X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4 บทที่ 137-138 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 4

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 137

 

ในวันเดียวกันนี้กู้หยวนไป๋พาเซวียหย่วนกลับเข้าวังหลวงไปพร้อมกัน

แม่ทัพเซวียมองดูบุตรชายของตัวเองขึ้นรถม้าไปขณะที่น้อมส่งฝ่าบาท ในใจสับสนยิ่ง

ฮ่องเต้กริ้วแทนบุตรชายของตน โทสะเช่นนั้นทำให้แม่ทัพเซวียทั้งยินดีทั้งหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเซวียหย่วนเพียงนี้ นี่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา ทว่าบุตรชายได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทั้งยังได้รับความห่วงใยมากมายเพียงนี้ คงไม่ต้องพูดถึงว่าหัวใจของแม่ทัพเซวียมีความสุขมากเพียงใด ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัวในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นนี้ เพราะทันทีที่มันหันมาแว้งกัด มันก็อาจจะทำลายสกุลเซวียอีกครั้ง

มันคือวาสนาไม่ใช่ภัย ต่อให้เป็นภัยก็หลบเลี่ยงไม่พ้น ฮ่องเต้ตำหนิเขาเพื่อบุตรชายของเขาเช่นนี้ แม่ทัพอาวุโสเซวียรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างแท้จริง ได้แต่หวังว่าเซวียหย่วนจะสามารถตอบแทนความรักความห่วงใยนี้ของฮ่องเต้ได้

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวจากไป แม่ทัพอาวุโสเซวียยินดีอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ใบหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมา กล่าวกับฮูหยินเซวียว่า “ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าบุรุษที่เขาชอบเป็นใครกันแน่!”

คนประเภทใดกันที่ทำให้อนาคตสดใสของเซวียหย่วนกลายเป็นเหมือนของเล่น เช่นนี้ไม่รู้สึกผิดต่อฝ่าบาท ไม่รู้สึกผิดต่อกับบิดามารดาของเขาหรือ!

 

วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ครั้นถึงสิ้นเดือนก็เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เซวียหย่วนตั้งใจที่จะให้กู้หยวนไป๋ได้ลิ้มลองบะหมี่ฉางโซ่ว* ที่เขาปรุงด้วยตัวเอง

บะหมี่ฉางโซ่วนั้นอิ่มท้องดียิ่ง เซวียหย่วนถือชามเปล่าพลางมองไปที่พุงน้อยๆ ของฮ่องเต้ที่ยื่นออกมา เขามองมันอย่างหลงใหลครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวหยิบชามกับตะเกียบออกไป

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว

เรื่องเหมืองเกลือในเหลี่ยงเจ้อได้ดำเนินการอย่างลับๆ คาดว่าจะสามารถขายเกลืออย่างเป็นทางการได้หลังปีใหม่ กู้หยวนไป๋หารือเรื่องบ้านเมืองกับขุนนางทุกคนในช่วงกลางวัน ตำแหน่งเกาะของฝูซังที่ถูกพวกเขายึดนั้นมีความสำคัญมาก มันเป็นเกาะที่ฝูซังใช้ค้าขายกับต่างแคว้นและเตรียมอาวุธ

ฝูซังเป็นฝ่ายเสนอค่าชดเชยก่อน และต้องการใช้เงินจริงแลกเกาะกลับมา แม้แต่บทบัญญัติสามประการ** กับต้าเหิงพวกเขาก็สามารถทำได้ เหล่าขุนนางกำลังหารือว่าควรตกลงแลกเปลี่ยนกับฝูซังหรือไม่

ข้อเท็จจริงของเครื่องหอมฝูซังนั้นน่าขยะแขยง แม้แต่ผู้เฒ่าคร่ำครึหัวโบราณก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชังพวกเขา รอคอยที่จะโจมตีพวกเขาอย่างรุนแรง ปล่อยให้ฝูซังที่มีจิตใจโหดเหี้ยมได้เห็นความสามารถของต้าเหิงเสียบ้าง

หลังจากหารือกันไปมา ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะพูดคุยและแลกเปลี่ยน

พื้นที่ในฝูซังนั้นมีน้อยมาก นอกจากเครื่องหอมที่ทำร้ายคนแล้วก็ยากจนยิ่ง เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล การต่อสู้กับพวกเขาจึงยากที่จะควบคุม ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็เกิดสงครามกับต่างแคว้นอยู่บ่อยครั้ง เบื้องหลังก็ยังมีซีซย่าที่เหมือนกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ ดังนั้นการค้าขายนี้จึงไม่คุ้มค่าเลย

อย่างไรก็ตามกู้หยวนไป๋จะไม่ปล่อยให้ฝูซังมีอิสระเป็นอันขาด หลินจือเฉิงที่อยู่แนวหน้าเข้ามารายงานว่าแหล่งเครื่องหอมของฝูซังมาจากดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ จะต้องเผาดินแดนนี้ให้ราบคาบ และยิ่งต้องกำหนดข้อจำกัดหลายประการสำหรับที่แห่งนี้

หากกำจัดแหล่งที่มาของเครื่องหอมแล้ว ฝูซังก็จะกลายเป็นเพียงแคว้นที่ยากจนและล้าหลังเช่นในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น จะมีแคว้นโดยรอบที่ถูกกดขี่ไม่กี่แคว้นเท่านั้นที่จะเต็มใจปฏิบัติต่อฝูซังเป็นอย่างดี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการต่อสู้ครั้งนี้

 

หลังจากพูดคุยกับเหล่าขุนนางจบแล้ว กู้หยวนไป๋ก็เหงื่อซึมเล็กน้อย เขาปาดเหงื่อ อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับร่างกายของตัวเองที่เริ่มดีขึ้นทุกวันทุกคืน

“เถียนฝูเซิง อาบน้ำ”

