everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย
“แค่ก…”
เนื่องจากคนผู้นี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวชุนร่างกายอ่อนแอ ทนหนาวไม่ได้ ไม่เพียงเปิดหน้าต่างเอาไว้ตลอดคืน ยังปล่อยให้กระแสอากาศหนาวยะเยือกจากลมฝนพัดเข้ามาในห้อง ประกอบกับเมื่อคืนเหงื่อออกจนชุ่มโชกแผ่นหลัง เขาไม่ชอบความเหนอะหนะจึงจับเสี่ยวชุนถอดเสื้อผ้าแล้วพาลงไปในอ่างล้างตัว ยังเช็ดเนื้อตัวผมเผ้าไม่ทันแห้งดีก็พาเสี่ยวชุนกลับขึ้นเตียงไปนอน
การกระทำที่ผิดพลาดติดๆ กันเช่นนี้ยิ่งไปผสมโรงให้อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยของเสี่ยวชุนที่แต่เดิมเพียงแค่ได้นอนหลับดีๆ สักสองสามชั่วยามก็หายเองได้กลายเป็นการเจ็บป่วยหนัก
เสี่ยวชุนไอค่อกแค่กสองสามที หัวหมุนวิงเวียนไปหมด ที่แปลกก็คือจะทำอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น รู้สึกแต่เพียงว่าข้างหน้ามีคนเดินไปมา สองตาพร่ามัวราวกับมีเมฆหมอกมาบังจึงเห็นไม่ชัด
“เป็นไข้มาสองวันแล้ว หมอหลวงอย่างเจ้ามัวทำอะไร”
“ชีพจรคุณชายน้อยทั้งสับสนและยุ่งเหยิง โรคภัยที่เป็นอยู่เดิมก็เรื้อรังยากจะวินิจฉัย วันนี้ซ้ำร้ายถูกลมเย็น การหมุนเวียนของปราณและเลือดสับสนไปหมด ปัจจัยภายนอกทำให้ป่วยไข้จนหยางพร่อง…” มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง กำลังจับข้อมือเขาไว้
ขณะเสี่ยวชุนสะลึมสะลือก็รู้สึกว่ามีคนมาตรวจชีพจร จึงยกมือที่อ่อนปวกเปียกขึ้นจะดึงกลับ แต่ดึงอยู่หลายครั้งทั้งๆ ที่คิดว่าดึงสุดแรงแล้ว ทว่ากลับไม่มีผลอะไร
“ข้าเป็นหมอเทวดา…” เสี่ยวชุนบอกเสียงแผ่ว
ในที่สุดมือเหี่ยวย่นซึ่งเต็มไปด้วยกระดูกปูดโปนก็ปล่อยข้อมือของเขาออก เอาผ้ามาห่มให้เขาอย่างมิดชิด จากนั้นบิดผ้าจนหมาดแล้วช่วยเช็ดเหงื่อที่เปียกชุ่มหน้าผากให้
เขารู้สึกว่าสติกำลังเลื่อนลอย ราวกับว่ากำลังจะตาบอดมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง แม้จะพยายามเบิกตาให้กว้างแต่ก็ยังมองเห็นไม่ชัด กลับเห็นแต่ภาพขาวโพลนและเงาสีขาวสองสามร่างเคลื่อนไหวไปมา
นานๆ ครั้งจะมีเงาสีขาวเคลื่อนเข้ามาจ้องมองใกล้ๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าน่าขันจนต้องยิ้ม
เงาสีขาวนั้นค่อยๆ เอามือข้างหนึ่งมาจับที่แก้ม “ยังจะยิ้มได้อีก”
ใครกันนะ เสี่ยวชุนนึกสงสัย คนที่มาเช็ดเหงื่อให้เป็นใครกัน ในหัวมึนงงไปหมด
“ในเมื่ออาการเป็นอย่างนี้ ทำไมยังไม่เขียนเทียบยาอีก” เสียงนั้นยังพูดต่อ แฝงด้วยความร้อนรน
“อาการ…เยี่ยงนี้อันตรายมาก หยางพร่องเพราะปัจจัยภายนอกบั่นทอนสุขภาพ เดิมทีตัวเย็นจัดแต่ไม่มีเหงื่อ แขนขาเย็นเฉียบ สถานการณ์ของคุณชายน้อยน่าจะมีหมอใหญ่สักท่านมาตรวจรักษาไปรอบหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นอาการคงจะไม่ทุเลาลงถึงเพียงนี้ ตวนอ๋องอย่าได้เคืองโกรธ ขออภัยด้วยที่ผู้น้อยขอเรียนตามตรง ผู้น้อยรู้แต่เพียงว่าวิชาแพทย์ของท่านหมอใหญ่ท่านนั้นสูงส่งกว่าผู้น้อยมาก คุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บภายในสาหัส ชีพจรสับสน ผู้น้อยเกรงว่าหากเขียนเทียบยาให้แล้วอาจทำให้สถานการณ์ที่ท่านหมอใหญ่วางไว้เกิดสับสนวุ่นวาย อาการเจ็บป่วยของคุณชายน้อยจะยิ่งหนักหนาสาหัส…ผู้น้อยไร้ความสามารถ…ตวนอ๋องโปรดอภัยด้วยขอรับ…”
“เทียบยาอะไรนั่นเขาก็เป็นคนเขียนเอง หมอเทวดาก็ยังรักษาตัวเองไม่ได้ อย่าบอกนะว่าข้าต้องทนดูเขาเป็นไข้หนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้โดยไม่อาจจะทำอะไรได้”
แล้วก็มีเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว สะท้านสะเทือนจนเสี่ยวชุนแสบแก้วหู
จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบลง
ผ่านไปครู่หนึ่งเสี่ยวชุนยังรู้สึกงุนงงสับสน แต่กลับได้ยินเสียงใครบางคนมากระซิบเรียกชื่อเขาข้างหู ในน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรนห่วงใย
“ทำไมยังลืมตาอยู่อีก รีบนอนซะ ยังจะมายิ้มอะไร ถ้ายังกล้ายิ้มอีกก็ระวังตัวไว้เถอะ ข้าจะทำให้เจ้าต้องร้องไห้…”
ในที่สุดเสี่ยวชุนก็เห็นใบหน้าที่งดงามราวกับเทพเซียนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ต่อหน้าอย่างชัดเจน
ในหัวเสี่ยวชุนรุ่มร้อนด้วยพิษไข้จนมึนงงสับสนแทบจะหมดสติอยู่แล้ว พอเห็นคนผู้นี้จึงค่อยกวาดตามองซ้ายขวา ในที่สุดก็เหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นในห้วงคิด รู้แล้วว่าคนผู้นี้คือใคร
“ท่านแม่!” เสี่ยวชุนอ่อนแรงแต่กลับฝืนพยายามจะร้องตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ท่านมาเยี่ยมข้ารึ” เสียงนั้นเล็กเบาเหมือนเสียงแมลงหวี่ ฟังดูอ่อนระโหยจนแทบจะมีแค่คนที่นั่งข้างเตียงเท่านั้นที่ได้ยิน
เหล่าองครักษ์ที่คอยยกน้ำเข้าๆ ออกๆ ในห้องต่างตกใจจนลื่นล้ม จากนั้นก็รีบเช็ดพื้นที่น้ำเจิ่งนองแล้วถอยออกไป
“ท่านแม่อย่างนั้นรึ” จำได้ว่าเมื่อก่อนทุกครั้งที่ป่วยก็มีเพียงแต่ท่านแม่ที่อยู่ข้างๆ เขา
“จ้าวเสี่ยวชุน เจ้าเรียกใครว่าท่านแม่ ตื่นสิ!” อวิ๋นชิงตะโกนอย่างอดไม่ได้พลางเขย่าไหล่เสี่ยวชุน คนผู้นี้เป็นไข้จนออกอาการเช่นนี้ดูไม่ปกติเสียแล้ว ถึงกับพูดจาละเมอเพ้อพก ท่านแม่ของเสี่ยวชุนถูกตัดเอวตายไปตั้งนานแล้ว ตัวเขาจะเป็นท่านแม่ของอีกฝ่ายได้อย่างไร!
