้อร์มองดูจนตกตะลึง นิ่งอึ้งเหม่อลอยไปเป็นครู่ใหญ่
“…” อวิ๋นชิงที่เดิมทีกำลังดื่มชาพลางเคาะนิ้วกับโต๊ะอยู่เงียบๆ พลันผุดลุกขึ้น
แม้เสี่ยวเอ้อร์คนนี้จะเป็นแค่เสี่ยวเอ้อร์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ทำงานรับใช้ในโรงเตี๊ยมซึ่งมีจอมยุทธ์แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสายหลายปีจนช่ำชอง อวิ๋นชิงเพิ่งจะเริ่มเคาะโต๊ะอย่างหงุดหงิด เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าอากาศในห้องเย็นลงฮวบฮาบ มีไอสังหารปรากฏขึ้นฉับพลัน ไม่ต้องรอให้อวิ๋นชิงทำอะไรเขาก็โค้งคำนับแล้วพูดว่า “เชิญคุณชายขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน” แล้วรีบแจ้นออกไปอย่างรวดเร็วทันที ก่อนจะไปยังไม่ลืมหับประตูห้องจนปิดสนิทชนิดที่ไม่ให้ไอสังหารเล็ดลอดออกมาได้
อวิ๋นชิงมองตามเสี่ยวเอ้อร์ที่ออกจากห้องไปแล้วหัวเราะหึอย่างเยือกเย็น
“คราวนี้เขาไปทำอะไรให้เจ้าโกรธอีกเล่า” เสี่ยวชุนยิ้มเจื่อนๆ
“ยังจะมายิ้มอีก!” อวิ๋นชิงต่อว่าอย่างโกรธๆ “เจ้านี่มันเป็นพวกชอบโปรยเสน่ห์ยั่วยวนไปเรื่อย!”
“ข้านี่น่ะหรือ” เสี่ยวชุนงุนงง “โปรยเสน่ห์ยั่วยวนอะไร”
หลังจากอาบน้ำแล้วเสี่ยวชุนก็กินข้าวอย่างลวกๆ ตักกินไปได้ไม่กี่คำก็บอกว่าอิ่ม
ไอน้ำคลุ้งไปทั่วห้อง อบอวลหนาแน่นจนรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก
ตอนที่อวิ๋นชิงเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นพัดเข้ามา เสี่ยวชุนก็เดินโงนเงนแล้วปีนกลับขึ้นเตียงไปนอน ในใจคิดว่าตัวเขาเหนื่อยแล้ว อวิ๋นชิงคงจะยอมตามใจเขา
อวิ๋นชิงมองดูหนังสือซึ่งม้าเร็วจากเมืองหลวงส่งมาอยู่ใต้แสงเทียนเหลืองนวล เมื่อใกล้จะถึงเวลาเขาก็ลุกขึ้นแต่งตัว เพียงคาดกระบี่น้ำค้างเงินที่สายคาดเอวแล้วเขาก็จะจากไป เสี่ยวชุนซึ่งเดิมทีกำลังหลับได้ยินเสียงจึงลุกขึ้นมา
“ลุกขึ้นมาทำไม เจ้าง่วงไม่ใช่รึ” อวิ๋นชิงถาม
เสี่ยวชุนเบิกตากว้าง มองดูอวิ๋นชิงตาไม่กะพริบ ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นราวกับดวงดาว สะท้อนประกายแวววาวเป็นพิเศษในห้องที่มืดสลัว ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่น
“อวิ๋นชิง เจ้าจะออกไปจริงหรือ” เสี่ยวชุนถามด้วยสุ้มเสียงแหบแห้ง หลังได้รับบาดเจ็บ กำลังก็ถดถอย น้ำเสียงจึงฟังดูอ่อนระโหย ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะหาย
เพียงแค่ประโยคนี้อวิ๋นชิงก็รู้สึกได้ว่าเสี่ยวชุนดูแปลกๆ
เรื่องที่เขาจะไปทำ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่รอบตัวทั้งสองมากเกินไปเสี่ยวชุนจึงไม่อยากยุ่ง ไม่เคยพูดอะไรให้มากความ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาตลอด แต่คำพูดในวันนี้เหมือนแฝงนัยว่าอยากจะรั้งเขาไว้ อวิ๋นชิงไม่เคยเห็นเสี่ยวชุนเป็นเช่นนี้มาก่อนจึงนึกสงสัย
ชะงักไปครู่หนึ่งอวิ๋นชิงก็เดินไปหาเสี่ยวชุน ยืนอยู่ข้างเตียง นิ่งอยู่นานแล้วก็พูดขึ้น “จิ้งอ๋องนั่นออกจากเมืองหลวงมาพร้อมข้า ผ่านไปนานร่วมเดือนยังไม่กลับ คืนนี้ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้แล้วถือโอกาสไปกำจัดอีกสองสามคนด้วย…”
“อืม…” เสี่ยวชุนตอบรับเสียงเบา ยื่นมือออกมาโอบเอวอวิ๋นชิง จากนั้นก็ดึงเข้ามาหา ฝังใบหน้าเข้าไปในอกเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะของอวิ๋นชิง สูดกลิ่นหอมกรุ่นเย็นที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของเขา ส่ายศีรษะอยู่กับอกกระแซะไปมาเบาๆ
“เป็นอะไรไป” อวิ๋นชิงรู้สึกงุนงง
เสี่ยวชุนเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เหงื่อเปียกชื้นเหนอะหนะพวกนี้อวิ๋นชิงไม่ชอบเอาเสียเลย เขามีนิสัยรักความสะอาด ฝุ่นที่มาเปรอะเปื้อนแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาไม่พอใจได้ เสี่ยวชุนรู้ดีแต่ก็ยังจงใจปาดเหงื่อกับเสื้ออวิ๋นชิง
เพราะเขารู้ว่าอวิ๋นชิงจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็จะยอมทนปล่อยตามใจเขา อยากจะทำอะไรก็ทำ
นี่คือความอ่อนโยนที่อวิ๋นชิงเท่านั้นที่มี ซึ่งจะยอมให้เสี่ยวชุนทำอะไรก็ตามที่ล่วงเกินเขาได้เช่นนี้
เสี่ยวชุนรู้สึกได้ว่าอวิ๋นชิงนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะกำลังสะกดกลั้น ไม่ว่าเขาจะหาเรื่องทำตัวป่วนเพียงใดก็ไม่คิดจะผลักไสเขาออกไป
หลังจากทำตัวแข็งไม่พูดไม่จาอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วอวิ๋นชิงก็ยื่นมือออกไป เดิมทีคิดจะพาเสี่ยวชุนกลับไปนอนต่อที่เตียง ไม่คิดว่าพอได้สัมผัสผิวกายของเสี่ยวชุน ความร้อนผ่าวก็ทำเอาเขาถึงกับตกอกตกใจ
“ทำไมหน้าผากร้อนเช่นนี้” อวิ๋นชิงถามเสียงเครียด
“ไม่เป็นไร แค่มีไข้เล็กน้อย” น้ำเสียงเสี่ยวชุนแผ่วเบาแต่ยังไม่หยุด ยังคงซุกตัวกับอ้อมอกอวิ๋นชิง “เจ้าอยากออกไปก็ไปเถอะ ข้ากินยาแล้วนอนให้เหงื่อออกสักหน่อยก็หายแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายกับข้าหรอก”
ปากเสี่ยวชุนพูดอย่างนี้ แต่มือที่จับสาบเสื้อด้านหน้าของเขาไว้กลับไม่มีวี่แววว่าจะยอมปล่อย
อวิ๋นชิงตกตะลึง คุยกันอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวชุนคิดจะทำอะไร เสี่ยวชุนบอกว่าให้เขาไปแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ตกลงว่าจะปล่อยให้เขาไปหรือไม่กันแน่ อวิ๋นชิงงุนงงไปหมดแล้ว
ราตรียิ่งดึกดื่น ฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้น เสี่ยวชุนรึก็แปลกจริงๆ เหนี่ยวรั้งเขาไว้แล้วยังมาหลับใส่ นอนท่าประหลาดอยู่บนตัวเขา ไม่กลัวว่าจะคอเคล็ดเอวเคล็ดเลย
นอนแกร่วอยู่ข้างเตียงนานพักใหญ่อวิ๋นชิงก็ดีดนิ้วอย่างลังเล ข้างนอกมีเงาร่างปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังประตูรอฟังคำสั่ง
“บอกให้พวกเขารอก่อน ข้ามีธุระ ไม่ไปแล้ว วันหน้าค่อยหารือกันใหม่” อวิ๋นชิงกระซิบบอก เกรงว่าจะทำให้เสี่ยวชุนที่กำลังหลับตกใจตื่น
คนที่อยู่ด้านนอกห้องได้รับคำสั่งแล้วกำลังจะจากไป ทว่าอวิ๋นชิงกลับร้องเรียก “ช้าก่อน!”
เขาพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอก “กลับเมืองหลวง ไปตามหมอหลวงมา”
พอในห้องเงียบเสียงลงแล้วอวิ๋นชิงก็อุ้มเสี่ยวชุนกลับไปนอนที่เตียงอย่างเบามือ ปลดกระบี่ออก ถอดเสื้อผ้า เป่าเทียนจนดับแล้วกลับขึ้นไปนอนข้างๆ เสี่ยวชุน
อวิ๋นชิงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สายลมพัดพาสายฝนเข้ามาด้วย เขาหันไปมองเสี่ยวชุนที่ตัวร้อนจนเหงื่อออก ฝนตกค่ำคืนนี้เย็นสบายดี เขาจึงไม่ปิดหน้าต่าง
เสี่ยวชุนหน้านิ่วคิ้วขมวด นอนพลิกไปมาอย่างกระสับกระส่าย สุดท้ายพออวิ๋นชิงขึ้นมาบนเตียงแล้วมักจะปล่อยให้เขาควานหา เสี่ยวชุนยิ้มน้อยๆ ไขว่คว้าหาตัวอวิ๋นชิงราวกับมือปลาหมึกแล้วดึงเข้ามาหา โถมร่างเข้าไป ไม่ช้าก็ถอนหายใจ สีหน้าที่เป็นกังวลพลันคลายลง
เสี่ยวชุนรู้สึกสบายแล้ว กลายเป็นอวิ๋นชิงที่ทำหน้าตาบูดบึ้งแทน
อวิ๋นชิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเสี่ยวชุนที่ไม่ชอบคลอเคลีย เวลานี้กลับทำตัวแปลกๆ ไปได้ ทุกการกระทำเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ราวกับว่าไม่อยากให้เขาไปไหน คอยพัวพันให้เขาอยู่แต่ที่นี่
ปากเสี่ยวชุนพูดอะไรพึมพำออกมาอีกสองสามคำ อวิ๋นชิงลองตั้งใจฟังดีๆ หลายรอบจึงค่อยเข้าใจ “…ร้อน…ร้อนเหลือเกิน…”
ใบหน้าหล่อเหลามีแววเปราะบางที่ยากจะได้เห็นวาบขึ้นแล้วหายไป เสี่ยวชุนยังบ่นพึมพำอีกพักหนึ่ง คำพูดละเมอส่วนมากฟังดูสับสน มีเพียงไม่กี่คำที่คุ้นหูและได้ยินชัดเจน
เขาได้ยินคนผู้นี้เอ่ยว่า
“ชิง…ชิงชิง…อวิ๋นชิง…”
เมื่อได้ยินว่าชิงชิงหรืออวิ๋นชิงสองสามคำ อวิ๋นชิงเองก็ยังงุนงง รู้แค่เพียงว่าสองสามคำที่คนผู้นี้หลุดปากพูดออกมาทำให้ตัวเขารู้สึกเหมือนมีเสียงดังกระหึ่มกึกก้องอยู่ในหู แผนการอันโหดเหี้ยม การหลอกลวงอันเป็นเสมือนกำแพงสูงที่อยู่ในใจทรุดฮวบลง พังทลายจนหมดสิ้น
ในหัวใจเหมือนมีอะไรประดังขึ้นมา ขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกแสบจมูกไปหมด
แปลกจริงๆ
“ข้าอยู่นี่ อวิ๋นชิงอยู่นี่แล้ว” เขากระซิบบอกข้างหูเสี่ยวชุน จุมพิตเบาๆ ลงบนแก้มที่ชุ่มเหงื่อ จากนั้นก็ขับเคลื่อนกำลังภายในให้หมุนเวียนเพื่อให้ร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ เย็นลง อยากจะให้เสี่ยวชุนที่กำลังตัวร้อนรู้สึกสบายขึ้น
เสี่ยวชุนซุกไซ้ไปมาครู่หนึ่งจนพอใจแล้วจึงค่อยสงบนิ่งลง
อวิ๋นชิงครุ่นคิด การกระทำของเสี่ยวชุนที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเข้าใจ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสี่ยวชุน…กำลังออดอ้อนเขาอยู่
ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้กับเขามาก่อน เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจ แต่ท่าทางที่เดี๋ยวก็มาดมกลิ่น เดี๋ยวก็เอาหัวมาซุกไซ้ ซ้ำยังจับตัวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หากไม่ใช่อาการออดอ้อนทำตัวเหมือนเด็กแล้วจะเรียกว่าอะไร
ช่างปะไร
อวิ๋นชิงลูบศีรษะเสี่ยวชุน ชั่วขณะนั้นเองเขาก็เผยยิ้มเรียบง่ายอันแสนงดงามซึ่งเสี่ยวชุนไม่ได้เห็นออกมา
เขาชอบ
ชอบเสี่ยวชุนที่เป็นแบบนี้
ชอบเสี่ยวชุนที่ทำท่าทางออดอ้อนแบบนี้
ต่อให้เสี่ยวชุนเกลือกกลิ้งทำให้เขาเปื้อนเหงื่อจนเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว เขาก็ยังชอบที่เป็นแบบนี้