everY
ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3 องก์ที่สอง บทที่ 12 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3
ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)
แปลโดย : Singin’ in the Rain
ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
องก์ที่สอง
บทที่ 12 จู่โจมยามวิกาล
หร่วนปู้ฉีติดตามจิ้นเยวี่ยมาตั้งแต่เป่ยหรง ภายหลังประมุขพรรคให้นางคุ้มกันข้างกายไป๋หนี คอยส่งข่าวให้ทุกคนรู้สถานการณ์ทางไป๋หนีเป็นครั้งคราว
หลังจากไป๋หนีคลอดลูก หญิงสาวยังคงอยู่ในการควบคุมของแม่ทัพสี่ ตอนนั้นเหลยซือจือระดมกำลังทหารไปที่ชายแดนจินเชียงเพื่อระวังทัพตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ไกลๆ เขาพาไป๋หนีไปด้วยตลอด แต่มิได้จับตาดูเข้มงวดเหมือนตอนอยู่ที่เป่ยตูและปี้ซาน ไป๋หนีหลบหนีออกมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ถูกล่ามโซ่เหล็กหรือถูกจำกัดไม่ให้ทำอะไร
เฉินต้วนรู้เพียงว่าแม่ทัพสี่เป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นจินเชียง กลับไม่รู้ว่าเขามีสายสัมพันธ์พัวพันซับซ้อนกับจิ้นหมิงเจ้าและแคว้นต้าอวี่ เพราะได้พบหร่วนปู้ฉี เฮ่อหลันเฟิงจึงเล่าเรื่องที่แม่ทัพสี่กับจิ้นหมิงเจ้ามีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องให้เขาฟัง
หร่วนปู้ฉีเป็นคนอยู่ไม่สุข ทั้งค่ายทหารของแม่ทัพสี่และที่พักของไป๋หนีล้วนอยู่ใกล้ๆ นางจึงมักลอบเข้าไปในยามวิกาล อย่างไรเสียนอกจากไป๋หนีแล้วก็ไม่มีใครจับสังเกตร่องรอยของนางได้ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้มาที่ทะเลสาบปั๋วหลัน ทั้งยังได้ยินคนใช้ภาษาต้าอวี่ที่ตนคิดถึงมาตลอดพูดคุยกันดังขรม นางก็คงไม่ปรากฏตัวออกมาให้เฮ่อหลันเฟิงกับพรรคพวกได้พบเห็น
พอได้รู้ว่าทุกคนมาจินเชียงเพื่อจับตัวแม่ทัพสี่ หร่วนปู้ฉีก็หัวเราะร่า
“แค่พวกเจ้าไม่กี่คนนี่น่ะหรือ ทำไม่ได้หรอก!” นางพูดอย่างรื่นเริง “ถ้าข้าลงมือย่อมไม่มีปัญหา แต่พวกเจ้าทำไม่ได้ ข้างกายเหลยซือจือมีคนมากมายออกอย่างนั้น ทั้งตัวเขาเองก็มีวรยุทธ์ ยิ่งกว่านั้นยังสวมเกราะหนาติดกายตลอดเวลา พวกเจ้าทำไม่สำเร็จหรอก”
เฉินต้วนท่าทางดึงดัน ไม่ว่าหร่วนปู้ฉีจะอธิบายอย่างไรก็ล้วนไม่สำเร็จ เขายืนกรานจะไปดูลาดเลาสักหน่อย หร่วนปู้ฉีโน้มน้าวเขาไม่สำเร็จก็โกรธจนด่าทอออกมา นางหันหลังกลับแล้วไต่ผาหินหนีไป
เฉินต้วน “จอมยุทธ์หญิงผู้นี้ท่าทางขี้หงุดหงิดฉุนเฉียว อยู่ร่วมด้วยยากจริงๆ ไม่รู้ว่าความสามารถที่แท้จริงของนางจะสักเท่าใดกันเชียว”
เฮ่อหลันเฟิง “ชู่ว์!”
หร่วนปู้ฉีไต่หนีไปไกลแล้วพอได้ยินคำพูดนี้ก็วกกลับมา ตวาดด่าเกรี้ยวกราด “ข้าเป็นนักล่าหยินแห่งพรรคหมิงเยี่ย จะให้เข้าวังหลวงไปเอาศีรษะเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าสงสัยความสามารถของข้าหรือ!”
หนิงหยวนเฉิงเห็นนางชักกระบี่ก็ตวาด
“บังอาจ!”
เพิ่งสิ้นเสียง ใครจะรู้ ไม่ทันเห็นว่าหร่วนปู้ฉีทำอะไร กระบี่ในมือหนิงหยวนเฉิงพลันหลุดมือ หมุนคว้างสะท้อนประกายสีเงินใต้แสงจันทร์ แล้วหล่นลงในทะเลสาบปั๋วหลัน
หนิงหยวนเฉิง “…”
หร่วนปู้ฉีมองดูเล็บตัวเองท่าทางเสียใจ “กระบี่เจ้าเล่มนี้คมมาก”
หนิงหยวนเฉิงลุยน้ำตามหากระบี่ เฉินต้วนไม่กล้าพูดอะไรผิดต่อหญิงสาวอีก หร่วนปู้ฉีเป็นพวกเกรี้ยวกราดได้ง่าย เนื่องจากบันดาลโทสะเพราะคำพูดเมื่อครู่ของเฉินต้วน ด้านหนึ่งนางจึงวาดแผนผังในค่ายทหารของจินเชียงให้พวกเขา อีกด้านตัดสินใจจะพาเฉินต้วนลอบเข้าไปในค่าย
ค่ายทหารจินเชียงจะเปลี่ยนข้อความลับทุกสองสามชั่วยาม ดังนั้นจะเข้าหรือออกต้องมีข้อความลับ เฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงไม่เข้าใจภาษาจินเชียง หร่วนปู้ฉีจึงให้ทั้งสองไปหาชุดทหารจินเชียงมา กำชับให้แต่งกายเป็นทหาร ทั้งสองวนเวียนหลบหลีกอยู่นอกค่าย สุดท้ายหร่วนปู้ฉีก็นำพวกเขากระโจนเข้าไปในค่ายจากที่สูงได้สำเร็จ หนิงหยวนเฉิงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก รีบประสานมือคารวะนางอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณจอมยุทธ์หญิงหร่วนปู้ฉี”
หร่วนปู้ฉีมองเขาอยู่นาน ท่าทางพอใจอย่างมาก “คนที่ดูดีเช่นเจ้า ให้เข้าไปอยู่ในบ้านข้าได้สองสามวัน”
หนิงหยวนเฉิงมีท่าทางงุนงงไม่เข้าใจ ส่วนหร่วนปู้ฉีก็หมุนร่างจากไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งหย่วนซังแบกดาบเล่มใหญ่กระโจนเข้าไปในลานเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ปาหลงเก๋อเอ่อร์กับเฮ่อหลันเฟิงทักษะยังไม่ดี ฝีเท้าไม่ว่องไวเท่านาง ได้ยินเพียงเสียงดังโอดโอยเบาๆ สองสามครั้งจากในลานเรือน ทันใดก็มีเสียงของหนักตกลงพื้น ทั้งสองวิ่งไปที่ประตูเข้าลานเรือน หย่วนซังก็เปิดประตูให้
“ถึงแม่ทัพสี่จะจัดทหารยามไว้มากมายคอยคุ้มกันแม่นางไป๋อะไรนั่น แต่ก็ล้วนอ่อนแอไม่ได้เรื่อง”
เฮ่อหลันเฟิง “วิชาดาบของเจ้าร้ายกาจจริง”
เสียงในลานเรือนทำให้คนในห้องระแวดระวังขึ้นมา หย่วนซังเพิ่งพูดจบก็มีเสียงลมซัดมาจากด้านหลัง ลูกดอกสองดอกถูกยิงออกมาจากในห้องพุ่งเข้าใส่ท้ายทอยหย่วนซัง หญิงสาวเหวี่ยงดาบปะทะ เฮ่อหลันเฟิงกับปาหลงเก๋อเอ่อร์รีบแทรกตัวเข้าไปในลานเรือน คนหนึ่งปิดประตู อีกคนร้องเรียก
“แม่ทัพไป๋หนี”
ครู่หนึ่งประตูห้องก็เปิดออก ไป๋หนีมีสีหน้าตื่นตกใจ กระทั่งเห็นเฮ่อหลันเฟิงผู้มีดวงตาหมาป่าเป็นภาพประทับจำลึกซึ้งเดินมาอยู่ต่อหน้า นางก็จำเขาได้ทันที
“เยี่ยไถ…เฮ่อหลันเฟิง?!”
ไป๋หนีพักอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบปั๋วหลัน จินเชียงเกิดพายุทรายบ่อยครั้ง ทะเลทรายเกอปี้กว้างใหญ่ไพศาล พืชพันธุ์เติบโตได้ยาก บ้านเรือนในหมู่บ้านล้วนหม่นหมองไม่น่าดู มีเพียงลานเรือนเล็กๆ ที่หญิงสาวพักอาศัยซึ่งพอจะมีสีเขียวอยู่บ้าง กลางลานปลูกต้นไม้เล็กๆ แคระแกร็น เติบโตได้อย่างยากลำบาก ฝุ่นทรายจับบนใบไม้หนาเป็นชั้น สภาพเหี่ยวแห้งน่าสงสาร ต้นไม้เล็กๆ เหล่านี้เหลยซือจือหามาให้ไป๋หนี ทว่าที่จริงแล้วมันไม่เหมาะจะเติบโตที่นี่ ดูแล้วเหมือนกำลังจะตาย
หร่วนปู้ฉีตามมา นางอยู่กับไป๋หนีมาค่อนข้างนานจนเรียกขานอย่างนับถือว่า ‘พี่สาว’ ตอนนั้นที่หร่วนปู้ฉีมาถึงจินเชียง นางก็ใช้วิธีเดียวกับที่เข้าถึงตัวจิ้นเยวี่ย แสร้งทำเป็นขอทานที่ถูกพวกค้ามนุษย์นำมาขายให้ไป๋หนีซื้อตัวกลับมา เหลยซือจือกลับไม่เคยสงสัยในตัวนาง เพราะหร่วนปู้ฉีดูแล้วอายุราวๆ สิบกว่าขวบ ตัวเตี้ยผอมแห้ง ดูไม่เหมือนคนฝึกวรยุทธ์แม้แต่น้อย
พอได้พบสหายเก่าอีกครั้งไป๋หนีดีใจมาก ตอนแรกเฮ่อหลันเฟิงยังกังวลว่าหญิงสาวจะพลอยโกรธตนเองไปด้วยเพราะเฮ่อหลันจินอิงเคยหลอกลวงนาง แต่ไป๋หนีกลับไม่โกรธ
“เรื่องไม่เป็นตัวของตัวเองข้าเข้าใจดี พวกเจ้าพี่น้องสังหารเทียนจวินของเป่ยหรง นับเป็นการกระทำที่สั่นสะเทือนมาก” นางเชื้อเชิญผู้มาเยือนทั้งหลายเข้ามาในห้อง
เฮ่อหลันเฟิงนั่งลงอย่างตื่นเต้นใจระส่ำไม่เป็นสุข อ้างว่ามาเยี่ยมบุตรสาวของนาง หย่วนซังก็ตามมาขอดูด้วย ทารกน้อยตกใจตื่นเพราะเสียงดัง ปากเบะทำท่าจะร้องไห้ พอเห็นคนแปลกหน้าก็ตกใจ ดวงตากลมโตเหลือบมองซ้ายทีขวาที เริ่มดูดนิ้วตัวเอง
“ตอนเด็กๆ จั๋วจั๋วก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า” เฮ่อหลันเฟิงเข้าไปจับมือน้อยๆ ของทารก นิ้วของเด็กน้อยนุ่มนิ่มเหมือนไม่มีกระดูก กำนิ้วก้อยของเฮ่อหลันเฟิงที่มีกระดูกและเส้นเอ็นปูดโปน จู่ๆ เขาก็บังเกิดความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ตัวเขาเปรอะเปื้อนฝุ่นฝ่าสายลมมาจึงไม่กล้าอุ้ม ได้แต่เขย่ารถเข็นเด็กคันเล็กหยอกล้อกับเด็กน้อยแทน
พอเด็กน้อยร้องไห้จ้า เฮ่อหลันเฟิงกับหย่วนซังก็รีบถอยออก ให้ไป๋หนีเข้ามารับ
เฮ่อหลันเฟิงมาพบไป๋หนี ที่จริงอยากมาเยี่ยมดูว่าหญิงสาวใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ในใจมีแผนการของตนเองว่าพาเฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงออกมาคราวนี้ พวกเขาได้ตกลงกันดีแล้วว่ารอให้เฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงลอบเข้าไปในค่ายทหารของแม่ทัพสี่ก่อน เฮ่อหลันเฟิงกับพวกก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวแล้ว พวกเขาสามารถใช้ทางลัดเดินทางกลับเขาเซวี่ยหลางได้เลย
ตอนนี้เฮ่อหลันเฟิงทำภารกิจที่เฉินต้วนไหว้วานจนลุล่วง คณะเดินทางสามคนก็ออกจากด่านไป๋เชวี่ยได้อย่างราบรื่น พอเขาพบไป๋หนีแล้วก็จะขึ้นเหนือ ตรงไปยังเขาเซวี่ยหลาง การพบหน้าไป๋หนีก็เพื่อว่าหากได้พบจิ้นเยวี่ยอีกครั้ง เขาจะได้เล่าสถานการณ์ล่าสุดของนางให้จิ้นเยวี่ยฟังอย่างละเอียด เฮ่อหลันเฟิงเชื่อว่าจิ้นเยวี่ยจะต้องอยากรู้เรื่องเหล่านี้มากแน่นอน
ลานเรือนเล็กๆ แห่งนี้แม่ทัพสี่จัดหาให้ไป๋หนีพัก เขาจะมาเยี่ยมนางบ้างนานๆ ครั้ง พูดคุยกับนางขณะตนเองสวมหน้ากากทองพลางมองดูทารกน้อย
“เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าอย่างโหดร้ายอะไร” ไป๋หนีเล่า “แต่ก็ไม่พูดเรื่องที่ชักนำให้เกิดการโต้เถียงได้ง่าย เล่าเรื่องเก่าๆ บ้าง มีเล่าเรื่องเมืองเฟิงหู และทิวทัศน์ของเมืองเหลียงจิง เขาบอกว่าไม่มีใครคุยภาษาต้าอวี่ด้วย เกรงว่านานไปตนเองจะลืมเลือนแม้แต่ภาษาบ้านเกิด ที่กักขังข้าไว้เช่นนี้ ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าแท้จริงเขามีเจตนาอันใด”
เฮ่อหลันเฟิง “เขาปฏิบัติต่อท่านไม่เลว”
เด็กน้อยผล็อยหลับไปในอ้อมแขนไป๋หนี นางลูบหลังบุตรสาว กระซิบถาม “ตอนนี้จิ้นเยวี่ยกับโหยวจวินซานเป็นอย่างไรบ้าง”
หร่วนปู้ฉีบอกนางแล้วว่าโหยวจวินซานยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ติดตามเฉินหรง ข่าวสารที่ส่งถึงกันระหว่างพรรคหมิงเยี่ยกับหร่วนปู้ฉีขาดๆ หายๆ บอกเพียงว่าโหยวจวินซานอยู่ข้างกายจิ้นเยวี่ย ไม่ได้มีรายละเอียดมากเท่าใด
พอได้รู้ว่าเฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยแยกกันนานแล้วไป๋หนีก็ตกใจ นางมองประเมินเฮ่อหลันเฟิง เปรียบเทียบตัวเขากับภาพเด็กหนุ่มหัวรั้นดื้อดึงและขี้อายที่เยี่ยไถในความทรงจำ
“เจ้าโตขึ้น เป็นชายชาตรีชาวเป่ยหรงที่ร่วมรบได้แล้ว” นางหัวเราะพลางเอ่ย “เมื่อก่อนเจ้าชอบพาน้องสาวไปชวนจิ้นเยวี่ยเที่ยวเล่นอยู่บ่อยๆ น่าเสียดายต้องแยกกันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะได้พบกันอีกเมื่อใด”
“ที่จริงข้าเป็นชาวเกาซิน” เฮ่อหลันเฟิงเอ่ย “ไม่ช้าข้ากับจิ้นเยวี่ยจะได้พบกัน รอให้ข้าพาสหายสองคนนี้กลับเขาเซวี่ยหลางเสียก่อน แล้วข้าจะไปตามหาเขาที่ต้าอวี่”
ปาหลงเก๋อเอ่อร์ตื่นตกใจทันที “อะไรนะ!”
สีหน้าไป๋หนีแปรเปลี่ยน ฉับพลันก็คว้ามือเฮ่อหลันเฟิง เฮ่อหลันเฟิงพลันหวนนึกถึงลูกธนูไม้ที่ไป๋หนียิงเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ในวันนั้น เวลานี้มือนี้กำลังกุมมือตนเองไว้แน่น ยังคงแข็งแรงจนไม่อาจสลัดทิ้ง
“ถ้าเจ้าได้พบจิ้นเยวี่ย ช่วยเตือนเขาด้วย…” แววตาไป๋หนีเต็มไปด้วยความสับสนและเจ็บปวดเหลือคณา “ให้ระวังโหยวจวินซาน”
เฮ่อหลันเฟิงนิ่วหน้าฉับพลัน “เพราะเหตุใด”
“ตอนที่แม่ทัพสี่พาข้าไปเมืองปี้ซาน ข้าพบว่าตนเองมักนอนหลับเร็วแต่หัวค่ำ รู้สึกมึนงงง่วงซึม จากนั้นจึงได้พบว่าเป็นเขาที่วางยาในน้ำและอาหารของข้า เมื่อดื่มกินแล้วถึงได้ง่วงจนหลับไป” ไป๋หนีเล่า “ภายหลังข้าฝืนใช้เข็มทิ่มแทงฝ่ามือ จึงไม่ถึงกับหลับในทันที พอทำเช่นนี้หลายครั้ง ถึงค่อยพบว่าโหยวจวินซานมาเยี่ยมข้า”
แม้ไม่ได้ง่วงหลับ แต่ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง ไป๋หนีจึงแสร้งทำเป็นหลับลึก ทุกครั้งโหยวจวินซานล้วนเข้ามาทางประตูหลัก ท่าทางมิได้ตื่นเต้นเครียดเกร็ง ทั้งยังนั่งอยู่ข้างเตียงนางพูดคุยนั่นนี่ไปเรื่อย บางครั้งพูดกับนาง บางครั้งพูดกับบุตรในครรภ์ที่ยังไม่เกิด
วันที่ไป๋หนีคลอดลูก นางหมดสติผล็อยหลับไปเนื่องจากออกแรงมากและเจ็บปวด ตกกลางคืนจึงสะลึมสะลือค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ในห้อง
โหยวจวินซานกำลังอุ้มทารกน้อยพลางร้องเพลงกล่อมเด็กที่รู้จักกันทั่วไปเบาๆ เสียงนั้นแผ่วเบามาก
“เขาเข้ามาในห้องข้าหลายครั้ง เหมือนเข้ามาในห้องที่ไร้คนเฝ้า ยังเข้ามาดื่มน้ำดื่มชาในห้องข้าได้ด้วย” ไป๋หนีจ้องมองดวงตาเฮ่อหลันเฟิง พูดเน้นย้ำคำต่อคำ “เขากับแม่ทัพสี่ ไม่มีทางที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน”
ตอนนี้เองในค่ายทหาร แม่ทัพสี่ผู้สวมหน้ากากทองกำลังเงยหน้าขึ้นจากกองม้วนตำรา
ฉับพลันนั้นก็มีกระบี่บางเล่มหนึ่งแทงทะลุกระโจมพุ่งเข้าใส่!
ถึงแม้เหลยซือจือจะอยู่ในกระโจมแต่ก็ต้องสวมเกราะ เขายันสองมือไว้กับโต๊ะ ดีดตัวทะยานขึ้น ปลายกระบี่แทงถูกเกราะแข็งที่แผ่นหลังดังเคร้ง แต่ไม่อาจแทงทะลุ ลื่นหลุดพลาดเป้าไป
เหลยซือจือลงถึงพื้นแล้วก็กุมกระบี่พกทันที เขาหันกลับไปตั้งรับ มีเสียงเคร้งดังขึ้นอีก มือสังหารด้านหลังบุกเข้ามาจริงๆ เงื้อกระบี่แล้วแทง เขารีบกวาดตามอง เห็นว่าเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี แต่งกายเป็นทหารจินเชียง
“โจรกระจอกจากที่ใดกัน!” เขาหัวเราะร่าเสียงดัง สกัดไว้สองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบชายหนุ่ม ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะว่องไว ขณะล้มกลิ้งกับพื้นก็เตะอาวุธ ทั้งดาบหอกและกระบี่ที่วางค้ำยันกันไว้ข้างๆ ก็ล้มกระจัดกระจาย ส่วนปลายอาวุธแหลมคมหันเข้าใส่เหลยซือจือ เขาถอยสองก้าวอย่างว่องไว ชักแส้ยาวออกจากบั้นเอวแล้วสะบัด อาวุธที่พุ่งโจมตีทั้งหมดก็ถูกแส้รวบไว้ได้จนหมด จากนั้นหันไปกระแทกใส่ร่างอีกฝ่าย
ชั่วขณะที่เขาโต้กลับสำเร็จนั่นเอง เหนือศีรษะกลับมีเสียงลมซัดใส่
เหลยซือจือถึงกับแอบสบถด่าแต่เขาหลบหลีกไม่ทันเสียแล้ว มีคนกระโจนลงมาจากยอดกระโจม พลิกมือคว้าคอเขาไว้แน่น จัดการคุมตัวเขาอยู่หมัด
ชายหนุ่มที่ลงถึงพื้นพลันกระโดดขึ้นมา สีหน้ายินดียิ่ง
“ท่านแม่ทัพ! สำเร็จแล้ว!”
เพิ่งขาดคำกระโจมหลังนั้นก็ฉีกขาดทันที ผ้าสักหลาดขึงกระโจมแยกออกเป็นหลายส่วน นอกกระโจมมีแสงไฟเจิดจ้า ชายผู้หนึ่งรูปร่างพอๆ กับแม่ทัพสี่ที่เฉินต้วนจับตัวไว้ยืนอยู่กลางแสงไฟซึ่งสะท้อนริ้วรอยแผลเป็นบนใบหน้าเขาอย่างชัดเจน
เฉินต้วนตื่นตกใจยิ่ง รีบกระชากหน้ากากทองบนใบหน้าชายที่จับตัวไว้ออกทันที ใต้หน้ากากคือใบหน้าไร้รอยแผลเป็น
“สบายดีหรือไม่” เหลยซือจือตัวจริงยืนพลางลูบกระบี่ รอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าเสียโฉมอันแสนชั่วร้าย “องค์ชายห้า”
เหลยซือจือนำไป๋หนีมาไว้ข้างกายตนเอง มิได้ถึงกับไม่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ข้างกายนางเอาเสียเลย เขารู้นานแล้วว่าข้างกายไป๋หนีมีคนเยี่ยงหร่วนปู้ฉี และรู้แน่ชัดว่าหร่วนปู้ฉีมีทักษะโดดเด่น วรยุทธ์เยี่ยมยอด เหลยซือจือสืบไม่พบความเป็นมาของนาง ทั้งยังเกรงไป๋หนีจะแตกตื่นรู้ตัวเสียก่อนจนทำให้ระแวงสงสัย จึงเพียงสั่งให้คนจับตาดูความเคลื่อนไหวของหร่วนปู้ฉี แต่ไม่ให้ตามติดกระชั้นชิด
และการตั้งกระโจมที่นี่เขาก็ได้เตรียมการป้องกันไม่ให้ทัพตะวันตกเฉียงเหนือของต้าอวี่ลอบโจมตีไว้แต่แรกแล้ว
เพราะตอนนั้นเขาเองก็รับคำสั่งมาเหมือนเฉินต้วน ให้นำทหารกลุ่มเล็กๆ ออกจากเมืองเฟิงหู สุดท้ายจึงลอบเข้ามาในจินเชียง
เมื่อมัดตัวเฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงไว้แล้ว เหลยซือจือก็ไล่ทุกคนออกไป เหลือไว้เพียงคนที่ไว้ใจได้สองสามคน
“มีแค่สองคน?” เขาถาม “เป็นถึงองค์ชายแห่งต้าอวี่ แต่ท่านอดทำตัวบุ่มบ่ามเกินไปไม่ได้ ถ้าท่านเป็นอะไรขึ้นมา ฮ่องเต้ต้าอวี่มิพิโรธแย่หรือ”
เรื่องที่แม่ทัพสี่เป็นชาวต้าอวี่มิได้เป็นความลับอะไรในทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ว่ากันว่ายามเขาออกศึก ต้องสวมหน้ากากทอง ทำตนให้เป็นเทพที่น่าครั่นคร้ามไปทั่วสารทิศ ภายหลังจึงได้รู้ว่าหน้ากากทองนั้นมีไว้เพื่อปกปิดแผลเป็นบนใบหน้า วันนี้เฉินต้วนได้เห็นแผลเป็นบนใบหน้าเหลยซือจือ แม้จะถือว่าได้เปิดหูเปิดตา แต่ก็ยังรู้สึกครั่นคร้ามไปด้วย
“ในทัพตะวันตกเฉียงเหนือข้าเป็นแค่แม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น ควรออกหน้ารบก็รบ ควรซ่อนตัวก็ซ่อน” เฉินต้วนสวนกลับ “เจ้าต่างหาก เป็นชาวต้าอวี่กลับขายบ้านเมืองแสวงหาเกียรติยศ เจ้าสังหารชาวต้าอวี่ ยามเหยียบย่ำผืนดินต้าอวี่ รู้สึกผิดบ้างหรือไม่เล่า”
เหลยซือจือไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งสิ้นต่อคำพูดนี้ เขาหันไปยิ้มแล้วพยักหน้าให้เฉินต้วน
“คนใสซื่อเช่นท่าน คงไม่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แน่”
เฉินต้วนพูดอีก “เจ้าจับข้าไว้ คิดจะใช้ข้าแลกเชลยจินเชียง?”
เหลยซือจือส่ายหน้า “ก็ไม่ใช่จุดประสงค์ทั้งหมดเสียทีเดียว ข้าอยากจะดูว่าท่านถูกคุมตัวไว้ที่นี่แล้วจะมีผู้ใดมาช่วยหรือไม่”
เฉินต้วนตะลึงงัน ตอนนี้เองมีสายลมหอบใหญ่พัดเหนือค่ายทหาร ธงรบโบกสะพัด เหลยซือจือแหงนหน้ามองฟากฟ้าราตรีใสกระจ่าง ไม่รู้กำลังคิดอะไร
“ข้าให้เวลาท่านห้าวัน ภายในห้าวันถ้ามีคนมาช่วยท่าน ข้าจะปล่อยท่าน” เขาว่า “ท่านต้องปฏิบัติต่อคนที่มาช่วยท่านอย่างดีไปชั่วชีวิต”
เฉินต้วนได้ฟังก็รู้สึกงุนงงเหมือนตกอยู่กลางหมอก “ข้าย่อมต้องปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณที่มาช่วยชีวิตข้าอยู่แล้ว”
เหลยซือจือพยักหน้า ทันใดนั้นก็ถามถึงเรื่องเทศกาลโคมไฟที่เหลียงจิง
“ข้าไม่ได้กลับเหลียงจิงหลายสิบปีแล้ว” เขาถาม “หอพานโหลวยังอยู่หรือไม่ ยังมีการจุดไฟที่หอตะเกียงของหออวี้เฟิงโหลวทุกปีหรือไม่”
เฉินต้วนปิดปากไม่พูด เหลยซือจือฟาดแส้ใส่หนิงหยวนเฉิงทีหนึ่ง หนิงหยวนเฉิงก็กัดฟันไม่พูดเช่นกัน เหลยซือจือเห็นว่าตัวเองถูกหมางเมิน จึงเริ่มพูดเรื่องในอดีตราวกับพูดกับตัวเอง เขากับจิ้นหมิงเจ้ารู้จักกันได้อย่างไร ตอนที่จิ้นหมิงเจ้าขอลาพักกลับบ้านได้พาเขาไปเปิดหูเปิดตาอย่างไรบ้าง องค์หญิงซุ่นอี๋ในวัยเยาว์สวมหมวกม่านไหมพายเรือไปตามลำน้ำเยี่ยนจื่อกับพวกเขา ดอกไห่ถังแย้มบานแล้วร่วงโรย ล่องบนธารเยี่ยนจื่อไปแล้วกลับมา องค์หญิงซุ่นอี๋ร้องเพลง ‘เยี่ยนจื่อซานเซี่ยว’ ไพเราะอ่อนหวานเป็นธรรมชาติ จิ้นหมิงเจ้ากลับไปกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือมักร้องอย่างผิดๆ ถูกๆ เหลยซือจือฟังมากเข้าย่อมคุ้นกับท่วงทำนองเพลงนั้น
เขาเคาะจอกสุราไปพลางฮัมทำนองเพลงเบาๆ เสียงฮัมทำนองเพลงยังไม่แผ่วหาย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลมพัดน่าประหลาดดังขึ้น
เหลยซือจือยังไม่ทันได้ทำอะไร ศรสีดำก็ยิงถูกจอกสุราในมือเขาจนแตกกระจาย แรงยิงไม่แผ่ว แทงทะลุฝ่ามือของเขา!
เหล่าทหารคนสนิทพากันตวาดก้องพลางชักกระบี่ออกมา มีคนหนึ่งร่างสูงเพรียวใช้ผ้าดำคาดปิดใบหน้าถลาลงมาอยู่ตรงหน้า ในมือหิ้วคนผู้หนึ่งไว้
เหลยซือจือจำคนชุดดำไม่ได้ แต่กลับจำคนที่นางพามาด้วยได้
“หมาป่าชั่วร้ายเกาซิน?”
เฮ่อหลันเฟิงกับหย่วนซังปราดมาอยู่ข้างกายเฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิง หญิงสาวฟาดดาบใหญ่ลงกับพื้น เสียงทึบหนักดังก้อง
“ผิดต่อท่านแล้ว แม่ทัพสี่” เฮ่อหลันเฟิงออกตัว “สองคนนี้เป็นสหายของเรา ไม่อาจทิ้งให้อยู่ที่นี่ได้”
เหลยซือจือดึงศรสีดำออกจากฝ่ามือ ทหารคนสนิทก็รีบเข้ามาพันแผลให้ทันที เขาพินิจดูศรสีดำนั้นอย่างละเอียด พบว่าด้ามศรสลักลายไว้อย่างประณีต แตกต่างจากศรหลางตี๋ที่เขาเคยเห็น
“นี่เป็นศรแบบใหม่ที่มีใช้หลังจากอวิ๋นโจวอ๋องขึ้นครองราชย์” เฮ่อหลันเฟิงบอก “เป็นศรหลางตี๋ที่ข้าเท่านั้นที่ได้ใช้”
หัวคิ้วเหลยซือจือพลันขมวดมุ่น
“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าคือน้องชายของเฮ่อหลันจินอิง เฮ่อหลันจินอิงสังหารเป่ยหรงเทียนจวินองค์ก่อน ไม่ใช่ว่าถูกอวิ๋นโจวอ๋องสังหารไปแล้วหรือ ตอนนี้เจ้า…ทำงานให้อวิ๋นโจวอ๋อง?”
เฮ่อหลันเฟิงสีหน้าไม่เปลี่ยน “ใช่แล้ว”
เหลยซือจือ “พวกเจ้าชาวเป่ยหรงน่าสนใจจริงๆ คนหนึ่งมีแค้นที่ฆ่าบิดา อีกคนมีแค้นที่พี่ชายถูกฆ่า แต่กลับมาเป็นนายบ่าวกันได้”
เฮ่อหลันเฟิง “ความแค้นมีเพียงสร้างภูเขาหิมะขวางกั้นวสันตฤดู การให้อภัยสิจึงจะทำให้พืชพรรณงอกงามไม่สิ้นสุดบนที่ราบฉือวั่งหยวน”
เหลยซือจืออดหัวเราะไม่ได้ “พูดจาน่าฟังเสียจริง อวิ๋นโจวอ๋องให้เจ้ามาช่วยเขาไป?”
เฮ่อหลันเฟิง “ข้าเพียงแต่รับพระบัญชาจากเทียนจวินมายังเมืองเฟิงหูเพื่อคุ้มกันองค์ชายห้าเท่านั้น สัญญาสงบศึกระหว่างเป่ยหรงกับต้าอวี่เพิ่งลงหลัก สองแคว้นมีสัมพันธ์อันดี องค์ชายห้ากับเทียนจวินเคยพบปะกันที่เมืองปี้ซานจนได้เป็นมิตรสหาย องค์ชายห้าไม่รู้ว่าข้าติดตามมาตลอด แต่ข้าเห็นองค์ชายห้าถูกท่านแม่ทัพจับตัวไว้ ก็หวั่นเกรงอยู่ในใจว่า…”
เฮ่อหลันเฟิงทำเป็นอมพะนำ ที่พูดมาเป็นวรรคเป็นเวรนั้นเนื้อหาก็ปั้นแต่งอย่างส่งเดช หย่วนซังมองเขา เฉินต้วนกับหนิงหยวนเฉิงก็มองเขา เฮ่อหลันเฟิงดูสุขุมเยือกเย็นผิดปกติ ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวแม้แต่น้อย
“อวิ๋นโจวอ๋องผู้นี้น่าสนใจยิ่ง” เหลยซือจือหัวเราะร่า “ตอนที่เทียนจวินองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ เคยมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเราชาวจินเชียง อะไรกัน บัดนี้อวิ๋นโจวอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ จะหันไปพึ่งพาต้าอวี่เสียแล้ว?”
เฮ่อหลันเฟิง “ท่านแม่ทัพอย่าให้ร้ายเทียนจวินของเราเช่นนี้ เทียนจวินคือบุตรแห่งทวยเทพของที่ราบฉือวั่งหยวน พระองค์ทำการสิ่งใด ย่อมต้องมีเหตุผลของพระองค์”
หย่วนซังถอนหายใจเบาๆ เอาดาบใหญ่พาดบ่า คร้านจะมองดูเฮ่อหลันเฟิงแล้ว
เฮ่อหลันเฟิงคิดว่าตนเองจะขอพูดฟุ้งฝอยต่ออีกหน่อย อาจถึงขั้นต้องขอกำลังสนับสนุน แต่ไม่คิดว่า เหลยซือจือกลับผุดลุกขึ้นโบกมือทันใด
“พาเขาไปเถอะ”
เฮ่อหลันเฟิงไม่พูดพล่าม รีบแก้มัดบนตัวเฉินต้วนและหนิงหยวนเฉิง
“องค์ชายห้า ข้าไม่ฆ่าท่าน ปล่อยให้ท่านกลับไปได้ เพราะบัดนี้จินเชียงกับต้าอวี่พักรบกัน ข้าไม่อาจเป็นคนจุดไฟสงคราม” เหลยซือจือหันไปพูด “การพบกันคืนนี้ถือเสียว่าเป็นการทำความรู้จักระหว่างเราทั้งสอง” เขาคิดแล้วพูดต่อ “ท่านบุกเข้าถ้ำเสือได้ เบื้องหลังต้องมีหน่วยทหารหนุนช่วย แต่ท่านไม่มี ข้าจึงขอเดาจากเรื่องนี้ว่าอำนาจของท่านในราชสำนักคงอ่อนด้อย การบุกค่ายทหารของข้าในยามวิกาลก็เป็นแผนเร่งด่วนเฉพาะหน้า ในการเป็นแม่ทัพ จะเดินทัพแต่ละก้าว ในใจต้องเผื่อทางถอยไว้นับพันนับหมื่นเส้นทาง”
แม้เฉินต้วนจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง
“ท่านบุกเข้าค่ายทหารจะมาสังหารข้า เป็นเรื่องโง่เขลาที่สุด ข้าตายไปแล้วจินเชียงก็ยังมีแม่ทัพที่เหมือนข้าอีกมากมายขึ้นมาบัญชาการรบแทน ชาวจินเชียงที่โกรธแค้นนั้นน่ากริ่งเกรงยิ่ง ทัพตะวันตกเฉียงเหนือในตอนนี้ไม่มีทางต้านไหว ท่านควรจะไปเผาเสบียงทัพ ตัดขาดเส้นทางลำเลียงเสบียง เรื่องต่างๆ ก็ยุติแล้ว” เขาพูดต่อ “ในเมื่อจะบุกในยามวิกาล มาเพียงผู้เดียวย่อมไม่สำเร็จ อย่างน้อยต้องมีสหายมาด้วยสักสี่คน คนหนึ่งบุก สองคนระวังหลัง อีกคนซุ่มคอยส่งข่าว เขาเป็นดวงตาที่สำคัญที่สุดของพวกท่าน”
หัวใจเฮ่อหลันเฟิงเต้นกระตุกขึ้นมา หวนนึกถึงเรื่องหนึ่งในอดีตที่เยวี่ยเหลียนโหลวนำมาเล่าจากปากคำของไป๋หนีขึ้นมาได้ ก็คือเรื่องเหลยซือจือถูกชาวจินเชียงจับตัวไว้เพราะแทรกซึมเข้ามาเผาเสบียงทัพในค่ายทหารจินเชียง
“แต่ถึงแม้จะทำเช่นนี้ท่านก็อาจพ่ายแพ้ได้ นับประสาอะไรกับการบุกอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นที่ท่านทำในครั้งนี้” เหลยซือจือสรุป “อย่าลืมคำที่ข้าบอก ชั่วชีวิตนี้ท่านต้องปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่านเป็นอย่างดี”
หลังจากนั้นทั้งสี่คนออกจากค่ายทหารได้โดยมีทหารคนสนิทของเหลยซือจือคอยคุ้มกัน เดินออกมาได้ไกลระยะหนึ่งแล้ว หนิงหยวนเฉิงค่อยถอนหายใจเฮือก
“ข้าตกใจแทบแย่”
มีชีวิตรอดมาได้โดยอาศัยโชคล้วนๆ
ทั้งสองหันไปขอบคุณเฮ่อหลันเฟิงกับหย่วนซัง
“ข้ากับเทียนจวินแห่งเป่ยหรงไม่มีความสัมพันธ์อันใดเกี่ยวข้องต่อกัน” เฮ่อหลันเฟิงบอก “เมื่อครู่นี้เป็นแค่การพูดลวงเท่านั้น สร้างเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจให้อวิ๋นโจวอ๋องได้ ข้ายินดียิ่ง”
ปาหลงเก๋อเอ่อร์รอทุกคนอยู่ที่ริมทะเลสาบปั๋วหลัน เฮ่อหลันเฟิง หย่วนซัง และปาหลงเก๋อเอ่อร์เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางกลับเขาเซวี่ยหลาง พวกเขาจะไม่ได้ร่วมเดินทางกับเฉินต้วนและหนิงหยวนเฉิงต่อ
เฮ่อหลันเฟิงเล่าให้เฉินต้วนฟังว่าครั้งนั้นเหลยซือจือถูกพวกจินเชียงจับตัวไว้ได้ ถูกทรมานอย่างหนัก จิ้นหมิงเจ้านำกำลังพลมาช่วยเขา แต่สุดท้ายเหลยซือจือไม่ได้ติดตามจิ้นหมิงเจ้าหนีออกมา เขาเลือกจะอยู่ที่จินเชียง และกลายเป็น ‘แม่ทัพสี่’
‘ชั่วชีวิตนี้ท่านต้องปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่านเป็นอย่างดี’
เหลยซือจือกำชับเฉินต้วนไว้เช่นนี้
ในใจเฉินต้วนท่วมท้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย เฮ่อหลันเฟิงคิดว่ารอให้ได้พบจิ้นเยวี่ยเสียก่อน เขาจะต้องเล่าเรื่องนี้ให้จิ้นเยวี่ยฟัง
ทุกคนโบกมืออำลากัน ณ ริมทะเลสาบปั๋วหลัน ขณะมองดูเฮ่อหลันเฟิงควบม้าจวนลับตาไปท่ามกลางฝุ่นทรายฟุ้งตลบ เฉินต้วนพลันควบม้าไล่ตามไป
“เฮ่อหลันเฟิง!”
เฮ่อหลันเฟิงรั้งม้าหันกลับ เฉินต้วนคว้าสายบังเหียนเขาไว้
“เจ้าเป็นชาวเกาซิน มิใช่ชาวเป่ยหรง ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะออกจากที่ราบฉือวั่งหยวน เพื่อบากบั่นแสวงหาหนทางยังที่อื่นๆ”
เฮ่อหลันเฟิง “ท่านจะบอกว่าอะไร”
“มาที่เมืองเฟิงหู มาอยู่กับข้า” เฉินต้วนเสนอ “เข้าร่วมกองพลพิทักษ์ตะวันตกเฉียงเหนือ สร้างคุณูปการด้วยตัวเจ้าเอง”
เฮ่อหลันเฟิงตะลึงพรึงเพริด พูดอะไรไม่ออกเนิ่นนาน ยังมิได้รับปากหรือปฏิเสธทันที เขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วว่าจะไปต้าอวี่ตามหาจิ้นเยวี่ยเพื่อจะได้อยู่กับดวงจันทร์ของเขา แต่หลังจากนั้นเล่า เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย เรื่องราวหลังจากได้พบกันยังคงเลือนรางประหนึ่งอยู่กลางหมอกหนาทึบ เขายังไม่ทันคิดจะแหวกหมอกมองเส้นทางข้างหน้าให้กระจ่างชัด
“ขอเพียงพาม้าของเจ้ามาด้วย” เฉินต้วนรับปากอย่างจริงใจ “ข้าจะมาต้อนรับเจ้า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 01 ธ.ค. 65