“อา…” เสี่ยวชุนตกตะลึงไปนาน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยนึกออกว่าคนผู้นี้คือใคร แม้จะได้ยินเสียงเขาดูเหมือนไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ลึกๆ จึงตอบไปด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ข้าพูดผิดไป…พูดผิดไปเอง อวิ๋นชิง…ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า…”
เสี่ยวชุนหัวเราะเบาๆ “ใช่เจ้าหรือไม่…” เขายื่นมือออกไปหาเงาร่างนั้น
มือที่ชื้นเหงื่อถูกคว้าจับไว้แน่นทันที คนผู้นั้นนั่งอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว
“เป็นข้าเอง” อวิ๋นชิงขานตอบ
เงาร่างของคนตรงหน้าค่อยๆ เด่นชัดขึ้น เป็นใบหน้าที่เขาคิดถึงที่สุด แต่ทำไมดวงตาอีกฝ่ายถึงแดงก่ำ ริมฝีปากซีดขาวเม้มแน่น สีหน้าดูร้อนรนเป็นกังวล
เสี่ยวชุนคิด มีใครมาแกล้งอวิ๋นชิงของข้าหรือเปล่า ที่แท้ใครกันกล้าทำถึงเพียงนี้ ศิษย์พี่ใหญ่หรือ?
ศิษย์พี่ใหญ่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วไม่ใช่หรือว่าจะดูแลอวิ๋นชิงแทนเขา หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่จะกลับคำ?
หรือเพราะเขาฟื้นคืนจากความตายมาได้ ศิษย์พี่ใหญ่เลยตัดสินใจว่าจะไม่รักษาสัญญา จึงได้มาทำให้อวิ๋นชิงต้องเดือดร้อนรำคาญใจอีก
เสี่ยวชุนจับมืออวิ๋นชิงด้วยความสงสาร เห็นสีหน้าท่าทางของอวิ๋นชิงเช่นนี้ก็นึกอยากจะกอดเขาไว้ในอ้อมแขน แต่เสียดายที่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ทั่วร่างอ่อนปวกเปียกราวกับก้อนแป้งที่ทิ้งไว้จนขึ้นฟู จะขยับตัวก็ยังขยับไม่ได้
อวิ๋นชิงต่อว่า น้ำเสียงสั่นน้อยๆ ด้วยความขุ่นใจ “ยังไม่รีบนอนอีก จะลืมตาตื่นไปถึงเมื่อไร ถ้ายังไม่หลับตาข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย!”
น้ำเสียงนั้นฟังดูข่มขู่คุกคาม อวิ๋นชิงกุมมือเขาไว้แน่น แน่นเสียจนเสี่ยวชุนเจ็บเข้าไปถึงในกระดูก
“เจ้าจะทำได้ลงคอหรือ…” เสี่ยวชุนหัวเราะ
“ถ้าเจ้ายังไม่หลับอีกก็คอยดูว่าข้าจะทำลงหรือไม่!” คำพูดอวิ๋นชิงฟังดูน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าจนปัญญา
ที่แท้ดวงตาของอวิ๋นชิงคู่นั้นที่แดงก่ำไม่ใช่เพราะถูกศิษย์พี่ใหญ่รังแก แต่เพราะร้อนรนห่วงใยในตัวเขานั่นเอง
“ก็ได้ๆ ข้าจะนอน…เจ้าอย่าเป็นห่วงไปเลย…”
เสี่ยวชุนรีบหลับตา ในใจคิดว่าขอเพียงแต่อย่าให้อวิ๋นชิงต้องเป็นทุกข์ เขาก็จะยอมเชื่อฟังทุกอย่าง
เขาเอามือที่กุมกันอยู่วางลงแนบอก ถูไปมาเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างพึงพอใจ พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…ข้าเป็นถึงหมอเทวดานะ…ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก…”
“ยังจะกล้าพูดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดาอีก!” อวิ๋นชิงโกรธเจ้าคนผู้นี้เสียจริงๆ ให้ตายเถอะ
ในโลกนี้คงมีแต่เพียงจ้าวเสี่ยวชุนหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นที่ผ่านความเป็นความตายมามากขนาดนี้
อุตส่าห์รักษาคนอื่นจนหายป่วยหายเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิงได้ แต่พอถึงตาตัวเองกลับป่วยหนักจนไม่อาจรักษา
“เจ้าคนสารเลว…” อวิ๋นชิงตาแดงก่ำ
ตอนนี้เห็นชัดๆ ว่าคนที่ป่วยหนักคือเสี่ยวชุน ไม่ใช่ตัวเขา แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจถึงเพียงนี้
“ใช่ ข้ามันเลว…สารเลวที่สุด…” เสียงกระซิบของเสี่ยวชุนค่อยๆ เลือนหาย แล้วจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นก็เป็นไปดังคำพูดของเสี่ยวชุน อาการตัวร้อนทุเลาลงอย่างรวดเร็ว เหงื่อหยุดไหล เสี่ยวชุนเหมือนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่อวิ๋นชิงผู้ซึ่งตื่นตกใจจนเกินเหตุ หลังผ่านเรื่องน่าตื่นตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความหมองคล้ำ
เสี่ยวชุนยิ้มอย่างเก้อๆ เทยาลูกกลอนจากขวดยาออกมากินแล้วดื่มน้ำตาม
เขาแอบเหลือบมองอวิ๋นชิง เห็นจากทางหางตาว่าอวิ๋นชิงกำลังอ่านหนังสือ สีหน้าไร้ความรู้สึก ริมฝีปากเม้มแน่น เหมือนภูเขาน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่หมื่นปีไม่เคยละลาย สถานการณ์ตอนนี้ประกอบกับการเจ็บป่วยหลายวันที่ผ่านมาทำให้อวิ๋นชิงอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง เสี่ยวชุนอดรู้สึกผิดไม่ได้
“อวิ๋นชิง” เสี่ยวชุนร้องเรียก
อวิ๋นชิงเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาเย็นชามาให้เสี่ยวชุนแต่ไม่พูดอะไร รอให้คนที่เรียกเขาพูดต่อ
เสี่ยวชุนจับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง พูดด้วยความรู้สึกผิด “ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นห่วงจึงไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมาก ไม่คิดว่าก็ยังทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงอยู่ดี แต่อันที่จริงไข้ลดแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก ดูข้าสิ ออกจะแข็งแรงร่าเริง ไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ”
อวิ๋นชิงรู้สึกไม่พอใจจริงๆ ไม่อยากจะพูดอะไรกับคนผู้นี้ทั้งนั้น ขณะที่คิดว่าจะก้มหน้าทำเมินมองไม่เห็นอีกฝ่าย เสี่ยวชุนก็รีบบอก
“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธข้า การเจ็บป่วยครั้งนี้ถึงจะดูน่ากลัว แต่ที่จริงไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอก” เสี่ยวชุนพูด
อวิ๋นชิงนิ่งคิดแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนั้นถ้าข้าไม่ดื่มเลือดวิเศษในหัวใจของเจ้าลงไป วันนี้ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย ถ้าไม่ดื่มเลือดวิเศษตัวข้าไม่เป็นอะไรก็จริง แต่จะกลายเป็นเจ้าที่เกิดเรื่องแทน” เสี่ยวชุนตอบกลับ “วันนั้นเจ้าถูกพิษร้ายแรง ถ้าไม่มีเลือดวิเศษช่วยถอนพิษจะมีชีวิตรอดจนถึงวันนี้ได้หรือ”
“แต่ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอย่างนี้!” อวิ๋นชิงทุบโต๊ะอย่างแรงจนหักกลางเป็นสองซีกทันที
“ก็ข้าไม่ได้เป็นอะไรนี่!” เสี่ยวชุนเองก็ดูเหมือนคนสบายดี ไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไรเลย
“อย่างไรเสียพิษนั้นของหลันชิ่งก็ถูกถอนไปแล้ว เจ้าว่าข้าควรจะเอาเลือดวิเศษคืนเจ้าอย่างไรดี จะแหวกอกเป็นโพรงแล้วตัดหัวใจออกมา หรือว่าจะให้ทำยังไง” อวิ๋นชิงพูดแล้วหยิบกระบี่ที่พกติดกายขึ้นมา ดึงออกจากปลอกแล้วกรีดลงไปที่หน้าอกทันที