X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 91-92 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 91

 

กู้หยวนไป๋เพียงยิ้มให้กับข่าวลือนี้

เขากลับไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ หันมาคุยเรื่องชายแดนกับข่งอี้หลินแทน น้ำเสียงของเขาผ่อนคลาย บนถนนไม่อาจคุยเรื่องสำคัญได้ บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองก็เหมือนกับการพูดคุยสบายๆ ทั่วไป ในท้ายที่สุดข่งอี้หลินก็เป็นฝ่ายเล่าสภาพที่ชายแดนให้กู้หยวนไป๋ฟังก่อน

สายลมไร้ที่สิ้นสุด ทุ่งหญ้าไกลโพ้น และท้องฟ้าสีคราม

ในขณะที่กู้หยวนไป๋ฟังเขาอยู่นั้นก็เริ่มคิดว่า ชายแดนของต้าเหิงจะเป็นอย่างไรกันนะ

ความคิดนี้โบยบินสู่ท้องฟ้า ล่องลอยไปตามสายลมสู่ชายแดนตอนเหนือ

 

ขณะที่ทหารต้าเหิงกำลังทำสะสางสนามรบอยู่นั้น พวกเขาก็นำม้าที่ตายจากการบาดเจ็บกลับมาที่ค่ายเพื่อเพิ่มเนื้อในอาหาร

เพียงแต่น่าเสียดายที่บัดนี้ม้าของชาวชี่ตันหิวโซจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เนื้อที่เหลือเหล่านั้นก็ไม่เพียงพอให้ทหารนับหมื่นได้กิน นับประสาอะไรกับชาวบ้านผู้ประสบภัย

เนื้อส่วนสุดท้ายถูกทำเป็นน้ำแกงม้า น้อยคนนักที่จะได้กินเนื้อ ทำได้เพียงดื่มน้ำแกงเพื่อบรรเทาความหิวเท่านั้น

การเดินทัพและการต่อสู้เป็นงานหนัก การบรรเทาทุกข์เป็นเรื่องเร่งด่วน เมื่อนำเนื้อสัตว์มาน้อยก็กินหมดอย่างรวดเร็ว สิ่งที่สามารถปันส่วนให้กับเหล่าทหารได้ก็มีเพียงม้าและแกะที่แย่งมาได้จากชนเผ่าเร่ร่อนกับม้าที่บาดเจ็บในสนามรบเท่านั้น ดังนั้นหลังจากชนะการต่อสู้เล็กๆ กับรื่อเหลียนน่าได้แล้ว เซวียหย่วนกับแม่ทัพเซวียก็ได้นำทหารม้าสองหมื่นนายล้อมเผ่าของรื่อเหลียนน่าไว้อย่างสมบูรณ์

ราชโองการของฮ่องเต้ก็คือโจมตีให้เผ่าเร่ร่อนที่รุกรานชายแดนบ่อยครั้งเหล่านั้นหวาดกลัว เจรจาต่อรองระหว่างที่พวกเขาเตรียมการสานสัมพันธ์ภายในเพื่อแสวงหาการพัฒนาที่มั่นคง ทำให้เส้นค้าขายหลักบนทุ่งหญ้าของชนเผ่าเร่ร่อนแปดเปื้อนและสร้างเส้นทางการค้าที่มีความมั่นคง

หากไม่สำเร็จก็ต้องสู้ หากสำเร็จก็เปลี่ยนวิธีการต่อสู้

ชนเผ่าเร่ร่อนทั้งหมดมีสองถึงสามแสนคน ผู้ที่ประสบภัยจากตั๊กแตนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น หากต้องการจะนำทหารม้าต้าเหิงไปสู้รบตบมือกับทหารม้าโหดเหี้ยมเหล่านี้ก็จะแพ้ยับเยินถึงเจ็ดส่วน

ทำอย่างไรได้ แหล่งม้าของต้าเหิงมีน้อย ทหารม้าน้อย หากจะฝึกฝนทหารม้าก็ต้องใช้เวลา กู้หยวนไป๋เพิ่งจะมีส่วนร่วมในกองทัพได้ไม่นาน อย่าว่าแต่การฝึกทหารม้าจำนวนมากเลย ลำพังม้าก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น

จุดประสงค์ในครั้งนี้คือทำให้พวกเขาหวาดกลัวด้วยการใช้ตั๊กแตนและกำลังของทหารม้า จากนั้นก็ทำให้เกิดข้อพิพาทภายในที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ

แม่ทัพเซวียจดจำพระราชดำรัสของฮ่องเต้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ นำทหารม้าสองหมื่นนายปราบปรามรื่อเหลียนน่าจนไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ โดยอาศัยเงื่อนไขด้านดินฟ้าอากาศและภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ทหารของต้าเหิงฉวยโอกาสขโมยวัว แกะ และม้าจากเผ่าของรื่อเหลียนน่าทั้งหมด จับกุมกองกำลังศัตรูแปดพันคน รื่อเหลียนน่าพาคนที่เหลือหนีตายไปทางเหนืออย่างสิ้นท่า

ม้าที่ขโมยมาถูกเลี้ยงอย่างดี ครั้นม้าเหล่านี้ได้กินธัญพืชและหญ้าที่สดใหม่ก็เลิกดิ้นรน ฝังหัวของพวกมันอยู่ในหญ้าพร้อมกับเคี้ยวคำโตๆ

วัวและแกะที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ อีกส่วนหนึ่งถูกฆ่าเพื่อเชือดเนื้อมากิน!

“วัวและแกะส่วนที่เหลือสามารถนำมาเชือดกินได้เมื่อฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาถึง” แม่ทัพเซวียหารือกับแม่ทัพทุกคน “รื่อเหลียนน่าหนีไปทางเหนือแล้ว น่าจะลี้ภัยไปยังเผ่าของซีวั่นตัน ซีวั่นตันโอหังทั้งยังระวังตัว เผ่าของเขาเองได้รับผลกระทบจากตั๊กแตนเช่นกันและคงยอมรับคนจากเผ่ารื่อเหลียนน่า ทว่าฤดูหนาวนี้เขาจะไม่ต่อสู้กับพวกเราเพื่อรื่อเหลียนน่าอีกแล้ว”

“พวกเขายังเอาตัวไม่รอด” เซวียหย่วนเอ่ย “ฤดูหนาวปีนี้ ไม่ว่าพวกเขาหรือพวกเรา อย่างแรกที่ต้องทำคือรักษาชีวิต”

ชาวชี่ตันที่ถูกจับเป็นเชลยถูกใช้เป็นทาสในการสร้างบ้านเรือนเพิ่มเติมให้ผู้ประสบภัย

ฤดูหนาวครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ผู้ประสบภัยขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม การมีที่นอนและผ้าห่มอุ่นๆ นับเป็นเรื่องดี หลายวันมานี้มีผู้ประสบภัยจำนวนหนึ่งจับไข้เพราะลมหนาวแล้ว โชคยังดีที่มีทั้งยาและหมอจึงสามารถรักษาได้ทันเวลา

ตั๊กแตนเข้าสู่ระยะตัวอ่อนแล้ว หากไม่สามารถกำจัดตัวอ่อนได้ในช่วงนี้ เมื่อตั๊กแตนเข้าสู่ระยะวางไข่ในวัยเจริญพันธุ์ พวกมันก็จะกำจัดวัชพืช วางไข่ และขุดร่องเพื่อฝังตัวอ่อน

ผู้คนภายในกระโจมเงียบงันครู่ใหญ่ ความกังวลภายในใจหนักอึ้ง ในขณะนี้เองก็มีเสียงเป็ดดังขึ้นด้านนอก ผู้คนภายในกระโจมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงนึกว่าตัวเองหูฝาดไปเท่านั้น

ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเสียงเป็ดร้องก็ดังขึ้นอย่างอึกทึก ดังเสียจนปวดหู เซวียหย่วนเหลือบตาขึ้นกะทันหัน หลังจากสบตากับแม่ทัพเซวียแล้วก็หมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ ออกไปข้างนอก

ม่านกระโจมถูกเลิกขึ้น เสียงร้องของเป็ดยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนเดินไปตามเสียงนั้น ทันทีที่เดินออกไปก็เห็นเป็ดดำเป็นแพหลายหมื่นตัว

เป็ดเหล่านี้ร้อง ‘ก้าบๆ’ ไม่หยุดพร้อมกับจิกกินตั๊กแตนข้างทางอย่างคล่องแคล่ว อย่างไรก็ตามเพราะพวกมันอ้วนเกินไป การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงดูค่อนข้างงุ่มง่าม

เป็ดอ้วนๆ แตกต่างจากวัวและแกะทางชายแดนที่ผอมโซจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างสิ้นเชิง

ผู้คนจำนวนมากกลืนน้ำลาย แม้แต่เซวียหย่วนก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ จากแม่ทัพสองสามคนที่อยู่ข้างกายเขาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน เป็ดเหล่านี้เรียงแถวซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่ละตัวมีขนาดประมาณน่องของคนและวิ่งมาทางนี้ราวกับระลอกคลื่น ผู้คุ้มกันกองทัพเป็ดหนึ่งแสนตัวนี้ตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพเซวียอยู่ที่ใดขอรับ”

แม่ทัพหยางฮุ่ยที่อยู่ข้างกายเซวียหย่วนกระแอมกระไอด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แม่ทัพเซวียอยู่นี่!”

ทหารและผู้ประสบภัยที่ขวางอยู่ข้างหน้ารีบหลีกทางให้ หนังตาของเซวียหย่วนกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางสายตาคาดหวังล้ำลึกจากทุกคน

ผู้มาเยือนเห็นเขาแล้วก็ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงสูง “ท่านแม่ทัพเซวีย หลังจากข้าน้อยได้รับคำสั่งแล้วก็มาส่งเป็ดหนึ่งแสนตัวทันที! ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อจึงสูญเสียเป็ดไปมากกว่าสองร้อยตัว เหลือเป็ดเพียงเก้าหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยกว่าตัวเท่านั้น ท่านแม่ทัพเซวียโปรดตรวจสอบด้วย!”

ฝูงชนที่อยู่เบื้องหลังฮือฮา

เป็ดหนึ่งแสนตัว! มะมีเป็ดหนึ่งแสนตัวจริงๆ!

เซวียหย่วนก็ตกตะลึงกับจำนวนนี้เช่นกัน เขาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ถามเข้าประเด็นว่า “เป็ดเหล่านี้กินตั๊กแตนมาตลอดทางเลยหรือ”

ผู้มาเยือนยิ้มสดใสกว่าเดิม “ใช่ขอรับ ตั๊กแตนข้างนอกถูกกินจนเกือบหมดแล้ว เป็ดแต่ละตัวก็ต่างกินจนพุงพลุ้ย หลังจากตั๊กแตนสองสามตัวสุดท้ายถูกกินหมด เป็ดเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารบนโต๊ะของทหารทุกท่าน เพียงแต่หวังว่าพวกท่านจะไม่รังเกียจที่พวกมันกินตั๊กแตนเป็นพอ”

อาหารบนโต๊ะ

เซวียหย่วนเหลือบมองเป็ดเหล่านั้น ดวงตาฉายประกายสีเขียว เป็ดเหล่านี้มีขนมันวาว ดวงตาสุกใส ตั๊กแตนนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกมัน อย่างไรก็ดี เนื้อของเป็ดเหล่านี้คงเคี้ยวหนึบหนับยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากการเดินทางไกล เป็นอาหารอันโอชะซึ่งหาได้ยากและเอร็ดอร่อยยิ่งสำหรับทหารอีกด้วย

ลูกกระเดือกของเซวียหย่วนกลิ้งไหวเล็กน้อย ผู้คนที่ได้ยินประโยคนี้ก็จับจ้องเป็ดด้วยความกระตือรือร้นเช่นกัน ไม่อาจละสายตาได้เลย

เสียงของเป็ดเกือบหนึ่งแสนตัวฟังดูไพเราะในบัดดล คนที่นำเป็ดมาส่งที่ชายแดนก็มีหลายพันคน เมื่อคนที่เป็นผู้นำได้เห็นการแสดงออกของเซวียหย่วนแล้วก็เอ่ยอย่างซื่อสัตย์และจริงใจ “หากท่านแม่ทัพต้องการจะลิ้มรส วันนี้จะเชือดเลยก็ได้นะขอรับ”

“ไม่รีบ” เซวียหย่วนเอ่ยอย่างเกรงใจ จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “ให้เวลาพวกมันสักสองสามวันเพื่อกินตั๊กแตนที่ชายแดนให้หมดก่อน”

เป็ดเหล่านี้มาถึงได้ทันเวลาเหลือเกิน มันช่วยพวกเขาออมแรงจากการจับตั๊กแตนเพื่อเอาไข่ออกด้วยมือเปล่าอย่างสมบูรณ์ มุมปากของเซวียหย่วนยกขึ้นอย่างลับๆ มีความสุขมากถึงมากที่สุด

กู้หยวนไป๋ส่งเป็ดมายังชายแดนมากมายเพียงนี้ เพราะว่าคิดถึงข้าสินะ เช่นนั้นจึงต้องการช่วยร่นเวลาและให้ข้ากลับนครหลวงเร็วขึ้นเช่นนั้นหรือ

จู่ๆ แม่ทัพเซวียผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรก็หัวเราะเสียงอู้อี้สองครั้ง

เมื่อครู่เขายังคิดว่าจะจัดการกับตั๊กแตนวางไข่อย่างไรดี ผลปรากฏว่าเป็ดหนึ่งแสนตัวที่ส่งมาจากเบื้องหลังได้จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว

ความบังเอิญที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเช่นนี้ ทำให้เซวียหย่วนรู้สึกว่าเขากับฮ่องเต้มีความรู้สึกที่สื่อถึงกันได้

เซวียหย่วนเป็นเหมือนตอนที่ถูกนักพรตหลอกขายยันต์ให้ ในสมองพลันเริ่มคิดอย่างงมงายว่าบางทีจิตอาจจะสื่อถึงกันก็เป็นได้

ฮ่องเต้จะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดในวันปกติหรือไม่

หากเขารับรู้ได้ เช่นนั้นพวกเขาสองคนก็ร่วมรักกัน พัวพันด้วยความรักใคร่และหล่อรวมเป็นหนึ่งเดียวเนิ่นนานนับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่ใช่หรือ

 

เซวียหย่วนยังคงรักษาอารมณ์เบิกบานอยู่ตลอดเวลา

สถานการณ์ภัยพิบัติจากตั๊กแตนเริ่มคงตัว ภายนอกก็ไร้ซึ่งศัตรูที่คอยจับตามอง ในเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบที่ยากจะพบพาน เมื่อมีเวลาว่างเซวียจิ่วเหยาก็จะนึกถึงกู้หยวนไป๋ ทันทีที่คิดถึงบุคคลนี้ก็เหมือนกับดื่มสุราไปแปดจอก ความคิดล่องลอย ร้อนรุ่มจนนอนไม่หลับทุกค่ำคืน ตอนเช้าก็ยังมีหอกยาวปืนใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า

เซวียหย่วนซักกางเกงมาครึ่งเดือนแล้ว มีกางเกงปลิวตามลมหน้ากระโจมทุกวัน ทันทีที่แม่ทัพกับทหารเดินผ่านเห็นเข้าก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เริ่มแรกพวกเขาต่างเอ่ยเย้าไม่หยุด ต่อมากลับกลายเป็นการพลิกลิ้นชื่นชม

แม่ทัพหยางฮุ่ยที่สนิทสนมกับเซวียหย่วนตั้งใจวิ่งเข้ามาเตือนสติด้วยความหวังดี “เซวียหย่วน เจ้าอย่าคิดว่าร่างกายยังหนุ่มยังแน่นแล้วทำตามอำเภอใจเช่นนี้ เจ้าซักกางเกงมาครึ่งเดือนแล้วสินะ ธาตุไฟพลุ่งพล่านเพียงนี้เชียว!”

เซวียหย่วนนอนรับแสงแดดอย่างเกียจคร้าน ได้ยินดังนี้ก็อ้าปากเอ่ยว่า “อย่าบังแดดข้า”

แม่ทัพหยางฮุ่ยย้ายเก้าอี้มานั่งข้างๆ มองดูเชลยชี่ตันที่ตัดฟืนอยู่ไม่ไกล เอ่ยวาจาจริงใจและสัตย์ซื่อว่า “ข้าเคยอยู่ที่นี่มาก่อน รู้ว่าในกองทัพที่เดินทัพและต่อสู้ล้วนมีแต่บุรุษ แม้เห็นแม่หมูตัวเดียว การอดกลั้นก็เป็นสิ่งที่ควร แต่ว่าเจ้าก็ทำเกินไปหน่อย ไหนว่ามาซิ เจ้ามีคนที่ชอบในใจแล้วใช่หรือไม่”

หลายวันมานี้เซวียหย่วนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตใจสื่อถึงกัน’ ทว่าทันทีที่เขาคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง หากขณะที่เขาคิดถึงกู้หยวนไป๋แล้วกู้หยวนไป๋ก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เล่า ครั้นคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ เซวียหย่วนก็รู้สึกห้ามใจไม่ไหวเล็กน้อย

เขาฝันเปียกติดต่อกันหลายวันแล้ว ฮ่องเต้น้อยจะเห็นว่าเขาฝันเปียกหรือไม่ จากนั้นจะหน้าแดงและหัวใจเต้นรัว แล้วใบหน้าแสนเย็นชานั้นจะละอายบ้างหรือไม่

ละอายหรือ กู้หยวนไป๋คงจะไม่ละอายหรอก ท่าทางที่เขายกขาขึ้นเหยียบน้องชายของเซวียหย่วน หางตาที่ยกขึ้นและริมฝีปากโหดเหี้ยมที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เพียงแค่คิด เซวียหย่วนก็แข็งขึงแล้ว

“มี” น้ำเสียงเซวียหย่วนเกียจคร้าน

ดวงตาของแม่ทัพหยางฮุ่ยเป็นประกาย อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง “คนผู้นั้นเป็นใครถึงสามารถทำให้คนเยี่ยงเซวียจิ่วเหยาลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำและไม่รู้อะไรเลยได้เพียงนี้ ท่านแม่ทัพเซวียรู้หรือไม่ ฮูหยินเซวียรู้หรือไม่”

“อะไรที่เรียกว่าข้าลุ่มหลงหัวปักหัวปำ” เซวียหย่วนยกเท้าขึ้นเตะเก้าอี้ที่อยู่ข้างเท้าอย่างไม่ยอมรับ “จุดใดที่เจ้าดูออกว่าข้าลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำ”

ผู้ที่แอบรักคนอื่นมักจะมีอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้เสมอหรือไม่ แม่ทัพหยางฮุ่ยสงสัย “การที่เจ้าต้องลุกขึ้นมาซักกางเกงทุกเช้า ยังไม่เรียกว่าลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำอีกหรือ”

“คนหนุ่มมีกำลัง ธาตุไฟรุนแรง” สีหน้าของเซวียหย่วนนิ่งเฉย “ช่วงนี้กลางคืนอากาศก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย”

บัดนี้เข้าเดือนสิบเอ็ดและลมหนาวของชายแดนตอนเหนือก็พัดเข้ามาแล้ว คนอื่นหนาวเหน็บจนตัวสั่น ทว่าเขากลับบอกว่าร้อน

น่าเสียดายที่แม่ทัพหยางฮุ่ยพลิกลิ้นไม่เก่ง ทั้งที่รู้ว่าเขากำลังพูดจาเหลวไหลแต่กลับไม่รู้ว่าควรเปิดโปงอีกฝ่ายอย่างไร ขณะที่กำลังร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะอยู่นั้น ก็มีทหารน้อยวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ราชสำนักให้คนส่งของมาอีกแล้วขอรับ!”

แม่ทัพหยางฮุ่ยตกตะลึง มีลมสายหนึ่งวูบผ่าน เซวียหย่วนก้าวเท้าฉับๆ ผ่านหน้าเขาไปแล้ว

 

ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือราษฎรผู้ประสบภัยก็ต่างรับรู้ถึงความรักความห่วงใยที่ราชสำนักมีต่อพวกเขา

หลังจากได้รับเสบียงอาหารกองเท่าภูเขาแล้วก็ได้รับเป็ดอีกจำนวนหนึ่งแสนตัว เป็ดนั้นโอชะเป็นอย่างยิ่งและทำให้ผู้ประสบภัยพลอยได้กินเนื้อเช่นกัน ทันทีที่กัดลงไปก็รู้สึกว่าเนื้อเป็ดแน่นจนมันเยิ้ม เอร็ดอร่อยจนทำให้แทบจะสามารถกลืนกินลิ้นลงไปได้ด้วยซ้ำ

เนื้อเป็ดที่เอร็ดอร่อยเช่นนี้ยังหากินได้ยากก่อนการระบาดของตั๊กแตนด้วยซ้ำ ทันทีที่เนื้อเป็ดเข้าปาก ความอร่อยและเนื้อที่เคี้ยวหนุบหนับนั้น ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าความยากลำบากในหลายวันนี้ถูกขับไล่ออกไปจนหมดสิ้น

แม่ทัพอาวุโสเซวียก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ว่าอย่างไรเป็ดเกือบหนึ่งแสนตัวก็สามารถทำให้ทุกคนได้กินอย่างทั่วถึง เมื่อเนื้อเป็ดถูกนำขึ้นโต๊ะ อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย แม่ทัพแต่ละคนก็ต่างเป็นเหมือนกับพายุหมุน ใช้ตะเกียบจัดการเนื้อบนจาน จานแล้วจานเล่าภายในพริบตาราวกับกำลังออกรบ

ในช่วงสองสามวันนี้ ชายแดนต่างรื่นเริงและมีความสุขอย่างมาก ขนเป็ดก็มีประโยชน์มากเช่นกัน พวกมันถูกถอนมาทำเสื้อผ้าและเครื่องนอนสำหรับฤดูหนาว แม้ว่าวันเวลาต่อจากนี้จะลำบากเพียงใด ในใจของราษฎรก็ต่างคิดว่าจะเทียบเท่าอาหารที่ราชสำนักมอบให้กับเนื้อที่พวกเขากินเข้าไปเหล่านั้นได้อย่างไร

พวกเขาพร้อมเผชิญกับฤดูหนาวอันหนาวเหน็บและพร้อมต่อสู้อย่างหนักภายใต้สภาวะที่เลวร้ายที่สุด แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่ราชสำนักมอบให้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้

ความกังวลของพวกเขาก็คือความกังวลของราชสำนัก และราชสำนักก็ได้แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว

เกวียนบรรทุกของยาวเฟื้อยเรียงรายอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า เหล่าทหารรายล้อมสองข้างทาง อยากรู้อยากเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ในเกวียน

“เป็นธัญพืชกับเนื้อหรือ”

“พวกเรามีธัญพืชมากพอแล้ว ทั้งยังมีเป็ด วัว และแกะจากชนเผ่าเร่ร่อนอีก” คนอื่นแย้ง

ยังคงมีคนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “เหตุใดราชสำนักถึงได้ส่งข้าวของให้พวกเราตลอดเวลาเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า นี่คงไม่ได้เจียดมาจากการกินน้อยใช้น้อยของราชสำนักกระมัง”

เสียงซุบซิบดังมาจากด้านหลังไม่หยุดหย่อน เสียงสนทนาเซ็งแซ่ขึ้นเรื่อยๆ บัดนี้แม่ทัพเซวียที่อยู่เบื้องหน้าเดินออกมารับหน้าพร้อมแม่ทัพคนอื่นๆ แล้ว ทั้งยังมีความสงสัยเขียนอยู่เต็มใบหน้า อยากรู้ว่ามันคือสิ่งใด

เจ้าหน้าที่ผู้คุ้มกันขบวนทหารมีความสัมพันธ์อันดีกับแม่ทัพอาวุโสเซวีย เขาลูบเคราอย่างมีความหมายและยิ้มเอ่ยว่า “หากท่านแม่ทัพเดาไม่ออก เช่นนั้นก็ให้คนขนของเหล่านี้ลงไปสำรวจให้เต็มตาดีหรือไม่”

แม้แม่ทัพอาวุโสเซวียไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่าจะต้องเป็นของดีที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างแน่นอน ริมฝีปากของแม่ทัพอาวุโสขยับขึ้นลงสองสามครั้ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างรู้สึกผิดและตื้นตัน “กระหม่อมละอายใจนักที่ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลเพียงนี้”

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา สีหน้าของแม่ทัพทุกคนก็ดูละอายเล็กน้อย

พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้ โดยการใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมากในการขนส่งสิ่งของมายังชายแดนครั้งแล้วครั้งเล่า

เดิมทีคิดว่าเสบียงจำนวนมหาศาลที่เซวียหย่วนนำมาก็คือขีดจำกัดที่ราชสำนักสามารถจัดหาให้ได้แล้ว ทว่าในเวลานี้พวกเขาเพิ่งจะรับรู้ว่าความรักและความไว้วางใจที่ราชสำนักมีต่อพวกเขามันมากกว่านั้นมาก

แล้วจะไม่ให้รู้สึกละอายได้อย่างไร จะไม่ให้ตื้นตันได้อย่างไร

เจ้าหน้าที่ปลอบโยนพวกเขาว่า “เหตุใดแม่ทัพทุกท่านต้องละอายใจด้วยเล่า พวกท่านปกป้องชายแดนต้าเหิงของพวกเราให้สงบสุข ยอมสละชีวิตเพื่อราษฎรต้าเหิง การที่ต้าเหิงมีเจริญรุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ล้วนต้องพึ่งพาท่านแม่ทัพทุกท่าน”

พูดไปเขาก็พลางคำนับต่ำ “ควรจะเป็นพวกข้าที่ละอายใจมากกว่า”

เมื่อเซวียหย่วนมาถึงก็เห็นพวกเขากำลังกล่าววาจาเกรงใจต่อกันเช่นนี้อยู่ เขาฟังอยู่ไม่กี่ประโยคก็หมดความอดทน ให้ทหารเข้าไปขนของลงจากเกวียนทันทีเพื่อดูว่าฮ่องเต้ส่งอะไรมากันแน่

เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ ผู้ที่กล่าววาจาเกรงใจสองสามประโยคก็หยุดพูดและมองเข้าไปภายในเกวียนพร้อมกันอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปไม่นาน สิ่งที่อยู่ข้างในก็ปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าใครในฝูงชนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างกะทันหัน “นั่นคือเสื้อกันหนาวจริงๆ หรือ!”

ทันใดนั้นเหล่าทหารก็ฮือฮากันยกใหญ่ แย่งกันโผล่ศีรษะออกไปดูด้วยกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง “อะไรนะ เสื้อกันหนาว?”

“ราชสำนักส่งเสื้อกันหนาวให้พวกเราหรือ”

ท่ามกลางกลุ่มคนแม่ทัพอาวุโสเซวียได้เลือกทหารออกมาห้านายสั่งให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้พวกเขาเปลี่ยนเสื้อกันหนาวทันที เมื่อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ถูกสวมใส่บนตัว ความอบอุ่นและความรู้สึกอ่อนนุ่มก็เข้าถาโถม เหล่าทหารฝังหน้าลงกับเสื้อกันหนาว ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าทั้งตัวร้อนจนเหงื่อซึม

แม่ทัพอาวุโสเห็นท่าทางของพวกเขาเช่นนี้ก็ประหลาดใจ “เสื้อกันหนาวเห็นผลเร็วทันตาเพียงนี้เชียวหรือ”

ทหารห้านายแย่งกันพูด “ท่านแม่ทัพ เสื้อกันหนาวนี้อบอุ่นเป็นพิเศษ ทั้งยังเบามากด้วย พวกเราเหงื่อออกทั้งตัวแล้ว”

แม่ทัพเซวียเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หยิบเสื้อกันหนาวตัวหนึ่งมาสวมใส่ด้วยตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่งความตกตะลึงก็วูบผ่านใบหน้าของเขา จากนั้นก็กลายเป็นความยินดี

แม่ทัพที่เหลือข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่จึงลองสวมเช่นกัน กล่าวด้วยความประหลาดใจเหลือล้น “เหตุใดเสื้อกันหนาวนี้ถึงได้เบานัก!”

เจ้าหน้าที่อมยิ้มไม่พูดจา รอจนพวกเขาถามแล้วจึงอธิบายเหตุผลอย่างละเอียด

หลังจากบรรดาแม่ทัพทราบเหตุผลแล้วก็อดที่จะส่งเสียงประหลาดใจมิได้ รีบวิ่งเข้าไปเตรียมแจกจ่ายเสื้อบุนวมทันที

เพราะเจ้าหน้าที่กับแม่ทัพอาวุโสเซวียไม่ได้เจอกันนาน ทั้งสองคนจึงรั้งท้ายและพูดคุยกันช้าๆ แม่ทัพเซวียได้สั่งให้คนเตรียมอาหารและสุราแล้ว พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปในกระโจมทหาร เซวียหย่วนต้องการฉวยโอกาสนี้ถามข่าวคราวในนครหลวงจึงตามเข้าไปด้วย

หลังจากนั่งลงและสุราพร่องไปครึ่งหนึ่งแล้ว จู่ๆ เจ้าหน้าที่ที่มาจากนครหลวงก็หัวเราะ ก้มหน้าแล้วเอ่ยอย่างลึกลับ “แม่ทัพเซวีย ท่านห่างจากนครหลวงมานานจึงไม่รู้ว่าต่อจากนี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ในนครหลวงแล้ว”

แม่ทัพอาวุโสเซวียถาม “อ๋อ เรื่องใดหรือ”

เซวียหย่วนกำลังคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งขึ้นมาพอดี

เจ้าหน้าที่ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทพบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง บัดนี้ได้เตรียมรับหญิงสาวผู้นี้เข้าวังเป็นสนมแล้ว”

มือของเซวียหย่วนหยุดชะงัก

เป็นไปไม่ได้

เซวียหย่วนเย้ยหยันอย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เขาไม่เชื่อ ทั้งยังรู้สึกขบขันในใจ เขาต้องการที่จะกินต่ออย่างใจเย็นทว่ากลับไม่สามารถขยับมือได้เลย

แม่ทัพอาวุโสเซวียที่อยู่ข้างๆ ปรบมือร้องว่า “เยี่ยม” พลางหัวเราะเสียงดัง ซักถามรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพูดดูเหมือนเป็นความจริง เขาจะกล้าสร้างข่าวลวงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้หรือ

เช่นนั้นหากมันไม่ใช่ข่าวลวงเล่า

เนื้อเป็ดยังมีน้ำสีน้ำผึ้งเกาะอยู่ ทว่าน้ำนี้ร่วงลงจากเนื้ออย่างรวดเร็วเพราะมือของคนที่คีบตะเกียบกำลังสั่นเทา

เซวียหย่วนโยนตะเกียบทิ้ง ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากกระโจม

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยทรายสีเหลือง ลมหนาวหอบเม็ดทรายพัดปะทะใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นไอเย็นก็แพร่กระจายจากปอดไปยังแขนขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับเข้าไปในกระโจม เอ่ยถาม “ฝ่าบาทจะรับสนมหรือ”

น้ำเสียงสากแห้ง

เจ้าหน้าที่นครหลวงเอ่ย “…อันที่จริง ฝ่าบาท…รับสนมเข้าวัง…ฉินเส้อสอดประสาน”

เซวียหย่วนคล้ายกำลังรับฟังอย่างตั้งใจ ทว่าคำพูดที่ลอยเข้าหูกลับขาดๆ หายๆ ประเดี๋ยวใกล้ประเดี๋ยวไกล

ผ่านไปเนิ่นนาน หลังจากไม่มีใครในกระโจมพูดอะไร เมื่อเสียงที่แม่ทัพเซวียเรียกเซวียหย่วนแปรเปลี่ยนจากโมโหเป็นกังวล เซวียหย่วนจึงออกจากภวังค์แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”

บทที่ 92

 

เซวียหย่วนยืนอยู่บนกำแพงเมืองหนึ่งวันเต็ม ลมหนาวหวีดหวิว เขารู้ซึ้งถึงความเหน็บหนาวแล้ว

เมื่อดวงจันทร์ลอยสูงอยู่บนฟ้า เขาก็ไปหาแม่ทัพเซวีย นัยน์ตาแดงก่ำอยู่ใต้แสงเทียน

แม่ทัพเซวียขมวดคิ้วถามเขา “นี่เจ้าเป็นอะไรกันแน่”

“ชายแดนเหนือสงบแล้ว” เซวียหย่วนไม่ได้ตอบคำ เขาเลิกประตูกระโจมขึ้น สูดอากาศเย็นจากภายนอก ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความขมขื่น “ท่านแม่ทัพเซวีย คนของซีวั่นตันก็ต้องผ่านฤดูหนาวไปก่อนจึงจะสามารถต่อสู้ได้ เขากับรื่อเหลียนน่ายังเอาตัวไม่รอด อย่างน้อยที่สุดชายแดนตอนเหนือก็น่าจะสงบสุขได้หนึ่งเดือนกระมัง”

แม่ทัพเซวียหนาวจนเคราสั่น “รีบลดประตูกระโจมลงเสีย เจ้าถามเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใดกัน จริงอยู่ที่ชายแดนมีช่วงเวลาหนึ่งเดือนแห่งความสงบสุข ทว่าฝ่ายศัตรูและพวกเราต่างต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดศึกครั้งหน้า”

เซวียหย่วนแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์บนท้องฟ้าตามเดิม จากนั้นก็มองแม่ทัพเซวีย สีหน้าของเขาปนเปกับความมืดมิดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย ให้เวลาข้าหนึ่งเดือน…ข้ามีบางอย่างต้องจัดการ”

 

หลังจากกู้หยวนไป๋จัดการเรื่องขุนนางกองพระคลังและเปลี่ยนราคาไข่ไก่ทองคำจากหนึ่งร้อยยี่สิบเหวินกลับไปเป็นสิบสองเหวินต่อหนึ่งจินตามเดิมแล้ว เขาก็หวนนึกถึงอดีตขุนนางกองพระคลังผู้ซื่อสัตย์ที่ใช้งานง่ายอีกครั้ง ทั้งยังส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้อดีตขุนนางกองพระคลังผู้จงรักภักดีคนนั้นอีกด้วย

เมื่อขุนนางผู้นั้นได้รับจดหมายจากฮ่องเต้ก็ปลื้มปริ่มที่ได้รับความโปรดปราน จากนั้นก็ตอบจดหมายของฮ่องเต้โดยแสดงความจงรักภักดีในจดหมาย นอกจากนี้ยังบอกเป็นนัยว่าไม่อาจตอบแทนความไว้วางใจของฮ่องเต้ได้และเพียงต้องการทำให้ดีที่สุดต่อไปเพื่อพระองค์

กู้หยวนไป๋อารมณ์ดีมาก พูดเพื่อเอาใจเขาว่าตราบใดที่เขากลับมาพร้อมกับความจงรักภักดี เช่นนั้นขุนนางกองพระคลังคนก่อนก็จะสามารถเข้ารับตำแหน่งได้อีกครั้ง

ส่วนขุนนางกองพระคลังคนปัจจุบัน เขาจะส่งให้ไปทำงานนอกเวลากับคนที่เขาไว้ใจ

หลายวันมานี้ ใช่ว่าราชสำนักจะไม่มีสิ่งดีๆ เข้ามาเลย วันก่อนก็มีเรื่องดีเกิดขึ้นซึ่งก็คือจิงหูหนานค้นพบเหมืองเหล็กอีกแห่งแล้ว

จิงหูหนานเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติอย่างแท้จริง หลังจากกู้หยวนไป๋ได้เหมืองทองมาจากมือของเฉินจินอิ๋นแล้วก็ล้อมเหมืองทองเพื่อขุดทอง ผลปรากฏว่ายังขุดทองไม่ทันไรก็เกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง

ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้กู้หยวนไป๋ก็นึกขำ เขายิ้มๆ ในขณะที่อ่านฎีกา หลังจากจัดการราชกิจเสร็จแล้วก็หมดไปอีกหนึ่งวัน หนึ่งวันนั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาลุกขึ้นและเดินออกไปดูข้างนอกตำหนัก ในเวลานี้เพิ่งจะพ้นยามเซินทว่าท้องฟ้ากลับมืดมิดเหมือนยามราตรี

เถียนฝูเซิงก้าวไปเบื้องหน้า “ฝ่าบาท เหอชินอ๋องให้คนส่งสารมาทูลเชิญฝ่าบาทไปแช่น้ำร้อนด้วยกันที่จวนนอกนครหลวง พรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อน ฝ่าบาทต้องการจะเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เอ่ยถาม “เป็นจวนของหลูเฟิงที่เจิ้นตกรางวัลให้เขาหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” เถียนฝูเซิงแอบรู้สึกเสียดาย “ฝ่าบาทควรเก็บจวนแห่งนั้นไว้เองนะพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ หมุนๆ แหวนหยกในมือ เอ่ยด้วยเสียงล้ำลึกว่า “ตอนที่เจิ้นสูญเสียอำนาจก็ได้ยินข้อดีของจวนแห่งนั้นเช่นกัน ในเมื่อเหอชินอ๋องเชื้อเชิญ เช่นนั้นก็ไปสักรอบเถิด”

เถียนฝูเซิงรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”

 

วันต่อมา รถม้าของนครหลวงก็มุ่งหน้าสู่ชานเมือง

กู้หยวนไป๋นั่งถือตำราอยู่ในรถม้า ทว่ากลับไม่มีสมาธิเล็กน้อย เขามองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนผ่านไป โดยอีกมือถือเตาอุ่นมือไว้อย่างเงียบๆ

รถม้าของฮ่องเต้ถูกแบ่งออกเป็นห้องภายนอกและภายใน ห้องภายนอกข้ารับใช้กำลังต้มชา ห้องภายในฉู่เว่ยกำลังถือตำราอ่าน ในขณะที่ฉางอวี้เหยียนผู้มีบุคลิกสง่างามกำลังนั่งตัวตรงและอ่านตำราให้ฮ่องเต้ฟัง

บัณฑิตสำนักฮั่นหลินคอยปรนนิบัติ บรรดาวิญญูชนอยู่ด้วยกันก็หมดจดงดงามราวกับอากาศต้นฤดูหนาว

ข่งอี้หลินมีรูปร่างสูงใหญ่ ไม่สามารถนั่งในรถม้านี้ได้ เขากับบรรดาคนที่เหลือนั่งอยู่ในรถม้าด้านหลังแทน และเนื่องจากเขาได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปข้างนอก จึงกลับมายังสำนักฮั่นหลินและขอติดตามฮ่องเต้พร้อมกับสหายร่วมงาน เพื่อที่จะสามารถคลายความเบื่อหน่ายให้กับฮ่องเต้ระหว่างทางไปยังจวนน้ำพุร้อนได้

ฉู่เว่ยกำลังอ่านตำราทว่าดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย เหลือบมองฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัวเป็นครั้งคราว และรีบหลุบตาอย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อที่สะดุ้งตกใจ

อย่างไรก็ดี ปากของเขาไม่ตรงกับใจ ห้ามคำว่า ‘คิดถึง’ ไว้ไม่อยู่ ครั้นเขาเหลือบมองอีกครั้งก็ต้องผงะ บนใบหน้าของฮ่องเต้มีน้ำค้างจากลมหนาวที่พัดผ่านนอกหน้าต่าง และบนขนตาสีดำก็มีเกล็ดน้ำค้างแข็งสีขาวเทาเกาะอยู่

“ฝ่าบาท” ฉู่เว่ยรีบพูดขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้ฮ่องเต้ “ข้างนอกมีลมหนาว อย่างไรเสียก็ปิดหน้าต่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ จะได้ไม่ประชวร”

กู้หยวนไป๋ออกจากภวังค์ มองดูผ้าเช็ดหน้าของเขาด้วยความสงสัย “ใบหน้าของเจิ้นเปื้อนฝุ่นหรือ”

“เป็นน้ำค้างแข็งพ่ะย่ะค่ะ” ฉางอวี้เหยียนหยุดอ่านตำรา เอ่ยแทรกว่า “ฝ่าบาทไม่รู้สึกเย็นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ยิ้มเอ่ย “เกรงว่าเป็นเพราะเจิ้นเย็นว่าน้ำค้างแข็งน่ะสิ จึงไม่รู้สึกถึงความเย็นเหล่านี้แล้ว”

ฉู่เว่ยเห็นว่าฮ่องเต้ยังไม่ยื่นมือออกมารับผ้าเช็ดหน้า ก็ขมวดคิ้วและเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำค้างแข็งบนใบหน้าของฮ่องเต้ด้วยตัวเองแล้ว

กู้หยวนไป๋ที่ถูกปรนนิบัติจนเคยชินหันหน้ามาให้เขาเช็ดใบหน้าด้านข้างรอบหนึ่ง

ข้ารับใช้ที่อยู่ห้องด้านนอกเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท ชาเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉางอวี้เหยียนรับชามา ทันทีที่น้ำถูกรินออกจากกา กลิ่นหอมหนักหน่วงของชาก็ตลบอบอวลทั่วทั้งรถม้า น้ำชามีสีเขียวเข้มและใส กลิ่นหอมผสมผสานกับความสดชื่นของภูเขาหิมะอย่างล้ำลึก ทันทีที่ได้กลิ่นก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

ฉางอวี้เหยียนสูดกลิ่นหอมลึก อุทานด้วยความประหลาดใจ “นี่มันชาอะไรกัน”

“เป็นชาชื่อเอ๋อร์จากเขาหลวง” ข้ารับใช้ที่ต้มชาอยู่ด้านนอกพูดขึ้น “เขาหลวงแห่งนี้เป็นภูเขาหิมะในอี้โจว ต้องมีปริมาณน้ำฝนภายในสิบหกครั้งต่อปีและต้องเป็นวันที่มีแสงแดดมากกว่าสามร้อยหกสิบวัน นี่เป็นที่เดียวในใต้หล้าที่ผลิตชาชื่อเอ๋อร์จากเขาหลวง ในแต่ละปีมีเพียงช่วงจิงเจ๋อ* ถึงฤดูฝน ทั้งยังมีช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่ชาชื่อเอ๋อร์จะมีรสชาติดีที่สุด”

“ปีที่แล้วฝนตกค่อนข้างมาก ฝ่าบาทจึงมิได้เสวยชาชื่อเอ๋อร์แต่เป็นชาซวงจิ่งลวี่ ถ้วยที่ใต้เท้าฉางกำลังดื่มอยู่นี้ก็คือใบชาใหม่ที่เด็ดในต้นฤดูใบไม้ร่วง”

จู่ๆ ฉางอวี้เหยียนก็รู้สึกว่าถ้วยชาในมือหนักพันจิน เขานั่งตัวตรง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้วันนี้กระหม่อมได้ลิ้มรสชาชื่อเอ๋อร์สักครั้ง”

กู้หยวนไป๋ก็เพิ่งจะรู้ว่าชานี้มีความเฉพาะมาก มนุษย์ไม่อาจควบคุมฝนและแดดได้ ดังนั้นมันจึงเป็นของล้ำค่ายิ่งกว่านั้น เขายิ้มๆ “ในเมื่อชอบ เช่นนั้นก็ให้คนห่อใบชาสักสองห่อ มอบให้ฉางชิงและฉู่ชิงได้ไปดื่มเถิด”

ข้ารับใช้ด้านนอกรับคำ กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ พร้อมกับประคองทั้งสองคนที่กล่าวคำขอบคุณให้ลุกขึ้น ยิ้มเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ต่อให้ใบชาดีสักเพียงใดก็ไม่เทียบเท่าหัวใจที่ชิงทั้งสองคนมีต่อเจิ้น ต่อให้มีค่าเพียงใด ในสายตาของเจิ้นการทำให้พวกเจ้าทั้งสองชอบต่างหากที่มีค่าหมื่นตำลึงทอง”

ฮ่องเต้ก็ยังไม่ลืมที่จะชนะใจผู้คนเป็นครั้งคราว

สำหรับกู้หยวนไป๋แล้ว ถ้อยคำอ่อนหวานระหว่างฮ่องเต้และขุนนางเป็นเพียงการพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ข้าพูดเจ้าก็รับฟังเป็นพอ ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว คำพูดที่สวยงามอาจชวนขนลุกได้มากกว่าจดหมายสารภาพรักของคนรุ่นหลังเสียอีก

อย่างไรก็ดี การพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้กลับทำให้ฉู่เว่ยตกใจ มือที่ถูกฮ่องเต้กุมนั้นสั่นเทาและแทบจะเอ่ยปากเพื่อปกป้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ทว่าไม่นานสติสัมปชัญญะกลับดึงเขาไว้ เขาลอบขมวดคิ้ว ไม่ต้องการคิดอะไรให้ล้ำลึก กล่าวพร้อมกันกับฉางอวี้เหยียนว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ”

 

หมาป่าสองตัวติดตามกู้หยวนไป๋ไม่คลาดสายตา ปลอกคอของพวกมันถูกผูกติดอยู่กับรถม้า ต้องวิ่งเพื่อตามให้ทัน

หมาป่าสองตัวนี้ปกป้องผู้เป็นนายอย่างยิ่ง หลังจากวิ่งมาหนึ่งชั่วยามก็ไม่ผ่อนฝีเท้าแม้แต่น้อย ยังดีที่รถม้าแล่นไม่เร็วนัก เหล่าทหารองครักษ์เกรงว่าพวกมันจะหิวและกัดคนระหว่างทาง จึงคอยป้อนชิ้นเนื้อสดใหม่ให้พวกมันอยู่ตลอดเวลา

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาถึงจวนน้ำพุร้อน กู้หยวนไป๋ถูกประคองลงจากรถ

ผู้ที่คลุกคลีใกล้ชิดกับกู้หยวนไป๋รู้จักนิสัยของหมาป่าสองตัวนี้นานแล้ว พวกเขาจะแขวนถุงยาไว้บนร่างกายเป็นครั้งคราว ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้รู้สึกสดชื่นเท่านั้นแต่ยังป้องกันไม่ให้ถูกหมาป่ากัดอีกด้วย อย่างเช่นในตอนนี้หัวหน้าทหารองครักษ์กำลังสัมผัสนิ้วของฮ่องเต้อย่างเปิดเผย เขาไม่เพียงแต่สัมผัสทั้งยังกุมมือด้วยซ้ำ หมาป่าสองตัวก็เพียงมองดูแต่ไม่ได้พุ่งเข้าหา

รถม้าด้านหลังก็หยุดลงเช่นกัน ผู้คนเดินลงมาเป็นแถวยาว เหอชินอ๋องพาคนไปรับเสด็จฮ่องเต้ หลังจากเห็นผู้คนมากมายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาได้เวลาพอดี บัดนี้ในจวนได้เตรียมสุราอาหารไว้พร้อมแล้ว ฝ่าบาททรงพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วค่อยเสด็จแช่น้ำเถิด”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า “ได้”

 

หลังจากกินอาหารก็งีบสักพัก กู้หยวนไป๋ลุกขึ้นจากเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่า ให้คนตระเตรียมของเพื่อที่เขาจะได้ไปแช่น้ำ

อันที่จริงในวังหลวงก็มีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว กู้หยวนไป๋มาที่จวนของเหอชินอ๋องนี้ก็เพื่อแช่น้ำกลางแจ้ง แช่น้ำไปพลางชมทิวทัศน์ไปพลางขณะที่จิบสุรา อ้อ เขาจิบสุราไม่ได้สินะ ทว่าเรื่องดีงามเช่นนี้ มีแต่เฉพาะนอกหลวงวังเท่านั้นที่เขาจะสามารถสนุกไปกับมันได้

ทุกคนรออยู่นอกป่าทึบและตามทางเดิน มีเพียงหมาป่าสองตัวที่พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้วเท่านั้นที่เดินตามหลังกู้หยวนไป๋ หมาป่าสองตัวนี้ดุร้ายกว่าทหารองครักษ์กว่าสิบคนมากนัก คนอื่นไม่กล้าตามเข้าไปทว่าพวกมันกลับไม่สนใจอะไรเลย

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างสบายใจ กู้หยวนไป๋พาหมาป่าสองตัวนี้เดินไปตามกลิ่นกำมะถันช้าๆ

ใต้จวนเป็นบ่อน้ำร้อนสายหลัก ดอกไม้และพืชพรรณแต่ละฤดูในจวนที่มีบ่อน้ำร้อนอยู่ล้วนบานสะพรั่ง อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ บัดนี้เสื้อคลุมถูกถอดออกแล้ว สวมเสื้อเพียงชั้นเดียวก็ไม่รู้สึกหนาว

กู้หยวนไป๋ลงน้ำ หมาป่าสองตัวขวางอยู่หน้าถนนสายเล็กๆ หลังจากฮ่องเต้ที่อยู่ในบ่อน้ำร้อนหลับตาลง ไม่รู้ว่าหมาป่าสองตัวที่กำลังหลับอยู่ในตอนแรกได้ยินอะไรเข้า จู่ๆ พวกมันก็ลุกขึ้น แววตามีความระแวดระวังและดุร้าย หลังจากผ่านไปสักพักความระแวดระวังนั้นก็หายไปอย่างประหลาด แล้วหมอบลงกับพื้นอีกครั้ง

เสียงน้ำกระเพื่อม กู้หยวนไป๋รู้สึกสบายเป็นที่สุด ขณะหลับตาอยู่นั้น จู่ๆ เสียงหญ้าสวบสาบก็ดังขึ้น เขากำลังจะหันไปทว่ากลับมีคนเอามือมาปิดตาบดบังการมองเห็นของเขาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เรียกเขาอยู่ด้านหลัง “ฝ่าบาท”

น้ำเสียงเหมือนกับคนพูดไม่ได้ที่เพิ่งออกเสียงได้

กลิ่นคาวเลือด กลิ่นฝุ่นดิน

ลมหายใจของกู้หยวนไป๋หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มือนี้ร้อนมาก ร้อนจนเปลือกตาของกู้หยวนไป๋ร้อนตามไปด้วย คนด้านหลังเข้ามาใกล้เขาเพียงนี้ ทว่าหมาป่าสองตัวนั้นกลับไม่ส่งเสียงเลย นี่มันเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าบุคคลนี้คือเซวียหย่วน

ทว่าเซวียหย่วนอยู่ที่ชายแดนตอนเหนือ

ตามหลักเหตุและผล เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทว่าปากกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “เซวียจิ่วเหยา เจ้าช่างบังอาจเหลือเกิน”

ผ่านไปเนิ่นนานไม่มีใครพูดอะไร ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหล ในขณะที่กู้หยวนไป๋สังหรณ์ใจไม่ดีและกำลังจะขมวดคิ้วนั้น จู่ๆ คนด้านหลังก็หัวเราะ โน้มร่างต่ำแล้วกระซิบข้างหูกู้หยวนไป๋ “ท่านยังจำข้าได้”

เพิ่งจะสิ้นเสียง เขาก็กระโดดเข้าไปในบ่อน้ำ ฝุ่นผงธุลีทั่วร่างกายผสมปนเปกับน้ำร้อน ทว่าสองมือที่ปิดตากู้หยวนไป๋นั้นยังคงไม่คลายออก

หลังจากที่กู้หยวนไป๋รู้ว่าเป็นเขาแล้วก็ถอนหายใจโล่งอกเบาๆ จนแทบมองไม่ออก ทว่าเพลิงทะมึนจางๆ ก็ลุกขึ้นอีกครั้ง เขายกเท้าขึ้นและเตะไปในทิศทางที่น้ำกระเพื่อมไหว

เท้าเปลือยเปล่าถูกคนคว้าเอาไว้ได้ มือหยาบและร้อนกุมมันไว้อย่างแน่นหนา ระลอกคลื่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งเข้ามาใกล้กู้หยวนไป๋แล้ว กู้หยวนไป๋ยื่นมือต้องการที่จะคลายมือของเซวียหย่วนที่ปิดตาตัวเองออก แต่มันเหมือนกับแขนเหล็กที่ไม่ขยับแม้สักนิด

“ฝ่าบาท” ดูเหมือนว่าเซวียหย่วนกำลังหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงของเขาน่าเกลียดเกินไปราวกับยังคงเจือด้วยเม็ดทรายที่หนักอึ้ง เสียงหัวเราะก็ดูประหลาด “ทันทีที่ข้าเข้านครหลวงก็ได้ยินว่าท่านมาที่นี่ ทั้งยังได้ยินว่าท่านจะรับสนมด้วย”

มือของเขาเริ่มถูไถช้าๆ ช่างเหมือนกับก้อนหินเสียเหลือเกิน “สตรีนางนั้นเป็นผู้ใด”

แรงอาฆาตก่อตัวขึ้นอย่างลับๆ ไม่ว่าเขาจะซ่อนเร้นความเกลียดชังในน้ำเสียงได้ดีเพียงใด ก็ยังมีสัญญาณของมันออกมาให้เห็น

เมื่อกู้หยวนไป๋มองไม่เห็นหูจึงไวต่อการได้ยินมากขึ้น เขาฟังออกว่าน้ำเสียงของเซวียหย่วนยิ่งหยาบขึ้นทุกที รู้สึกได้ว่าเซวียจิ่วเหยาในเวลานี้ผิดปกติ เปลือกตาของเขาเต้นกระตุกสองสามครั้ง “ปล่อยเจิ้นเดี๋ยวนี้”

มือของเซวียหย่วนกลับแน่นกว่าเดิม

“เซวียจิ่วเหยา คำพูดของเจิ้นเจ้าก็ได้ยินชัดเจนแล้วแต่กลับไม่ทำ เจิ้นยังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าเจ้าโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร” สีหน้าของกู้หยวนไป๋เย็นชา ออกแรงพยายามที่จะชักขากลับ “เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เชื่อฟังอย่างนี้”

คำพูดนี้เป็นเหมือนกับดาบที่หมายจะจ้วงแทงสัตว์ร้าย คมดาบที่แหลมคมแทงเข้าจุดสำคัญ จู่ๆ เซวียหย่วนก็พรวดพราดเข้ามาใกล้อีกจนน้ำสาดกระเซ็น กดกู้หยวนไป๋เข้าชิดริมบ่อท่ามกลางเสียงน้ำกระเพื่อมไหว คลื่นน้ำลูกใหญ่จากบ่อน้ำซัดเข้าหาฝั่ง น้ำที่อยู่ข้างหลังดันไปยังด้านหน้าของเซวียหย่วนเป็นระลอกๆ

เขายังคงปิดตาของกู้หยวนไป๋ อดที่จะขบฟันกับเนื้อในปากไม่ได้ “ข้ายังไม่เชื่อฟังอีกหรือ ยังเชื่อฟังไม่พออีกหรือ!”

กลิ่นเลือดหนักหน่วงผสมกับกลิ่นกำมะถันพุ่งปะทะเข้ามา คลื่นน้ำก็ซัดสาดใบหน้าของกู้หยวนไป๋เช่นกัน ความสงบนิ่งบนใบหน้าของกู้หยวนไป๋ถูกทำลายลง เขากระชากเสื้อของเซวียหย่วน ดึงอีกฝ่ายเข้ามาเบื้องหน้า ขมับเต้นตุบๆ สีหน้าน่าเกลียด “เจ้าเป็นบ้าอะไร! อย่างนี้เรียกว่าเชื่อฟังหรือ”

“ท่านก็กำลังจะรับสนมเข้าวังแล้วเช่นกัน! กำลังจะแต่งภรรยาแล้ว” ดวงตาของเซวียหย่วนแดงก่ำ มือที่บีบคางของกู้หยวนไป๋อยู่สั่นเทา พยายามควบคุมแรง “จนป่านนี้แล้ว ท่านยังต้องการให้ข้าเชื่อฟัง ท่านยังรังเกียจที่ข้าใจเย็นไม่พออีกหรือ อะไรที่เรียกว่าเชื่อฟัง มองดูท่านแต่งภรรยา มองดูสนมสามพันนางในวังของท่าน จากนั้นก็มองดูท่านตายอยู่บนเตียงท่ามกลางหมู่พวกนางหรือ!”

ลมหายใจหอบกระทบอยู่บนใบหน้าของกู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋เองก็หายใจถี่รัว ปวดศีรษะตุบๆ หัวใจเต้นระรัวด้วย เขาปล่อยเซวียหย่วน สูดหายใจเข้าลึกสองสามรอบ จากนั้นก็ดูเหมือนจะสงบลงมาได้แล้ว “ไสหัวกลับไป”

เขาพยายามคงสติไว้ให้มากที่สุดและสงบลมหายใจลง “ไสหัวเจ้ากลับไปที่ชายแดนเสีย”

เซวียหย่วนมองดูสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา พลันกำหมัดแน่นและต่อยพื้นด้านข้างกู้หยวนไป๋อย่างแรง

ลมหายใจของกู้หยวนไป๋สงบลงแล้ว เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าจะรับสนมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า และเจ้าก็ไม่ควรเข้ามาขวางหรือสร้างปัญหาต่อหน้าข้า” กู้หยวนไป๋พูดไปพูดมาก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าจะเอาอย่างไร คิดจะทำอะไร เหตุใดถึงได้โอหังเพียงนี้!”

กู้หยวนไป๋เป็นคนร่างกายอ่อนแอที่แม้แต่อารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองก็จำต้องควบคุม เขาพยายามอย่างหนักเพื่อข่มมันไว้ เซวียหย่วนไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงกระซิบเสียงต่ำด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าปกป้องหลังของตัวเองตลอดเวลาที่อยู่ในสนามรบ กลัวว่าเมื่อข้ากลับมาแล้ว แผ่นหลังจะเต็มไปด้วยรอยแผลทำให้ท่านไม่สามารถฝากรอยเล็บไว้ได้”

เหตุใดข้าต้องฝากรอยเล็บไว้บนแผ่นหลังของเจ้าด้วย

กู้หยวนไป๋โมโหถึงขีดสุด ในขณะที่กำลังเย้ยหยัน เซวียหย่วนกลับคว้ามือของเขาแล้ววางมันไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย เอ่ยว่า “ท่านลองจับหัวใจของท่านดู”

มือของกู้หยวนไป๋ถูกเขากดเอาไว้และวางซ้อนทับกันบนหน้าอกซ้ายของตน ทว่ากลับมีบางอย่างโผล่ออกมาจากหว่างนิ้วเรียวยาวของกู้หยวนไป๋และถูไถอยู่บนฝ่ามือของเซวียหย่วน เซวียหย่วนเผยสีหน้าสงสัย ความประหลาดใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาที่แห้งเหือด

สีหน้าของกู้หยวนไป๋เปลี่ยนสลับไปมา “เซวียจิ่วเหยา!”

เซวียหย่วนรู้สึกคันที่ฝ่ามือ ปลายจมูกก็คันเช่นกัน ความอิจฉาและความหึงหวงบ้าคลั่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างจากการจู่โจมครั้งนี้ เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าเพียงต้องการให้ท่านสัมผัสมโนธรรมของตัวเอง ไม่ได้คิดจะสัมผัสท่าน”

กู้หยวนไป๋เยาะเย้ยเย็นชา แม้ว่ารอบกายจะไร้ผู้คน แม้ว่ามือของเขาไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ทว่าท่าทางกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้อื่นแม้แต่น้อย “ฮึ”

จู่ๆ เซวียหย่วนก็ร้องขอด้วยเสียงต่ำว่า “กู้เหลี่ยน ให้ข้าจูบสักที”

กู้หยวนไป๋เม้มปาก สีของริมฝีปากงดงามยิ่งท่ามกลางบ่อน้ำร้อน

เขาไม่ได้ปฏิเสธทว่าก็ไม่ได้ยินยอม ราวกับว่าความแข็งกระด้างบนใบหน้าของเขาถูกไอร้อนหลอมละลายภายใต้ไอน้ำที่ลอยละล่องนี้ เซวียหย่วนเข้ามาใกล้ด้วยความลุ่มหลง ปลายจมูกแตะกัน ริมฝีปากอยู่ใกล้ในระยะที่สัมผัสกันได้เมื่ออ้าปากพูด

เซวียหย่วนเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านจะรับสนมเข้าวังหรือ”

คำพูดแต่ละประโยคดังใกล้ราวกับว่าริมฝีปากจะประกบเข้าหากันแล้ว

กู้หยวนไป๋เย็นชาไม่เคลื่อนไหว แม้แต่การพ่นลมหายใจก็มั่นคง “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

นี่เป็นสิ่งที่เซวียหย่วนชอบพูด บัดนี้ลมหายใจของเซวียหย่วนสับสนแล้ว เขาหัวเราะ “อย่ารับสนมเลย พระวรกายของฝ่าบาทไม่ดี ทนสตรีไม่ไหวหรอก”

กู้หยวนไป๋ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าก็จะไม่แต่งภรรยาและจะไม่มีสตรี” เซวียหย่วนเปี่ยมไปด้วยไอร้อน หยดน้ำเกาะแน่นอยู่บนคิ้วทรงดาบของเขา “พวกเราพึ่งพากันและกัน ข้าจะดีกับท่าน ทำให้ท่านได้สบายตัว ข้าจะเบามือกับท่านที่สุดดีหรือไม่”

น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋ก็ลดต่ำลงเช่นกัน “ไสหัวไป”

“ข้าไม่ไสหัวไปใดทั้งนั้น” เซวียหย่วนโน้มตัวเข้าไปใกล้ ร่างกายกดต่ำลง ร่างกายแข็งแรงและทรงพลังนั้นราวกับหมาป่าดุร้าย ทั่วทั้งร่างร่ำร้องต้องการจะเข้าใกล้ ต้องการที่จะได้รับความรัก “ท่านไม่เชื่อคำพูดข้าหรือ”

กู้หยวนไป๋ยิ้มเยาะ ทว่าถูกเซวียหย่วนดึงมือไปสัมผัสความร้อนบนเสื้อคลุมที่เปียกโชกของเขา

“ข้าคิดถึงท่าน คิดถึงอย่างทรมาน ปวดหัว เลือดร้อน ต้องการสังหารคน” มือข้างหนึ่งของเซวียหย่วนยังคงไม่ลดลงผละจากดวงตาของกู้หยวนไป๋ “ท่านต้องการเฉือนมัน เพียงออกแรงก็สามารถทำให้ขาดได้แล้ว ข้ารู้ว่าข้าล้ำเส้น ไร้ซึ่งกฎระเบียบ ไม่เป็นที่โปรดปรานของท่าน แต่กู้หยวนไป๋ ข้าชอบท่านมากเกินไป ข้าไม่อยากเป็นอย่างนี้ทันทีที่เห็นท่าน ทว่าข้าควบคุมตัวเองไม่ได้”

“ข้าก็ไม่อยากเป็นสัตว์ร้ายที่ติดสัด อยากมีท่าทางของคุณชายเหมือนกับฉู่เว่ย” เซวียหย่วนหายใจรดต้นคอกู้หยวนไป๋ ดูดดึงลูกกระเดือกของกู้หยวนไป๋แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ทว่าทำอย่างไรได้ ทันทีที่ข้าคิดถึงท่านก็ข่มมันไว้ไม่อยู่แล้ว ข้าเดินทางมาสิบห้าวัน เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน สิบห้าวันจากชายแดนเหนือถึงนครหลวง เดิมทีข้าเพียงต้องการถามว่าท่านจะแต่งสนมจริงหรือไม่ก็เท่านั้น”

เซวียหย่วนปล่อยมือที่กดกู้หยวนไป๋ไว้ เพื่อไปปรนนิบัติเขาที่ยังคงถูกปิดตาด้วยทักษะอันยอดเยี่ยม

“ข้าเชื่อฟัง เชื่อฟังเป็นที่สุดแล้ว” เซวียหย่วนยิ้มกว้าง เงยหน้าขึ้นจูบกู้หยวนไป๋ “แม้องค์เหนือหัวจะเห็นข้าเป็นสุนัข ทว่าจะเรียกให้ข้ามาและไปตามใจชอบเช่นนี้ไม่ได้”

พื้นที่ของทั้งสองคนดูเหมือนจะเป็นเพียงของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีฮ่องเต้หรือขุนนาง มีเพียงคนสองคนที่เป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์

ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็พูดออกมา ลมหายใจของเขาเริ่มสงบลง เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาว มันเรียวงามราวกับกวางที่กำลังจะหมดลม ลูกกระเดือกเกลือกกลิ้งอยู่บนนั้น หยดน้ำเย้ายวนไหลลงมา “เจ้าน่ะหรือเชื่อฟัง ฮึ”

เซวียหย่วนยื่นปากเข้ามาเลียหยดน้ำ กู้หยวนไป๋ยื่นมือออกไป ออกแรงคว้าเส้นผมของเซวียหย่วนไว้แล้วออกคำสั่ง “ก้มหน้าลง”

ทว่าเซวียหย่วนยังคงใช้มืออยู่ “ตอนนี้ยังก้มหน้าไม่ได้ ยังไม่สามารถปล่อยมือให้ท่านเห็นข้าได้”

โทสะจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู้หยวนไป๋

เซวียหย่วนเอ่ย “เพราะว่าตอนนี้ข้าน่าเกลียดเกินไป อาจทำให้ท่านตกใจได้ จะให้ท่านเห็นไม่ได้”

หลังจากกู้หยวนไป๋ผ่อนคลายลงแล้ว เซวียหย่วนก็ใช้มือข้างเดียวกันบีบคางของกู้หยวนไป๋อย่างระมัดระวัง และจูบอย่างดุเดือด เสียงจูบดังขึ้น เมื่อจูบเสร็จแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านยังไม่ชอบข้า แต่ก็ไม่เป็นไร”

เสียงหัวเราะของเขาครั้งนี้น่าฟังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ

“กู้เหลี่ยน ข้ามีเวลาอยู่กับท่านได้ทั้งชีวิต”

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: