X
    Categories: everYทดลองอ่านเขตห้ามรักฉบับเบต้า

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.3-3.1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1

ผู้เขียน : MINTRAN

แปลโดย : ทันบี

ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม การบูลลี่

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 2.3

 

ในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็ออกไปจากตรงนั้นด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ปัญหาใหม่จึงเกิดขึ้นมาแทน ถ้าสองคนนั้นไปทำงานนอกสถานที่นานขึ้น เอกสารของพวกผมที่จะต้องได้รับการอนุมัติก็จะถูกเลื่อนจนล่าช้าออกไปด้วย ตอนนี้ทุกคนต่างมีเมฆดำครึ้มปกคลุมบนใบหน้า ส่วนผมเองก็ได้แต่กระวนกระวายใจ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนเลิกงาน เรื่องทั้งหมดนี้จะสามารถแก้ไขได้ลุล่วงทันหรือเปล่านะ วันนี้ผมจะเลิกงานตรงตามเวลาได้ไหมวะเนี่ย

ผมพะวักพะวนจนไม่สามารถโฟกัสกับงานได้เลย ถ้าตอนนี้สองคนนั้นไม่ได้กำลังไปทำงานนอกสถานที่อยู่แล้วผมจะทำยังไงล่ะเนี่ย ถ้าหากว่าสองคนนั้นกำลังพูดคุยปรับความเข้าใจกันด้วยร่างกายในสถานที่ลับตาคนที่ไหนสักแห่งในบริษัทแล้วผมจะต้องทำยังไงอะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ต้องทนก้มหน้าทำโอทีไปทั้งอย่างนี้น่ะเหรอ ทำไมชีวิตมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมันถึงได้รันทดขนาดนี้กันนะ

“อย่าคิดว่านี่มันเป็นเพราะฝีมือของคุณเลยครับ”

“ฮยอนแจ…”

สองคนนั้นกลับมาแล้ว!

ดูจากสถานการณ์ที่ยังคงคุกรุ่นเหมือนอยู่ในภาวะสงครามเย็นแล้ว พวกเขาน่าจะยังไม่ได้คืนดีกันด้วยร่างกาย

ขณะเดียวกันระบบเมสเซนเจอร์ในบริษัทของผมก็ยังคงกะพริบไม่ได้หยุดพัก ทุกคนต่างกำลังรอคนทั้งคู่อย่างใจจดใจจ่อ แม้แต่ผู้ช่วยคังเองก็ยังส่งข้อความหาผมเช่นกัน

 

เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา เลิกงานตรงเวลา!

‘ขอให้ได้เลิกงานตรงเวลาเถอะ ได้โปรด’

ทำไมมันถึงได้ช้าขนาดนี้เนี่ย เรียกทีมตรวจสอบมาเลยไหม ในเมื่อสองคนนั้นแอบเถลไถลไปที่อื่นแบบนี้

 

ในเมื่อกลับเข้ามาแล้วก็ต้องทำงานสิ ไม่ใช่ทำอย่างอื่น

หัวหน้าแผนกซอไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน แถมยังเอาแต่คอยตามเกาะแกะอยู่กับหัวหน้าอีอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันนักหนา หัวหน้าอีถึงได้ผลักหัวหน้าแผนกซอออกแล้วรีบเดินหนีไปจากตรงนั้น ท่าทีที่ต่อต้านกันมันชัดเจนมากขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่หัวหน้าแผนกซอกลับยืนเซ่อ มองตามหลังของหัวหน้าอีไปด้วยสีหน้าเหม่อลอย

สำหรับผมตอนนี้แล้ว ขอเพียงแค่สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ ไม่ว่าอะไรก็ไม่เกี่ยวกับผมทั้งนั้น

ทว่าแม้เวลาจะผ่านไปพักหนึ่งแล้ว หัวหน้าอีก็ยังไม่กลับมา เอกสารที่รอการอนุมัติก็มีแต่จะกองพะเนินทับถมกันสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ผู้ช่วยคิม…เราจะทำยังไงกันดีคะเนี่ย”

พนักงานอาวุโสซอที่รอจนท้อถือแฟ้มเอกสารเดินมาทางผม ตัวอักษรสีทองที่เขียนว่า ‘รอการอนุมัติ’ บนแฟ้มนั้นราวกับตอกย้ำสถานการณ์ในตอนนี้ ผมมองไปที่ผู้ช่วยคัง แต่ผู้ช่วยคังก็ได้แต่ส่ายหัว ต่อให้เป็นผู้ช่วยคังก็คงไม่มีอะไรที่พอจะสามารถทำได้อยู่ดี

นี่คงถึงเวลาที่ผมต้องออกโรงแล้วสินะ

ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง หลังจากพยักหน้าให้พนักงานอาวุโสซอ ผมก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำอย่างไม่ลังเล หัวหน้าอีน่าจะต้องอยู่ที่ห้องน้ำแน่ๆ เวลาเป็นแบบนี้พนักงานโอเมก้าส่วนใหญ่ก็มักจะไปสงบสติอารมณ์คลายความโกรธอยู่ในห้องน้ำคนเดียว

และการคาดเดาของผมก็ถูกต้อง ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องน้ำชั้นสามผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นจนเผลอกำมือแน่น ผมเข้าใจดีเลยล่ะ ถ้าถูกคู่ครองนอกใจ ต่อให้เป็นผมก็คงจะเสียใจไม่ต่างกัน แต่ที่นี่คือบริษัท ที่นี่คือสถานที่ที่ทุกคนต้องทำงานหาเงิน และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่จะต้องเลิกงานอย่างตรงเวลาด้วย!

ผมตั้งท่าจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่น่าเสียดายที่ห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่ไม่ถูกหลักอนามัยสักเท่าไหร่ในการสูดหายใจลึกๆ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปสูดลมหายใจเข้าแบบเบาๆ แทนอย่างทันควัน ผมกำหมัดแน่นก่อนคลายออกพลางผ่อนคลายความตึงเครียด

“ฮึก…ฮือ…ฮึก…อึก…”

“หัวหน้าครับ…หัวหน้าอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ”

“ฮะอึก…ฮือ…”

ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ ชอบกลเลยเคาะประตูห้องน้ำแรงขึ้นอีก

“หัวหน้าครับ? หัวหน้า!”

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลมหายใจรุนแรง ก่อนที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออก มือของหัวหน้าอีที่โผล่พ้นออกมาจากช่องประตูนั้นซีดเผือด

“…ผมไม่เป็นไร คุณกลับเข้าไปเถอะ”

“แต่ผมว่าคุณดูไม่โอเคเลยนะครับ”

เวลาแบบนี้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้สิ ที่นี่มันห้องน้ำนะ ท่องเอาไว้ เชื้ออีโคไล เชื้ออีโคไลเลยนะเว้ย!

“ผู้ช่วยคิม…”

หัวหน้าอีเดินเซออกมาอย่างทุลักทุเล ใบหน้าของเขาตอนนี้แดงระเรื่อ ดูท่าน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างทางร่างกายเกิดขึ้นแน่ๆ ความคิดต่างๆ มากมายไหลผ่านเข้ามาในหัว แม้แต่คนหนุ่มสาวเองยังเป็นโรคหัวใจวายได้เลย หัวหน้าอีคงไม่ได้เป็นอะไรถึงตายหรอกใช่ไหม นี่ผมต้องโทรเรียกรถพยาบาลหรือเปล่าเนี่ย

หัวเข่าของหัวหน้าอีที่กำลังใช้กำปั้นค้ำยันผนังห้องน้ำอยู่แลดูอ่อนแรงสุดๆ ในขณะที่ผมกำลังประคองหัวหน้าอีอยู่นั้นก็มีอะไรบางอย่างร่วงออกมาจากกำปั้นของเขา มันกลิ้งหลุนๆ ไปเรื่อยก่อนจะหยุดลงบนแผ่นกระเบื้อง

มันคือแหวน…แหวนทองที่ไร้ลวดลาย มันคงจะเป็นแหวนแต่งงานของเขากับหัวหน้าแผนกซอ

เพล้ง

บางอย่างภายในใจผมแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี เสียงดนตรีเนิบช้าสบายหูของหมู่เกาะเขตร้อนดังทะลุเข้ามาในเยื่อแก้วหูแล้วผ่านไป ก่อนที่ผมจะกระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดังลั่น

“ความรักที่มันมีแต่จะเจ็บปวดแบบนี้น่ะ พอกันทีเถอะครับ!”

