ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 135
จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่เว่ยก็ขอพระบรมราชานุญาตเข้าไปในตำหนักเซวียนเจิ้ง
เขาสวมชุดขุนนาง ในมือมีภาพวาดม้วนหนึ่งที่ใส่ไว้ในห่อผ้า ยังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจการคนหนึ่งมากับเขาด้วย คนผู้นี้มีความหลงใหลในภาพวาดของหลี่ชิงอวิ๋นจึงค่อนข้างมีความเข้าใจ เขาถูกเถียนฝูเซิงเชิญมา ซ้ำยังต้องการจะดูภาพวาดครึ่งบนและครึ่งล่างของภาพสองม้วนนี้ว่าเป็นของจริง และสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่
วันนี้มีฝนตกปรอยๆ ภาพวาดอาจจะชื้นไปบ้างจึงทำให้กระดาษยับย่นเล็กน้อย บัดนี้ภาพวาดในท้องพระคลังได้ถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะทรงงานแล้ว เจ้าหน้าที่สำนักตรวจการดวงตาเป็นประกาย มองภาพวาดไม่วางตา
กู้หยวนไป๋หัวเราะพลางเอ่ยเย้าว่า “สายตาวั่นชิงคล้ายจะแผดเผาภาพวาดของหลี่ชิงอวิ๋นอย่างไรอย่างนั้น”
ใต้เท้าวั่นยิ้มอย่างระมัดระวัง ถวายการคำนับพร้อมกับฉู่เว่ย หลังจากลุกขึ้นฉู่เว่ยก็นำห่อผ้าออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้ขันที
ในที่สุดภาพวาด ‘ภาพภูเขาแม่น้ำพันหลี่’ ทั้งสองส่วนก็ถูกวางไว้คู่กัน
กู้หยวนไป๋เหลือบมอง อดที่จะหัวเราะมิได้ “ฉู่ชิง ภาพวาดของเจ้าจะต้องเป็นของปลอมแน่”
แม้เขาไม่เข้าใจในภาพวาด ทว่าอย่างน้อยก็มองระดับความเก่าใหม่ของภาพวาดออก หากมองเพียงภาพเดียวยังไม่เท่าไร ทว่าเมื่อวางภาพวาดทั้งสองไว้คู่กัน ความแตกต่างระหว่างเก่าใหม่ก็เด่นชัดขึ้นมาทันที
ปากของฉู่เว่ยอ้าออกเล็กน้อย สุดท้ายก็เม้มปากตามเดิม หลุบตาลงมองภาพวาดบนโต๊ะ ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย
ทันใดนั้นใต้เท้าวั่นก็โพล่งคำว่า “เอ๋?” ออกมา โน้มตัวเข้าไปดูภาพวาดม้วนนั้นของฉู่เว่ย “ฝ่าบาท นี่แปลกจริงๆ แม้จะเก่าใหม่ต่างกัน ทว่าฝีแปรงของภาพวาดนี้ก็ยังเป็นไปตามทิศทางของภูเขาและสายน้ำ ล้วนเป็นเอกลักษณ์การวาดภาพของหลี่ชิงอวิ๋น หากไม่มองเก่าใหม่ แต่มองภาพนี้เพียงอย่างเดียว เหมือนหลี่ชิงอวิ๋นเป็นคนวาดก็มิปาน”
กู้หยวนไป๋ตกตะลึง จมูกย่นเล็กน้อย “จริงรึ”
ใต้เท้าวั่นไม่กล้ากล่าวถึงภาพนี้อย่างเต็มที่นัก “กระหม่อมขอดูอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”
ในวันฝนตกไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ ใต้เท้าวั่นยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนและยิ่งรู้สึกแปลกใจ เขานำสองภาพมาต่อกันแล้วดูอย่างละเอียดอีกครา ส่วนที่ถูกตัดขาดเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ ทุกส่วนดูเข้ากันได้ดีกับภาพวาดด้านบน หากนี่ไม่ใช่ภาพวาดเดียวกัน แล้วผู้ที่ลอกเลียนแบบทำได้อย่างไร
เป็นไปได้หรือ ที่เพียงอาศัยครึ่งล่างของภาพวาดก็สามารถเชื่อมต่อครึ่งบนของภาพวาดโดยไร้ข้อผิดพลาดได้
“เหมือนเหลือเกิน” ใต้เท้าวั่นอุทาน “แม้กระหม่อมจะรู้จักภาพวาดนี้ ก็ไม่กล้าพูดว่าในภาพนี้มีอะไรที่แตกต่าง”
หางตาของกู้หยวนไป๋กระตุก “น่าสนใจ”
เขาก้าวไปข้างหน้า ใต้เท้าวั่นถอยหลังหลีกทางให้ ฮ่องเต้ก้มตัวลงมองดูภาพวาดที่ฉู่เว่ยถวาย
แต่ฉู่เว่ยกลับกำลังมองฮ่องเต้
ผมสีดำที่อยู่บนไหล่ของกู้หยวนไป๋ทำท่าจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ มันพลิ้วไปตามทุกการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเขา เส้นผมสองเส้นที่อยู่สุดปลายขอบดูอันตรายที่สุด
หากก้มหน้าลงอีกหน่อย มันจะกวาดภาพวาดของฉู่เว่ยหรือไม่
หากกวาดจริงๆ เกรงว่าอาจจะเปื้อนหมึกมุมหนึ่งที่โดนฝนและยังเปียกชื้นอยู่
ฉู่เว่ยเพิ่งจะคิดเช่นนี้ ผมของฮ่องเต้ก็เลื่อนหล่นจากไหล่ทั้งสองข้าง ฉู่เว่ยก้าวไปข้างหน้าตามจิตใต้สำนึกและรับผมกลุ่มนั้นไว้ทันเวลาก่อนที่จะสัมผัสกับภาพวาด
สายตาของฮ่องเต้หยุดอยู่ที่เขา ฉู่เว่ยเป็นบุรุษดุจหยก เขาเอ่ยอย่างใจเย็นยิ่งว่า “ไม่รู้ว่าภาพวาดนี้ผ่านมือของคนมามากเท่าใด ฝ่าบาทอย่าสัมผัสมันจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ ยืนตัวตรงแล้วตบๆ แขนของฉู่เว่ย “ฉู่ชิงใส่ใจนัก”
ผมสีดำลื่นไหลหลุดจากมือของฉู่เว่ย
ฉู่เว่ยชักมือกลับ รอยยิ้มละเอียดอ่อนผุดขึ้นในดวงตา “มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ภาพวาดนี้จะเป็นของปลอม ทว่าเนื้อหาในภาพวาดกลับเป็นของจริง กู้หยวนไป๋รู้สึกสนใจขึ้นมา เขาให้ฉู่เว่ยทิ้งภาพวาดนี้ไว้ หากคราวหน้าพบผู้ที่ขายภาพวาดให้เขาอีกก็ให้รีบมารายงานทันที
ไม่นานหลังจากนั้น แม่ทัพอาวุโสเซวียก็กลับมายังนครหลวงแล้ว
เขาเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าหารือเกี่ยวกับงานราชสำนักกับกู้หยวนไป๋ก่อน การค้าทางชายแดนดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก สกุลจางได้เตรียมเส้นทางการค้านี้มาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขามีอาชีพค้าขายเป็นทุนเดิม ด้วยเหตุนี้การค้าขายที่ดำเนินการนั้น อยากได้สิ่งใดก็ล้วนมี ซึ่งดึงดูดความสนใจและความกระตือรือร้นของชนเผ่าเร่ร่อนที่มีต่อตลาดแลกเปลี่ยนชายแดนเป็นอย่างยิ่ง
ความกระตือรือร้นนั้นปรากฏออกมาให้เห็น ม้าที่นำเข้ามาจากชายแดนตอนเหนือถูกส่งเข้าสู่กองทัพเป็นรอบๆ วัวและแกะส่วนหนึ่งจากชายแดนตอนเหนือถูกนำไปขายทางใต้ และบางส่วนก็นำเข้าไปในค่ายทหารเพื่อเพิ่มเนื้อสัตว์ให้กับกองทัพ
รวมกับม้าที่แคว้นซีซย่าส่งมาก่อนหน้านี้ก็สามารถเพิ่มกำลังทหารม้าในกองทัพได้อีกหนึ่งหมื่นนาย ในบรรดาทหารม้า อาวุธและวิธีการฝึกของทหารม้าหนักก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อาหารไม่ขาด เนื้อสัตว์และผักผลไม้ที่เพียงพอก็สามารถบำรุงร่างกายให้มีความแข็งแรงและกำลังวังชาได้
ครั้นมีวัวและม้าจำนวนมากเข้ามาในกองทัพเช่นนี้ ความเคารพนับถือและความรักที่เหล่าทหารมีต่อฮ่องเต้เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น พวกเขารู้ว่าวันเวลามีทั้งร้ายและดี ก่อนที่จะมาเป็นทหารพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสชีวิตที่มีเนื้อสัตว์และมีข้าวกินเช่นนี้มาก่อน
ทั่วทั้งใต้หล้า เมื่อเข้ากองทัพแล้วชีวิตดีขึ้นกว่าในอดีต มีเพียงต้าเหิงเท่านั้นที่ทำได้
กองทัพสำคัญยิ่งยวด หลังจากที่กู้หยวนไป๋ถามเรื่องวัว แกะ และม้า ก็ถามเรื่องการรักษาการณ์ที่ชายแดนต่อ แม่ทัพอาวุโสเซวียมีหลากอารมณ์ผสมปนเป อดที่จะกล่าวเสริมมิได้ “ตอนที่กระหม่อมนำทัพไปรักษาการณ์ที่ชายแดนตอนเหนือ เหล่าทหารชายแดนผอมแห้งเหมือนฟืน ชาวบ้านในชายแดนตอนเหนือก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน นอนก็นอนไม่หลับ ทว่าเมื่อกระหม่อมกลับนครหลวงคราวนี้” เขาอดที่จะเผยยิ้มออกมามิได้ “ชาวบ้านต่างมาส่งตามสองข้างทาง น้ำตาหลั่งไหลยาวสิบหลี่ มอบของมากมายแก่กระหม่อมและเหล่าทหารจนพวกกระหม่อมรับไม่ไหว”
“ทั้งยังมีเหล่าทหารในชายแดนตอนเหนือ” ดวงตาของแม่ทัพอาวุโสอดที่จะระคายเคืองมิได้ “ปีกลายหิมะตกหนัก บ้านเรือนหลายหลังถล่ม พวกเขาไปช่วยจัดการหิมะหลายคืนติดต่อกัน หิมะตกหนักต่อเนื่องหลายวัน แม้แต่เส้นทางก็ถูกปิดกั้น ทว่ากลับไม่มีทหารที่แข็งตายเลยสักคน”
“พวกกระหม่อมกินน้ำแกงเป็ด สวมเสื้อบุนวมที่ฝ่าบาทพระราชทาน และผ่านทั้งฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย”
กู้หยวนไป๋ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขายิ้มพลางกล่าวอย่างจริงใจ “นี่เป็นฉากที่เจิ้นอยากเห็นที่สุดในชีวิต”
“บ้านเรือนน้อยใหญ่อยู่เย็นเป็นสุข” กู้หยวนไป๋กล่าวเสียงต่ำ “กำบังลมฝนเพื่อให้ผู้ยากแค้นในใต้หล้าอยู่ได้ด้วยรอยยิ้ม”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพอาวุโสก็น้ำตานองหน้าทันที
แม่ทัพอาวุโสเซวียออกจากวังหลวงด้วยน้ำตาซึม ฮ่องเต้ตั้งใจให้เซวียหย่วนกลับจวนพร้อมกันกับเขา เซวียหย่วนมองดูแม่ทัพอาวุโสเซวียแวบหนึ่งก็รู้สึกปวดศีรษะ “ท่านแม่ทัพเซวีย ท่านหยุดร้องไห้ได้หรือไม่”
บัดนี้แขนเสื้อของแม่ทัพเซวียเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแล้ว “ฝ่าบาททรงพระประเสริฐอย่างแท้จริง ฝ่าบาททรงพระประเสริฐเกินไปแล้ว”
มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเซวียหย่วน “ฝ่าบาทย่อมทรงพระประเสริฐอยู่แล้ว”
เมื่อแม่ทัพอาวุโสเซวียกลับมาถึงจวน ความตื้นตันและความซาบซึ้งในอกจึงค่อยๆ สงบลง เขาร้องไห้ต่อหน้าบุตรชายนานเพียงนี้ รู้สึกเก้อเขินไปชั่วขณะจึงกระแอมกระไอสองสามที “อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะอายุยี่สิบห้าปี ใกล้ถึงวัยที่จะเป็นอิสระแล้ว เซวียหย่วน เมื่อไรจะแต่งสะใภ้ให้ข้าได้สักที”
เซวียหย่วนครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “ยาก”
“มารดาของเจ้ากับข้าต่างรู้ดีว่าเจ้ามีคนที่พึงใจ” แม่ทัพอาวุโสเซวียถอนหายใจยาว เพียงนึกว่าเขาไม่ต้องการพูดมาก “ข้ามีเจ้าตอนอายุยี่สิบปี สองปีต่อมาหลินเกอเอ๋อร์ก็คลอดออกมา บัดนี้ข้าก็ล่วงเลยวัยสี่สิบมาแล้วแม้แต่หลานสักคนก็ยังไม่ได้อุ้ม”
เซวียหย่วนเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ง่ายดายยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าจะหาแม่นางสองสามคนที่เต็มใจคลอดบุตรให้กับบุตรชายคนรองของสกุลเซวีย ขังพวกนางกับเขาให้อยู่ด้วยกัน ไว้ตั้งครรภ์เมื่อไรค่อยออกมาจากห้อง”
“เจ้าก็มีคนที่ชอบพอแล้ว เหตุใดคนที่เจ้าชอบถึงไม่คลอดหลานให้ข้าเล่า” แม่ทัพอาวุโสเซวียใบหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจอย่างยิ่ง “หรือเจ้าลูกกระต่ายไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า จนป่านนี้ก็ยังทำให้นางตกลงปลงใจกับเจ้าไม่ได้อีก”
“คลอดไม่ได้” เซวียหย่วนกล่าวไปตามตรง “และเป็นความจริงที่อีกฝ่ายไม่เคยตกลงปลงใจกับข้า”
เป็นไปได้ว่าจะไม่มีวันตกลงแต่งงานกับเขาตลอดไป สกุลเซวียเองก็น่าจะ…เลี้ยงฝ่าบาทไม่ไหว
แม่ทัพอาวุโสเซวียสีหน้าล้ำลึก “ในเมื่อนางไม่ยอมแต่งกับเจ้า เจ้าก็เลิกคิดได้แล้ว! ไว้กลับถึงจวนข้าจะให้มารดาเจ้าจัดการเรื่องงานแต่งงานของเจ้าทันที”
เซวียหย่วนสีหน้าเฉยเมย “แม่ทัพเซวีย ของข้าไม่แข็ง”
แม่ทัพอาวุโสเซวียข่มเพลิงโทสะไม่ไหวอีกต่อไป ระเบิดคำรามออกมา “เจ้าไม่แข็ง แล้วตอนอยู่ชายแดนเจ้าซักกางเกงเป็นครึ่งเดือนมันคืออะไร! เซวียจิ่วเหยา เจ้าช่างกล้านัก เพื่อสตรีที่ไม่ชอบเจ้าทั้งยังให้กำเนิดทายาทให้เจ้าไม่ได้ เจ้ายังกล้ากล่าวคำประเภทนี้ออกมาได้”
เสียงคำรามนี้ทำให้บ่าวรับใช้ที่มาต้อนรับการกลับมาของเจ้านายสะดุ้งโหยง
ครั้นฮูหยินเซวียเข้ามาก็ได้ยินประโยคนี้พอดี สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนฉับพลัน หลังจากไล่บ่าวรับใช้ไปแล้วก็ก้าวไปข้างหน้า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าดูบุตรชายตัวดีของเจ้าเถิด” แม่ทัพอาวุโสเซวียโกรธจนมือสั่น “เพื่อสตรีคนหนึ่งแล้ว กล้าพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้!”
ฮูหยินเซวียตกตะลึง จากนั้นก็มองเซวียหย่วน
เซวียหย่วนยิ้มกว้าง “ท่านพ่อ ใครบอกท่านว่าเป็นสตรีเล่า”
แม่ทัพอาวุโสเซวียนิ่งงัน
เซวียหย่วนยืดเหยียดร่างกายพลางคิดว่าอีกสักครู่จะมีกฎตระกูลข้อใดที่สามารถปกป้องเขาได้บ้าง “คนที่ข้าชอบพอเป็นบุรุษ แน่นอนว่าไม่สามารถมีหลานให้ท่านได้ ข้าเห็นว่าคุณชายรองเซวียก็ไม่เลว ท่านต้องการหลานไม่ใช่หรือ ให้คุณชายรองเซวียมีสักแปดถึงสิบคน ท่านเลี้ยงได้แน่นอน”
แม่ทัพเซวียมองเขาอย่างล้ำลึก กดเสียงต่ำว่า “เจ้าพูดอีกทีซิ”
การแสดงออกของแม่ทัพอาวุโสเช่นนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าบันดาลโทสะอย่างแท้จริง
ฮูหยินเซวียน้ำตาคลอเบ้า มองบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
คราก่อนที่แม่ทัพอาวุโสเซวียโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็ตีคุณชายรองเซวียปางตาย
เซวียหย่วนจุปากด้วยเสียงหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจงฟังให้ดี”
เขาเหลือบตาขึ้น “บุรุษที่ข้าชอบ จะต้องเป็นเขาเท่านั้น คนอื่นนอกเหนือจากเขา ข้าก็ไม่แข็ง”
วันต่อมาเซวียหย่วนไม่ได้เข้าวัง
กู้หยวนไป๋คาดเดาในใจอยู่แล้ว ทว่าบางคราวที่เรียกหาคนก็ยังเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว “เซวียหย่วน”
ในเวลากลางวัน เถียนฝูเซิงปรนนิบัติฮ่องเต้เข้านอน เขาต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างทว่ากลับหยุดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท หลายคืนก่อนตอนที่กระหม่อมส่งหมอหลวงจากไปก็พบกับใต้เท้าเซวียระหว่างทางกลับ กระหม่อมอยู่ในมุมหนึ่งได้ยินใต้เท้าเซวียกล่าวอะไรบางอย่างกับเหล่าหมอหลวง”
กู้หยวนไป๋หลับตาลง ลมหายใจยืดยาว “หืม?”
“ใต้เท้าเซวียถามหมอหลวง” เถียนฝูเซิงเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างยากลำบาก “ว่าพระองค์สามารถทำถูกปรนนิบัติยามค่ำคืนได้หรือไม่”
เดิมทีเขานึกว่าฮ่องเต้อาจจะขมวดพระขนงหรือกริ้ว ทว่าฮ่องเต้กลับแย้มมุมพระโอษฐ์อย่างคาดไม่ถึง แล้วตรัสถาม “หมอหลวงว่าอย่างไร”
เถียนฝูเซิงสำลัก ตอบอย่างว่าง่าย “หมอหลวงกล่าวว่าครึ่งเดือนต่อจากนี้ก็ทำเรื่องเช่นนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ครึ่งเดือนหรือ” กู้หยวนไป๋พ่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เจิ้นจดจำไว้แล้ว”
เถียนฝูเซิงแสดงสีหน้าแปลกประหลาด “ใต้เท้าเซวียก็กล่าวเช่นนี้”
เหตุใดฝ่าบาทถึงมีพระทัยตรงกับใต้เท้าเซวียได้
กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะ
เขาเข้านอนด้วยอารมณ์ปรีดาเช่นนี้ ครั้นตื่นขึ้นเถียนฝูเซิงกลับบอกเขาว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนสกุลเซวียมารายงานว่าเมื่อคืนเซวียหย่วนถูกแม่ทัพอาวุโสลงโทษด้วยกฎตระกูล และถูกกักขังในโถงบรรพบุรุษด้วยอาการบาดเจ็บทั้งคืน
ทันทีที่เถียนฝูเซิงกล่าวเช่นนี้ กู้หยวนไป๋ก็มีสีหน้าเย็นชา สีหน้าของเขานั้นน่าเกลียดยิ่ง แววตาล้ำลึก เถียนฝูเซิงตัวสั่นงันงก “ฝ่าบาท?”
“เตรียมม้า” ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้หยวนไป๋เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ไปจวนสกุลเซวีย”
บทที่ 136
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าของฮ่องเต้ก็หยุดอยู่หน้าประตูจวนสกุลเซวีย
ฮ่องเต้ลงมาจากรถ สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย เขารับการคำนับจากแม่ทัพอาวุโสเซวียด้วยความจริงใจก่อนที่จะยกมุมปากเอ่ยว่า “เซวียชิง วันนี้เจิ้นรบกวนแล้ว”
แม่ทัพอาวุโสเซวียปลาบปลื้มที่ได้รับความโปรดปราน “การเสด็จของฝ่าบาทนับเป็นเกียรติของกระหม่อม กระหม่อมยินดีอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋ยิ้มๆ เดินผ่านเขาเข้าไปในจวนสกุลเซวีย แม่ทัพอาวุโสเซวียรีบตามไป ผู้คนต่างกระวีกระวาดเป็นการใหญ่ กู้หยวนไป๋ก้าวอย่างรวดเร็ว ในน้ำเสียงนั้นฟังไม่ออกถึงความขุ่นเคือง “เซวียชิง เหตุใดเซวียจิ่วเหยาจึงไม่ออกมาพบเจิ้น”
สีหน้าของแม่ทัพเซวียแข็งทื่อ อ้ำๆ อึ้งๆ “คือว่าเขา…”
กู้หยวนไป๋หยุดเดินกะทันหัน
แม่ทัพอาวุโสเซวียก็หยุดลงเช่นกัน ฮ่องเต้เบือนหน้าไป ใบหน้าด้านข้างที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์มองเห็นการแสดงออกได้ไม่ชัดเจน ดวงหน้าถูกซ่อนภายใต้เงามืด ผมเส้นละเอียดปลิวไสว แม่ทัพอาวุโสเซวียรู้สึกว่าสายตาที่ฮ่องเต้มองตนนั้นช่างล้ำลึก มันกดดันจนหัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง มุมปากของฮ่องเต้ก็ยกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนที่เซวียชิงอยู่ที่ชายแดนตอนเหนือ เซวียจิ่วเหยาต้องดูแลทั้งจวนสกุลเซวียในนครหลวง หลายเดือนก่อนหวั่นไท่เฟยสิ้นพระชนม์ ร่างกายของเจิ้นไม่ดี แต่ก็เป็นเพราะเขาอาสาที่จะปรนนิบัติอยู่ในตำหนักส่วนหน้าและลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ในฐานะที่เขาเป็นถึงแม่ทัพ มีความอุตสาหะไม่แปรผัน ไม่หยิ่งผยอง หาได้ยากยิ่ง”
แม่ทัพอาวุโสเซวียกล่าวอย่างมีเหตุผล “ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้ว บุตรชายกระหม่อมทำเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสมควร”
“สิ่งสมควร?” กู้หยวนไป๋ยกมุมปาก “เซวียชิง เซวียจิ่วเหยาทำงานตรงกับใจของเจิ้น เป็นต้นกล้าที่ดีสำหรับการเดินทัพและการต่อสู้ มีพรสวรรค์ของแม่ทัพ การที่เขาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในตำหนักส่วนหน้าเช่นนี้ คนอื่นล้วนรู้สึกว่าเจิ้นใช้คนไม่ถูกงาน เซวียชิงไม่รู้สึกว่าเจิ้นทำผิดต่อเขาหรือ”
แม่ทัพอาวุโสเซวียคิดเช่นนี้ที่ใดกัน เขารีบส่ายหน้า “สามารถปรนนิบัติข้างกายฝ่าบาทนับเป็นวาสนาของบุตรชายกระหม่อม หากเขาทำผิดกฎใด ฝ่าบาทลงโทษได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋มองแม่ทัพอาวุโสเซวียอย่างล้ำลึก หมุนตัวเดินไปข้างหน้าต่อ “เซวียชิงกล่าวเช่นนี้เจิ้นก็วางใจ เจิ้นขอกล่าวตามตรง เซวียจิ่วเหยาทำงานตามใจของเจิ้นมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้อีกสองวันก็ให้เขากลับตำหนักมาเถิด”
แม่ทัพอาวุโสเซวียลังเล “ฝ่าบาท คือว่า…”
กู้หยวนไป๋คล้ายไม่ได้ยิน ถามขึ้นอีกครั้ง “เซวียชิง เซวียจิ่วเหยาเล่า”
แม่ทัพอาวุโสเซวียอ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
“ให้เขามาพบเจิ้น” ฮ่องเต้คล้ายรู้อะไรบางอย่าง ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปที่แม่ทัพอาวุโสเซวีย ผุดยิ้มช้าๆ “หากไม่สามารถพบเจิ้นได้ เซวียชิง เช่นนั้นเจ้าก็ต้องบอกสาเหตุที่เซวียจิ่วเหยามาพบเจิ้นไม่ได้โดยละเอียดแล้ว”
เซวียหย่วนยังคงถูกขังอยู่ในโถงบรรพบุรุษ แม่ทัพอาวุโสเซวียเดินนำฮ่องเต้ไปที่หน้าต่างโถงนั้น ครั้นมองเข้าไปด้านในก็เห็นเงารางๆ คล้ายคุกเข่าอยู่ในความมืด
จมูกของกู้หยวนไป๋นั้นไวต่อกลิ่นเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่หน้าต่างเปิดออกก็ได้กลิ่นคาวเลือดทันที
ยิ้มเย็นชา
ฮึ… เซวียจิ่วเหยาถูกคนทำร้าย
คนที่กู้หยวนไป๋ต้องการหลับนอนด้วย คู่ชีวิตที่สามารถขึ้นเตียงได้ในครึ่งเดือนให้หลัง กลับถูกแม่ทัพอาวุโสเซวียผิงทำโทษด้วยกฎตระกูลถึงขั้นเลือดตกยางออก
“แม่ทัพเซวีย” กู้หยวนไป๋มองดูเงานั้นที่อยู่ในความมืด เอ่ยเสียงต่ำว่า “เซวียจิ่วเหยาทำอะไรผิด ถึงได้ทำให้ท่านกราดเกรี้ยวได้ถึงเพียงนี้”
ความลำบากใจวูบผ่านใบหน้าของแม่ทัพเซวีย ความโศกเศร้าที่เกิดจากการเห็นเซวียหย่วนในสภาพนี้แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธในทันใด เขาพ่นลมหายใจเย็นชา “ฝ่าบาท บุตรชายของกระหม่อมเกเร สมควรได้รับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“สมควรได้รับโทษ?” ไม่กี่คำนี้วนเวียนอยู่ที่ปลายลิ้นของกู้หยวนไป๋อย่างพินิจพิเคราะห์
เถียนฝูเซิงได้ยินน้ำเสียงของฝ่าบาทเช่นนี้ ผิวหนังก็เกร็งแน่นทั้งตัว ถอยออกมาก้าวหนึ่งอย่างระมัดระวัง
ทว่าแม่ทัพอาวุโสเซวียไม่ใช่ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้เป็นเวลานาน เขาพยักหน้าโดยไม่ได้สังเกตอื่นใดทั้งสิ้น ทั้งยังกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “หากเขาไม่ปรับปรุงตัว ไม่ยอมรับผิดหนึ่งวัน ก็อย่าได้ออกจากโถงบรรพบุรุษหนึ่งวัน อย่าว่าแต่ตีจนกลายเป็นเช่นนี้เลย ต่อให้ตีจนตายก็ถือเป็นการขอขมาบรรพบุรุษ!”
กู้หยวนไป๋หัวเราะเสียงต่ำ
เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ กู้หยวนไป๋ก็ถอนหายใจ “แม่ทัพเซวีย” เขากล่าวช้าๆ “ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็นของเจิ้น”
ปลายนิ้วยกขึ้น ชี้ไปยังเซวียหย่วนที่อยู่ในโถงบรรพบุรุษช้าๆ มือของฮ่องเต้ที่สอดเข้าไปในแขนเสื้อวางอยู่อย่างสงบ “ใต้หล้าเป็นของเจิ้น คนเป็นคนของเจิ้น เซวียจิ่วเหยาย่อมเป็นของเจิ้นเช่นกัน”
ฮ่องเต้หัวเราะ หันมามองแม่ทัพอาวุโสเซวียพร้อมกับรอยยิ้ม แววตาอ่อนโยน “เซวียชิง เมื่อไม่มีคำอนุญาตจากเจิ้น เจ้าจะตีเขาจนกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
แม่ทัพอาวุโสเซวียนิ่งงันอยู่กับที่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงรีบอธิบาย “ฝ่าบาท กระหม่อมทำไปเพราะมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชี้แนะอย่างจริงใจ “ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด เจ้าก็ไม่ควรลงมือหนักถึงเพียงนี้”
“เทียนตี้จวินชินซือ*” กู้หยวนไป๋หันกลับไป มองเข้าไปยังโถงบรรพบุรุษ ร่างนั้นเลือนรางท่ามกลางแสงไฟสลัว เอ่ยเสียงเบาว่า “แต่แม่ทัพเซวีย หากเจ้าตีเขาจนพิการแล้ว เจิ้นจะใช้งานใครได้ มีเซวียจิ่วเหยาอยู่ข้างกาย ดีเลวอย่างไรเจิ้นก็สั่งสอนได้ ทำผิดอะไร แม่ทัพเซวียก็ลงมือด้วยความเมตตาบ้าง อย่าให้เขาโดนตีจนสะบักสะบอมเช่นนี้โดยที่เจิ้นไม่รู้…เข้าใจหรือไม่”
ประตูห้องโถงบรรพบุรุษถูกเปิดออกจากด้านนอก
ปากของเซวียหย่วนแห้งผาก หนังปากลอก เขาเหลือบเปลือกตาขึ้นเผชิญกับแสงแดด คิดในใจว่าคนให้ข้าวให้น้ำเข้ามาแล้วหรือ
เสียงน้ำจากในกาน้ำชาดังขึ้น กลิ่นหอมของชาผสมกับกลิ่นหอมอันเข้มข้นของอาหาร เซวียหย่วนลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองดูฮ่องเต้ที่ออกมาจากแสงสว่างนั่น เสื้อคลุมถูกยกขึ้นอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาหนึ่งฮ่องเต้ก็คลุมมันไว้บนตัวเขา
ชายเสื้อคลุมสีแดงร่วงลงช้าๆ กู้หยวนไป๋คุกเข่าลงตรงหน้า “ฟั่นเฟือนไปแล้วรึ”
เซวียหย่วนเอ่ย “ฝ่าบาท…”
กู้หยวนไป๋ยกมุมปาก มองสำรวจเซวียหย่วนขึ้นลง
เดิมทีเซวียหย่วนร่างกายแข็งแรง บัดนี้อยู่ในโถงบรรพบุรุษมาหนึ่งราตรี มองไม่เห็นอะไรจากบนใบหน้า ทว่าเขาดูดีกว่าที่กู้หยวนไป๋จินตนาการไว้ กู้หยวนไป๋วางใจลง ปรบมือเบาๆ ขันทีวางโต๊ะเตี้ยอันวิจิตรลงเบื้องหน้าเซวียหย่วน อาหารในกล่องที่ถูกอุ่นด้วยน้ำร้อนยังคงมีไอร้อนลอยกรุ่น อาหารอันโอชะกับน้ำแกงร้อนๆ วางไว้ด้านบน หมอหลวงเดินเข้ามาเพื่อตรวจสอบบาดแผลบนตัวของเซวียหย่วน
หลังจากมือถูกยัดตะเกียบหยกคู่หนึ่งเซวียหย่วนก็ได้สติ เขามองไปยังฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนเบาะ มองอยู่พักหนึ่งก็อ้าปากเอ่ย “ฝ่าบาทมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋กล่าวอย่างรวบรัด “เจ้ากินอาหารเสียก่อน”
เซวียหย่วนอยากจะหัวเราะ ทว่าทันทีที่เสียงหัวเราะมาถึงลำคอก็กลายเป็นเสียงไออู้อี้
หมอหลวงที่อยู่ด้านหลังรีบพูดขึ้น “ใต้เท้าเซวียช้าหน่อย ระวังการเคลื่อนไหวให้มาก พวกข้าจะทายาให้ท่าน อย่าแกะแผลโดยเด็ดขาด”
“ข้ารู้แล้ว” เซวียหย่วนจิบชาไปคำหนึ่งเพื่อระงับอาการไอ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กู้หยวนไป๋ อยากจะหัวเราะอีกครั้ง “กิน กระหม่อมจะกินเดี๋ยวนี้”
เขาคีบชิ้นเนื้อที่ยังร้อนกรุ่นในจานอาหารแล้ววางลงในชามของฮ่องเต้ “ฝ่าบาทก็เสวยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กู้หยวนไป๋หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วกินคำหนึ่งอย่างสบายๆ
ขณะที่หมอหลวงรักษาบาดแผลให้เซวียหย่วนอยู่นั้น เซวียหย่วนก็คีบอาหารให้ฮ่องเต้ตลอดเวลา เขาชอบกินเนื้อมากที่สุด อาหารที่คีบให้กู้หยวนไป๋ล้วนเป็นอาหารที่เขาชอบทั้งสิ้น อาหารเหล่านี้ค่อนข้างจืดชืด กู้หยวนไป๋กินจนเบื่อแล้ว ระหว่างที่กำลังจะบอกเซวียหย่วนว่าไม่ต้องคีบอาหารให้แล้ว เงยหน้าขึ้นก็เห็นเซวียหย่วนกำลังเคี้ยวใบผัก มองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มโง่เขลา
กู้หยวนไป๋หุบปากแล้วก้มหน้ากินเนื้อต่อ
เมื่อกินจนอิ่ม บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกหมอหลวงพันผ้าพันแผลเสร็จเรียบร้อย ข้ารับใช้ในวังหลวงจัดแจงเครื่องนอนอยู่ในโถงบรรพบุรุษ เซวียหย่วนถูกประคองขึ้นไปนอนบนนั้น หมอหลวงใช้มีดเล่มเล็กตัดเสื้อผ้าที่อยู่ด้านหลังของเขาเพื่อรักษาแผลที่ค่อนข้างสาหัสกว่า
รอยแผลที่ถูกตีด้วยไม้ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ปกคลุมไปทั่วแผ่นหลัง แผลเล็กหน่อยก็มีเลือดคั่งใต้ผิวหนัง สาหัสหน่อยเนื้อก็เปิดเหวอะหวะ กู้หยวนไป๋ยืนมองอยู่ด้านข้าง สีหน้าค่อยๆ มืดมนลง
หลังจากที่หมอหลวงทั้งสองคนรักษาเซวียหย่วนเรียบร้อย กู้หยวนไป๋ก็ก้มตัวลง ปลายนิ้วสัมผัสแผ่นหลังของเซวียหย่วนแผ่วเบา
หลังของเซวียหย่วนหดตึง
กู้หยวนไป๋เพียงนึกว่าเขาเจ็บ จึงยกปลายนิ้วขึ้นแล้วกดเสียงต่ำ “เขาตีเจ้า เจ้าก็ไม่รู้จักหนีรึ”
เซวียหย่วนฝังศีรษะอยู่บนแขน กล้ามเนื้อแน่นตึง เสียงของเขาล้ำลึก ฟังดูคล้ายเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “จะต้องให้แม่ทัพเซวียได้ระบายอารมณ์บ้าง”
สีหน้าของกู้หยวนไป๋เรียบเฉย “ช่างกตัญญูเสียเหลือเกิน”
“มิใช่ความกตัญญู” เซวียหย่วนหันหน้ามา กุมนิ้วของกู้หยวนไป๋ไว้ เอ่ยกระซิบ “ฝ่าบาท ให้ทุกคนออกไปให้หมด กระหม่อมมีความในใจที่ต้องการจะพูดกับท่าน”
กู้หยวนไป๋มองเขาครู่หนึ่ง แล้วบอกให้ทุกคนออกไปตามที่เขาขอ
ทันทีที่ประตูโถงบรรพบุรุษปิดลง ภายในห้องก็มีเพียงเทียนไขที่ข้ารับใช้ตั้งใจวางไว้เพื่อส่องแสงสว่าง เซวียหย่วนไต่มือขึ้นไปด้านบนและกุมมือของกู้หยวนไป๋ ดึงเขาลงมาบนฟูกแล้วกอดไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง แล้วถอนหายใจยาวๆ “ฝ่าบาท ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดแม่ทัพเซวียถึงได้โกรธนัก”
เสื้อคลุมของกู้หยวนไป๋คลุมอยู่บนร่างเซวียหย่วน ระวังไม่ให้กดทับแผลของเขา ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่รู้”
เซวียหย่วนหัวเราะอยู่ข้างหูเขา ตั้งใจข่มเสียงให้เบาราวกำลังบอกความลับอันยิ่งใหญ่ “เพราะข้าบอกกับบิดาไปตามตรงว่า…” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าชอบบุรุษคนหนึ่ง และมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะทำให้ข้าแข็งได้ เมื่อเห็นเขาทั้งตัวก็ร้อนรุ่ม คนอื่นล้วนทำไม่ได้”
กู้หยวนไป๋นิ่งงัน ใบหูเริ่มเห่อร้อน
“เขาไม่เชื่อ ต้องการให้คนที่ข้าชอบกำเนิดหลานให้เขา” เซวียหย่วนสัมผัสหน้าท้องของกู้หยวนไป๋แผ่วเบา เอ่ยเย้าว่า “ท่านคิดว่าคนที่ข้าชอบจะสามารถให้กำเนิดหลานได้หรือไม่”
กู้หยวนไป๋ปัดมือของเขา เอ่ยอย่างเย็นชาและไร้เมตตา “ไสหัวไป”
“ไสหัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของฝ่าบาท” เซวียหย่วนจูบติ่งหูของฮ่องเต้ “คนที่ข้าชอบอารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งนัก ในเมื่อบิดากล่าวขึ้นมาแล้ว ข้าคิดว่าก็จะต้องพูดให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้ภายหน้ามีคนเลวจากที่ใดไม่รู้ไปแตะต้องคนในอ้อมแขนข้าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ”
คิ้วและตาของกู้หยวนไป๋ดูคลุมเครือ “เซวียจิ่วเหยา ผู้ใดอารมณ์ฉุนเฉียว”
เซวียหย่วนหัวเราะอู้อี้สองสามครั้ง “ข้า… ข้าอารมณ์ฉุนเฉียว”
เขาก้มหน้าลง ริมฝีปากแห้งกร้านขยับไปมาบนใบหน้าด้านข้างของกู้หยวนไป๋ “กระหม่อมทำให้บิดาขุ่นเคือง เขาอาจไม่ให้กระหม่อมเข้าจวนสกุลเซวียอีก ตอนนี้ทำได้เพียงติดตามฝ่าบาทแล้ว ท่านอยู่ที่ใด ข้าก็จะตามไปที่นั่น”
กู้หยวนไป๋คิดในใจ คิดว่าข้าเชื่อคำพูดไม่เข้าท่าของเจ้าหรือ
“เชื่อก็ช่าง ไม่เชื่อก็ช่าง” เซวียหย่วนคล้ายได้ยินความในใจของเขาก็มิปาน เอ่ยเสียงต่ำว่า “ก็ไม่อาจหยุดให้ข้าเอาใจท่านได้ ท่านต้องการอะไรข้าก็จะหามาให้ ข้าได้บอกบิดามารดาข้าไปตามตรงแล้ว พวกเขาจะฟังหรือไม่ก็เป็นปัญหาของพวกเขา แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากรู้มากกว่า ฝ่าบาท ท่านนอนอยู่ในอ้อมแขนกระหม่อมสบายหรือไม่”
มือของเขาโอบกู้หยวนไป๋แน่น
ทันใดนั้นกู้หยวนไป๋ก็เข้าใจในทันที
นี่เป็นวิธีการพูดอีกอย่างหนึ่งของประโยคที่ว่าโอรสสวรรค์เข้าสู่อ้อมแขนข้า
อ้อมแขนกระหม่อมสบายหรือไม่
ท่านเต็มใจที่จะนอนอยู่ในอ้อมกอดข้าหรือไม่ สบายเพียงนี้ นอนทั้งชีวิตเลยดีหรือไม่
กลิ่นคาวเลือดที่ปลายจมูกหนักหน่วงกว่าเดิม กู้หยวนไป๋ยกคอขึ้นเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ คอขาวๆ ที่ตั้งตรงของเขาตึงเป็นเส้นสวยงาม
หน้าผากของเซวียหย่วนกดเขาไว้ ขาอันทรงพลังทั้งคู่ก็กดเขาไว้เช่นกัน ก่อนเอ่ยทีละคำๆ “กู้เหลี่ยน กู้เหลี่ยน…”
เป็นคำบอกรักโดยนัยอีกครั้ง
ช่างติดคนเกินไปแล้ว
ทั้งยังรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาด้วย
กู้หยวนไป๋ก่นด่าเสียงต่ำ “ปล่อย”
แขนของเซวียหย่วนชา ใบหน้าที่ฝังอยู่ด้านหลังมีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมาฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำคล้ายผีร้ายน่าพรั่นพรึง
ทั้งห้านิ้วของเขาคลายออกทีละนิ้วๆ ความสยดสยองบนใบหน้าถูกระงับลงทีละน้อยๆ กู้หยวนไป๋ลุกขึ้น ต้องการจะออกไปเรียกหมอหลวง
ในขณะที่เขากำลังจะเดินไปถึงประตูโถงบรรพบุรุษ จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ครึ่งเดือนต่อจากนี้ บาดแผลจะหายหรือไม่”
เซวียหย่วนที่เลือดขึ้นหน้าจางๆ อึ้งไป จากนั้นก็ดวงตาก็เป็นประกาย “หายพ่ะย่ะค่ะ!”
“จะมีแผลเป็นที่หลังหรือไม่”
เซวียหย่วนสูดหายใจลึก “ไม่มีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน” กู้หยวนไป๋ไอเสียงต่ำทีหนึ่ง “รักษาตัวเองให้ดี ถ้าเจ้าหายดีก็หลับนอนกันได้ จะได้ดูว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร”
“หากเจ้าหายไม่ทัน” ฮ่องเต้หันมองเขา ขมวดคิ้วน้อยๆ “เช่นนั้นท่านแม่ทัพเซวียจิ่วเหยาก็จงนอนรักษาบาดแผลอยู่บนเตียงตามลำพังเถิด”
กู้หยวนไป๋อดที่จะหัวเราะมิได้ “แข็งนอกอ่อนใน เกรงว่าเจ้าก็คงจะรับเจิ้นไม่ไหว”
นัยน์ตาของเขาเจือด้วยรอยยิ้ม กวาดตามองเซวียหย่วนที่อยู่บนพื้นราวกับน้ำ เซวียหย่วนดูงุนงงในสายตาของเขา
เซวียหย่วนมองดูฮ่องเต้ผลักประตูห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อออกไปเรียกหมอหลวงเข้ามา
รับไม่ไหว?
อ่อนแอ?
* เทียนตี้จวินชินซือ หมายถึงห้าสิ่งซึ่งเป็นตัวแทนของการบูชายกย่องของชาวจีน แบ่งออกเป็นฟ้า ดิน ฮ่องเต้ ผู้อาวุโส และครูบาอาจารย์
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 25 ก.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.