ครั้นออกมาจากห้องอาบน้ำ ฟ้าก็มืดแล้ว อากาศในเดือนสิบค่อยๆ เย็นลง กู้หยวนไป๋สวมชุดสีขาวทั้งตัว หลังจากเดินออกมาจากตำหนักสระน้ำร้อนก็เห็นเซวียหย่วนนั่งยองๆ อยู่ข้างลำธารสายเล็กของตำหนัก ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

น้ำในสายเล็กๆ นั้นเป็นน้ำอาบของฮ่องเต้ที่ถูกปล่อยทิ้ง กู้หยวนไป๋เลิกคิ้ว เรียกเขา “เซวียหย่วน”

เซวียหย่วนหันกลับมา เมื่อเห็นกู้หยวนไป๋ก็นิ่งอึ้งไป

เสื้อคลุมสีครามตัวใหญ่คลุมอยู่บนไหล่ของกู้หยวนไป๋ ขับผิวของเขาให้ยิ่งชมพูระเรื่อดุจหยกและบุปผา ไม่ว่าเซวียหย่วนจะเคยเห็นฮ่องเต้ออกมาจากตำหนักสระน้ำร้อนกี่ครั้งก็จะถูกทำให้ตะลึงงันเช่นนี้เสมอ ดวงตาของเขาหมุนตามด้วยหัวใจที่คิดไม่ซื่อ

ฮ่องเต้รู้สึกขบขันกับการแสดงออกของเขา มุมปากที่แดงจางๆ จากการแช่น้ำยกขึ้น ดวงตาเปื้อนยิ้ม เหลือบมองเซวียหย่วนด้วยความซุกซน “เจ้าโง่”

ร่างกายของเซวียหย่วนอ่อนปวกเปียก ทันทีที่เท้าลื่นก็ตกลงไปในน้ำอาบของฮ่องเต้เสียงดังตูม

กู้หยวนไป๋อดใจไม่ไหว หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

เขากลับมาถึงตำหนักบรรทมพร้อมรอยยิ้ม ข้ารับใช้จัดเตียงอย่างเรียบร้อย กู้หยวนไป๋ขึ้นเตียง ปลายจมูกได้กลิ่นหอมสดชื่นหลังการอาบน้ำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหวั่นไหวในใจ เรียกเถียนฝูเซิงที่กำลังจะถอยออกไป “จุดเครื่องหอมให้เจิ้นที”

เถียนฝูเซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นับตั้งแต่ถูกเครื่องหอมของซีซย่าทำร้าย ฮ่องเต้ก็ค่อนข้างต่อต้านเครื่องหอม นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ต้องการจะจุดเครื่องหอมนับตั้งแต่เกิดเรื่องครานั้น

เถียนฝูเซิงรีบไปเตรียมเครื่องหอม จงใจเตรียมเครื่องหอมกลิ่นที่ช่วยในการนอนหลับโดยหวังว่าคืนนี้ฮ่องเต้จะบรรทมได้อย่างสบาย

กลิ่นหอมจางกำจายช้าๆ

กู้หยวนไป๋กำผ้าห่มแล้วค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา

ครั้นได้สติอีกครั้ง บนร่างก็มีคนตรึงข้อมือของเขาไว้เหนือศีรษะ พร้อมกับกำลังจูบติ่งหูของเขาอยู่

ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นจากติ่งหูขึ้นสู่สมอง กู้หยวนไป๋เบิกตากว้างเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมอง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือหน้าอกของเซวียหย่วน

กู้หยวนไป๋ถาม “เจ้าทำอะไรน่ะ”

เสียงขึ้นจมูกของเขาเจือด้วยความง่วงซึม

เซวียหย่วนอาศัยจังหวะที่เขาอ้าปากพูดจูบริมฝีปากของเขา แทรกลิ้นเข้าไปด้วยความลึกที่ไม่เคยทำมาก่อน กู้หยวนไป๋ขัดขืนอย่างอึดอัด เผชิญกับสายตาของเซวียหย่วนที่แทบจะแผดเผาตน

กู้หยวนไป๋รู้ดีว่าเขาต้องการจะทำอะไร

ต้องการจะขึ้นเตียง

หัวใจที่อยู่ในอกพลันเต้นรัวเร็ว ฝูงสัตว์ร้ายเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเหนียวเหนอะหนะทันใด เปลวเพลิงอันมืดมิดโอบล้อม จุดไฟดวงเล็กให้ลุกโชนเป็นกองไฟขนาดใหญ่

ผ้าห่มยับยู่ยี่กลายเป็นภูเขาและแม่น้ำ นิ้วที่ขย้ำผ้าไหมสีเหลืองออกแรง

เสียงอู้อี้ค่อยๆ ดังขึ้น ใบหน้าของกู้หยวนไป๋กลายเป็นสีแดงระเรื่อ เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ต้องการจะหลบหลีกลิ้นที่ตะกละตะกลามของเซวียหย่วน

ริมฝีปากถูกห่อและดูดดื่ม น้ำทุกหยดในปากแทบจะถูกปล้นไปจนสิ้น กู้หยวนไป๋อยากจะบอกให้อีกฝ่ายหยุดจูบแต่ไม่สามารถพูดได้

ฉากเช่นนี้ค่อนข้างแตกต่างจากที่กู้หยวนไป๋คิดไว้

เหมือนจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

ขาของเขาดิ้นรนหลุดจากการถูกกดทับได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าจะเตะอย่างไร เซวียหย่วนก็ยังคงไม่ไหวติงมั่นคงดุจภูผา ฟันขบแน่น ปลายลิ้นแตก เซวียหย่วนเพียงขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นก็เหลือบตาขึ้น มองกู้หยวนไป๋อย่างตำหนิติเตียนด้วยดวงตาแดงก่ำ

อาการเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าความปรารถนามาถึงขีดสุดแล้ว

“ปล่อย” กู้หยวนไป๋พ่นลมหายใจเย็นชาทันใด แล้วถีบขาของเซวียหย่วนอย่างแรงอีกครั้ง “เจิ้นบอกให้เจ้าปล่อย!”

เซวียหย่วนมั่นคงไม่สั่นคลอน ทั้งยังยิ้มร่า ก้มหน้าลงดูดคำหนึ่ง “ฝ่าบาทไม่ต้องกลัวพ่ะย่ะค่ะ ครึ่งเดือนมานี้กระหม่อมกินยาบำรุงไม่น้อย ได้เรียนรู้อะไรมากมาย”

กู้หยวนไป๋สูญเสียกำลังวังชาฉับพลัน เบิกตากว้าง ความตื่นตระหนกไร้สาเหตุบางอย่างผุดขึ้นท่ามกลางความไร้อำนาจนี้

บนรถม้าเขาเชื่อฟังเหลือเกิน ทว่าบัดนี้กลับไม่เชื่อฟังแล้ว

คำหยาบหลุดออกมาจากปากของฮ่องเต้อย่างขาดๆ หายๆ ทุกประโยคล้วนทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ทว่าเซวียหย่วนกลับคล้ายไม่ได้ยิน หลังจากใจจดใจจ่อกับการลิ้มรสเสร็จ ก็พลิกกายฮ่องเต้กลับมาอย่างใจเย็นเพื่อลิ้มรสอีกด้านต่อ

เนื้อทุกส่วนล้วนถูกลิ้มรสอยู่ระหว่างปากและฟันอย่างละเมียดละไม มีบางจุดที่บอบบางยิ่งยวด อวัยวะอ่อนนิ่มที่สุดบนตัวของเซวียหย่วนคือลิ้น ทันทีที่เขาลงลิ้น คำหยาบจากปากของฮ่องเต้ก็ขาดห้วงทันใด

กู้หยวนไป๋หน้าเงยขึ้น คอยกสูง เหงื่อเม็ดโตร่วงลงมาจากร่างของเซวียหย่วนสู่ร่างของกู้หยวนไป๋ ร่างกายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกลับมีเหงื่อซึมอีกครั้ง ผ้าห่มไร้บทบาทในการห่มคลุมไปครู่หนึ่งบนเตียงคั่งที่ร้อนระอุ

“ไปให้พ้น” เสียงสั่นเครือสุดจะทนเอ่ยขึ้น “เซวียหย่วน เจ้าไม่เชื่อฟังเลย”

“เชื่อฟัง” เซวียหย่วนทิ้งเสื้อลงพื้นข้างเตียงนานแล้ว เขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้า จับแขนเรียวบางของฮ่องเต้ให้โอบไว้รอบคอของตัวเองพร้อมกับกล่อมว่า “บนหลังกระหม่อมไร้บาดแผล มีพื้นที่ขนาดใหญ่ให้ท่านได้เกาะ”

เขาก้มหน้าลงหมายจะจูบ กู้หยวนไป๋หลบเลี่ยง เซวียหย่วนหัวเราะเสียงต่ำ แล้วไล่ตามไปจนได้จูบในที่สุด

กู้หยวนไป๋ลากเล็บฝากรอยแผลสีแดงขาวเป็นทาง

ไม่มีขุนนางคนใดที่เชื่อฟังมากกว่าเซวียหย่วนอีกแล้ว เซวียหย่วนมั่นใจยิ่งนัก

 

ร่างกายของฮ่องเต้ไม่ดี จะต้องทำทุกอย่างช้าๆ

เซวียหย่วนเอื่อยเฉื่อยเป็นที่สุด เขามองเทียนไขที่อยู่ข้างเตียง มันหลั่งน้ำตาเทียนท่ามกลางแสงอันอบอุ่นหยดแล้วหยดเล่า

น้ำตาเทียนหยดลงมาไม่ทันไรก็แห้งแข็งกลายเป็นลูกปัดอีกครั้ง

เงาร่างคนวูบไหว เซวียหย่วนต้องคอยระวังร่างกายของกู้หยวนไป๋ตลอดเวลา เขาไม่สามารถเร่งจังหวะความเร็วได้แม้ต้องการ ในเวลานี้เขาจะไม่ฟังคำสั่งของฮ่องเต้ก็ได้ ทำตัวดื้อรั้นดุจโจรชั่ว ปิดหูทั้งสองข้างราวกับคนหูหนวก

แต่ว่าโจรก็มิได้น่ารำคาญและตั้งใจทำให้ช้าเหมือนเขา

 

เช้าวันต่อมา ครั้นพระอาทิตย์แขวนอยู่บนนภาสูง กู้หยวนไป๋จึงฝืนลืมตาขึ้น

เขาขยับๆ มือ รู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้ว ครั้นเหลือบตาขึ้นมองช่องว่างระหว่างนิ้วก็เต็มไปด้วยรอยฟันเล็กละเอียด

กู้หยวนไป๋กะพริบตาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาขยับเล็กน้อย รู้สึกเหนื่อยล้าเข้ากระดูก

เซวียหย่วนระมัดระวังยิ่งยวด กู้หยวนไป๋ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ทว่าหนึ่งราตรีผ่านไป การเคลื่อนไหวเชื่องช้าเช่นนั้นนำมาซึ่งความทรมานที่ทำให้หูแดงและหัวใจเต้นรัว ทั้งยังฝังลึกเข้าไปในกระดูกของเขาอย่างสมบูรณ์

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หยวนไป๋รับรู้ว่าการเคลื่อนไหวช้าๆ นั้นทรมานกว่ามาก

ครั้นนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมาที่เซวียหย่วนไม่เชื่อฟังเขา สีหน้าก็เปลี่ยนไป ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง

กู้หยวนไป๋ยกผ้าห่มขึ้น ก้มหน้ามอง พบว่าแม้แต่นิ้วเท้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยฟัน

ฮ่องเต้ตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง ใบหน้าแดงก่ำเปลี่ยนเป็นสีดำอีกครั้ง