ดวงตาของหัวหน้าอีที่ผวาคว้าตัวผมไว้นั้นเบิกกว้าง

“…”

“…”

สติสัมปชัญญะที่ทำงานช้าเกินไปกำลังเริ่มหัวเราะเยาะผม ผมรีบคำนวณเงินค่าชดเชยจากการลาออกในหัวอย่างไว วันที่สัมภาษณ์งาน วันที่เข้าทำงาน วันที่รับโปรเจ็กต์แรก ภาพวันเวลาเหล่านั้นแทรกเข้ามาภายในหัวของผมสะเปะสะปะไปหมด

หัวหน้าอีจับมือผมไว้ เขาหันหน้าไปยังประตูทางเข้าห้องน้ำด้วยใบหน้าซีดเผือด สายตาของผมพลันมองตามหัวหน้าอีไปโดยอัตโนมัติ เหล่าเมียร์แคตเมื่อตอนบ่ายต่างก็รวมตัวกันอยู่ตรงนั้น

แน่นอนว่าหัวหน้าแผนกซอเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน

“ผู้ช่วยคิมจูฮยอก ถอยออกมาซะ”

ให้ตายสิ อยากจุดไฟเผาบริษัทเวรนี่ชะมัด

 

“ก็อยากไปกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่หรอกนะครับ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นมื้อเย็นแบบนี้”

ผมคนซุนแดกุก* ไปพลางรู้สึกคันในช่องจมูกเพราะกลิ่นผงงาขี้ม่อนรสอร่อย

“ขอโทษนะครับ”

“อย่าตำหนิตัวเองนักเลยครับ เท่าที่ผมฟังเรื่องราวแล้ว หัวหน้าอีเองก็มีส่วนผิดครับ ทัศนคติของหัวหน้าแผนกซอเองก็ผิดเหมือนกัน”

ผู้จัดการอีกระแอมกระไอก่อนจะดื่มน้ำ ดูเหมือนเขากำลังพยายามกลั้นขำอยู่เลยแฮะ

“ถึงจะบอกว่าอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณคิมจูฮยอกทำถูกแล้วหรอกนะครับ”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษนะครับ! ทางนี้ขอโซจูขวดนึงครับ”

“เอาแบบไหน!”

พนักงานในครัวตะโกนกลับมาดังลั่น ผู้จัดการอีมองหน้าผมพลางถามว่า “มีเหล้าที่คุณไม่ดื่มไหมครับ”

ผมส่ายหัวเป็นคำตอบเพราะเมื่อกี้เพิ่งจะตักซุนแดกุกเข้าปากไปหนึ่งคำโต ก่อนที่ลักยิ้มของผู้จัดการอีจะบุ๋มลึกขึ้นกว่าเดิม

“เอาอะไรก็ได้ครับ”

ผมจ้องมองดูขวดแก้วสีเขียวที่พนักงานนำมาวางไว้บนโต๊ะเงียบๆ ก่อนที่ผู้จัดการอีจะดันถ้วยกิมจิหัวไช้เท้าผสมผักกาดขาวมาให้ผม

“กินเยอะๆ นะครับ”

“ครับ”

ผมตักซุนแดกุกเข้าปากอีกหน น้ำซุปสีขุ่นรสกลมกล่อมกระจายไปทั่วปาก สำหรับผู้จัดการอี ผมยอมรับว่าผมอคติ ทีแรกผมนึกว่าเขาจะเป็นคนประเภทที่จับเป็นแต่มีดกินเป็นแต่สเต๊ก แต่ความจริงแล้วเขาเองก็ดูจะชอบกินอาหารง่ายๆ อย่างซุนแดกุกด้วยเหมือนกัน พอเห็นเขาตักเนื้อขึ้นมากินก่อนอย่างชำนาญแล้ว ดูท่ามันไม่น่าจะใช่เทคนิคการกินซุนแดกุกของคนที่เพิ่งเคยกินมาแค่วันสองวัน

“ที่จริงแล้ววันนี้ผมกะจะเลี้ยงของแพงๆ อร่อยๆ อย่างพวกซาชิมิอะไรประมาณนั้นน่ะครับ”

“ซุนแดกุกนี่ก็อร่อยครับ”

“ถ้าหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอไม่ทะเลาะกันในห้องทำงานของผมก็คงจะดี เราจะได้ออกมากันเร็วกว่านี้”

ผู้จัดการอีเบนสายตาลงไปมองที่นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาสีเงินเป็นประกายส่งเสียงบอกเวลาเบาๆ

นี่สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย

เมื่อสามชั่วโมงก่อน หลังจากที่ผมคว้าคอเสื้อของหัวหน้าอี เหตุการณ์อลหม่านก็ลุกลามไปใหญ่โต

ผมปล่อยมือออกเพราะความตกใจ ส่วนหัวหน้าอีก็ทรุดลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น หัวหน้าแผนกซอที่กำลังโมโหก็โผเข้ามาผลักผมออกแล้วพยุงตัวหัวหน้าอีลุกขึ้นมาราวกับดึงสาหร่ายทะเลที่อ่อนปวกเปียก ส่วนผมที่สูญเสียการทรงตัวก็เซถลาล้มลงไปทั้งอย่างนั้น ถ้าแค่ล้มเฉยๆ ก็คงจะดีน่ะแหละ แต่นี่เท้าของผมดันฟาดไปที่หน้าแข้งของหัวหน้าแผนกซออย่างแรง หัวหน้าแผนกซอถึงได้เสียหลัก และหัวหน้าอีก็ได้ใช้จังหวะนั้นตบเข้าที่หน้าของหัวหน้าแผนกซอเต็มแรง

ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว

ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงของผู้ช่วยคังพูดขึ้นว่า ‘มีใครถ่ายไว้ไหมครับ’

แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือการที่บรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่เพิ่งประชุมเสร็จต่างก็กรูมารวมตัวกันในที่เกิดเหตุ เพราะพวกเขาตั้งใจจะแวะมาเพื่อถามไถ่ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องคำร้องเรียนของลูกค้าระหว่างทางที่ลงไปชั้นหนึ่ง และพอเห็นว่าชั้นสามเต็มไปด้วยที่นั่งว่างเปล่า พวกเขาต่างก็ยิ่งโกรธจนควันออกหู

ผมนั่งอยู่บนพื้นห้องน้ำ หัวหน้าอีกำลังยืนร้องไห้ หัวหน้าแผนกซอเองก็ได้แต่ทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าเหล่าพนักงานกลัวว่าผู้บริหารจะพลาดฉากนี้ไปหรืออย่างไรถึงได้สไลด์ตัวหลบจากตรงนั้นกันหมด

‘นั่นหัวหน้าแผนกซอฮีแทใช่ไหม’

‘ทุกคนมัวยืนทำอะไรกัน! นี่มันน่าดูมากนักหรือไง กลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้!’

‘ผู้ช่วยฮวังอยู่ที่นี่ไหม’

เหล่าผู้คนส่งเสียงดังเอะอะโวยวายกันอยู่สักพักก่อนจะเงียบลงไปในพริบตาราวกับป่าช้า จากนั้นผู้จัดการอีก็เดินกอดอกหน้าขรึมแหวกออกมาตรงกลางระหว่างหมู่คน

‘คิมจูฮยอก ซอฮีแท อีฮยอนแจ รบกวนขึ้นมาที่ห้องทำงานผมด่วน’

นี่เป็นครั้งแรกหลังจากเข้าทำงานมาเลยที่ผมได้ยินน้ำเสียงตอนโมโหของผู้จัดการอี ผมจำลองสถานการณ์ต่างๆ มากมายตั้งแต่การโดนตัดเงินเดือนจนถึงการโดนไล่ออก ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเปิดโปงปัญหารักๆ ใคร่ๆ ของสองคนนั้นก่อนแล้วค่อยลาออกเองดีกว่า

หัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอีทะเลาะกันอย่างดุเดือดแม้แต่ตอนที่อยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการ ผู้จัดการอีฟังการโต้แย้งกันของสองคนนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้และลุกพรวดขึ้นอย่างแรงในที่สุด

‘ที่นี่มันบริษัทนะครับ พวกคุณยังมีสติดีกันอยู่ไหม!’ ผู้จัดการอีตวาดออกมาเสียงดังลั่น ‘คุณทั้งคู่ไปเขียนหนังสือชี้แจงมาให้ผมภายในวันพรุ่งนี้ ส่วนคุณอยู่ที่นี่ก่อน คุณคิมจูฮยอก’

หัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอียังคงใช้เวลาอีกเกือบสิบห้านาทีกว่าจะออกไป พอได้ยินเสียงประตูห้องทำงานของผู้จัดการปิดลง ผู้จัดการอีก็ถอนหายใจออกมา

‘สองคนนั้นเขาเป็นแบบนั้นอยู่บ่อยๆ เหรอครับ’

‘เหมือนจะเพิ่งมาหนักขึ้นช่วงนี้น่ะครับ’

‘ทั้งที่ผมควรจะต้องรู้ก่อนหน้านี้แท้ๆ ขอโทษด้วยนะครับ อีกอย่างพวกเขาเองก็ยากที่จะแตะต้อง…พอดีผลงานของพวกเขายอดเยี่ยมมากทั้งคู่เลยน่ะครับ…’

‘ผู้จัดการอีครับ คือที่จริงแล้ว…’

ผมเล่าเรื่องราวความรักอันน่าอัศจรรย์ใจของหัวหน้าแผนกซอกับหัวหน้าอีที่เกิดขึ้นไปตามความเป็นจริง ผมคิดจะเปิดเผยทุกอย่างว่าคนพวกนี้คบกันอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะมากขนาดไหน

ทั้งเรื่องที่ถ้าพวกเขาทั้งคู่ไม่อยู่ ทีมเราก็ตายกันยกทีม ทั้งเรื่องที่ทำงานอยู่แล้วจู่ๆ ก็ชอบหายตัวไป ไหนจะเรื่องที่ชอบคุยเรื่องทางเพศในที่สาธารณะอีก…

ระหว่างเล่าไปนั้นผู้จัดการอีก็คอยช่วยพูดเสริมอย่างเห็นใจว่า ‘ลำบากแย่เลยนะครับ’

พอบทสนทนายาวขึ้นเรื่อยๆ ผมก็แอบกังวลเรื่องเวลาหน่อยๆ เพราะดูเหมือนว่ามันจะเลยเวลาเลิกงานของผมไปแล้ว…

ผู้จัดการอียกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ จนเส้นเลือดปูดขึ้นบนหลังมือของเขา จากนั้นเขาก็ยิ้มก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้น

‘คุณหิวแล้วสินะครับ?’

ผมพยักหน้าหงึกๆ

จากนั้นพวกเราก็หอบกันมาที่ร้านซุนแดกุกใกล้บริษัท

ในระหว่างที่ผลัดกันเทโซจูไปมา ผมก็ได้ระบายเรื่องราวที่รู้สึกไม่ยุติธรรมออกไป ไม่ว่าจะเรื่องโอเมก้าของบริษัทเราที่มักจะไม่พกยาระงับกันอยู่บ่อยๆ หรือเรื่องของพวกพนักงานอัลฟ่าที่มักจะชอบมาเบียดเบียนเหล่าโอเมก้าอยู่เสมอ…

ผู้จัดการอีเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจริงใจ เขาฟังเรื่องที่ผมพูดอย่างจริงจัง ทั้งยังบอกว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต

มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย รู้แบบนี้ผมมาคุยกับผู้จัดการอีตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว

นัยน์ตาของผมเป็นประกายระยิบระยับชั่วครู่หนึ่ง

พอผมเงยหน้าขึ้นมา จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็พลันกลายเป็นสีดำ ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ที่ไหนสักที่ และเมื่อได้สติ ถนนที่มีป้ายส่องแสงก็เข้ามาในสายตาผม ผมนั่งอยู่ในร้านกับผู้จัดการอีมาจนถึงเมื่อกี้นี้ เอ่อ…จากนั้นเราก็ย้ายไปที่ร้านเบียร์สด…นี่ผมดื่มไปมากขนาดไหนกันเนี่ย

ผู้จัดการอียื่นเครื่องดื่มมาให้ แต่น่าเสียดายที่สายตาของผมจับจุดโฟกัสอะไรไม่ได้จนไม่สามารถรับเครื่องดื่มที่เขายื่นมาให้ได้ ผู้จัดการอีจึงจับมือผมแล้วเอาเครื่องดื่มยัดใส่มือแทน

“ผู้จัดการมือใหญ่จังเลยครับ”

“นี่เป็นคำชมใช่ไหมครับเนี่ย”

“พวกอัลฟ่าใหญ่แบบนั้นกันหมดเลยสินะครับ แบบว่า…ใหญ่ไปหมดทุกอย่างเลยเหรอครับ”

ใบหน้าของผู้จัดการอีพลันแดงเถือก

“หมายถึงอะไรครับ”

“พอดูไปแล้ว พวกอัลฟ่าเนี่ยทั้งตัวใหญ่ มือใหญ่ แถมเท้าก็ยังใหญ่อีก แต่โอเมก้าเนี่ยอะไรๆ ก็เล็กไปหมดซะทุกอย่าง แถมยังขาวและน่ารักอีกต่างหาก…”

ผู้จัดการอีถอนหายใจก่อนจะเสยผมขึ้นไปลวกๆ

“ดูเหมือนว่าผมจะให้คุณดื่มเยอะไปแฮะ แล้วคุณลุกไหวไหมครับเนี่ย”

“แน่นอนสิครับ”

ผมเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนลูกปืน ผู้จัดการอีผงะถอยไปด้านหลังเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยืนเซไปมาเหมือนเจ้าหญิงเงือกน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะทิ่มลงบนหน้าอกของผู้จัดการอี

“กลิ่นตัวคุณหอมจังเลยครับ”

“คุณคิมจูฮยอก นี่คุณคงไม่ได้จงใจแกล้งทำตัวแบบนี้หรอกนะครับ”

“ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มของอะไรเหรอครับ สงสัยผมต้องซื้อยี่ห้อใหม่ซะแล้วแฮะ บ้าน่า ต้องรอซื้ออันที่ลดราคาเซ่”

ผมตบหน้าอกของผู้จัดการอีเบาๆ

อกแน่นจังแฮะ

“ก๊อกๆ นี่ใครครับ อัลฟ่าไงล่ะ! อัลฟ่าที่ต่อให้ไม่ออกกำลังกายก็มีกล้ามไง! แล้วเบต้าทำไมไม่เป็นแบบนั้นกันนะ”

“…ผมออกกำลังกายทุกวันนะครับ”

“ผมไม่ได้ถามคุณสักหน่อย”

ผมผลักผู้จัดการอีออกแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า ผู้จัดการอีจึงวิ่งตามมาแล้วคว้าจับมือผมเอาไว้

“ผมเรียกพนักงานรับจ้างขับรถแทนมาแล้ว เดี๋ยวกลับด้วยกันนะครับ”

ผมถูกผู้จัดการอีลากเดินไปถึงรถ ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกเหมือนว่าผู้จัดการอีทักทายใครบางคน ก่อนที่จะเปิดประตูที่นั่งด้านหลัง

“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน ระหว่างนี้คุณนอนพิงผมไปก่อนนะครับ”

“แต่ผมชอบที่นั่งข้างคนขับมากกว่าอะ”

ผมโผตัวเข้าไปเปิดประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับแล้วโน้มตัวนั่งลงไป ผู้จัดการอีจึงยืนเหม่ออยู่สักพักก่อนรีบขึ้นไปนั่งบนที่นั่งด้านหลัง

“ปิ๊นๆ บ้านจ๋า กลับบ้านกัน”

และแล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้จัดการอีดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“ปกติก็น่ารักแบบนี้อยู่แล้วเหรอครับ”

“ได้โปรด ผมขอล่ะครับ อย่าพูดแบบนั้นกับผมเลย”

“คุณไม่ชอบคำว่าน่ารักเหรอครับ แต่เท่าที่ตาผมเห็น คุณก็น่ารักจริงๆ นี่”

ผมหันไปมองพลางพูดต่อ

“รู้ไหมครับว่าน้องสาวผมเรียกผมว่าอะไร”

“เรียกว่าอะไรเหรอครับ”

“ฟักทองที่โดนรถเหยียบ…”

ผู้จัดการอีกัดฟันหัวเราะอย่างอดกลั้น ในระหว่างที่เขางอตัวขำอยู่นั้น รถก็เคลื่อนออกตัวไป ผู้จัดการอีวางมือลงกับเบาะคนขับ แล้วพนักงานที่มาขับรถแทนให้ก็พูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่ผู้จัดการอีจะตอบอะไรกลับไปสักอย่างเหมือนกัน หูผมตอนนี้ไม่ค่อยได้ยินอะไรเลยแฮะ

ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ขอพูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน

“ผู้จัดการครับ ผมน่ะ ไม่คิดจะมีแฟนหรอกนะครับ”

“ทำไมล่ะครับ ผู้ชายอย่างผมมันดูไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”

“ต่อให้ดูดีไปก็เท่านั้น มันก็ไม่ใช่ทุกอย่างนี่ครับ”

“ถ้างั้นคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกเหรอครับ”

“ฮาวาย”

ดูเหมือนว่าสติสตังผมจะเริ่มเลือนหายไปเรื่อยๆ

“…ฮาวาย”

* ซุนแดกุก คือซุปไส้กรอกเลือด

Chapter 3.1

ลืมตาตื่นมาที่บ้านคนอื่น

 

ผมลืมตาพึ่บขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกเหมือนข้างในท้องมันแน่นอืดไปหมด

อ่า…นี่ผมดื่มไปมากขนาดไหนกันเนี่ย

ผมซุกหน้าลงไปในผ้าห่มที่อุ่นสบายพลางคิดว่าอยากนอนต่อทั้งแบบนี้ไปอีกนิดและไม่อยากไปทำงานเลย

ไปทำงาน…?

นี่มันกี่โมงแล้ววะเนี่ย

ปลายนิ้วของผมพลันเย็นเฉียบขึ้นมา พอผมสะบัดผ้าห่มออก อากาศหนาวเย็นก็แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายทันที ผมไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ในตอนที่ยังอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ แต่ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ห้องของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังอยู่ในห้องจำลองอินทีเรียดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ผสมผสานสีขาวและสีดำได้อย่างลงตัว

ผมเบนสายตามองไปที่ชั้นติดผนังที่อยู่ข้างๆ แว่นตากรอบทองอันหนึ่งวางอยู่บนนั้นเหมือนพร็อพตกแต่งเล็กๆ ทว่ามันกลับไม่มีป้ายราคา ก่อนอื่นเลยดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นห้องที่คนอาศัยอยู่จริงๆ ผมยันตัวลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกปวดหัวตุบๆ อย่างหนัก

พอลุกขึ้นมาผมถึงได้รู้ว่านอกจากกางเกงในแล้ว เนื้อตัวผมก็ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นอื่นเลย ดูท่าผมคงแก้ผ้าแล้วนอนหลับไปโดยไม่มีสติสตังแบบนั้น

ผมพลิกผ้าห่มไปมาจนเจอโทรศัพท์มือถือ พอเห็นว่าเวลาตอนนี้เพิ่งจะหกโมงครึ่ง ผมก็เอนตัวนอนลงอีกครั้ง ทั้งที่เห็นอยู่ตำตาว่าที่นี่เป็นบ้านของคนอื่น แต่ช่างเถอะ เวลานี้ผมขอเอนตัวลงนอนไปก่อนก็แล้วกัน

ว่าแต่นี่มันบ้านของผู้จัดการอีหรือเปล่านะ

ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นแฮะ จำไม่ได้ว่าเมื่อวานนี้ผมได้บอกที่อยู่กับแท็กซี่ไปถูกหรือเปล่า ทั้งหมดที่จำได้มีเพียงแค่สีหน้าสิ้นหวังของหัวหน้าอีที่ถูกผมกระชากคอเสื้อ

“ทำไมตื่นเร็วจังเลยล่ะครับ”

ผมพลันสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะเห็นผู้จัดการอีเดินเข้ามาในห้อง เขาน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เนื้อตัวถึงได้มีหยาดน้ำเกาะพราวไปทั่ว

“ขอโทษทีครับ”

“คุณนอนต่ออีกหน่อยเถอะครับ ไม่เป็นไรหรอก พอดีบ้านผมอยู่ใกล้บริษัทน่ะ”

ผู้จัดการอีเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ ก่อนจะดันไหล่ผมให้เอนลงไปนอนอีกครั้ง ลักยิ้มสวยบุ๋มลึกลงไปพร้อมกับหยาดน้ำที่หยดร่วงลงมาจากหน้าอกเปลือยของเขา ผมคงจะเป็นพนักงานคนแรกที่ได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเจ้านายสินะ ไม่สิ หัวหน้าอีเองก็น่าจะเคยเห็น…ของหัวหน้าแผนกซอ

คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัดเลยแฮะ

“ผมไม่ได้เป็นคนถอดเสื้อผ้าให้คุณนะครับ สาบานได้ เมื่อวานคุณเป็นคนถอดเอง”

ผู้จัดการอีหัวเราะในลำคอก่อนพูดขึ้น เขาเป็นพระโพธิสัตว์หรือไงนะ ขนาดมีไอ้ขี้เมามาแก้ผ้านอนในบ้านของตัวเองแท้ๆ ยังไม่โกรธ…เอ๊ะ ก็เขาชอบผมอยู่นี่หว่า ผมลองพยายามเค้นหาความทรงจำเมื่อคืน แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้มีเรื่องอะไรแปลกๆ เพราะผมเอาแต่หลับเป็นตายท่าเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็โล่งใจไป

“ขอบคุณนะครับ ดูเหมือนว่าเมื่อวานผมจะดื่มจนไม่มีสติเลย ขอโทษด้วยนะครับ”

“แล้ว?”

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ…”

“คุณไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าเมื่อวานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน”

“นี่ ผมเองก็ไม่ได้ภาพตัดอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ”

ผู้จัดการอีขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ แล้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะกดนวดบริเวณหว่างคิ้ว

“ก็ถูกของคุณ ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ”

“ว่าแต่ผู้จัดการครับ”

“ครับ?”

ผู้จัดการอีเสยผมที่ปรกหน้าของผมไปด้านหลัง ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยกับมือที่เย็นเฉียบของเขา ก่อนที่หยาดน้ำบนตัวเขาจะหยดลงมาบนใบหน้าของผม

“ว่าไงครับ”

“น้ำมันหยดลงบนเตียงครับ…”

ผู้จัดการอีคงรู้สึกอายเลยถอยหลังลุกออกไป ก่อนจะบรรจงใช้ผ้าขนหนูไล่เช็ดผมและผิวกายอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมเองก็เคยเช็ดขนของลูกหมาที่เลี้ยงไว้ที่บ้านสมัยก่อนแบบนั้นเหมือนกัน แต่สำหรับผู้จัดการอีแล้วคงบอกว่าเช็ดขนไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องบอกว่าเช็ดตัวถึงจะถูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ตามร่างกายเขาเหมือนเดิม

ผู้จัดการอีเดินไปมาอยู่ข้างๆ ผมราวกับกำลังอวดหุ่นล่ำ ถึงจะรู้สึกเก้อเขินอยู่หน่อยๆ แต่สายตาผมก็ดันชอบเผลอไปมองมันอยู่เรื่อย

นี่เขาจงใจทำให้มองหรือเปล่านะ บ้าน่า…เขาไม่ใช่ผู้ป่วยจิตเภทที่ชอบอวดของลับสักหน่อย ว่าแต่กางเกงในของผู้จัดการอีเป็นสีดำด้วยแฮะ หุ่นดีชะมัด อิจฉาจัง

ผมคิดแบบนั้นอยู่ในใจขณะจ้องมองมันอยู่สักพักก่อนจะรู้สึกสงสัยขึ้นมา

คนบ้าอะไรเดินไปเดินมาอยู่ได้ ทำไมไม่ยอมไปใส่เสื้อผ้าให้มันดีๆ

ผู้จัดการอีหยุดฝีเท้า เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากถามผม

“นี่คุณไม่เขินผมหน่อยเหรอครับ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยได้ยังไงกัน ทั้งที่ผมลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้วนะ”

“เขินสิครับ ไม่เขินได้ไง…ดื่มจนเมาแล้วดันมาลืมตาตื่นอยู่ในบ้านของผู้จัดการแบบนี้…”

“ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องนั้น…”

“แถมเมื่อวานผมยังกระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีอีก…”

ผู้จัดการอีได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มเช็ดตัวอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งอก

แทนที่จะเช็ดให้มันดีๆ ตั้งแต่เมื่อกี้ ป่านนี้พื้นห้องเปียกหมดแล้วมั้ง

“นอนต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นนะครับ เดี๋ยวกินข้าวเช้ากับผมก่อนค่อยไปทำงาน”

“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมดื่ม…”

“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไร ผิดที่ผมเองแหละที่รินเหล้าให้คุณดื่มเยอะขนาดนั้น ความจริงแล้วผมเองก็ชอบเวลาที่คุณคิมจูฮยอกอยู่ในบ้านผมนะครับ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคู่รักกันเลย”

ผู้จัดการอียิ้มพลางสอดแขนเข้าไปในเสื้อเชิ้ต ในขณะที่ผมดันตัวลุกขึ้นมาเหมือนผีดิบ

“ผู้จัดการครับ”

“ครับ”

“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าผมไม่คิดจะมีแฟน…”

ผู้จัดการอีรีบตอบกลับทันควัน

“รู้แล้วครับ ผมรู้แล้ว ยังไงคุณนอนต่อเถอะครับ”

ถึงจะอยากปฏิเสธให้มันหนักแน่นกว่านี้ แต่ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ในสถานการณ์ที่ติดหนี้บุญคุณอยู่แบบนี้ ผมจึงเอนตัวนอนลงอย่างว่าง่าย

ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในบ้านของเจ้านาย และหลังจากนี้เราก็จะออกไปทำงานด้วยกัน จะมีเหตุการณ์ไหนที่ซวยไปได้มากกว่านี้อีก แต่ถึงอย่างนั้นผ้าห่มของเขามันก็อุ่นสบายมากจริงๆ แม้แต่เตียงก็ยังเหมือนกับเตียงในโรงแรมเลย

เตียงหลังละเท่าไหร่กันนะ มันดีจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าองค์การนาซ่าเป็นผู้ผลิตหรือเปล่า ผมคลำเตียงพลางคิดว่าเปลี่ยนฟูกเตียงบ้างดีไหมนะ ถ้าได้นอนฟูกแบบที่นี่ทุกวันก็คงจะสดชื่นน่าดู

ผู้จัดการอีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง โดยไม่ลืมปิดประตูห้องให้ด้วยในตอนที่ออกไป

ผมนอนหลับตานิ่ง ยังไงสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่การถอนหายใจให้กับหนี้บุญคุณ ความเสียดาย และความกังวลเท่านั้น

เวียนหัวชะมัด นอนต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน

 

เมื่อขึ้นมาบนรถของผู้จัดการอี ผมถึงได้รู้สึกเหมือนต้องกลับมาเผชิญโลกแห่งความจริง ผมแทบอยากจะเทเลพอร์ตวาร์ปไปนรกมันทั้งอย่างนี้เลย หรือไม่ก็อยากจะลาออกมันซะเดี๋ยวนี้

เมื่อวานก็เพิ่งจะไปกระชากคอเสื้อของหัวหน้ามา ส่วนวันนี้ก็ยังลืมตาตื่นขึ้นมาในบ้านของผู้จัดการ ผมนี่ขอบตาร้อนผ่าวแทบอยากร้องไห้ ชาติก่อนผมคงจะทำเวรทำกรรมขายชาติมาสินะ ไม่อย่างนั้นชาตินี้ผมคงไม่มีทางโดนสวรรค์ลงโทษแบบนี้แน่ๆ

ผู้จัดการอีที่ขึ้นรถมาอย่างเงียบๆ เปิดปากพูดขึ้น

“จะไม่กินข้าวเช้าจริงๆ เหรอครับ”

“ครับ…พอดีผมเป็นคนไม่ค่อยกินข้าวเช้าอยู่แล้วน่ะครับ…”

โกหกคำโต ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ที่ผมย้ายออกมาอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่กินข้าวเช้าเลย แม่ผมเองก็สอนผมมาแบบนั้นเหมือนกัน แม่บอกว่าต้องกินข้าวเช้า สมองจะได้แล่น ต่อให้จะมีแค่ซีเรียล แต่ผมก็ต้องกินก่อนเข้างานเสมอ วันนี้ผมก็แค่ไม่มีสมาธิมากพอที่จะมานั่งมองหน้าผู้จัดการอีแล้วกินอะไรก็เท่านั้น

จู่ๆ ผู้จัดการอีที่กำลังสตาร์ตรถอยู่ก็โพล่งถามขึ้น

“ทำไมถึงไม่อยากมีแฟนล่ะครับ”

“ผมเห็นหัวหน้าอีกับหัวหน้าแผนกซอแล้วก็คิดขึ้นมาได้น่ะครับ ไม่ต้องมีความรัก ใช้ชีวิตแต่ละวันไปแบบธรรมดาๆ น่าจะดีกว่า”

“ถึงจะมีแฟนแต่ก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ได้นี่ครับ”

“ก็พวกอัลฟ่ากับโอเมก้าไม่ได้มีความรักกันแบบธรรมดาๆ นี่ครับ”

“แบบนั้นถ้าอีกฝ่ายเป็นเบต้า คุณจะคบด้วยเหรอครับ”

“ไม่รู้สิครับ แค่ตอนนี้ผมยังไม่คิดอยากจะมีน่ะ”

ผู้จัดการอีเอี้ยวตัวมาหาผม

“เดี๋ยวผมคาดเข็มขัดนิรภัย…คาดแล้วแฮะ”

“ถ้าไม่คาดเดี๋ยวก็ได้โดนค่าปรับเอาน่ะสิครับ…”

ผู้จัดการอีจับพวงมาลัยก่อนลอบถอนหายใจออกมา

“ไม่ง่ายเลยแฮะ ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”

 

พวกเราเดินทางไปบริษัทอย่างเงียบๆ บรรยากาศภายในรถเองก็อึดอัดไม่ต่างจากถนนในยามเช้า

รถแล่นไปประมาณยี่สิบนาทีกว่าจะถึงบริษัท คำพูดที่บอกว่าบริษัทอยู่ใกล้บ้านนั้นก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า ผู้จัดการอีจอดให้ผมลงก่อนจะเอ่ยปากพูด

“เรื่องเมื่อวานคุณอย่าไปคิดมากเลยนะครับ ส่วนเรื่องบ้านผม คุณมาเที่ยวเล่นได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องคิดมากเหมือนกัน แล้วผมก็มีอีกเรื่องที่อยากจะบอกด้วย”

“ครับ”

“ผมชอบคุณนะครับ”

“…”

“ผมไม่ได้บอกให้คุณมาชอบผมกลับ และผมก็จะไม่ร้องขอให้คุณมาเป็นแฟนผมด้วย แค่อยากบอกให้คุณรับรู้ไว้เฉยๆ น่ะครับ การกระทำที่ผมทำไปแต่ละอย่าง ผมทำไปเพราะว่าชอบคุณจริงๆ ขอแค่รับรู้เอาไว้ก็พอครับ”

“ผมขอคิดแค่ว่าคุณทำทุกอย่างให้ด้วยความปรารถนาดีในฐานะเจ้านายไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่ได้ครับ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว อีกเดี๋ยวอย่าลืมเขียนหนังสือชี้แจงเอาขึ้นมาให้ผมด้วยนะครับ เพราะคุณเองก็ต้องถูกลงโทษด้วย”

ผู้จัดการอีขับรถไปยังลานจอดรถทันทีโดยไม่แม้แต่จะฟังคำตอบของผม

ผมงงไปหมดแล้ว ผู้จัดการอีชอบผมจริงๆ และก็เป็นเพราะเขาชอบผม เมื่อวานนี้เขาเลยไม่ทิ้งผมไว้ข้างถนน แต่พากลับไปดูแลถึงที่บ้าน ถึงจะหนักใจ แต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกเลย

ผมหมุนตัวก้าวเท้าเข้าไปในบริษัทพร้อมกับความรู้สึกสั่นไหวข้างในอก

 

เมื่อผมมาถึงชั้นสาม สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องและมุ่งความสนใจมาที่ผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมมาช้ากว่าปกติหรือเปล่าถึงแทบจะมองไม่เห็นที่ว่างเลย ดวงตาหลายสิบคู่จ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว และในบรรดาสายตาเหล่านั้นก็มีสายตาของหัวหน้าอีรวมอยู่ด้วย ผมก้มศีรษะลงทักทายเขา ก่อนที่หัวหน้าอีจะยกมือขึ้นรับคำทักทายด้วยท่าทีอึดอัดใจ จากนั้นผมก็ลากแข้งขาที่แข็งทื่อไปนั่งลงตรงที่ของตัวเอง

ผู้ช่วยคังยกแขนขึ้นโอบไหล่ผม

“ชุดเหมือนเมื่อวานเลยนะ โดนเรียกไปดุมาตลอดสิบห้าชั่วโมงเลยเหรอ”

“ก็คล้ายๆ อยู่ครับ”

“ลองดูแชตสิ”

ผมกดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ก่อนฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะ เซลล์แต่ละเซลล์กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความอับอาย หน้าจอคอมพิวเตอร์กะพริบปริบๆ

ให้ตายสิ โลกจะช่วยแตกๆ ไปทั้งแบบนี้เลยไม่ได้หรือไงกัน

ผมคงเพ้อฝันไปเองแหละ ยังเหลือเวลาอีกเก้าชั่วโมงกว่าจะเลิกงานนี่นา

พอผมลองเปิดโปรแกรมแชตขึ้นมา นอกจากผมแล้ว ทุกคนต่างก็เฉลิมฉลองกันอยู่ มีทั้งคำชมที่บอกว่า ‘คิมจูฮยอกสุดยอด’ ไหนจะข้อความที่บอกว่า ‘สงสัยคงต้องปิดร้านเนื้อย่างเลี้ยงปาร์ตี้ลาออกซะแล้วล่ะ’ นั่นอีก อีโมติคอนรูปดาวมากมายหลั่งไหลเต็มหน้าแชต และในบรรดาหมู่คนเหล่านั้น ผู้ช่วยคังดูจะร่าเริงที่สุด

ในขณะที่ผมแทบจะกรีดร้องท่ามกลางการฉลองนั้น

 

สนุกกับความเจ็บปวดของคนอื่นขนาดนั้นเลยเหรอครับ?

สนุกนักเหรอ? สนุกมากเลยสินะ!?

ต้องขอบคุณนายเลยนะเนี่ย

เมื่อวานพวกเราทุกคนเลยได้เลิกงานตรงเวลา

ผู้ช่วยคิม นางฟ้าแห่งการเลิกงานตรงเวลาของทีมเรา!

 

ผู้เสียสละ!

 

เท่สุดๆ! ผู้ช่วยคิม~

 

นี่มันตำนานชัดๆ วันนี้ยังไม่เห็นผู้ช่วยพูดอะไรสักคำ

55555555

 

วันนี้หัวหน้าแผนกซอเองก็ไม่โผล่หน้ามาชั้นสามด้วย

สวรรค์มาโปรด

 

ผู้ช่วยคังเหมือนจะส่งแฟ็กซ์มาผิดนะคะ~ ^^

รบกวนมาหาฉันด้วยค่ะ

 

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหมดคำจะพูด จากนั้นก็กดเข้าไปในระบบเครือข่ายภายในองค์กรแล้วค้นหาแบบฟอร์ม ก่อนจะเห็นแบบฟอร์มหนังสือชี้แจง

อนาถใจชะมัด นี่เป็นหนังสือชี้แจงที่ผมเพิ่งจะเคยเขียนเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามาทำงานที่นี่เลยนะ

พอผมหันกลับไปมองเพราะได้ยินเสียงกรอบแกรบจากด้านข้างก็เห็นว่าผู้ช่วยคังกำลังเดินโซเซถือกระดาษมา ผมเลยจับข้อมือของเขาเอาไว้อย่างอ้อนวอน

“ผมต้องเขียนหนังสือชี้แจงด้วยอะ”

“ก็เขียนไปสิครับ ผมไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย”

“ช่วยผมหน่อยสิครับ นี่ผมเพิ่งเคยเขียนหนังสือชี้แจงเป็นครั้งแรกเลยนะครับ”

“แล้วผมเคยเขียนมาก่อนซะที่ไหนล่ะครับ”

ผู้ช่วยคังเม้มริมฝีปากพลางกลั้นขำ ผมจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรู้สึกเหมือนตรงพื้นที่ว่างบนหนังสือชี้แจงนั้นดูกว้างราวกับผืนมหาสมุทรแปซิฟิก

 

หนังสือชี้แจง

 

ข้าพเจ้า ผู้ช่วยคิมจูฮยอก ได้กระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีฮยอนแจ…’

 

เวียนหัวชะมัดเลยโว้ย

 

หนังสือชี้แจง

 

ข้าพเจ้า ผู้ช่วยคิมจูฮยอก ได้กระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีฮยอนแจ และเตะที่หน้าแข้งของหัวหน้าแผนกซอฮีแท

 

ผู้ช่วยคังจับไหล่ผมไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังกลั้นขำอยู่หรือยังไง แรงสั่นถึงได้สะเทือนมาถึงตัวผม ผมจึงหันกลับไปมองข้างหลังแล้วเอ่ยกระซิบ

“แล้วจะให้ผมเขียนยังไง”

“ไม่เอาน่า…อุบ…คิกๆ เขียนต่อสิ”

ผมเคลื่อนสายตากลับมามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่หลายคนกลับเริ่มมารวมตัวกันตรงโต๊ะทำงานผมทีละคนสองคน ผมลดหน้าต่างหนังสือชี้แจงลงแล้วหันไปมองด้านหลัง เหล่าผู้คนที่กำลังกลั้นขำอยู่นั้นยืนตัวติดกันกลมเกลียว

“ทุกคนมารวมตัวทำอะไรกันครับ”

“รู้ทั้งรู้อยู่แล้วจะถามทำไมล่ะครับ”

“นี่คุณมีคดีเตะหน้าแข้งด้วยเหรอคะเนี่ย”

“ฉันไม่ทันเห็นภาพตอนนั้นเลยแฮะ”

“แบบฟอร์มของผู้ช่วยคังอันนี้ กรอกเสร็จแล้วก็ส่งไปให้แผนกการเงินได้เลยนะครับ”

ในระหว่างที่ผมไล่คนพวกนั้นเหมือนไล่ฝูงแมลง หัวหน้าอีก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง สายตาพวกเราทุกคนล้วนหันไปมองที่เขาเป็นตาเดียว จากนั้นหัวหน้าอีก็กวักมือเรียกผม

“ผู้ช่วยคิมครับ ตามผมมาสักครู่สิครับ”

“ครับ”

เพราะฝูงคนที่ยืนออกันอยู่ทำให้ยากต่อการดันเก้าอี้ออก แต่ละคนต่างกระซิบกระซาบให้กำลังใจผม ซึ่งมันไม่ได้จำเป็นเลยสักนิดในโลกที่ผมต้องเหลืออยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ เมื่อวานพวกเขาต่างก็ได้เลิกงานตรงตามเวลากันหมด เพราะแบบนั้นตอนนี้ถึงยังมายืนหัวเราะหน้าระรื่นกันได้อยู่นี่ไง

ผมเดินตามหัวหน้าอีไปยังห้องชงกาแฟ หัวหน้าอียิ้มอย่างกระดากอายพลางยื่นกาแฟแก้วหนึ่งมาให้ผม

“เมื่อวานคุณคงลำบากแย่เลยนะครับ”

“ผมขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่หรอกครับ ผมต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ”

ผมลูบแก้วกระดาษอุ่นๆ ในมือ หัวหน้าอีดันกรอบแว่นตาขึ้นเล็กน้อย กรอบแว่นตาสีเงินบางๆ นั้นดูเข้ากับกรอบหน้าของหัวหน้าอีที่เป็นหนุ่มหล่อหน้าหวานเอามากๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหน้าตาดีแบบนี้หรือเปล่า ถึงได้มีข่าวลือที่ไม่อาจรู้ถึงข้อเท็จจริงได้เกี่ยวกับตัวเขาเกิดขึ้น ผมได้ยินว่าพนักงานอัลฟ่าหลายคนทะเลาะกันเรื่องเขา…มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนผมเข้ามาทำงาน ดังนั้นผมจึงไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงนั้นได้ แต่มันก็สมควรอยู่หรอก ก็หัวหน้าอีหน้าตาสวยมากเลยนี่นา เขาเป็นคนที่เหมาะกับคำว่า ‘สวย’ มากกว่าคำว่า ‘หล่อ’ ซะอีก

“เมื่อวานผมขอโทษจริงๆ นะครับ ทั้งที่ผมต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันแท้ๆ…เดิมทีแล้วฮีแทเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้นตั้งแต่แรกหรอกครับ ก็แค่อาจจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง ถ้าผมสามารถเข้าใจและยอมรับเรื่องพวกนั้นได้มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ” เขายกยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าให้ใจมากเกินไป สุดท้ายก็จะเจ็บตัวเองสินะ”

หัวหน้าอียกกาแฟขึ้นดื่ม ริมฝีปากที่ดูซีดเซียวหน่อยๆ นั้นยิ่งทำให้เขาดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก

“ขอโทษที่เมื่อวานทำให้วุ่นวายไปหมดนะ พวกผมคงทำให้คุณลำบากน่าดูเลย”

ผมบีบแก้วกาแฟก่อนตัดสินใจ จากนั้นก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

“หัวหน้าอีครับ”

“อื้อ”

“ถ้ามันเหนื่อยนักก็หย่าเถอะครับ ช่วงนี้ผมได้ยินมาว่าถ้าไปที่โอเมก้าเซ็นเตอร์ก็จะได้รับสวัสดิการดีๆ และมีบริการให้คำปรึกษาด้วยนะครับ”

“หืม?”

“ผมพยายามที่จะไม่พูดแล้วนะครับ แต่ผมขอโทษด้วยจริงๆ สิ่งที่หัวหน้าแผนกซอทำมันคือการใช้ความรุนแรงนะครับ ความรุนแรงภายในครอบครัว คุณต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้นะครับ”

“ฮะ? เอ่อ…”

“ถ้ารู้สึกเหมือนจะถูกตบตีเหมือนเมื่อตอนนั้นก็รีบโทรแจ้งตำรวจไปเลยครับ ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วตำรวจจะรับเงินภาษีเราไปทำไมล่ะครับ เขารับภาษีเราไปเพื่อที่จะทำงานแบบนั้นเพื่อเราไงครับ อีกอย่างคนที่นอกใจก็คือหัวหน้าแผนกซอใช่ไหมล่ะครับ”

“เอ่อ…ถ้าจะให้พูดมันก็ใช่แหละ…”

“ถ้างั้นก็นอกใจกลับไปเลยสิครับ มีคนอื่นบ้างไปเลย ขอโทษจริงๆ นะครับที่พูดแบบนี้ แต่เพราะผมอึดอัดมากจริงๆ เวลามองดูในสายตาคนนอกน่ะครับ…เฮ้อ ขอโทษนะครับ ทั้งที่ไม่ควรพูดแบบนี้แท้ๆ…”

หัวหน้าอีทำหน้าแปลกใจก่อนจะกลืนกาแฟเข้าไปดังอึกๆ

“คุณเคยบอกว่าตัวเองเป็นเบต้าสินะครับ?”

“ใช่ครับ”

“ระหว่างฮีแทกับผม…มันเป็นความสัมพันธ์ที่เขาตีตราทำพันธะกับผมไปแล้ว ‘พันธะ’ นั่นหมายถึงเราจะตายจริงๆ หากไม่มีกันและกัน”

“หมายถึงพันธะทางกายภาพสินะครับ?”

“ชะ…ใช่”

“แล้วมันไม่มีวิธีปลดพันธะเหรอครับ”

“ถ้าไปโรงพยาบาลก็สามารถรับการผ่าตัดได้แหละ…แต่ก็จะมีความเสี่ยงสูงกันทั้งสองฝ่าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตเราจะสามารถสร้างพันธะใหม่อีกครั้งได้ไหม หรือจะลบพันธะนี้ไปได้ตลอดจริงๆ หรือเปล่า”

“หัวหน้าอีครับ”

“หือ…?”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะครับ ผมว่าหย่าเถอะครับ ถ้าตัดพันธะไม่ได้ อย่างน้อยหย่ากันได้ก็ยังดี ลองคิดดูสักครั้งเถอะนะครับ ผมเห็นหัวหน้าอีร้องไห้อยู่ทุกวัน แถมยังโฟกัสกับงานไม่ได้อีก”

“เอ่อ…”

“ต้องมองถึงอนาคตสิครับ อนาคตน่ะ”

ผมยกกาแฟขึ้นดื่มหมดในอึกเดียวก่อนจะขยำแก้วกระดาษ สายตาของหัวหน้าอีมองไปยังแก้วกระดาษที่ยับยู่ยี่ แล้วเขาก็ดันกรอบแว่นขึ้นอีกครั้ง

“ผู้ช่วยคิมเนี่ย…มีน้ำใจมากๆ เลยนะครับ”

“แต่ยังไงผมก็ต้องขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วยนะครับ”

“ไม่หรอก…”

“เดี๋ยวถ้าเขียนหนังสือชี้แจงเสร็จแล้วผมจะเอาขึ้นไปอนุมัตินะครับ เช้านี้น่าจะต้องขึ้นไปชั้นเก้าพอดีน่ะครับ”

“อืม ตอนขึ้นไปก็ฝากของผมไปด้วยแล้วกัน เพราะเดี๋ยวผมมีประชุม…”

“ครับ”

ผมโยนแก้วกระดาษทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็ก้มหัวลาก่อนจะออกจากตรงนั้นไป

ผมกลับมายังที่นั่งแล้ววอร์มนิ้ว วันนี้คือวันพฤหัส ทนอีกแค่หนึ่งวันก็จะถึงวันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว

อดทนเข้าไว้

 

หนังสือชี้แจง

 

ข้าพเจ้า ผู้ช่วยคิมจูฮยอก เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าได้กระชากคอเสื้อของหัวหน้าอีฮยอนแจ และก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น จากนั้นข้าพเจ้าก็เผลอไปเตะหน้าแข้งของหัวหน้าแผนกซอฮีแทโดยไม่ได้ตั้งใจ รบกวนช่วยพิจารณาว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากการที่หัวหน้าแผนกซอฮีแทเป็นคนผลักข้าพเจ้าก่อนด้วยนะครับ

ข้าพเจ้าได้แสดงความไม่พอใจที่อัดอั้นมาตลอดออกมาโดยวิธีการที่ไม่เหมาะสม และบัดนี้ข้าพเจ้าก็ได้สำนึกผิดแล้ว

 

เขียนแบบนี้โอเคหรือยังนะ

ผมเอียงคอพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป

ลองปรับไซส์ฟอนต์ให้ใหญ่ขึ้นดีไหมนะ

“ต้องเขียนแผนในการปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นด้วยสิคะว่าอนาคตจะไม่ทำอะไรทำนองนี้แล้ว”

ผมหันกลับไปมองข้างหลังเพราะตกใจเสียงที่ดังเข้ามาในหูอย่างกะทันหัน และต้นเสียงนั้นก็คือพนักงานอาวุโสอิมนี่เอง

“คุณมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย”

“ฉันเหรอ ก็มาทำงานน่ะสิคะ นี่ค่ะ รบกวนช่วยตรวจสอบอันนี้แบบด่วนที่สุดแล้วก็กรอกโค้ดลงระบบประมวลผลให้หน่อยนะคะ”

ผมรีบใช้มือบังหน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที ก่อนที่พนักงานอาวุโสอิมจะหัวเราะออกมาเสียงดังยิ่งกว่าเดิม

“ฮ่าๆ! ข่าวลือดังไกลไปถึงแผนกการเงินเลยนะคะเนี่ย เห็นบอกว่าผู้ช่วยของทีมดูแลลูกค้าเตะคุณหัวหน้ากับคุณหัวหน้าแผนก”

“ผมไม่ได้เตะสักหน่อย”

“เห็นเขาบอกว่าเตะนี่คะ?”

“อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่ได้เจตนานี่”

“โอ๊ะ เตะจริงๆ ด้วยแฮะ ฮ่าๆๆๆ”

พนักงานอาวุโสอิมตบหลังผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป ส่วนผมก็นั่งพิมพ์หนังสือชี้แจงต่อจนเสร็จสมบูรณ์

 

ในอนาคตข้าพเจ้าจะพยายามหาวิธีคลายความเครียดที่เป็นเรื่องส่วนตัวเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่พอใจนี้…’

 

ผมกดบันทึกแล้วกดปุ่มพริ้นต์เอกสาร พอมองนาฬิกาถึงได้เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปได้เพียงแค่สี่สิบนาที วันนี้เวลาช่างเดินผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน

ในระหว่างที่กำลังเดินไปยังเครื่องพริ้นต์ผมก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ดูจากการที่ปิดปากฉับทันทีที่เห็นผมแล้ว ฝั่งนั้นเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน

“อรุณสะ…อุบ! คิกๆ…”

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

ฮาวอนอีเป็นคนที่ควบคุมสีหน้าไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

ยิ่งพนักงานฮาเดินเข้ามาใกล้ผมมากเท่าไหร่ ใบหน้าเขาก็ยิ่งเกร็งมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายเขาก็หัวเราะออกมาจนน้ำตาแทบไหล

“ฮ่าๆๆ…ขอโทษนะครับ ขอโทษที…กระดาษนี่น่ะ…หนังสือชี้แจงแผ่นนี้…ฮึบ…ของคุณผู้ช่วยคิมสินะครับ?”

ผมแย่งกระดาษที่อยู่ในมือของฮาวอนอีมา และแน่นอนว่ามันคือหนังสือชี้แจงของผมเอง

“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย”

“พอดีเครื่องพริ้นต์ชั้นหนึ่งใช้ทำอย่างอื่นอยู่น่ะครับ ผมก็เลยขึ้นมาพริ้นต์เอกสารที่ชั้นนี้”

ฮาวอนอีหัวเราะพลางเดินเข้ามาหาผมด้วยแก้มกลมๆ ที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ

“คุณเตะเขาจริงๆ เหรอครับ”

“ผมไม่ได้เตะสักหน่อย ทำไมคนชั้นหนึ่งถึงได้ชอบพูดแบบนั้นกันเนี่ย”

“ก็ข่าวลือมันแพร่ไปทั่วแผนกการเงินเลยนี่ครับ”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก แต่ผมไม่ได้เตะนะครับ”

“จริงเหรอครับ”

“จริงๆ ก็เตะแหละ แต่เตะโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ…”

ฮาวอนอีหัวเราะเสียงดังลั่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจเสียงหัวเราะของตัวเองหรือเปล่า จู่ๆ ถึงได้ยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะโน้มตัวมาแทบชิดหน้าอกของผมแล้วเงยหน้ามองขึ้นมา

“ทำไมคุณถึงได้น่ารักขนาดนี้ครับเนี่ย”

“แม้แต่คุณวอนอีเองก็พูดแบบนั้นกับเขาด้วยเหรอครับเนี่ย”

ผมยกมือปิดหน้าด้วยความอับอายและโบกหนังสือชี้แจงไปมาพลางตบแก้มตัวเอง ในขณะที่ฮาวอนอีรีบจับแขนเสื้อผมอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยปากถาม

“นี่มีใครบอกว่าผู้ช่วยคิมน่ารักอีกเหรอครับ”

ฮาวอนอีทำหน้ามุ่ยได้น่ารักมากๆ ผมรู้สึกว่าเขาก็แค่น่ารักด้วยตัวของเขาเองมากกว่าจะบอกว่าน่ารักเพราะตัวเขาเป็นโอเมก้า

เฮ้อ…ทำไมเด็กนี่ถึงได้หน้าตาน่ารักขนาดนี้นะ จริงๆ เลยเชียว อย่างนี้ก็โกรธไม่ลงน่ะสิ

ถ้าคิมจูยอง (ยัยกอริลล่าสายพันธุ์โลว์แลนด์, อายุยี่สิบเอ็ดปี) ว่านอนสอนง่ายขึ้นกว่านี้สักหน่อยก็คงจะให้ความรู้สึกแบบนี้แหละ ยัยนั่นเองก็น่ารักจนกระทั่งถึงตอนอายุแปดขวบ เด็กนั่นโตเป็นวัยรุ่นตั้งแต่เก้าขวบ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมายัยนั่นก็ใช้ลิ้นปี่ผมเป็นแทรมโปลีน* กระโดดเล่นบนอกผมอย่างกับกอริลล่าที่เพิ่งหลุดออกมาจากขุมนรก…

“พอเห็นคุณวอนอีแล้วผมก็นึกถึงน้องของผมขึ้นมาเลยครับ”

“นี่คุณมองผมเป็นแค่น้องเหรอครับ”

ฮาวอนอีหัวเราะอย่างหยอกเย้า เขายืนเขย่งปลายเท้าจนใบหน้าขยับมาใกล้จมูกผม กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ ลอยมาแตะปลายจมูก ทำเอาผมผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

อันตรายแฮะ เกือบโดนแล้วไง

ดวงตาของฮาวอนอีส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ

“มองผมเป็นแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอครับ”

“ผู้ช่วยคิมเขาเป็นเบต้านะคะ”

พนักงานอาวุโสซอที่กำลังคนกาแฟสำเร็จรูปอยู่พูดขึ้นเสียงเรียบก่อนเดินผ่านไป

“ครับ?”

พอผมหันกลับไปมองข้างหลัง พนักงานอาวุโสซอก็เดินไปไกลโน่นแล้ว และเมื่อผมหันกลับมามองตรงหน้า สีหน้าของฮาวอนอีเมื่อครู่นี้ก็พลันสลายหายไปจนหมด ก่อนที่สีแดงเรื่อจะเริ่มไต่ไล่ขึ้นมาช้าๆ ตั้งแต่ต้นคอ

และในที่สุดใบหน้าและปลายหูของฮาวอนอีก็ถูกย้อมไปด้วยสีชมพูภายในชั่วพริบตา

“เบต้า?”

“เอ่อ…ครับ…”

“หนะ…ไหนบอกว่าเป็นอัลฟ่าไงครับ”

“ผมไม่เคย…”

“ไม่เคยจริงๆ ด้วยแฮะ”

ผมได้แต่พยักหน้ารับ จากนั้นฮาวอนอีก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะใช้มือปิดริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

“คุณวอนอี หน้าคุณแดงมากเลยนะครับ”

“ปะ…แป๊บนึงนะครับ”

ฮาวอนอีก้มหน้างุดก่อนคลำดูเครื่องพริ้นต์

“เดี๋ยวผมขอตัวเอาเอกสารนี่ลงไปก่อนนะครับ”

“คุณวอนอีครับ!”

ผมจับไหล่ของฮาวอนอีที่ตั้งท่าจะเดินหนีให้หันกลับมา แม้แต่ใต้ดวงตาของเขาก็ยังแดงขึ้นจนเจ้าตัวต้องใช้กระดาษปิดบังใบหน้า

“ผมมันโง่เองแหละ” เขาพูดขึ้น

“ขอโทษนะครับ”

“มันเป็นความผิดผมเองครับ”

ผมพยายามใช้สมองครุ่นคิด อย่าบอกนะว่า…

“ฟีโรโมน?”

ฮาวอนอีใช้กำปั้นทุบหน้าท้องผม หมัดของเขาหนักมากจนผมรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของอวัยวะภายในที่ผมเคยลืมไปชั่วขณะหนึ่ง ผมกุมท้องพลางใช้มืออีกข้างจับไหล่ของฮาวอนอีเอาไว้ กระทั่งได้ยินเสียงหนังสือชี้แจงยู่ยับ ฮาวอนอีถึงได้เปิดปากพูดขึ้นมาโดยที่ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ

“ผมแค่ล้อเล่นน่ะครับ อย่าใส่ใจเลยนะครับ”

“ไม่ใช่ว่าคุณไม่ชอบขี้หน้าผมหรอกเหรอครับ” ผมถามเขา

“ไม่ได้ไม่ชอบนะครับ”

“ถ้างั้นก็มองผมสิครับ”

ฮาวอนอีเลื่อนกระดาษลงให้ผมได้เห็นใบหน้าของเขา ขนตาของเขายาวมาก หางตาก็งามงอนมากเช่นกัน

“คุณผู้ช่วยเป็นเบต้าเหรอครับ”

“ผมเป็นเบต้าครับ เพราะงั้นก็เลยไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ เมื่อกี้ต้องการจะบอกอะไรผมผ่านทางฟีโรโมนเหรอครับ”

“ฟีโรโมนมันไม่ได้เหมือนกับการส่งกระแสจิตหรอกนะครับ”

ฮาวอนอีเอื้อมมือมาจิ้มนิ้วลงบนกลางอกของผมจึกๆ

“คุณเป็นเบต้าแน่ๆ ใช่ไหมครับ”

“ครับ”

“ไม่ใช่อัลฟ่าแน่นะครับ”

“ไม่ใช่แน่นอนครับ”

“ถ้างั้นก็ช่างเถอะครับ”

ฮาวอนอีผลักผมออกอย่างแรงแล้วก็รีบจ้ำอ้าวหนีไปทันที

ผมก้มลงมองหนังสือชี้แจงในมือที่ตอนนี้ยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว

ผมพริ้นต์หนังสือชี้แจงใหม่แล้วเอาไปประทับตราอนุมัติของหัวหน้าอี หัวหน้าอียิ้มอย่างอายๆ พลางพลิกหาหนังสือชี้แจงของตัวเองก่อนยื่นมาให้ผม ผมไม่ได้อ่านหนังสือชี้แจงของหัวหน้าตามคำแนะนำของจิตสำนึกตัวเอง แต่ก็แอบเหลือบมองผ่านๆ มันยาวโคตรๆ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าในบรรดาคำพวกนั้นมันมีสักกี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เป็นคำสำนึกผิด

“ไม่ต้องเอาให้หัวหน้าแผนกซอเซ็นอนุมัติก็ได้นะ เอาขึ้นไปส่งได้เลย”

หัวหน้าอีตบบ่าผมดังปุๆ เขาหรี่ตาลงน้อยๆ ก่อนยกยิ้มให้ ทว่าจู่ๆ พนักงานใหม่ที่ยืนอยู่ข้างกันก็กระแอมแล้วพูดขึ้น

“หัวหน้าอีจะยิ้มแบบนั้นไม่ได้นะครับ”

“หืม?”

“อย่าไปยิ้มสวยๆ ต่อหน้าพวกอัลฟ่าสิครับ เดี๋ยวก็ทำคนอื่นเขาหวั่นไหวกันไปหมดพอดี”

ไม่รู้ว่าพนักงานใหม่คนนี้ไม่มีความกลัวใดๆ เลยหรือไง ถึงได้เปิดปากพูดโพล่งออกมาแบบนั้น หัวหน้าอีหน้าแดงระเรื่อเพราะคำพูดของเขา แม้แต่ผมเองก็เริ่มหน้าแดงขึ้นเหมือนกัน

ไอ้เด็กนี่มันบ้าไปแล้วหรือไง

ไม่รู้ว่าที่กล้าพูดกับโอเมก้าตามอำเภอใจแบบนั้นเป็นเพราะเด็กนี่เป็นอัลฟ่าหรือเปล่า ไม่ดิ เด็กนี่มันบ้าไปแล้วหรือไงวะนั่น มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หรือว่าสังคมที่นี่หล่อหลอมให้เจ้าเด็กนี่เสียคนกันนะ พี่เลี้ยงของไอ้เจ้าเด็กนี่คือใครกัน

ผมเบิกตากว้างแล้วจ้องไปที่หัวหน้าอี ส่วนหัวหน้าอีก็ทำได้เพียงแค่หลบสายตาผม ปัญหาของหัวหน้าอีก็คือนิสัยที่ชอบใจอ่อนกับคนอื่นนี่แหละ

ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ พนักงานหนุ่มหน้าใหม่นั่นก่อนกระซิบเบาๆ

“นี่มันเป็นการคุกคามทางเพศภายในบริษัทนะ”

หลังจากพุ่งตัวไปกระซิบบอกเด็กนี่เสร็จ ผมก็ผละตัวออกและโบกหนังสือชี้แจงของหัวหน้าอี ก่อนที่เด็กนี่จะหดคอหนีผมไปด้านหลัง

ผมถอยออกมาจากตรงนั้นอย่างเชื่องช้าในขณะที่โบกหนังสือชี้แจงไปมา

ผมจ้องหน้าพนักงานใหม่จนแทบพรุนพลางขยับปากพูดแบบไร้เสียง

‘ระวังจะโดนหนังสือชี้แจง’

ผมมั่นใจเลยว่าเด็กนี่เพิ่งเคยเข้าสังคมอยู่ร่วมกับคนอื่นเป็นครั้งแรก สงสัยคงจะนึกว่าที่นี่เป็นร้านเหล้าที่เอาไว้ล่าเหยื่อเหมือนในฮงแดแน่ๆ

 

ผมบังเอิญเจอหัวหน้าแผนกซอที่หน้าห้องทำงานของผู้จัดการ หัวหน้าแผนกซอก้มมองผมด้วยสีหน้าหยิ่งยโสก่อนจะหยุดเดินและพูดขึ้นด้วยเสียงที่กดลงต่ำจนฟังดูน่ากลัว

“คุณเป็นอะไรกับฮยอนแจ”

“หัวหน้าอีน่ะเหรอครับ”

“ใช่ คุณทั้งคู่เป็นอะไรกัน”

“ก็เป็นลูกน้องกับเจ้านายไงครับ”

“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้อยู่ด้วยกัน”

หัวหน้าแผนกซอเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีข่มขู่จนผมรู้สึกเหมือนสันจมูกโด่งนั่นจะแทงเข้าหน้าผม

“เอ่อ…ก็เพราะเมื่อวานหัวหน้าอียังไม่ได้อนุมัติงานให้ไงครับ”

ไม่รู้ว่าพูดไม่ออกหรือเพราะอะไร หัวหน้าแผนกซอถึงได้หยุดชะงักไปแบบนั้น

“หัวหน้าแผนกซอครับ”

“มีอะไร”

“อย่าทำแบบนั้นในบริษัทเลยนะครับ…”

ผมโน้มตัวลงเหมือนเต่าหลังค่อมแล้วเดินผ่านข้างตัวเขาไป ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’ ในจังหวะที่หัวหน้าแผนกซอค่อยๆ ไกลห่างออกไป

ไอ้ประสาทเอ๊ย อิจฉาทุกอย่างแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สินะ ถ้าเขาสำคัญมากขนาดนั้นก็อย่านอกใจเขาสิวะ

* แทรมโปลีน เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยผืนผ้าใบขึงตึง คานยึดที่เป็นเหล็ก และสปริงที่ทำหน้าที่ในการขึงให้แผ่นผ้าใบตึงติดกับโครงเหล็กที่แข็งแรงของตัวแทรมโปลีนเอง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: