everY
ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย
เสี่ยวชุนครวญเพลงพลางเดินส่ายอาดๆ ลงบันไดมา เสียงเพลงเพี้ยนๆ เรียกความสนใจจากคนรอบข้างให้หันมามอง ทว่าเสี่ยวชุนกลับไม่แยแส เดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ซึ่งอยู่ติดถนน สั่งอาหารที่ชอบมาสองสามอย่าง นั่งลิ้มรสอาหารอันเรียบง่ายที่เสี่ยวเอ้อร์นำมาให้อย่างสบายใจ
เสี่ยวชุนนั่งพิงราวระเบียง เฝ้ามองเหล่าพ่อค้าเร่และผู้คนที่เดินไปมาตามท้องถนน รู้สึกว่าเมืองนี้ช่างคึกคักเต็มไปด้วยสีสัน
อาจเพราะก่อนหน้านี้อยู่ในหุบเขาเทพเซียนที่เงียบสงบ ศิษย์พี่ศิษย์น้องกับอาจารย์แม้จะมีกันเก้าคน แต่ภายหลังศิษย์พี่ใหญ่ได้จากไปเพื่อไปชำระแค้น ศิษย์พี่หญิงสี่กลับบ้านไปแต่งงาน ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่ห้า และศิษย์พี่หกที่เป็นชายก็ออกผจญภัยในยุทธภพ เนื่องจากศิษย์พี่เจ็ดทำผิดต่ออาจารย์จึงถูกศิษย์พี่รองขับออกจากหุบเขา สุดท้ายหุบเขาเทพเซียนจึงเหลือคนไม่กี่คนที่กินยา ‘ลืมทุกข์’ แล้วเอาแต่หันมายิ้มให้เขาอย่างเลื่อนลอย มีอาจารย์ที่เอาแต่นอนทั้งวันคนหนึ่งกับศิษย์พี่รองอีกคนที่มักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน
ที่เขาไม่ชอบความเงียบสงบ สาเหตุส่วนใหญ่ก็คงเพราะเก็บกดมาจากช่วงเวลานั้นก็เป็นได้
เสี่ยวชุนเขย่ากาน้ำชา รินชาดื่มราวกับว่ามันเป็นสุรา
ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้กินยาที่เขาปรุงขึ้นบ้างหรือเปล่า ลมปราณเดินกลับตาลปัตรจนมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามปี ตัวเขาคิดอยากจะช่วย แต่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะยอมให้ช่วยหรือไม่ เพราะตัวเขาดันไปขัดขวางความปรารถนาของศิษย์พี่ใหญ่ที่จะฆ่าอวิ๋นชิงเพื่อล้างแค้นที่มาทำลายสำนัก ศิษย์พี่ย่อมจะไม่พอใจ
“สามปีแล้วสินะ…” เวลาผ่านมานานแล้ว เสี่ยวชุนคิดว่าน่าจะยังมีวิธี
ตอนนั้นอวิ๋นชิงจวนเจียนจะสิ้นชีพ เขายังยื้อกลับมาจากเงื้อมมือมัจจุราชได้มิใช่หรือ ในโลกนี้จะมีโรคภัยใดอีกที่เขาจ้าวเสี่ยวชุนไม่อาจรักษาได้
เสี่ยวชุนเหม่อคิดอย่างเลื่อนลอย เวลานี้เสียงจากโต๊ะข้างเคียงดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวยุทธ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมหลายคนต่างกินดื่มกันอย่างตะกละตะกลาม พูดคุยถึงสถานการณ์ทั่วหล้ากันจนน้ำลายแตกฟอง
คนนี้พูดว่า “สำนักมารแผ่อิทธิพลไปทั่วยุทธภพ มีอำนาจเหนือตระกูลใหญ่ๆ ในหมู่ชาวยุทธ์ หลังการต่อสู้นองเลือด สถานการณ์ทั่วหล้าดูเหมือนจะสงบลง แต่อันที่จริงใต้ความสงบนั้นยังมีกระแสคลื่นผันผวน”
คนนั้นพูดบ้าง “ในจิตใจของผู้คนที่ยังเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไหนเลยจะยอมตกต่ำถูกปกครองโดยสำนักมาร สำนักที่เซียงหนานก็ถือโอกาสไปลอบวางเพลิงสำนักสาขาของสำนักมารตอนกลางคืนไม่ใช่หรือ สำนักที่อยู่ตอนเหนือของทะเลทรายก็ลอบโจมตีผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักมารจนถึงแก่ความตายด้วยนี่”
มีเสียงเฮขานรับดังขึ้นตามมา “ทั่วหล้ายังมีวีรบุรุษ หากมีสักคนที่กล้าออกมารวบรวมเหล่าวีรบุรุษเพื่อกำจัดสาวกที่ชั่วช้าของสำนักมาร การจะให้ทั่วหล้ากลับคืนสู่หนทางที่ชอบธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“ยังจะรวบรวมเหล่าผู้กล้าอีกหรือ” เสี่ยวชุนอดจะหวนนึกถึงอุทาหรณ์อันเจ็บปวดสองครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้
ครั้งหนึ่งมีการชุมนุมชาวยุทธ์ที่ปราสาทเขาหลิวเขียวเพื่อเลือกเจ้ายุทธภพ สุดท้ายปราสาทเขาหลิวเขียวก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น อีกครั้งมีการรวมพลพรรคชาวยุทธ์อย่างลับๆ ที่ปราสาทเขาเพลินภิรมย์เพื่อปรึกษากันจะหาทางกำจัดสำนักมาร ผลสุดท้ายมีคนชุดดำมาล้อมเขาลูกนั้นไว้ ซ้ำยังปิดตายเขาทั้งลูกแล้วจัดการสังหารหมู่ โลหิตไหลหลั่งดุจแม่น้ำ
เสี่ยวชุนเอนร่างไปแล้วหันหน้าหนี ไม่อยากจะรับฟังอีกต่อไป
อย่าได้มีการรวมพลผู้กล้าไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอีกเลย รวมทั้งการชุมนุมลับด้วย หลันชิ่งศิษย์พี่ของเขาเนื่องจากธาตุไฟเข้าแทรก เส้นเลือดได้รับบาดเจ็บ ร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว อีกอย่างก็ได้แก้แค้นไปมากแล้ว เหลือเพียงอวิ๋นชิงที่อีกฝ่ายยังไม่อาจสังหารได้เท่านั้น ไม่รู้ว่ายังจะมีแก่ใจนึกถึงเรื่องของยุทธภพอีกหรือไม่
ในเมื่อจิตใจของศิษย์พี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ยุทธภพจึงไม่น่าจะมีภัยร้ายแรงเร่งด่วน ขอเพียงคนเหล่านี้อยู่เฉยๆ ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ก็เป็นไปได้ว่าทั่วหล้าจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี
ขณะที่เหล่าผู้สูงส่งแห่งยุทธภพกลุ่มนี้กำลังคุยโวถึงเรื่องที่ทำไม่ได้กันอยู่ ที่ประตูก็มีสาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา
อันที่จริงโรงเตี๊ยมก็มีผู้คนมากหน้าหลายตา มีหญิงสาวเข้ามาคนหนึ่งก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร
แต่ที่แปลกก็คือสาวน้อยอายุราวสิบสี่สิบห้านางนี้งดงามมิใช่เล่น คิ้วเรียวบางดุจใบหลิว ดวงตากลมโต ริมฝีปากรูปกระจับหยักขึ้นเล็กน้อย มองแล้วไม่อาจละสายตาได้เลย
สายตาของผู้คนในห้องโถงใหญ่สะดุดหยุดลง จากนั้นก็อดที่จะมองดูร่างของนางในชุดสีดำไม่ได้ เมื่อได้เห็นสีอันน่าเกรงขามนี้ บางคนก็ถึงกับกลั้นหายใจ
ว่ากันว่าสำนักมารแห่งแรกของใต้หล้าคือสำนักภูษานิล สาวกสำนักภูษานิลมักสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ ทำให้เหล่าชาวยุทธ์เพียงแค่เห็นชุดสีดำก็รู้สึกขนลุกขนพองเหมือนได้พบศัตรูที่ร้ายกาจ บัดนี้ชุดดำที่ว่านี้สวมใส่อยู่บนเรือนร่างของสาวงามน่ารัก ก็ยิ่งไม่ยากที่จะดึงดูดสายตาผู้คนให้จ้องมอง
ขณะเสี่ยวชุนจ้องมองด้วยความตื่นเต้นราวกับนกกระจอกที่โลดเต้น ไหนเลยจะรู้ว่าทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็มืดดำ…มีมือใหญ่ข้างหนึ่งมาปิดตาเขาไว้
“พี่ชาย! ถามหน่อย ท่านทำอะไรหรือ” เสี่ยวชุนร้องทุกข์ ปิดตาเสียสนิทขนาดนี้ อะไรสนุกๆ ก็ไม่ได้เห็นกันพอดี
“เป็นคำสั่งของนายท่าน ไม่อนุญาตให้มองดูหญิงใดขอรับ” องครักษ์ตอบ
“เช่นนั้นข้าขอไหว้วานท่านสักหน่อยก็แล้วกัน หญิงผู้นั้นน่าจะอายุเท่าใด” เสี่ยวชุนถูกปิดหน้าไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก
สาวน้อยผู้นั้นกวาดตามองไปรอบๆ มุมปากหยักขึ้น เผยรอยยิ้มที่ไม่สมกับวัย ดูทั้งแสนหวานและเจ้าเล่ห์ เหมือนไม่เห็นสายตาซอกแซกรอบข้างที่มองมา แล้วมองหาที่นั่งว่าง
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่จางเสียจนแทบไม่ได้กลิ่นลอยมาวูบหนึ่งตามลมที่พัดผ่านชุดผ้าไหมบางจนพลิ้วไหว เสี่ยวชุนจามออกมาอย่างแรงจนน้ำลายกระเด็นเต็มมือที่ใหญ่โตข้างนั้นซึ่งกำลังปิดตาเขาอยู่ องครักษ์ชุดขาวถึงกับผงะ แต่ก็ยังฝืนไว้ไม่ดึงมือกลับ
เสี่ยวชุนดึงมือของคนผู้นั้นลง ภาพตรงหน้ากลับมาชัดเจนเหมือนเดิม แล้วเอามือข้างนั้นมาถูกับเสื้อผ้าของตน พูดกับอีกฝ่ายอย่างกระดากอายว่า “ข้าเสียมารยาทจามใส่ท่านไปแล้ว”
เสี่ยวชุนขยี้จมูกที่คันยิบๆ พลางมองดูสาวน้อยนางนั้น ทำให้หญิงผู้นั้นเกิดความสนใจขึ้นมา
เสี่ยวชุนคุ้นเคยกับกลิ่นที่แผ่ออกมาจากร่างของสาวน้อยเหลือเกิน นั่นเป็นกลิ่นของยา ‘หอมหวนร้อยลี้’ หนึ่งในยาพิษล้ำค่าร้อยแปดชนิดที่ปลิดชีพคนได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลันชิ่งศิษย์พี่ใหญ่ของเขา เซียนแห่งการปรุงยาพิษมักใช้อยู่เสมอ
แต่เสี่ยวชุนรู้สึกแปลกใจ หญิงสาวที่เพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเก่งกล้าสามารถขนาดไหนจึงได้ไปล่วงเกินหลันชิ่งจนถูกวางยาพิษชนิดนี้มา หากไร้ซึ่งความสามารถใดๆ ไฉนเลยศิษย์พี่ของเขาจะถึงกับยอมลงทุนใช้ยาพิษหายากนี้กับนาง!
เขากลอกตา สายตาเคลื่อนไปมา มีนกตัวเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือบินมาเกาะใต้ชายคา ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ เล็กเบาสองครั้ง จากนั้นเสี่ยวชุนก็ยิ้ม จะมีงิ้วให้ดูสินะ
หลังจากนกตัวนั้นบินมาถึงก็มีเสียงกระบี่พุ่งแหวกอากาศดังตามมา
กระบี่อันว่องไวและทรงพลังพุ่งมาถึงสาวน้อยซึ่งนั่งที่โต๊ะตรงหน้าเสี่ยวชุน สาวน้อยผู้นั้นรีบกระโดดขึ้นจากม้านั่งหลบหลีกได้อย่างฉับพลัน จากนั้นกระบี่ที่ไร้ตาก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวชุนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังนางพอดี
เสี่ยวชุนกำลังยกตะเกียบคีบเนื้อ ไม่ทันรู้ตัวว่ามีการซุ่มโจมตี ชั่วครู่ร่างกายจึงตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ ตะเกียบสั่นไหว ชิ้นเนื้อชุ่มฉ่ำร่วงหล่นลงมา น้ำแกงกระจายไปทั่ว ชั่วพริบตากำลังภายในก็รวมกันอยู่ที่ตะเกียบซึ่งยื่นออกไปสกัดอาวุธ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังเคร้ง เหมือนกระบี่ยาวเล่มนั้นพุ่งเข้ากระแทกเหล็กกล้าจนกระเด็นออกไป เมื่อตกพื้นจึงเห็นว่ากระบี่เล่มนั้นหักงอจนผิดรูปกลายเป็นแค่เศษเหล็ก
“ย่ามันเถอะ!” เสี่ยวชุนนิ่วหน้าพลางไอออกมา
เกิดเหตุขึ้นกะทันหัน เขาจึงรีบเดินลมปราณเพื่อรับมือ ทว่าเขายังไม่หายบาดเจ็บดี กำลังภายในเพิ่งกลับคืนมาได้สามส่วน พอใช้กำลังจึงเกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมาในช่องอก เจ็บมากจนน้ำตารื้น เจ็บแทบตายเชียวล่ะ!
“พี่ชาย กำลังภายในท่านแข็งแกร่งดีนี่!” ชาวยุทธ์ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างเคียงเห็นเสี่ยวชุนเผยวรยุทธ์สูงส่งฝีมือล้ำลึก ดวงตาก็เป็นประกาย
เสี่ยวชุนได้แต่ลูบอกแรงๆ น้ำตาคลอเบ้า พูดอะไรไม่ออก
องครักษ์ชุดขาวรีบพุ่งปราดเข้ามาอยู่ต่อหน้าเขา คอยคุ้มกันประกบเขาไว้ทั้งสองข้างอย่างแข็งขัน
“โอ๊ย!” แม้จะเจ็บแต่เสี่ยวชุนก็ยังอยากรอดูงิ้วน่าสนุกอยู่ ทว่าภาพตรงหน้ากลับถูกบดบังหมด เขาจะไปเห็นอะไรได้! จึงยื่นมือไปตีองครักษ์ทั้งสองหลายที แต่ทั้งสองไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
หลังเกิดเหตุกระบี่พุ่งมาแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งถือดาบถือกระบี่พุ่งปราดเข้ามาออกันในโรงเตี๊ยม พวกที่เดินนำเข้ามาสองสามคนฝึกฝนวรยุทธ์ที่เน้นกำลังภายในมาเป็นอย่างดี วิธีหายใจลึกยาว และยังมีอีกหลายคนที่มีพื้นฐานของมวยภายนอกแข็งแกร่ง เพียงก้าวย่างอย่างมั่นคงมีพลังเข้ามาในโรงเตี๊ยม พื้นปูหินในห้องโถงใหญ่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ขณะนั้นราวกับได้ยินเสียงใครเรียกชื่อ ‘แปดเซียนชุดดำ’ ดังแว่วมา เสี่ยวชุนยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าแปดเซียนชุดดำคืออะไรก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นในโรงเตี๊ยม
เสี่ยวชุนรีบดันก้นใหญ่ๆ สองก้นตรงหน้าออกไป ทันใดนั้นชั่วแวบหนึ่งสาวน้อยในชุดดำก็กระโจนเข้าไปในกลุ่มสาวกสำนักมาร
เหล่าชาวยุทธ์ที่อวดอ้างว่าถือคุณธรรมสองสามคนในโรงเตี๊ยมพากันร้องตะโกน “พาพรรคพวกมากมายมารังแกคนอ่อนแอกว่าเช่นนี้ สำนักภูษานิลช่างน่าขายหน้านัก!”
สองสามคนด้านหน้าซึ่งดูเหมือนเป็นผู้นำต่างก็หยิบอาวุธลับประจำสำนักออกมา แล้วเอาตัวคนที่พูดตรึงติดไว้กับผนังโรงเตี๊ยม เลือดสดๆ สาดกระจายไปทั่ว คนเหล่านั้นพากันตกตะลึง บางคนร้องเรียกหาบิดามารดาแล้วหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่บางคนยอมกัดฟันออกมาสู้ ทันใดนั้นรอบด้านก็เต็มไปด้วยเสียงหมัด เสียงฝ่ามือ เสียงซัดพลัง เสียงกระบี่ฟาดฟันดังสนั่น ผ่านหน้าเสี่ยวชุนไปจนรู้สึกเจ็บ
เสี่ยวชุนมองดูหญิงสาวในชุดดำที่ค่อยๆ ล่าถอยออกไป ในใจรู้สึกตื่นตระหนก มือเดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคลายออก คลายแล้วก็กำแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เห็นโอกาสที่จะลงมือเลย