ประตูถูกเปิดออก เซวียหย่วนเดินเข้ามา เขาถืออ่างน้ำร้อนกับผ้าเช็ดหน้าเข้ามาด้วย ครั้นเห็นว่าฮ่องเต้ตื่นจากบรรทมแล้ว รอยยิ้มพอใจก็ผุดขึ้นบนใบหน้าที่เป็นผู้เป็นคนของเขา

กู้หยวนไป๋จ้องเขา เม้มปากเป็นเส้นตรง มุมตาแดงก่ำดูไม่เป็นมิตร ทันใดนั้นเซวียหย่วนก็ทอดถอนใจ “ฝ่าบาท นี่ก็เช้าแล้ว หากท่านยังคงจ้องกระหม่อมอีก กระหม่อมจะทนไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ”

“…” กู้หยวนไป๋กระตุกมุมปาก “หึๆ”

เซวียหย่วนโน้มตัวไปข้างหน้า ยกขาทั้งสองของฮ่องเต้ไว้บนเข่าของตัวเอง ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่เจ็บ ต้องถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง สบายตัวมากหรือไม่ ตราบใดที่สบายตัวกู้หยวนไป๋จะพูดอะไรก็ได้ ทว่าเมื่อคืนเซวียหย่วนกลับเป็นเหมือนขุนเขาสูงที่เงียบงัน ไม่เชื่อฟังกู้หยวนไป๋แม้แต่น้อย กู้หยวนไป๋บอกให้เขาเพิ่มความเร็ว เขาก็ช้าลง ให้เขาหยุด เขาก็รับปากทว่ายังทำต่อไป

ครั้นนึกถึงตรงนี้กู้หยวนไป๋ก็ถีบเซวียหย่วนด้วยขาข้างหนึ่งอย่างแรงและไร้ความเมตตา “ข้าเห็นหน้าเจ้าก็หงุดหงิดแล้ว”

เซวียหย่วนทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง เขาคว้าปลายเท้ากู้หยวนไป๋เอาไว้แล้วจูบลงบนหลังเท้า ยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนฝ่าบาททอดพระเนตรกระหม่อมให้มากขึ้นหน่อย บัดนี้เริ่มสายแล้ว กระหม่อมจะปรนนิบัติฝ่าบาทลุกขึ้น”

“ข้าจะใส่เสื้อผ้าที่ปิดถึงคอ” เสียงของกู้หยวนไป๋แหบแห้ง “แขนยาว”

เซวียหย่วนอดที่จะยิ้มไม่ได้ “พ่ะย่ะค่ะ”

ตอนเช้าหมอหลวงมารอด้านนอกตำหนักแล้ว กู้หยวนไป๋เลิกแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้พวกเขาได้จับชีพจร รอยฟันรอยแล้วรอยเล่าเรียงติดกันบนข้อมือ มือของหมอหลวงสั่นเทาทว่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

หลังจากหมอหลวงดึงมือกลับมา เซวียหย่วนก็ก้าวไปข้างหน้าทันที หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดข้อมือให้กู้หยวนไป๋ซ้ำๆ

มือของเซวียหย่วนนั้นหยาบกร้าน และผิวทั้งตัวของกู้หยวนไป๋ก็อ่อนไหวกว่าปกติ หลังจากใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดสองสามครั้ง กู้หยวนไป๋ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ็บ”

เซวียหย่วนทิ้งผ้าเช็ดหน้า ขมวดคิ้วแน่น ท่าทางเช่นนี้คล้ายมีคนแทงมีดเข้าที่หัวใจของเขา

กู้หยวนไป๋คิดในใจ เสแสร้งอีกแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าสัตว์ร้ายเลย หากเขาปวดใจจริงๆ เหตุใดตอนอยู่บนเตียงสั่งให้หยุด เขากลับไม่หยุดเล่า

หลังหมอหลวงจากไปแล้ว กู้หยวนไป๋ก็ยกข้อมือขึ้นตรงริมฝีปากของเซวียหย่วนและสั่งว่า “จูบเสีย”

ลูกกระเดือกของเซวียหย่วนขยับไหวครั้งใหญ่ แต่เขากลับส่ายหน้า “ฝ่าบาท จูบไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ผิวบางเช่นนี้ ถ้าจูบอีกครั้งจะเจ็บพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ค่อนข้างพึงพอใจ ขณะที่กำลังลดมือลงก็ถูกเซวียหย่วนคว้าหมับ ก้มหน้าลงพลางพ่นลมหายใจด้วยความเจ็บปวด

ในกระดูกรู้สึกชาและไร้เรี่ยวแรง

ปลายนิ้วของฮ่องเต้แอบหดลงโดยไม่ตั้งใจ น้ำเสียงอ่อนโยน ถามเซวียหย่วนด้วยหน้าตาที่เป็นมิตร “เจ้าเจ็บหรือไม่”

เซวียหย่วนสีหน้าเรียบเฉย “ฝ่าบาทหมายถึงส่วนใดพ่ะย่ะค่ะ”

“ที่หลัง” กู้หยวนไป๋หมุนๆ แหวนหยกด้วยความเคร่งขรึม “คืนนี้ถอดเสื้อออก เจิ้นจะดูว่าเจิ้นได้ทำเจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

เซวียหย่วนอดที่จะฉีกยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ เขายังแสร้งพยักหน้าและเอ่ยอย่างเชื่อฟังว่า “กระหม่อมจะเชื่อฟังฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

 

* บะหมี่ฉางโซ่ว หรือบะหมี่อายุยืน คนไทยรู้จักกันในชื่อหมี่ซั่ว เป็นอาหารที่ชาวจีนนิยมรับประทานกันในวันคล้ายวันเกิด ด้วยความเชื่อที่ว่ากินแล้วจะทำให้อายุยืน

** บทบัญญัติสามประการ เป็นสำนวน มีต้นกำเนิดจาก ‘บันทึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ : ชีวประวัติของเกาจู๋’ โดยซือหม่าเชียน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เดิมทีหมายถึงข้อตกลงของกฎหมายสามฉบับ ต่อมาใช้อ้างถึงข้อตกลงหรือข้อสรุปของเงื่อนไขอย่างง่ายที่ทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตาม

บทที่ 138

 

ตกกลางคืน กู้หยวนไป๋ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง เพราะว่าเขามีไข้เล็กน้อย

หมอหลวงกล่าวว่าเขาสามารถหลับนอนกับผู้อื่นได้ภายในครึ่งเดือน เซวียหย่วนก็ระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อที่จะไม่ไปทำร้ายอีกฝ่าย ทว่าร่างกายของฮ่องเต้ก็ยังไม่สามารถต้านทานความสุขที่เจาะทะลุถึงกระดูกได้ กู้หยวนไป๋ถูกบังคับให้กินยาและนอนพักอยู่บนเตียง

เพื่อปลอบประโลมเขา เซวียหย่วนก็เผยแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากการขีดข่วนของเขาให้เห็น

ฮ่องเต้ไม่ซาบซึ้งเท่าไรนัก มองค้อนแม่ทัพเซวียผู้จงรักภักดีคราหนึ่งแล้วหลับตาพักผ่อน

สามวันต่อมากู้หยวนไป๋จึงสามารถลุกออกจากเตียงได้ เขาถูกเถียนฝูเซิงโน้มน้าวอย่างลับๆ อยู่หลายครั้ง “ฝ่าบาท จะไม่ใส่ใจพระวรกายเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ นี่มันทำร้ายพระวรกายเกินไปแล้ว”

ขันทีเฒ่าไม่ได้ทำเพียงเท่านี้ ทั้งยังจงใจพูดเสียดสีต่อหน้าเซวียหย่วนว่าเขาเกาะแกะมากเกินไป ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยการติเตียน กู้หยวนไป๋อดไม่ไหว นอนฟุบอยู่บนโต๊ะพร้อมกับหัวเราะจนแผ่นหลังสั่นสะท้าน

เซวียหย่วนยืนอยู่ข้างๆ กวาดตามองเถียนฝูเซิงด้วยความเย็นชา มือลูบไปตามหลังของฮ่องเต้เบาๆ

ผ่านไปอีกหลายวัน กู้หยวนไป๋ก็ได้รับสาส์นมาจากฮ่องเต้แคว้นซีซย่า

ฮ่องเต้แห่งซีซย่าองค์ปัจจุบันก็คืออดีตองค์ชายสอง ซึ่งก็เป็นองค์ชายขี้ขลาดที่ถูกกู้หยวนไป๋หักขา

ประโยคที่หลี่อั๋งอี้เขียนมาแฝงด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก

จดหมายที่ท่านเขียนให้เสด็จพ่อข้า ทำให้ชีวิตข้าในช่วงนั้นยากลำบากอย่างแท้จริง

แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดตรงๆ เช่นนี้ เพียงแต่ว่ามันมีความหมายเช่นนี้อยู่ในรายละเอียด หลังจากอ่านสาส์นจบแล้ว สีหน้ากู้หยวนไป๋ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้น มองเห็นการหยั่งเชิงมากมายขององค์ชายสองแห่งซีซย่าในสาส์นนั้น

หลี่อั๋งอี้รับรู้เรื่องสงครามทางทะเลระหว่างฝูซังและต้าเหิงแล้ว เขาวางแผนที่จะลงมือแล้วหรือ

กู้หยวนไป๋ครุ่นคิดทั้งคืน เวลาเข้านอนก็เฝ้าคิดแต่เรื่องขององค์ชายสองแห่งซีซย่า ครั้นเซวียหย่วนปีนขึ้นเตียงก็ถูกเขาถีบลงไป “บัดนี้เจิ้นไม่มีอารมณ์”

เซวียหย่วนดื้อดึงที่จะปีนขึ้นไป กอดเขาไว้ในอ้อมแขนแต่ก็ถูกถีบและทุบตีอยู่หลายรอบ แต่ก็รับไว้ได้ทุกครั้ง “ฝ่าบาทบอกกระหม่อมเถิดว่าใครทำให้ท่านไม่มีอารมณ์ กระหม่อมจะไปสังหารเขาเดี๋ยวนี้”

“ถ้าเช่นนั้น” กู้หยวนไป๋ชี้เขา “เจ้าก็คือลำดับแรก”

เซวียหย่วนดูดดึงนิ้วของเขา ยิ้มอย่างมีมารยาท “ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีที่จะรับโทษจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมจะคุกเข่าไม่ขยับเขยื้อน” เซวียหย่วนกระตือรือร้นที่จะลอง พลันนึกถึงวันนั้นบนรถม้า “ฝ่าบาท ขาของกระหม่อมมีแรง ท่านสามารถยืนอยู่บนนั้นแล้วจับไหล่ของกระหม่อมไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ยังคงไม่ไหวติง เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เซวียจิ่วเหยา เจ้าลองพูดมากกว่านี้อีกสิ”

เซวียหย่วนหุบปากแล้ว

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายกู้หยวนไป๋ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “ข้ากำลังนึกถึงฮ่องเต้แห่งซีซย่า”

เซวียหย่วนหัวเราะเยาะด้วยเสียงหนึ่ง “ข้าจำได้ องค์ชายสองที่ถูกข้าทำร้ายจนขาหักผู้นั้น”

“ใช่” กู้หยวนไป๋เอ่ยช้าๆ “ไม่นานจากนี้จะต้องเกิดสงครามที่ชายแดนซีเป่ยกับซีซย่าเป็นแน่ ถึงตอนนั้น ข้าวางแผนที่จะนำทัพไปพิชิตด้วยตนเอง”

เซวียหย่วนกระชับแขนที่โอบกู้หยวนไป๋ให้แน่นขึ้น

กู้หยวนไป๋เม้มปาก หันไปเผชิญหน้ากับเขา อธิบายว่าเหตุใดตนจึงตัดสินใจที่จะไปพิชิตด้วยตัวเองให้เซวียหย่วนฟังโดยละเอียด “บัดนี้สถานการณ์ภายในมั่นคง ท้ายที่สุดแล้วชัยชนะทางทะเลนั้นห่างไกลจากภายในแคว้นยิ่ง ตอนที่ข้าทำการต่อต้านการทุจริต ครั้งหนึ่งก็เคยคิดที่จะใช้ชัยชนะเพื่อกระจายอำนาจ ขุนนางท้องถิ่นอยู่ไกลฮ่องเต้ ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้เรียกได้ว่าอ่อนแอมากสำหรับพวกเขา ข้าเคยคิดที่จะบอกเจ้าเรื่องนี้ ตอนนั้นเจ้าบอกกับข้าว่ายิ่งแม่ทัพมีเกียรติมาก เหล่าทหารก็จะเชื่อมั่นและเชื่อฟัง”

เซวียหย่วนสูดหายใจลึกแล้วพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”

“ฉะนั้นข้าจำเป็นจะต้องชนะให้ได้เพื่อปราบปรามและทำให้ซีเป่ยสั่นคลอน ชัยชนะในชายแดนตอนเหนือนั้นยังใช้ไม่ได้ ชัยชนะที่ยึดครองดินแดนแห่งสวรรค์ได้ยังไม่บรรลุระดับการสั่นคลอนที่ข้าต้องการ” กู้หยวนไป๋กล่าวอย่างกระชับ “ข้ามั่นใจในชัยชนะต่อซีซย่าเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อาจละทิ้งโอกาสในการเข้าไปพิชิตด้วยตัวเองในครั้งนี้”

“ยิ่งไปกว่านั้น” กู้หยวนไป๋นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “หลังจากสงครามซีซย่าแล้ว ข้าตั้งใจที่จะปรับปรุงสำนักศึกษา มีเพียงการนำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะเท่านั้น คนเหล่านั้นจึงจะกลัวผลที่ตามมาจากชัยชนะของข้า และจะหลีกเลี่ยงข้าอย่างต่อเนื่องด้วยความขลาดกลัว”

“ถึงตอนนั้น ข้าก็จะสามารถฉวยโอกาสนี้ทำการปรับปรุงสำนักศึกษาให้สำเร็จได้ในคราวเดียว”

กฎที่อยู่ในใจของกู้หยวนไป๋ผุดขึ้นมาทีละอย่าง หากร่างกายของเขาไม่อาจรักษาให้หายได้ เขาย่อมไม่เลือกที่จะนำทัพด้วยตนเอง เพราะเขาอาจจะทนต่อการเดินทางระยะแสนยาวไกลไม่ได้ ทว่าบัดนี้ทุกอย่างต่างออกไป มันมีวิธีที่จะทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น ความทะเยอทะยานของกู้หยวนไป๋ก็เริ่มเผาไหม้ไปตามร่างกายเขา ขณะที่เขากล่าวประโยคเหล่านี้ก็คล้ายมีแสงไฟวูบวาบในดวงตา

น่าลุ่มหลง แพรวพราว ชวนให้หัวใจเต้นแรง

เซวียหย่วนก้มหน้าลงทันใด กุมใบหน้าของกู้หยวนไป๋ให้มองตาของตัวเอง

กู้หยวนไป๋นิ่งอึ้ง ถ้อยคำขาดห้วงกะทันหัน นัยน์ตาที่มีความสับสนสะท้อนดวงหน้าของเซวียหย่วน

“ฝ่าบาท” เซวียหย่วนกล่าวเสียงต่ำ “คุยกันแล้วว่าไม่ว่าท่านจะไปที่ใดก็จะพากระหม่อมไปด้วย”

มุมปากของกู้หยวนไป๋อดที่จะยกขึ้นไม่ได้ เขาสัมผัสลูกกระเดือกของเซวียหย่วน ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเด็กดี หากเชื่อฟังเจิ้นก็จะพาเจ้าไป”

“…” เซวียหย่วนทอดถอนใจ “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมก็เชื่อฟังอยู่เสมอ ถึงตอนนั้นหากเชื่อฟังมากกว่านี้ กระหม่อมจะต้องตายเป็นแน่”

ริมฝีปากของกู้หยวนไป๋อ้าออก ยังไม่ทันพูดอะไร เซวียหย่วนก็ถามอย่างจริงจัง “ท่านรู้สึกอึดอัดและไม่ชอบจริงหรือ”

“ชอบ” กู้หยวนไป๋ก็กล่าวไปตามตรง “เพียงแต่เจ้าทรมานข้าเกินไป มือก็หยาบกร้านไปหน่อย”

“ให้ตายเถอะ” เซวียหย่วนสบถออกมาเบาๆ รีบพูดขึ้น “ฝ่าบาทเลิกตรัสได้แล้ว กระหม่อมจะกลายร่างเป็นสัตว์อีกแล้ว”

กู้หยวนไป๋ “…”

ทั้งสองคนวุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่ง จงใจเย้าหยอกกัน จากนั้นก็นอนกอดกัน ครั้นถึงกลางดึกเซวียหย่วนก็สะดุ้งตื่น เขาหายใจหอบ หน้าผากกดอยู่บนหน้าผากของกู้หยวนไป๋ รู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ความรู้สึกหายใจไม่ออกในความฝันยังคงติดค้างอยู่ในใจ

เขาฝันร้ายเช่นเดิมอีกครั้ง

ระหว่างที่กู้หยวนไป๋ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น คล้ายสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของเขา จึงยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณแล้วโอบศีรษะของเซวียหย่วนไว้แน่น “นายท่านอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”

เซวียหย่วนถูกกดไว้ในอ้อมอกของกู้หยวนไป๋ เบิกตากว้าง หลังจากอึ้งไปพักหนึ่งก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้

ภูผาพังทลาย แผ่นดินแตกแยกในความฝัน ฉากอันน่าสะพรึงกลัวในฝุ่นละอองที่ล่องลอย ค่อยๆ สลายหายไป

 

สิบกว่าวันต่อมา กองทัพซีเป่ยก็ได้กลับขึ้นชายฝั่งและมาถึงซีเป่ยแล้ว ทั้งยังมีฎีกามาจากแนวหน้ารายงานว่าทหารในซีซย่ากำลังรวมตัวกัน เกรงว่าจะโจมตีต้าเหิงจากแนวหลัง

ในการประชุมราชสำนักตอนเช้า กู้หยวนไป๋ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเขาจะนำทัพด้วยตัวเอง

เกิดความโกลาหลขึ้นในท้องพระโรง

ขุนนางคนแล้วคนเล่าออกมาห้ามปราม คุกเข่าอ้อนวอนพร้อมกับน้ำตาซึม หลังจากเลิกประชุมก็จับกลุ่มกันสองสามคนเพื่อไปโน้มน้าวในตำหนักเซวียนเจิ้งอย่างต่อเนื่อง

ทว่าฮ่องเต้ได้ตัดสินใจแล้ว เขาไม่สามารถนำเรื่องปฏิรูปสำนักศึกษามาโน้มน้าวทุกคนได้ ดังนั้นจึงบอกเหตุผลเป็นรายบุคคลไป ตอนนี้เป็นเวลาสิบปีและกำลังจะย่างเข้าปีที่สิบเอ็ดแล้วที่ฮ่องเต้แห่งต้าเหิงทั้งสองรัชสมัยไม่เคยนำทัพด้วยตัวเอง ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ค่อยๆ ถูกละเลยไป โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในสายตาของกู้หยวนไป๋ เขาจะพลาดมันไม่ได้เด็ดขาด

คนที่โน้มน้าวได้ก็ถูกฮ่องเต้โน้มน้าวแล้ว ผู้ที่โน้มน้าวไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับโน้มน้าว สมาชิกครึ่งหนึ่งในราชสำนักเป็นผู้สนับสนุนที่แสนจงรักภักดี พวกเขาเต็มใจที่จะถอยหนึ่งก้าว แต่ก็ยังมิวายเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้

กู้หยวนไป๋ใช่ว่าไม่รับฟังคำชี้แนะของขุนนาง เหล่าขุนนางกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเขา แม้ว่ากู้หยวนไป๋จะมีความมั่นใจเพียงพอ ก็ต้องรับรองความปลอดภัยให้แก่เหล่าขุนนางเช่นกัน

ผ่านไปสองวันเขาได้เลือกเด็กห้าคนจากตระกูลที่เป็นเชื้อพระวงศ์เข้าวังหลวง

บรรดาเชื้อพระวงศ์คล้ายรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างเลือนราง ด้วยเหตุนี้จึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก กำชับเด็กๆ หลายครั้งหลายคราว่าให้เคารพฮ่องเต้ ทั้งยังให้ความเคารพอย่างใกล้ชิดประหนึ่งเป็นบิดามารดาของตน ต้องรู้ประสารู้มารยาท ห้ามงอแงเป็นอันขาด

เด็กทั้งห้าถูกสั่งสอนจนรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ระหว่างทางเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเด็กที่ไม่เชื่อฟัง

อย่างไรก็ดี ฮ่องเต้กลับมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เพียงแต่พาพวกเขาไปเยี่ยมชมอุทยานดอกไม้ ยังรั้งให้พวกเขาอยู่กินอาหารค่ำ ระหว่างอาหารค่ำก็ล้วนเป็นอาหารที่เหมาะสมกับเด็กๆ ทั้งสิ้น

เด็กทั้งห้าคนค่อยๆ ผ่อนคลายลง ทั้งยังแสดงความมีชีวิตชีวาระหว่างที่พูดคุยกับฮ่องเต้ ครั้นถึงเวลาที่พวกเขาควรจะออกจากวัง ฮ่องเต้ก็พระราชทานรางวัลให้พวกเขามากมาย มองดูพวกเขาจากไปด้วยรอยยิ้ม

เด็กๆ หอบของพระราชทานมากมาย จูงมือข้ารับใช้จากไปพร้อมกับใบหน้าแดงระเรื่อ ความปีติยินดีก่อตัวขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ

ข้ารับใช้เก็บชามและตะเกียบ เถียนฝูเซิงยกน้ำชามาให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาทคิดว่าคุณชายน้อยเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ

วันต่อมาเด็กอีกห้าคนจากตระกูลเชื้อพระวงศ์ก็เข้าวัง ครั้งนี้กู้หยวนไป๋กำลังรออยู่ที่ศาลาในอุทยานดอกไม้แล้ว ศาลาถูกผ้าโอบล้อมโดยรอบ ไฟจากกระถางไฟลุกโชน อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ

ขณะที่เด็กๆ มาถึงนอกศาลา กู้หยวนไป๋ชักมือออกจากมือของเซวียหย่วนพลางเคี้ยวกลีบดอกไม้เหนียวหนึบที่อยู่ในปาก “วันละครึ่งถุง มากกว่านี้ไม่ได้”

เซวียหย่วนฉวยโอกาสนี้นับกลีบดอกไม้ กล่าวอย่างทุกข์ระทม “ฝ่าบาท กระหม่อมเหลือกลีบดอกไม้แห้งเพียงสามถุงครึ่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ตกตะลึง “เจิ้นได้ให้กลีบดอกไม้ตากแห้งแก่เจ้าไปมากกว่าพันดอก!”

เซวียหย่วนจุปากด้วยเสียงหนึ่ง “น้อยลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นเสียงภายนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้หยวนไป๋ก็สั่งให้เซวียหย่วนออกไป เซวียหย่วนเลิกผ้าฝ้ายผืนหนาขึ้น หลังจากเดินออกไปก็สบสายตากับเด็กน้อยคนหนึ่งเข้า เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูคุ้นหน้า เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าเซวียหย่วนกำลังมองตนก็คำนับอย่างสุภาพ

แปลกเหลือเกิน เด็กในวังของเชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น มีเพียงขุนนางที่มีตำแหน่งโหวหรือคนในราชสกุลเท่านั้นที่จะคำนับตามลำดับอาวุโสและตำแหน่ง ทว่าเซวียหย่วนมิใช่เชื้อพระวงศ์ และไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เขาเลิกคิ้ว ก้าวไปเบื้องหน้ามองลงไปที่เด็กคนนี้ “เจ้ารู้จักข้ารึ”

“ข้าบังเอิญเห็นวันที่เหล่าแม่ทัพกลับนครหลวงพอดี” เด็กน้อยเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ท่านแม่ทัพกล้าหาญยิ่งยวด ชวนให้น่าใฝ่หาไม่รู้จบ”

ปากพูดว่าน่าใฝ่หา ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉยยิ่ง เขาดูเหมือนอายุเพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น ทว่าสามารถกล่าวคำเยินยอโดยหน้าไม่แดงและปราศจากความตื่นเต้นเช่นนี้ นับว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

เขามองเห็นร่องรอยการเลียนแบบเงาของฮ่องเต้ในเด็กคนนี้หลายส่วน เซวียหย่วนยกยิ้มมุมปาก จงใจกล่าวว่า “ฝ่าบาทก็เคยตรัสเช่นนี้กับข้า”

เด็กน้อยเงยหน้าพรวด แสดงอาการประหลาดใจ เขาระมัดระวังแต่ก็ไม่อาจข่มความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย “ฝ่าบาทก็ชมท่านแม่ทัพเช่นเดียวกับข้าหรือ”

“ฝ่าบาทก็ชมว่าข้ามีความกล้าหาญยิ่งยวด” เซวียหย่วนกล่าวอย่างมีนัยแอบแฝง “ให้ข้าอย่าได้หย่อนยานและปีนสู่จุดสูงสุดขึ้นไปอีก”

เด็กน้อยฟังวาจาสกปรกของเซวียหย่วนไม่ออก เขาเพียงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ตัวเองได้พูดแบบเดียวกันกับฮ่องเต้ ยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา จากนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดอย่างเชื่องช้าอีกครั้งว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย มันก็เป็นเช่นนี้ ท่านจะต้องปีนสู่จุดสูงสุดด้วยความกล้าหาญ”

เด็กคนนี้ชื่นชอบกู้หยวนไป๋อย่างแท้จริง

เซวียหย่วนเห็นว่ามันสมเหตุสมผลยิ่ง กู้หยวนไป๋ประเสริฐเพียงนั้น การที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะเคารพเขาย่อมเป็นเรื่องธรรมดา นี่ยังไม่พอ ทุกคนทั่วหล้าก็ควรจะเคารพรักกู้หยวนไป๋เช่นนี้

ทว่ากู้หยวนไป๋เป็นของเขาได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

เดิมทีนึกว่าได้ใกล้ชิดกันครั้งหนึ่งแล้วจะหยุดความปรารถนาและความกระหายได้ชั่วคราว ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เซวียหย่วนยิ่งหลงใหลในตัวกู้หยวนไป๋มากขึ้นทุกที หลงใหลถึงขั้นอาจสูญเสียจิตวิญญาณได้เพียงชั่วพริบตา กู้หยวนไป๋เพียงกระดิกนิ้ว หัวใจของเซวียหย่วนก็เต้นรัวเหมือนตีกลอง นี่มันดีกว่าในอดีตตรงที่ใด เห็นได้ชัดว่าอาการหนักหนากว่าในอดีตเสียอีก

ความทะเยอทะยานของหมาป่าถูกปกปิดไว้ เซวียหย่วนหลีกทางให้ลูกหลานเชื้อพระวงศ์เข้าไปในศาลา

 

ทันทีที่เด็กทั้งห้าคนเข้ามา ฮ่องเต้ก็วางตำราในมือลง มองไปยังพวกเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “หนาวหรือไม่”

เด็กๆ หน้าแดง ส่ายหน้าอย่างระมัดระวัง กู้หยวนไป๋ให้พวกเขาเข้ามาข้างหน้า ถวายการคำนับทีละคน ขณะที่หนึ่งในพวกเขาเรียกว่า ‘เสด็จอา’ ออกมานั้น กู้หยวนไป๋ก็ตกตะลึงทันใด “เจิ้นเคยเห็นเจ้าที่ใดหรือไม่”

เด็กน้อยผู้จริงจังทำความเคารพกู้หยวนไป๋ ทว่าหูกลับแดงก่ำแล้ว “เสด็จอา หลานชายเคยพบท่านในวังฤดูร้อนพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋นึกออกแล้ว

ขณะที่เขาถูกเซวียหย่วนจูงมายังหน้าห้องบรรทมของหวั่นไท่เฟย มีเด็กคนหนึ่งในบรรดาลูกหลานของเชื้อพระวงศ์อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เสด็จอามาแล้ว!”

ก็คือเด็กคนนี้นี่เอง

กู้หยวนไป๋นึกถึงหวั่นไท่เฟยขึ้นมา ข่มความเศร้าโศกไว้ รอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เขาลูบๆ ศีรษะของเด็กคนนี้ “เจ้ามีนามว่าอะไร”

เด็กน้อยพยายามข่มตัวเองให้สงบนิ่ง “เสด็จอา หลานมีนามว่ากู้หรานพ่ะย่ะค่ะ”

“กู้หราน” กู้หยวนไป๋พยักหน้าน้อยๆ ยิ้มเอ่ย “เป็นนามที่ดี”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 26 .. 65

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: