everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย
เสี่ยวชุนตกใจจนหน้าถอดสี รีบโผเข้าไปหาอวิ๋นชิงอย่างรวดเร็ว รั้งกระบี่น้ำค้างเงินที่กรีดแทงอย่างไม่ปรานีปราศรัยอย่างร้อนใจ แต่ถูกกำลังภายในของอวิ๋นชิงกระแทกจนง่ามนิ้วหัวแม่มือชาไปหมด เจ็บปวดจนต้องขบฟันแน่น
“อวิ๋นชิงคนดีของข้า เจ้าอย่าทรมานข้าเลย” เสี่ยวชุนแย่งกระบี่มาได้ก็โยนทิ้งไปไกลๆ ยิ้มให้อย่างขมขื่นแล้วว่า “เจ้าคิดว่าเลือดวิเศษคืออะไร ดื่มเข้าไปแล้วจะยังล้วงเอาออกมาได้อีกรึ”
“ล้วงอะไรกัน” อวิ๋นชิงนิ่วหน้า
“มนุษย์ยาเป็นเหมือนภาชนะ ภาชนะซึ่งบรรจุโลหิตแห่งเทพเจ้า สิ่งนี้หมุนเวียนแทรกซึมอยู่ในภาชนะ หากวันใดคนธรรมดาได้ดื่มเข้าไป เลือดวิเศษก็จะไปกระตุ้น เคลื่อนไปตามเส้นชีพจรเข้าสู่อวัยวะภายใน กระจายออกไปตามแขนขาทั่วร่าง” เสี่ยวชุนอธิบายอย่างใจเย็น
“ไม่มีวิธีจริงๆ หรือ” อวิ๋นชิงย้ำถาม
“เจ้าเคยเห็นซาลาเปาร้อนๆ ที่กลืนลงท้องไปแล้ว ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งถูกปล่อยออกมาจากอวัยวะเบื้องล่างแล้วยังจะเป็นซาลาเปาร้อนๆ ไอกรุ่นก้อนขาวๆ เหมือนเดิมได้อีกหรือ” เสี่ยวชุนพูดยิ้มๆ “ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก! ก้อนเหลืองๆ ที่ถ่ายออกมามันก็ผสมปนเปกับทุกๆ อย่างหมดแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้าดื่มเลือดวิเศษเข้าไป อีกทั้งเจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ยา เลือดวิเศษในกายจึงไม่อาจไหลกลับเข้าไปในโพรงหัวใจ ยานั้นกระจายออกไปทั่วร่าง ส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกขับออกมาหมดแล้ว จะเอากลับคืนมาเหมือนเดิมได้อย่างไร” เสี่ยวชุนตบบ่าปลอบใจอวิ๋นชิง
อวิ๋นชิงได้ฟังคำที่เสี่ยวชุนพูด คิดตามว่าซาลาเปาขาวๆ ถ่ายออกมาแล้วจะเป็นอะไร หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดมุ่น
เสี่ยวชุนยังบอกอีกว่า “เจ้าก็อย่าคิดเรื่องนี้อีกเลย ข้าไม่ได้เป็นอะไร ยังใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข จะมีเลือดวิเศษหรือไม่มีก็เหมือนกัน ไม่ได้ขาดอะไรไปสักหน่อย”
ได้ฟังเช่นนั้นอวิ๋นชิงก็แค่นเสียงเยาะอย่างเย็นชา ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป แต่ถึงแม้ไม่อยากจะคิด ทว่าคำพูดของหมอหลวงเมื่อวานก็ยังดังก้องอยู่ข้างหู ‘โรคภัยที่เป็นอยู่เดิมก็เรื้อรังยากจะวินิจฉัย’
เสี่ยวชุนไม่ยี่หระอะไรกับตัวเองจริงๆ หลังจากทั้งสองผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน อวิ๋นชิงก็รู้สึกเช่นนี้แล้ว เสี่ยวชุนผ่ายผอมลงมากจนเห็นกระดูกปูดโปนไปทั่วร่าง ดูน่าสงสารเหลือเกิน ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มบัดนี้เหลือเพียงคางแหลม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันคงเหลือแต่โครงกระดูก แม้แต่กล้ามเนื้อก็จะไม่มี
คิดถึงความเป็นไปได้นี้แล้วอวิ๋นชิงก็ไม่อาจสบายใจได้เลย
แต่เพราะเสี่ยวชุนเป็นคนดื้อรั้นนัก ดึงดันว่าไม่อยากให้เขาต้องมาหงุดหงิดไม่สบายใจกับเรื่องนี้จึงไม่พูดแม้แต่คำเดียว
หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้เสี่ยวชุนทรุดหนักจนเขาเห็นกับตา ก็ไม่รู้ว่าเจ้านี่จะปิดบังเขาไปอีกนานเพียงใด
เสี่ยวชุนจ้องมองอวิ๋นชิงก็รู้ว่าเขายังคิดเรื่องการเจ็บป่วยของตนเองอยู่จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดคุยกับอวิ๋นชิง
อวิ๋นชิงทำเสียงอือออตอบรับเป็นครั้งคราว บางครั้งยังหัวเราะไปกับเรื่องขำขันที่ไร้ที่มาที่ไปของเสี่ยวชุน ซึ่งดึงความสนใจของเขาออกไปจากหนังสือที่อ่าน
ตราบจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูสองสามครั้งขององครักษ์ชุดขาวจากด้านนอก ซึ่งในยามปกติอวิ๋นชิงไม่เห็นร่องรอย แต่จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น แล้วบอกว่า “นายท่าน ถึงเวลาแล้ว” อวิ๋นชิงจึงค่อยเรียกสติคืนมา
อวิ๋นชิงปิดหนังสือลง
เสี่ยวชุนที่นั่งอยู่บนเตียงมองดูอวิ๋นชิงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาออกมาแล้วสวมเสื้อผ้าเป็นทางการ เตรียมตัวออกไปข้างนอก เขาจ้องมองดูอยู่จนเหม่อลอย
แม้อวิ๋นชิงจะสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวทั้งตัว แต่ปลายแขนเสื้อประดับลายเกลียวเมฆสีขาวตื้นลึกสลับกัน ภายใต้แสงและเงามีลายดอกไม้ปรากฏขึ้นเลือนราง ซ้ำยังสวมหมวกยศประดับหยกขาวห้อยสายเกลียวเชือกดูสูงศักดิ์ ใบหน้าขาวกระจ่างหมดจดนวลเนียน ดูเยือกเย็นยิ่งนัก ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับมิใช่ดวงตาของมนุษย์
เสี่ยวชุนที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว
อวิ๋นชิงคาดกระบี่ หันมามองเสี่ยวชุนอีกหลายครั้งแล้วบอก “ข้าจะกลับดึกหน่อย”
“อืม” เสี่ยวชุนยิ้มอย่างเหม่อลอย
“ก่อนข้าจะกลับมา ห้ามออกไปไหน ไม่ให้หนีไปเที่ยวเล่นเหลวไหล ห้ามมองผู้หญิง ห้ามก่อกวน และยิ่งกว่านั้นห้ามก่อเรื่อง” อวิ๋นชิงเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดแล้วหันไปมองเสี่ยวชุน กำชับเรื่องนั้นเรื่องนี้
“อืม” เสี่ยวชุนยังคงพยักหน้า
อวิ๋นชิงคิดแล้วจึงบอกว่า “กลับไปหาอาจารย์เจ้าที่หุบเขาเทพเซียน คนธรรมดาต้องเอาอะไรไปด้วยหรือไม่”
“ไม่ต้องเอาอะไรไปหรอก อาจารย์ไม่จุกจิกอย่างนั้น” เสี่ยวชุนตอบ
“แต่นั่นเป็นอาจารย์ของเจ้า” สีหน้าอวิ๋นชิงดูไม่ค่อยแน่ใจ ท่าทางสับสน ตลอดมาคนอย่างเขามีแต่ผู้อื่นที่คอยส่งข้าวของมาบรรณาการ ไม่เคยต้องหาของไปกำนัลใคร แต่ก็พอรู้อยู่ว่าหากไปเยี่ยมเยียนถึงที่ก็น่าจะต้องมีของติดมือไปบ้าง
อันที่จริงอวิ๋นชิงก็ไม่ได้จะเตรียมของฝากไปไหว้อาจารย์ แต่เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวชุน อีกฝ่ายนั้นเป็นอาจารย์ที่เสี่ยวชุนคอยระลึกถึงตลอดเวลา อวิ๋นชิงคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกกระวนกระวาย ไปคราวนี้อยากจะให้ท่านยอมรับปากให้เสี่ยวชุนออกจากหุบเขาเทพเซียนไปอยู่ที่วังอ๋อง หากอีกฝ่ายไม่ให้ไปก็คงไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
เสี่ยวชุนแกล้งหยอก “อันที่จริงจะเตรียมของอะไรไปก็ได้ ในหุบเขาเทพเซียนมีพร้อมสรรพ ไม่ได้ขาดแคลนอะไร สิ่งของที่อาจารย์ต้องการ ศิษย์พี่รองย่อมต้องจัดเตรียมไว้ให้แล้ว แค่อาจารย์ได้เห็นข้าออกจากหุบเขาแล้วกลับไปได้อย่างราบรื่นก็ดีใจแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากลับไปคราวนี้ข้ายังพาภรรยาคนงามกลับไปหาเขาด้วย นี่นับว่าเป็นของขวัญที่มีค่าควรเมือง มีเพียงหนึ่งเดียวไม่เหมือนใครเชียวนะ!”
อวิ๋นชิงถลึงตาใส่เสี่ยวชุน รู้สึกว่าเจ้าคนนี้ช่างไม่รู้จักว่าอะไรเหมาะควรเสียบ้าง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่รอข้าที่นี่ ทำตัวดีๆ ให้ข้าเป็นคนพาของขวัญของเจ้ากลับไปหุบเขาเทพเซียนเองก็แล้วกัน”
“ได้สิ คำพูดของอวิ๋นชิงคนงาม จ้าวเสี่ยวชุนจะไม่เชื่อฟังได้อย่างไรเล่า” เสี่ยวชุนหยอกเล่น คนคนนี้ไม่ยอมวางใจเขาเสียที รับปากไปก็หลายคำแล้วนะ
“เจ้ายิ้มน่าเกลียดจริงๆ” อวิ๋นชิงทำหน้ามุ่ย รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้เหมือนจะล้อเลียน ทว่าแม้ปากจะบอกว่าน่าเกลียด แต่ที่จริงพอมองดูดีๆ ก็ไม่ได้น่าเกลียดถึงขั้นนั้นสักหน่อย
“อวิ๋นชิง เจ้านี่เหมือนแม่ข้าจริงๆ ชอบทำเป็นดุข้าเหมือนกันเลย” เสี่ยวชุนว่า
“ใครเป็นแม่เจ้า!” อวิ๋นชิงทำเสียงเย็นชาแล้วรีบสาวเท้าออกจากห้อง รีบไปแต่หัววันจะได้กลับมาเร็วหน่อย อวิ๋นชิงคิดในใจ เสี่ยวชุนเป็นพวกชอบก่อเรื่อง ปล่อยให้อยู่คนเดียวในโรงเตี๊ยมนานเกินไปเกรงว่าอาจเกิดอะไรขึ้นได้
หลังจากอวิ๋นชิงไปแล้ว เสี่ยวชุนก็นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่หลายรอบด้วยความเบื่อหน่าย หยิบตำราแพทย์สองสามเล่มมาพลิกอ่านอย่างเลื่อนลอย
อันที่จริงวันนั้นตอนที่เสี่ยวชุนรู้ตัวว่าตนเองไม่สบายก็รินน้ำเอายามากิน ใครเลยจะรู้ว่าค่ำคืนนั้นสายลมพัดกระหน่ำ ประกอบกับพลอดรักกับอวิ๋นชิงหักโหมเสียจนหลับสนิท จากนั้นอวิ๋นชิงเห็นเขามีเหงื่อโซมกายจึงคิดว่าร้อน ไม่เพียงอาบน้ำให้ ยังเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ทั้งคืน ทั้งยังช่วยเดินลมปราณไปทั่วร่างให้ร่างกายเย็นสบายด้วยเกรงว่าเขาจะไม่สบายตัว
เสี่ยวชุนรู้ถึงเจตนาอันดีของอวิ๋นชิง แต่การกระทำเช่นนี้สำหรับคนที่ป่วยด้วยอาการชี่ พร่อง ภายในร่างกายหนาวเหน็บเป็นไข้ หยางไม่เพียงพอ เปรียบเหมือนการไม่ยอมก่อไฟกลางฤดูเหมันต์ ส่งผลเลวร้ายขึ้นแทน ผิดไปจากที่ตั้งใจไว้ เหมือนเอาน้ำแข็งมาโยนใส่คนที่ใกล้จะแข็งตาย ทำให้เขาหนาวเหน็บจนทนไม่ไหว
สิ่งเหล่านี้ทำให้อาการที่เพียงแค่ได้นอนพักผ่อนก็หายกลายเป็นมีไข้สูงสองวันไม่ลด
เสี่ยวชุนนอนพลิกไปมาอย่างแสนเบื่อหน่าย รู้สึกกระสับกระส่ายร้อนรน
เสี่ยวชุนตะเกียกตะกายขึ้นจากเตียงลุกไปสวมเสื้อผ้า ยังไม่ทันได้ผูกสายคาดเอว พอเงยหน้าก็เห็นองครักษ์ชุดขาวที่ไวเหมือนปรอทปราดเข้ามายืนตระหง่านอยู่สองคน เสี่ยวชุนตกใจจนสะดุ้ง
“ถ้าข้างนอกไม่มีแดดออกส่องแสงสว่างจ้า ข้าคงคิดว่าตัวเองเห็นอะไรเข้าแล้ว! นี่พี่ชายชุดขาว มือเท้าพวกท่านจะเบาเกินไปแล้ว แวบเข้ามาไร้สุ้มเสียง ข้าตกใจแทบแย่!” เสี่ยวชุนเอามือลูบหน้าอกถูไปถูมา ตอนเด็กหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ ต่อมาเมื่อฝึกฝนการเป็นมนุษย์ยา ได้อาจารย์ช่วยรักษาจนหายแล้ว แต่ก็ไม่ควรจะต้องมาตกอกตกใจแบบนี้
“ทำให้คุณชายต้องตกใจแล้ว แต่นายท่านสั่งไว้ ก่อนนายท่านจะกลับมา ห้ามท่านออกไปแม้แต่ครึ่งก้าว” หนึ่งในองครักษ์ชุดขาวตอบพลางก้มศีรษะ
เสี่ยวชุนร้องโอดครวญออกมา พูดอย่างหงุดหงิดว่า “แต่ในนี้มันน่าเบื่อ ออกไปสูดอากาศสักหน่อยไม่ได้หรือ”
“คุณชาย…”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ยังไงซะอวิ๋นชิงก็ไม่อยู่ ข้าไม่พูด พวกท่านไม่พูด เขาก็จะไม่รู้ ข้าจะลงไปข้างล่างกินข้าวกับเดินเล่นสักหน่อย ไม่ออกไปนานหรอกน่า” เสี่ยวชุนหัวเราะพลางคว้าเสื้อตัวนอกมาสวม คาดเอวแล้วก็ออกไปข้างนอก
“คุณชาย!” สององครักษ์ไหนเลยจะตามเสี่ยวชุนทัน รั้งไว้ไม่อยู่ ได้แต่รีบตามไป
เสี่ยวชุนเดินไปพลางพูดว่า “หาได้ยากที่ข้างนอกจะอากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าไร้เมฆกว้างไกลหมื่นลี้ เป็นช่วงอากาศดีเหมาะกับการยืดเส้นยืดสาย พวกท่านก็อย่าเอาแต่อุดอู้ในห้องกับข้าเลย ลงมาแล้วข้าจะเลี้ยงชาพวกท่าน กินข้าวกันสักมื้อ!”