X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2

เรื่องที่ว่าเหตุใดจอมมารหนุ่มจึงถูกลงโทษให้คุกเข่า ความทรงจำที่หลีซูซูได้รับมาเป็นเช่นนี้…

เมื่อครึ่งเดือนก่อน เจ้าของร่างเดิมเยี่ยซีอู้กับพี่สาวสายรองของนางเยี่ยปิงฉางตกลงไปในทะเลสาบด้วยกัน

สุดท้ายองค์ชายหกกระโดดลงไปช่วยพี่สาวสายรอง บัณฑิตจ้วงหยวน* ก็กระโดดลงไปช่วยพี่สาวสายรอง มิหนำซ้ำสามีของเจ้าของร่างเดิม ถานไถจิ้นที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน กระโดดลงไปในทะเลสาบแล้วก็ยังว่ายไปหาพี่สาวสายรองของนาง

ท้ายที่สุดเป็นองครักษ์ลับของเจ้าของร่างเดิมเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย จึงช้อนตัวเจ้าของร่างเดิมขึ้นมา

เจ้าของร่างเดิมเกือบจมน้ำตาย กลับมาแล้วบันดาลโทสะเป็นการใหญ่ นางมิอาจระบายอารมณ์กับองค์ชายหกและบัณฑิตจ้วงหยวน จึงได้แต่เอาโทสะมาลงกับถานไถจิ้น

นางสั่งให้ถานไถจิ้นไปคุกเข่าบนผิวทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง นางยกโทษให้เขาเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจึงจะลุกขึ้นมาได้

ทว่าการลงโทษยังมิได้เริ่มขึ้น เจ้าของร่างเดิมก็ถูกไอเย็นจนล้มป่วย ท่านย่าพานางกับถานไถจิ้นไปจุดธูปไหว้พระขอพรที่วัด

ไม่คิดว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เจ้าของร่างเดิมถูกโจรภูเขาจับตัวไป

บัดนี้กลับมาแล้ว การลงโทษย่อมต้องดำเนินต่อไป

หลีซูซูลูบหน้าอก อยากออกไปดูจอมมารหนุ่มคุกเข่ารับโทษ

นี่ต้องเป็นสิทธิพิเศษของนางที่ทะลุมิติมาห้าร้อยปีแน่ๆ!

หากว่ามีไข่มุกรวบรวมเงา นางจะต้องเก็บภาพเงาเอาไว้และนำกลับไปให้อาจารย์อาและอาจารย์ลุงทั้งหลายดูแน่ โลกบำเพ็ญเซียนของพวกเราได้ระบายความแค้นแล้ว!

 

ถานไถจิ้นคุกเข่าบนพื้นน้ำแข็ง

สองวันก่อนตอนเขากลับมา พ่อบ้านจวนแม่ทัพใหญ่เยี่ยยิ้มเอ่ยว่า “หวังว่าจื้อจื่อคงมิได้ลืมวาจาของคุณหนูสาม”

เขาไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ก้มหน้าหลุบตาและเดินไปคุกเข่าบนผิวทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง

เพียงครู่เดียว ไอเย็นก็ทำให้ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นขาวซีดเกินบรรยาย

เหมันต์ปีนี้หนาวเย็นกว่าที่ผ่านมา สาวใช้สองสามคนเดินผ่านริมทะเลสาบแอบซุบซิบกันว่า “คุณหนูสามลงโทษจื้อจื่ออีกแล้วหรือ”

“ไฉนเพิ่งกลับจากวัดเทียนหวา คุณหนูสามก็ลงโทษให้จื้อจื่อคุกเข่าอีกแล้ว จื้อจื่อช่างน่าสงสารเหลือเกิน”

“ชู่ว์ เบาๆ หน่อย เจ้าไม่กลัวคุณหนูสามจะได้ยินหรือ”

ตั้งแต่คุณหนูสามกับจื้อจื่อแต่งงานกัน คุณหนูสามมักจะลงโทษเขา

ผู้คนต่างรู้ว่าคุณหนูสามมีใจให้องค์ชายหก และชิงชังจื้อจื่อยิ่งนัก

คุณหนูสามเป็นบุตรีที่แม่ทัพใหญ่เยี่ยรักใคร่มากที่สุด ส่วนจื้อจื่อถานไถจิ้นเป็นโอรสที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวเกลียดชังมากที่สุด

ตลอดหลายปีที่จื้อจื่ออาศัยอยู่ในแคว้นซย่า แม้กระทั่งบ่าวไพร่ยังรังแกเขาได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงคุณหนูสามเยี่ยซีอู้ผู้เป็นที่รักใคร่ตามใจมากที่สุด

เวลาไม่ชอบหน้าใครคนหนึ่ง จะมิใช่สามารถกลั่นแกล้งได้ตามใจชอบหรือ

สายตาที่เหล่าสาวใช้มองถานไถจิ้น โดยมากเป็นความเวทนา

เด็กหนุ่มรูปงามยามปกติจิตใจกว้างขวางรู้มารยาทยิ่งนัก ทั้งยังไม่วางท่าจองหองแม้แต่น้อย ชาติกำเนิดเขาเดิมน่าสงสารอยู่แล้ว บัดนี้ยังถูกทรมานเช่นนี้บ่อยครั้ง

ต่อให้แม่ทัพใหญ่เยี่ยรู้เรื่องพวกนี้ อย่างมากก็แค่อบรมบุตรีสุดที่รักมากขึ้นหน่อย ก่อนจะจบเรื่องไปอย่างคลุมเครือ

หิมะที่ตกหนักปกคลุมสนเขียวไกลที่อยู่ออกไป ถานไถจิ้นไอออกมาหนึ่งที ไอหนาวแทรกเข้าสู่ปอด ทิ่มแทงจนลมหายใจเต็มไปด้วยความเจ็บแปลบ

น้ำแข็งใต้หัวเข่าเย็นเฉียบจนกระดูกเขาเจ็บระบม บนเส้นผมดำขลับของเด็กหนุ่มมีเกล็ดน้ำแข็งจับอยู่ชั้นหนึ่ง

ถานไถจิ้นคุกเข่ามานานเกินไป ความเจ็บที่หัวเข่าทำให้เขาเปล่งเสียงครางทุ้มต่ำ เขายันพื้นน้ำแข็งพยายามประคองร่างกายไว้

ผิวน้ำแข็งสะท้อนใบหน้าเขา เป็นภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อ่อนแอไร้พิษภัยดวงหนึ่ง

เขาคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ตอนเขาอุ้มคุณหนูสามกลับมาจากรังโจร ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเยี่ยใบหน้าเขียวคล้ำเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายออกไปทั้งนั้น หากให้ข้ารู้ว่าเรื่องนี้หลุดออกไปจากปากใคร สกุลเยี่ยจะไม่ละเว้นคนผู้นั้นแน่นอน!”

ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าเฉียบขาด ดวงตาฉายแววน่าเกรงขามเข้มข้น

หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ามองมาทางเขาอย่างปลอบประโลม “หมัวมัว* ในจวนตรวจดูแล้ว เสื้อผ้าบนตัวซีอู้ยังอยู่ครบสมบูรณ์ มิได้เกิดเรื่องที่ผิดต่อเจ้าอย่างแน่นอน”

“ท่านย่ากังวลเกินไปแล้ว ข้าย่อมต้องเชื่อใจซีอู้อยู่แล้วขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

เรื่องที่คุณหนูสามถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปถูกปกปิดไว้เช่นนี้เอง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังคงสืบต่อ

ถึงอย่างไรก็มีองครักษ์สกุลเยี่ยติดตามไปคุ้มกันด้วย หลายปีมานี้ยังไม่เคยเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้มาก่อน

ไฉนโจรภูเขาจึงหมายตาคุณหนูสามของพวกเขา เรื่องนี้ไม่ว่าขบคิดอย่างไรก็ล้วนไม่ปกติ อาศัยโจรกระจอกกลุ่มนั้น ไม่มีทางที่จะพาตัวเยี่ยซีอู้ไปได้อย่างง่ายดาย

แต่ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสืบอย่างไร ก็ล้วนไม่ได้คำตอบ เรื่องนี้จึงได้แต่สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ

หลีซูซูมาที่ริมทะเลสาบ มองปราดเดียวก็เห็นตัวต้นเหตุแห่งหายนะในวันข้างหน้า

เด็กหนุ่มอยู่บนผิวทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ใกล้จะทนไม่ไหวเต็มที ใบหน้าเขาซีดเผือด ริมฝีปากไม่แดงสดอีกแล้ว ทั้งยังเริ่มเป็นสีคล้ำ

ด้วยรู้สึกว่ามีคนกำลังมองตน เด็กหนุ่มจึงเหลือบตาขึ้น ประสานสายตากับหลีซูซูพอดี

เด็กสาวสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เนื้อนุ่มสีขาวบริสุทธิ์พลางเอียงคอพิจารณาเขา

สองคนสบตากันจากระยะไกลโดยมีผิวทะเลสาบคั่นกลาง

ถานไถจิ้นพลันมองเห็นว่าดวงตาของนางโค้งลงเป็นรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าพึงพอใจกับทิวทัศน์ของหิมะฤดูหนาวในจวน หรือพึงพอใจกับสภาพอเนจอนาถของเขาในทะเลสาบ

ชุนเถาที่อยู่ข้างกายหลีซูซูเห็นแล้วทนมิได้ จึงใช้ความกล้าหาญทั้งหมดที่มีในชีวิตเอ่ยปากขอความเมตตา “จื้อจื่อคุกเข่ามาสองวันแล้ว ขืนยังคุกเข่าต่อไป เกรงว่าร่างกายจะบาดเจ็บได้ จะให้เรียกจื้อจื่อขึ้นมาหรือไม่เจ้าคะ”

หลีซูซูส่ายหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “เขาดูสดชื่นจะตาย ท่าทางน่าจะยังคุกเข่าได้อีกหลายวันหลายคืน”

ชุนเถาพูดไม่ออก “…” คุณหนูสามพูดจริงหรือไม่

แน่นอนว่าหลีซูซูจริงจัง นางลูบศีรษะชุนเถา

เจ้าไม่รู้อะไร แม่นางน้อยอย่างเจ้า หากถือกำเนิดในโลกอนาคต แค่ได้ยินชื่อเขา คงจะตกใจกลัวจนเป็นลมไปด้วยซ้ำ ไม่มีทางเห็นใจเขาหรอก

คุกเข่าให้ท่อนล่างใช้งานไม่ได้ถึงจะดี ดูซิว่าวันหน้าเขาจะกลายเป็นจอมมารอย่างไร!

นางมองถานไถจิ้นแวบหนึ่ง มิได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้นก็หันหลังสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

พอเห็นแผ่นหลังของเด็กสาวหายลับไปบนระเบียงทางเดินยาวใต้หลังคา ถานไถจิ้นก็เม้มปากแน่น ดึงสายตากลับมา

 

หลีซูซูไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่า

ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน เนื่องจากศรัทธาในพุทธะ ในห้องจึงมีกลิ่นจันทน์ขาวลอยอวล

ตอนหลีซูซูเข้าไป ในห้องยังมีหญิงสาววัยกำดัดในชุดเขียวยืนอยู่ผู้หนึ่ง

เดิมแม่นางชุดเขียวบีบนวดไหล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ครั้นเห็นหลีซูซูเข้ามาก็หยุดมือ

หลีซูซูจำแนกคนไม่ได้ จึงมิได้ส่งเสียง แม่นางผู้นั้นกลับเป็นฝ่ายผงกศีรษะให้นางพลางร้องเรียกเสียงแผ่ว “น้องหญิงสาม”

ที่แท้เป็นคุณหนูรองที่เกิดจากอนุของสกุลเยี่ย เยี่ยหลันอิน

หลีซูซูพยักหน้าเอ่ยทักทายว่า “พี่หญิงรอง”

เยี่ยหลันอินไม่คิดว่าหลีซูซูจะทักตอบ นางรู้สึกประหลาดใจ จึงชำเลืองมองหลีซูซูแวบหนึ่งอย่างประหม่า และยอบกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า ไว้พรุ่งนี้หลันอินค่อยมาไหว้พระเป็นเพื่อนท่านใหม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือนางเบาๆ และพยักหน้า

หลีซูซูกระจ่างแจ้งในที่สุด เจ้าของร่างเดิมเป็นจอมเผด็จการน้อยในบ้านสกุลเยี่ย เมื่อนางมา เยี่ยหลันอินก็ต้องหลีกทางให้

แค่ตนเรียกเยี่ยหลันอินคำหนึ่งว่า ‘พี่หญิงรอง’ ก็ล้วนทำให้ผู้อื่นประหวั่นลนลาน จิตใจกระวนกระวาย

ปกติเจ้าของร่างเดิมน่ากลัวถึงเพียงใดกันแน่นะ

พอเยี่ยหลันอินจากไป ใบหน้าเข้มงวดของฮูหยินผู้เฒ่าก็ฉายแววโอบอ้อมอารีขึ้นไม่น้อย “ยายหนูสาม มาให้ย่าดูหน่อย ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือยัง”

หลีซูซูเดินเข้าไปหาพร้อมตอบว่า “ขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วง ร่างกายของซีอู้ไม่เป็นไรแล้ว หลายวันนี้ทำให้ท่านย่าเป็นกังวลแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้มหน้าผากนางอย่างชิดใกล้ “ย่าอายุมากแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี เจ้าเด็กคนนี้ ช่วยทำให้ย่าเป็นห่วงน้อยลงหน่อยเถิด”

หลีซูซูบีบนวดไหล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าร่างกายแข็งแรง คนไม่รู้ยังนึกว่าเป็นท่านแม่ของข้าเสียอีก ท่านต้องอยู่ปกป้องซีอู้ตลอดไป”

“ปากไม่มีหูรูด พูดเหลวไหลอะไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าแสร้งทำทีตำหนิ แต่รอยยิ้มในดวงตาปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด

ภรรยาเอกของแม่ทัพใหญ่เยี่ยนั้นหลังจากให้กำเนิดเจ้าของร่างเดิมก็เสียชีวิต แม่ทัพใหญ่เยี่ยมิได้แต่งภรรยาใหม่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงอุ้มเจ้าของร่างเดิมมาเลี้ยงดูข้างกายจนเติบใหญ่

เด็กที่ตนเองเลี้ยงมากับมือ กล่าวได้ว่าอมไว้ในปากยังกลัวละลายจริงแท้ นางจึงลำเอียงอย่างยิ่ง

ที่เจ้าของร่างเดิมยโสโอหังถึงเพียงนี้ ความรักใคร่จากท่านย่ามีส่วนอย่างมาก เจ้าของร่างเดิมก็เฉลียวฉลาด ปกติแม้จะร้ายกาจเพียงใด แต่กลับรู้จักประจบเอาใจผู้สูงวัยเป็นอย่างดี

แคว้นซย่าส่งเสริมหลักความกตัญญู แม่ทัพใหญ่เยี่ยเป็นบุตรกตัญญูที่เลื่องชื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเยี่ยเห็นเยี่ยซีอู้เหมือนแก้วตาดวงใจ พลอยทำให้แม่ทัพใหญ่เยี่ยรักใคร่เอ็นดูบุตรีสายตรงเพียงหนึ่งเดียวผู้นี้ตามไปด้วย

“เรื่องในวัดย่าสั่งให้พวกบ่าวไพร่ปิดปากแล้ว เจ้าเองก็อย่าเที่ยวพูดส่งเดช ชื่อเสียงของสตรีเป็นสิ่งสำคัญ”

หลีซูซูพยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านย่า”

ในสกุลเยี่ย ฮูหยินผู้เฒ่ารักเจ้าของร่างเดิมจริงๆ คิดถึงความปรารถนาของเจ้าของร่างเดิม วันข้างหน้าหลีซูซูจะพยายามดีต่อฮูหยินผู้เฒ่า

เงียบไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อว่า “เจ้าเองก็ต้องรู้จักคิดบ้าง ไปปลอบโยนจื้อจื่อหน่อย เกิดเรื่องเช่นนี้กับภรรยา ในใจเขาย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะมีความกังขา”

หลีซูซูคิดถึงเด็กหนุ่มที่ถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่บนทะเลสาบน้ำแข็ง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมเป็นสามีภรรยากับจอมมารในวัยเยาว์เด็ดขาด กินอิ่มไม่มีอะไรทำน่ะซี ถึงจะได้ไปปลอบโยนเขา

ทว่ายามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางมิอาจพูดเช่นนี้ ได้แต่ผงกศีรษะอย่างว่าง่าย “ซีอู้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้ม

“ท่านย่า หาตัวอิ๋นเชี่ยวพบหรือยังเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าแววตาวูบไหว ก่อนยิ้มตอบ “เด็กคนนั้นน่ะหรือ ตามตัวกลับมาได้แล้ว ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ย่าส่งนางไปที่หมู่บ้านเกษตรแล้วละ อิ๋นเชี่ยวถึงวัยออกเรือนตั้งนานแล้ว ครั้งนี้นางปกป้องเจ้านายอย่างกล้าหาญ ย่อมมิอาจปล่อยให้นางเสียเวลาอยู่ในจวนอีกต่อไป”

ฮูหยินผู้เฒ่าทอดถอนในใจ เรื่องระคายหูพวกนี้ ทางที่ดีชั่วชีวิตนี้อย่าให้ซีอู้ต้องรับรู้เลย

หลีซูซูอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า จึงมองไม่เห็นสีหน้าของผู้ชรา นางฟังแล้วโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี”

“เรื่องงานเลี้ยงในวังก่อนหน้านี้ย่ายังไม่ได้ว่าเจ้าเลย พี่หญิงใหญ่ของเจ้าออกเรือนไปแล้ว เจ้าจะไปหาเรื่องนางอีกด้วยเหตุใด นี่ยังจะตกลงไปในน้ำกับนางอีก ย่ารู้ว่าแต่ก่อนเจ้าชมชอบองค์ชายหก แต่ตอนนี้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเป็นชายารองขององค์ชายหกแล้ว เจ้าเองก็แต่งให้ถานไถจิ้นแล้ว เชื่อย่าเถอะนะ ต่อไปอยู่ห่างจากองค์ชายหกให้มากหน่อย”

หลีซูซูเกือบจะสำลักน้ำลาย

ใช่ เจ้าของร่างเดิมนอกจากนิสัยเสียแล้ว ปัญหาร้ายแรงที่สุดคือนางชอบบุรุษของพี่สาวตนเองอย่างองค์ชายหก

แม้ต่างฝ่ายต่างแต่งงานไปแล้วก็ไม่ยอมตัดใจ เจ้าของร่างเดิมทั้งหาเรื่องทั้งปองร้ายพี่สาวสายรอง ไม่ขาดไปสักอย่าง

ส่วนถานไถจิ้นกลับพึงใจพี่สาวสายรองของนาง

ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงเสียนี่กระไร พวกเขาสองสามีภรรยาต่างก็หมายปองสามีภรรยาของผู้อื่น ทว่ามิอาจได้มาครอบครอง

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางไม่ส่งเสียงตอบ คิดว่านางยังคิดไม่ตก จึงตีหลังมือนางอย่างไม่ได้ดังใจ “รับปากย่ามาเดี๋ยวนี้”

“เจ้าค่ะ ซีอู้ทราบแล้ว ต่อไปจะอยู่ให้ห่างจากองค์ชายหกแน่นอนเจ้าค่ะ” ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูด หลีซูซูก็ไม่มีทางแย่งชิงองค์ชายหกอะไรนั่นกับพี่สาวสายรองอยู่แล้ว

หลีซูซูรับคำเร็วเกินไป ฮูหยินผู้เฒ่ากลับบังเกิดความเคลือบแคลง ซีอู้ชมชอบองค์ชายหก แทบจะเรียกได้ว่าถึงขั้นจะเป็นจะตาย ไฉนจึงยอมตัดใจง่ายๆ

“เจ้าเด็กคนนี้ คงมิใช่หลอกให้ย่าสบายใจกระมัง”

สองแก้มของหลีซูซูบุ๋มลงเป็นลักยิ้มตื้นๆ “มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อ “พิสูจน์ให้ย่าเห็น หยุดลงโทษจื้อจื่อได้แล้ว ย่าได้ยินมาว่าเจ้าให้เขาไปคุกเข่าบนทะเลสาบน้ำแข็ง ข้างนอกหนาวเย็นถึงเพียงนั้น นี่ใช่เรื่องที่แม่นางน้อยคนหนึ่งพึงกระทำอย่างนั้นหรือ หากเรื่องแพร่ออกไปย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า ฐานะของเขาไม่ดีก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสามีเจ้า จะทรมานจนถึงตายได้อย่างไร ต่อไปเจ้าจงสำรวมจิตใจ ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี จึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

หลีซูซูเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองตนอย่างยืนกราน ต้องให้นางพยักหน้าให้จงได้

นางจึงถอนหายใจหนึ่งที “เจ้าค่ะ”

 

เยี่ยหลันอินเดินออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า

สาวใช้ของนางนามว่าเฉี่ยวเอ๋อร์ปรี่เข้ามารับ “คุณหนูรอง วันนี้ไฉนจึงออกมาเร็วปานนี้เจ้าคะ”

“น้องหญิงสามมาน่ะ”

เฉี่ยวเอ๋อร์เข้าใจทันทีพลางเอ่ยอย่างปวดใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงเกินไปแล้ว”

พอเห็นเยี่ยหลันอินมิได้ห้ามปราม เฉี่ยวเอ๋อร์จึงพูดต่อ “คุณหนูสามผลักคุณหนูใหญ่ตกน้ำต่อหน้าองค์ชายหก ฮูหยินผู้เฒ่ายังกดเรื่องนี้เอาไว้ แต่ก่อนล้วนคิดว่าคุณหนูสามจะต้องเป็นชายาเอกขององค์ชายหกแน่ ไม่คิดว่าเพียงพริบตาองค์ชายหกจะรับคุณหนูใหญ่เป็นชายารอง”

แววตาของเยี่ยหลันอินวูบไหว นั่นสินะ

ใครๆ ต่างคิดไม่ถึงว่าองค์ชายหกจะมาเจรจาสู่ขอ อีกทั้งบุคคลที่ขอกลับเป็นบุตรีคนโตสายรองของสกุลเยี่ย เยี่ยปิงฉาง

ถึงอย่างไรเยี่ยปิงฉางก็เป็นบุตรีสายรอง มิอาจเป็นชายาเอกขององค์ชายได้ จึงได้แต่เป็นชายารอง

ทว่าตอนนั้นเยี่ยหลันอินมองจากไกลๆ ยังเห็นว่าในดวงตาขององค์ชายหกเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อพี่หญิงใหญ่

พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยหลันอินกำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยความแค้น

ล้วนเป็นบุตรีสายรองเหมือนกัน เยี่ยปิงฉางสามารถเป็นที่รักใคร่ให้เกียรติขององค์ชายได้ ตนกลับได้แต่ประจบเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า ฝากความหวังว่านางจะสามารถหาคู่ครองที่ดีสักหน่อยให้กับตนในวันข้างหน้า

เยี่ยหลันอินอัดอั้นใจยิ่งนัก จวบจนเห็นถานไถจิ้นบนพื้นน้ำแข็ง สีหน้านางจึงดีขึ้นเล็กน้อย

แม้แต่บนใบหน้าของเฉี่ยวเอ๋อร์ ยังเผยรอยยิ้มยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น

คุณหนูสามเป็นบุตรีสายตรงเพียงคนเดียวในจวนแม่ทัพแล้วอย่างไร แต่งให้กับจื้อจื่อที่ต่ำต้อยถึงเพียงนี้ ครึ่งชีวิตที่เหลือยังจะมีลาภยศสรรเสริญใดๆ ให้พูดถึงอีก

ผู้คนต่างรู้ว่าถานไถจิ้นมาเป็นตัวประกันที่แคว้นซย่าตั้งแต่อายุหกขวบ ถูกขังอยู่ในวังมาโดยตลอด ได้ยินว่าเขาเคยล้างเท้าให้ขันที แม้แต่อาหารสุนัขก็เคยกินมาแล้ว

คนต่ำต้อยเช่นนี้ บางทีอาจไม่รู้หนังสือสักตัวด้วยซ้ำ ไหนเลยจะเทียบกับองค์ชายหกที่เพียบพร้อมทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ได้แม้แต่ครึ่งส่วน

เดือนแรกที่แต่งให้เขา คุณหนูสามฟูมฟายอยู่นาน ทั้งอาละวาดทั้งก่นด่า

สองเดือนมานี้เพิ่งจะดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่เห็นถานไถจิ้นเป็นคนอยู่ดี

เยี่ยหลันอินใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก บดบังรอยยิ้มมุมปากไว้

แคว้นซย่าส่งเสริมวิชายุทธ์ ได้ยินว่าถานไถจิ้นผู้นั้นแก่นกระดูกถูกทำลายตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก บัดนี้มือไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่

เด็กหนุ่มที่อ่อนแอต้อยต่ำเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อน น้องหญิงสามของนางที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เกรงว่าแม้แต่มองยังไม่มองด้วยซ้ำไป

สักวันท่านย่าก็ต้องตายจากไป จื้อจื่อผู้หนึ่งที่ไม่มีแม้กระทั่งวังของตนเอง ถึงเวลาจะให้อะไรกับเยี่ยซีอู้ได้ ชีวิตนี้ของเยี่ยซีอู้ยังมิใช่ต้องถูกผู้อื่นเคี่ยวกรำตามอำเภอใจหรือ

เฉี่ยวเอ๋อร์พูดขึ้น “ได้ยินว่าจื้อจื่อคุกเข่าบนน้ำแข็งมาสองวันแล้ว ดูจากสีหน้าเขา เกรงว่าคงใกล้จะทนไม่ไหวเต็มที คุณหนูรอง จะมอบชุดคลุมกันลมให้เขาสักตัวหรือไม่เจ้าคะ”

ยามปกติ เยี่ยหลันอินชอบแสดงน้ำใจต่อบ่าวไพร่มาก ชื่อเสียงภายในจวนดียิ่ง

นิสัยอ่อนโยนจิตใจงดงาม ย่อมได้ใจจากผู้คนมากกว่าคุณหนูสามเยี่ยซีอู้มากนัก

เยี่ยหลันอินมีใจจะทำเช่นนั้นหลายส่วน นางมองไปยังถานไถจิ้น

ฐานะของจื้อจื่อมิน่าเปิดเผยต่อผู้ใด แต่ใบหน้าเขากลับไม่เลวทีเดียว เทียบกับนางที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง ยังประณีตน่ามองยิ่งกว่า

เยี่ยหลันอินผงกศีรษะ อนุญาตให้เฉี่ยวเอ๋อร์ไปจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ตัวนางเองกลับยืนอยู่บนศาลารับลม พยักหน้าให้จื้อจื่ออย่างอ่อนโยน

ถานไถจิ้นมองเห็นคุณหนูรองของจวนเช่นเดียวกัน

เฉี่ยวเอ๋อร์ถือชุดคลุมกันลมสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง ย่ำไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างระวัง เดินตรงไปหาเขา

 

หลีซูซูกลับจากอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าพอดี จึงเห็นภาพนี้เข้า

พี่หญิงรองของนางกำลังแสดงน้ำใจต่อจอมมารในวัยเยาว์

นางย่ำเท้าเดินเข้าไปพลางเอ่ย “พี่หญิงรอง ท่านทำอะไรน่ะ”

เยี่ยหลันอินตกใจสะดุ้ง ไม่คิดว่าหลีซูซูจะออกมาเร็วปานนี้ ตนเองถูกจับได้คาหนังคาเขา

นางรีบเอ่ยว่า “น้องหญิงสาม เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเห็นว่าอากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ อีกทั้งหิมะก็เริ่มตกแล้ว จื้อจื่อคุกเข่ากลางอากาศหนาวเหน็บ หากมีอันตรายถึงชีวิตจะไม่ดีนัก ดังนั้นจึงให้เฉี่ยวเอ๋อร์นำชุดคลุมกันลมไปให้เขา”

หลีซูซูถามถานไถจิ้นที่อยู่บนพื้นน้ำแข็ง “ยังทนไหวหรือไม่ ชุดคลุมกันลมที่พี่หญิงรองมอบให้เจ้า เจ้าต้องการหรือไม่”

หลีซูซูในฐานะแสงสว่างแห่งฝ่ายธรรมะ รู้สึกชิงชังสารเลวที่ในอนาคตจะสร้างความโกลาหลให้กับสามพิภพผู้นี้ยิ่งนัก

ถานไถจิ้นชำเลืองมองหลีซูซูแวบหนึ่งพลางตอบเยี่ยหลันอินว่า “ขอบคุณในความปรารถนาดีของคุณหนูรอง ข้าผู้น้อยไม่หนาว”

นี่ก็คือการปฏิเสธ

เยี่ยหลันอินกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่รบกวนน้องหญิงสามกับจื้อจื่อแล้ว” นางทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหว จึงพาเฉี่ยวเอ๋อร์จากไป

หลีซูซูกระชับชุดคลุมกันลมนุ่มฟูบนร่างให้แน่น นางหลุบตามองจอมมารที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า

การสังหารเขาอาจเป็นความใฝ่ฝันของทุกผู้ทุกคนในโลกบำเพ็ญเพียร เบื้องบนไปจนถึงองค์เหนือหัว เบื้องล่างไปจนถึงเด็กน้อย

นี่ก็เป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่หลีซูซูตั้งไว้ในใจตั้งแต่เด็กเช่นกัน!

เวลานี้เขาดูอ่อนแอมิอาจทนการโจมตีใดๆ ได้ จอมมารในวัยเยาว์เปราะบางเหมือนทารกกระนั้น

เด็กสาวฝ่ายธรรมะทำท่าจะลงมือ

เคราะห์ดีที่หลีซูซูสะกดความคิดนี้ไว้ได้อย่างหวุดหวิด

ผู้บำเพ็ญเพียรล้วนมีแก่นวิญญาณ เฉกเช่นเดียวกับมารโดยกำเนิดที่ย่อมมีกระดูกมาร

เหล่าผู้อาวุโสเคยบอกว่าหากไม่กำจัดกระดูกมารของจอมมาร ต่อให้สังหารเขาแล้ว เขายังคงสามารถดูดซับไอแค้นทั่วฟ้าดินและเกิดใหม่ได้

นั่นก็หมายความว่าการฆ่าเขากลับเป็นการทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิม

นางต้องหาวิธีกำจัดกระดูกมารให้ได้เสียก่อน

ถานไถจิ้นรู้สึกถึงไอสังหารอย่างเลือนราง เขาเหลือบตาขึ้นก็เห็นเด็กสาวเบนสายตาออกไปแล้ว

จากสายตาเขา มองเห็นเพียงพวงแก้มครึ่งซีกของนาง ยังมีใบหูขาวสะอาดที่เปิดเผยอยู่ภายนอก ริมฝีปากนางยื่นออกมานิดๆ คล้ายกำลังไม่พอใจ ปากคู่นั้นดูนุ่มเนียน จิ้มลิ้มน่ารัก

ท่าทางเช่นนี้ ดูไม่สอดคล้องกับความร้ายกาจของนางแม้แต่น้อย

ถานไถจิ้นหนาวจนไร้ซึ่งความรู้สึก ร่างกายล้มลงบนพื้นน้ำแข็งกะทันหัน

เด็กสาวผู้สูงศักดิ์ชะงักครู่หนึ่ง มิได้มองเขาและเดินผ่านข้างกายเขาไป

เขาขดตัวอยู่บนพื้น ในครรลองสายตา บนรองเท้าปักลายสีชมพูของเด็กสาว ดอกท้อสีขาวอมชมพูผลิบานดอกแล้วดอกเล่า

ล้วนเปี่ยมด้วยพลังชีวิต

 

ตอนกลางคืนแม่ทัพใหญ่เยี่ยมิได้กลับจวน ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่กระปรี้กระเปร่านัก จึงบอกให้ทุกคนกินอาหารค่ำที่เรือนของตนเอง

หลีซูซูอาบน้ำเสร็จ ชุนเถาก็ปรนนิบัตินางเข้านอน

ชุนเถาปล่อยผมให้นาง เห็นคิ้วตาของนางดูงดงามน่ารักยิ่งนักภายใต้แสงไฟ จึงอดเอ่ยชมมิได้ “เส้นผมของคุณหนูสามทั้งลื่นทั้งนุ่ม”

พอชมเสร็จก็ตกใจ เกรงว่าคุณหนูสามจะโมโหหาว่านางไม่รู้ธรรมเนียมมารยาท ไม่คิดว่าคุณหนูสามจะยิ้มจนคิ้วตาโค้งลงทั้งยังเอ่ยว่า “เส้นผมของชุนเถาก็งามเช่นกัน”

เด็กสาวอีกคนที่ชื่อสี่สี่วิ่งเข้ามา ย่อกายให้หลีซูซูและงึมงำเสียงเบาเหมือนเสียงยุง “ฮูหยินผู้เฒ่าให้คน…ส่งตัวจื้อจื่อกลับมาเจ้าค่ะ”

หลีซูซูเหลือบตาขึ้น เห็นถานไถจิ้นเดินเข้ามาในเรือนตามคาด

เกล็ดน้ำแข็งบนผมของเด็กหนุ่มเพิ่งละลาย เมื่อสัมผัสกับความอบอุ่นภายในห้องก็กลายเป็นหยดน้ำหยดแล้วหยดเล่า

เขานำพาไอหนาวเย็นจากลมหิมะข้างนอกมาด้วย เม้มปากมองหลีซูซูอย่างอึดอัด

ตอนนี้ยังไม่ถึงยามโหย่ว* แต่เนื่องจากอากาศเหน็บหนาว ท้องฟ้ามืดเร็ว ข้างนอกจึงมืดสนิทแล้ว

พอเขาเข้ามา อากาศดูเหมือนจะนิ่งชะงัก

ชุนเถากับสี่สี่รีบพูด “คุณหนูสาม พวกบ่าวขอตัวเจ้าค่ะ”

ชุนเถากับสี่สี่ปิดประตู

ถานไถจิ้นเอ่ยถามน้ำเสียงแหบพร่า “คุณหนูสามหายโมโหหรือยัง”

หลีซูซูไม่ชอบหน้าเขา นางส่ายหน้าตอบ “ยัง”

เขาหลุบตาลง ขนตาดำเข้มดุจขนอีกาแผ่คลุมดวงตา ความอบอุ่นภายในห้องกลับทำให้มือเท้าของเขาที่ถูกความเย็นจนเป็นแผลทั้งเจ็บทั้งคัน ผิวกลายเป็นสีแดงวงใหญ่

หลีซูซูชำเลืองมองแวบหนึ่ง แค่นเสียงเบาๆ ในใจ จอมมารไม่น่าสงสารสักหน่อย

นางเคยรักษาลูกเหยี่ยวปีกหัก เด็กน้อยที่ไม่สบาย ผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลน

แต่กฎเหล็กข้อแรกของพิภพเซียน แม่นางน้อยที่บำเพ็ญเพียร ห้ามเห็นใจจอมมารที่อ่อนแอเป็นอันขาด

 

 

* การสอบขุนนางในจีนสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับชั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา

* หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังหลวงด้วย

* ยามโหย่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. ถึง 19.00 น.

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 65  เวลา 12.00 .

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: