X
    Categories: everYทดลองอ่านเบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1

ผู้เขียน : วั่งยา 

แปลโดย : คุณต่ง

ผลงานเรื่อง : 表面天下第一

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 5

 

ในพรรคไท่ซวีมีสิบสองยอดเขา เจ็ดยอดเขามีไว้ให้พรรคใช้งาน อีกห้ายอดเขาที่เหลือเป็นเพราะตำแหน่งที่ตั้งอันตรายเกินไปจึงยังไม่ได้บุกเบิก เพียงใช้เป็นรางวัลมอบให้กับศิษย์ที่โดดเด่นหรือไม่ก็เหล่าผู้อาวุโสพักอาศัย

อย่างเช่นผาฉางเซิงของจงจี่ ฝั่งนั้นใกล้กับสมุทรแห่งซวีวั่ง (ลืมสุญ) อสูรพเนจรดุร้ายมีเยอะสุด อุณหภูมิเยียบเย็นสุด จึงทิ้งร้างมาโดยตลอด ภายหลังเป็นจงจี่ที่บอกว่าต้องการสถานบำเพ็ญที่สงบสักแห่งถึงได้เลือกพำนักบนยอดเขานั้นด้วยตนเอง

เหล่าผู้อาวุโสพรรคไท่ซวีย่อมอนุญาตอย่างเป็นเอกฉันท์ ศิษย์อัจฉริยะเช่นจงจี่ ทรัพยากรในพรรคต้องจัดหามาให้เขาใช้ก่อนเป็นอันดับแรก อย่าว่าแต่ยอดเขาลูกหนึ่งเลย ต่อให้เป็นดวงดารา บรรดาผู้ปกปักพรรคไท่ซวีก็เด็ดลงมาให้เขาดวงหนึ่งได้

พูดอีกก็คือผาฉางเซิงเดิมทีก็ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลไร้คนต้องการ ผู้ใดต้องการก็ให้ผู้นั้น ไม่ได้สูญเสียสิ่งใดไปแม้เพียงครึ่ง

เพิ่งจะเช้าตรู่บนยอดเขาหลักพรรคไท่ซวีก็คึกคักอย่างยิ่ง เงาร่างสองสายกระโจนขึ้นโผลง ทำเอายอดเขาหลักที่ปกติจะเงียบสงัดนั้นไก่เตลิดสุนัขกระเจิง ผู้อาวุโสที่สัญจรมารายงานภารกิจต่างก็ยืนมองความคึกคัก

สองศิษย์อาจารย์กำลังขึ้นแสดงฉากศิษย์อาจารย์ล่าสังหารกันและกัน ทว่าศิษย์น้องเล็กเหยียนซื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกว่าเห็นจนชินตา เพียงกุมสองมือไว้ในแขนเสื้ออย่างนิ่งเฉย ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามาไกล่เกลี่ยเลยแม้แต่น้อย

หลายปีถึงเพียงนี้แล้ว เหยียนซื่อก็ยังคงไม่ชัดแจ้งว่าข้อพิพาทของศิษย์อาจารย์ประเภทนี้มีแต่ต้องตีกันหนึ่งคำรบถึงจะจบเรื่องได้

กล่าวคือก็ไม่ใช่ไม่มีข้อดี วรยุทธ์ใต้ฝ่าเท้าของศิษย์พี่จงโดยพื้นฐานก็ล้วนฝึกฝนมาจากเหตุการณ์เจ้าไล่ข้าตามกับหมิงซวีจื่อนี่แล

ท่าย่างก้าวท่องคลื่น ย่ำหิมะไร้แผล บุปผาโปรยสะท้านใบ…

“โอ๊ย…”

“อาจารย์ท่านพักผ่อนสักครู่เถิด อายุปูนนี้หากเจ็บตรงเอวจะไม่ดีนัก”

จงจี่ใช้ความสามารถของขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองเพิ่งจะทะลวงมาได้อย่างชาญฉลาด ฝ่าเท้าราวกับทาน้ำมันลื่นไถลอย่างยิ่ง ทั้งยังน่าตื่นตะลึงที่ทำให้หมิงซวีจื่อที่ใช้ปราณวิญญาณแล้วก็ยังไม่อาจตามทัน ครู่เดียวเจ้าหนุ่มนี่ก็กระโดดอย่างโอ้อวดขึ้นไปบนชายคานอกยอดเขาหลัก งอปลายเท้าคราหนึ่ง ก่อนห้อยศีรษะลงมาจากบนชายคาอย่างยั่วยุ ผมสีดำสยายลง ยิ้มหัวแหะๆ

“เจ้าเด็กบ้า อย่าคิดว่าทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วอาจารย์จะไร้หนทางจับเจ้า!”

หมิงซวีจื่อได้ยินวาจานั้น เส้นผมหนวดเคราพลันลุกตั้ง เขานำไม้เท้าในมือกระแทกพื้นคราหนึ่ง ตัวไม้เท้าทั้งท่อนพลันบิดงอเปลี่ยนรูป เผยให้เห็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งอยู่ภายใน ไม่พูดคำใดต่อก็ยกกระบี่ขึ้นชี้

หมิงซวีจื่อในยามปกตินั้นทรงมรรคศักดิ์เซียน ล่องลอยเหนือธุลี ทว่าเวลานี้กิริยากลับปราดเปรียวว่องไว ไม่เข้ากับหนวดสีขาวหย่อมใหญ่บนใบหน้าของเขาเลย

บ้าเอ๊ย! เอาจริงรึ?!

ยามจงจี่เห็นกระบี่หลงเฉวียน (น้ำพุมังกร) เล่มนั้นในใจก็พลันผวาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เขาระลึกถึงคืนวันอันขมขื่นตอนถูกกระบี่หลงเฉวียนเล่มนี้ฟาดหลังขณะฝึกกระบี่ในกาลก่อน แผ่นหลังพลันเกิดท่าทีตอบสนองพลอยเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ร้องโหยหวนขึ้นมาเสียงหนึ่ง…

“อย่าๆๆๆๆ! อาจารย์ ข้าไม่ใช่แค่ทะลวงระดับธรรมดานะ…! ยั้งกระบี่ไว้ไมตรีด้วย!”

จงจี่หวาดกลัวเสียจนหยิบพัดที่ข้างเอวออกมา ตะลีตะลานทะยานฟ้าอยู่เช่นนั้น ใช้ปราณกระบี่พลิกแพลงไปตามกระบวนท่าของหมิงซวีจื่อ

ภายใต้การปะทะกันอย่างเกรี้ยวกราดของปราณกระบี่สีเหลืองสกาวและปราณกระบี่สีขาวที่กลางอากาศ สะท้านสะเทือนจนเกิดเป็นคลื่นการโจมตีพัดให้ใบไม้ร่วงรอบทิศลอยฟุ้งตลบ ม้วนรวมเข้ากับลมหิมะแล้วแหลกละเอียด กลายเป็นผงธุลีโรยโปรยลงบนพื้นหิมะ

เขาไม่ใช้ปราณกระบี่ยังดีเสียกว่า พอใช้ปราณกระบี่หมิงซวีจื่อก็พลันนึกถึงความหลังในปีนั้นที่จงจี่ต่อหน้าตั้งอกตั้งใจฝึกกระบี่แต่ในความเป็นจริงกลับแอบลูบปลา* ฉับพลันนั้นใบหน้าชราพลันบึ้งตึง มีเจตนาคิดหยั่งเชิงอยู่หลายส่วนว่าระดับขั้นของศิษย์ตนมั่นคงหรือยัง จึงใช้พลังที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

มรรคากระบี่ที่หมิงซวีจื่อเดินนั้นยึดถือทางสายกลาง กิริยาท่าทางในหยาบมีละเอียด** มิขาดท่วงท่าอันผ่าเผย

เขาไม่เหมือนกับเจ้าหนุ่มจงจี่ที่พอเปิดใช้นิ้วทองคำแล้วก็ใช้ปราณกระบี่ได้ หมิงซวีจื่อนั้นเดินทางฝึกยุทธ์เลื่อนระดับขึ้นมาด้วยตนเองอย่างจริงจังเข้มงวด หนึ่งคนหนึ่งกระบี่จริงประจัญจริง ตระหนักรู้ปราณกระบี่สายกลางท่ามกลางลมหิมะโดยตรง ก่อนที่จงจี่จะออกท่องโลกหล้า หมิงซวีจื่อล้วนเป็นผู้นำทัพในมรรคากระบี่บนแผ่นดินเสวียนซวี ชื่อเสียงสะท้านสี่ทิศ เพียงพอให้เป็นบุรุษหล่อเหลาเปี่ยมพรสวรรค์แล้ว

แน่นอนว่านี่ก็เป็นน้ำตาแห่งยุคสมัยเช่นกัน

จงจี่ไหนเลยจะกล้าแข็งปะทะแข็งกับหมิงซวีจื่อ เส้นทางฝึกฝนที่เขาเดินอยู่เดิมทีก็ห่างไกล เวลานี้ไม่กล้ากำเริบเสิบสานเหมือนตอนสู้กับมู่เหยี่ยเช่นนั้นอีก ทำได้เพียงถ่วงปราณลงไปในจุดตันเถียน* อย่างกล้ำกลืน แล้วประมือกับอาจารย์อย่างซื่อตรง

ผู้ฝึกกระบี่ล้วนเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่สนทนาเหตุผลกัน ต่อให้จงจี่เน้นย้ำเรื่องที่ตนเองได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่จากการกักตนครั้งนี้อีกอย่างไร หมิงซวีจื่อล้วนปิดหูไม่ฟัง ซ้ำยังเพิ่มความรวดเร็วขึ้นกระบวนท่าต่อกระบวนท่า

ผลลัพธ์ที่แท้จริงหลังจากประมือกันหลายกระบวนท่าผ่านไปก็คือหมิงซวีจื่อพลันร้อง ‘เอ๋?’ เสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

“เจ้าเด็กบ้า นี่เจ้า…”

อาศัยช่วงระหว่างที่หมิงซวีจื่อสติหลุดลอยวาบหนึ่ง ใต้เท้าของจงจี่พลันก้าวไปข้างหน้า กระโดดอย่างระแวดระวังไปอีกด้านหนึ่งแล้วถึงค่อยกางพัดออกอย่างสง่างาม ก่อนจะฮึดฮัดอย่างภาคภูมิยิ่ง “ท่านดูทำเนียบเสวียนจีก่อนสักหน่อยเถิด”

หมิงซวีจื่อไม่เป็นหวัด* กับท่าทางชูหางชี้ฟ้าของศิษย์เอกตนแต่อย่างใด เขาเก็บกระบี่ยาวสี่สิบหมี่ของตนลงโดยพลัน หยิบม้วนคัมภีร์หยกออกมาจากอก ปล่อยจิตสัมผัสเข้าไปสำรวจอย่างใคร่รู้

เจ้าเด็กดี ต้นรายนามคืออักษรตัวใหญ่หกตัวที่วาบประกายแสงสีทอง ‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า จงจี่’ มันระยิบระยับสว่างไสว ทำให้ผู้คนยากละเลยโดยแท้ และทำให้รับรู้ถึงการมีตัวตนอย่างบ้าคลั่ง

รายนามหมิงซวีจื่อก่อนหน้านี้ล้วนเป็นอันดับห้ามาโดยตลอด เป็นเพราะเขาอายุน้อยกว่าเหล่าเฒ่าไม่ตายที่ทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ก่อนเขาหลายท่านนั้น จึงทำได้เพียงต่อท้ายอันดับอย่างฝืนทน

แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรของแผ่นดินเสวียนซวี ความปรารถนาของหมิงซวีจื่อก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาทั่วไปทั้งหมื่นพัน ล้วนปรารถนาว่าจะขึ้นไปอยู่บนยอดสุดของทำเนียบเสวียนจี

น่าเสียดายที่อุดมคติงดงาม ยามลงมือทำนั้นยากเย็น อันดับแรกฉากกำบังระดับขั้นนี้ก็เหมือนกับเขื่อนใหญ่กั้นธาร อย่างไรก็ทะลวงไม่ได้ พาให้วิตกกังวลถึงดวงใจที่คิดอยากค้นหามหามรรคของหมิงซวีจื่อ

ผลคือยามนี้กลับดียิ่ง ตนเองไม่อาจทะลวงได้ สุดท้ายเจ้าเด็กบ้าจงจี่ผู้นี้ทะลวงให้แล้ว

แม้ในยามปกติหมิงซวีจื่อจะปากบอกว่ารังเกียจจงจี่มาก แต่ความเป็นจริงนั้นกลับพึงพอใจในตัวศิษย์เอกตนเป็นอย่างยิ่ง ในตอนที่ได้เห็นว่าศิษย์มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่เช่นนี้ช่องอกของท่านผู้เฒ่าก็กระเพื่อมไหวอย่างภูมิใจอย่างไรก็ไม่อาจสงบนิ่ง อยากจะถ่ายทอดเสียงพันหลี่ไปหาพวกเฒ่าไม่ตายพรรคอื่นเหล่านั้นอย่างโอ้อวดเสียเดี๋ยวนี้อย่างอดไม่ได้

“เป็นอย่างไร สุราไท่สี่ไป๋สิบกว่าไหเหล่านั้นศิษย์มิได้ดื่มให้สูญเปล่า”

เห็นท่าทีของหมิงซวีจื่อแล้วจงจี่ก็วางใจในที่สุด เขาหัวเราะคิกคักพลางโฉบเข้ามาหาจากที่ห่างไกล แล้วถึงได้กล้ามายืนตรงหน้าหมิงซวีจื่อ

“อาจารย์ ศิษย์ทำความปรารถนาชั่วชีวิตของท่านสำเร็จแล้ว ในยามนี้ซาบซึ้งใจเป็นพิเศษใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นไร เราศิษย์อาจารย์ครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน”

กาไหนไม่เดือด หยิบกานั้น**

เดิมทีหมิงซวีจื่อยังคิดจะโบกมือใหญ่คราหนึ่ง แสดงออกว่าสุราไท่สี่ไป๋หมักใหม่ของตนสามารถพิจารณาเป็นรางวัลให้กับจงจี่ได้ ผลคือหลังจากได้ยินประโยคนี้กลับทั้งโมโหและขบขัน จากนั้นก็พลันหมุนมือมอบผลเกาลัดระเบิด* ผลหนึ่งให้ศิษย์เอกตน

“แค่กๆ ในเมื่อเจ้าทะลวงแล้ว…”

พอได้ยินวาจานี้จงจี่พลันเข้าใจความคิด “ประเดี๋ยวศิษย์จะจัดเตรียมวิธีการทะลวงให้ท่าน”

จะให้พูดก็คือฉากกำบังระดับขั้นของแผ่นดินเสวียนซวีนี้ ในความเป็นจริงคือหลังจากมหาสงครามสามเผ่าพันธุ์หมื่นปีก่อนถึงได้ถูกจำกัดโดยมรรคาสวรรค์

นับตั้งแต่หลังมหาสงคราม ภาพเหตุการณ์แต่เดิมอย่างการที่มีขั้นศักดิ์สิทธิ์มากมายดั่งสุนัข ขั้นเซียนเตร่ทั่วภพกลับไม่มีให้เห็นอีกต่อไป

คิดอยากทะลวงฉากกำบังนี้ล้วนขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร

จงจี่คือผู้บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งเดียวที่หมื่นปีมานี้สามารถเพิกเฉยฉากกำบังระดับขั้นได้

ที่ไม่มีเคล็ดลับก็เพราะเขาคือบุตรแห่งโชคชะตา คือศูนย์กลางของโลกใบนี้ และก็คือพระเอกของ ‘อิสระ’

ในตอนที่เขียนนิยายเรื่องนี้จงจี่เขียนขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ มอบนิ้วทองคำให้กับพระเอกของ ‘อิสระ’ มากมาย และยังใส่การวางมาดเป็นพระเอกที่เห็นได้ชัดอย่างมากเข้ามาเป็นพิเศษด้วย

มีเพียงรอให้จงจี่ทะลวงขั้น หลังจากม่านกำบังถูกตีทะลวงถึงจะหมดประสิทธิภาพ ประดาผู้บำเพ็ญเพียรถึงได้มีโอกาสจับจ้องความรุ่งโรจน์บนเส้นทางของขั้นศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นที่จงจี่บอกว่า ‘เคล็ดลับบำเพ็ญเพียร’ อะไรนั่นเมื่อครู่ล้วนเป็นการหลอกลวงอาจารย์ตนล้วนๆ

หมิงซวีจื่อไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลย เขาคิดเพียงว่าตนสามารถลิ่วล่องจากเจ้าห้าในหมื่นปีกลายเป็นอันดับสองได้ ภายในใจก็ปีติอย่างยิ่ง แม้แต่หนวดก็ยังลูบอยู่หลายครา

สองศิษย์อาจารย์ต่างมีผีในอก** สบตาแล้วหัวเราะ บรรยากาศเปลี่ยนจากยกกระบี่ง้างหน้าไม้กลับไปเป็นเกษมศานต์สมานฉันท์อีกครั้ง

“อาจารย์”

เวลานี้เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เหยียนซื่อถึงได้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า ค้อมกายคารวะอย่างเคารพ

“ไม่เลว มีวิริยะเช่นเคย”

เทียบกับศิษย์น้องเล็กของตนแล้ว ราวกับว่าท่าทีของหมิงซวีจื่อได้พลันเปลี่ยนไปทั้งหมด บนดวงหน้าอันยับย่นเผยความอ่อนโยนมีไมตรีจิต

ชาวโลกผู้ใดไม่รู้บ้างว่าศิษย์ทั้งสองท่านของประมุขพรรคไท่ซวี แต่ละคนล้วนเป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ ปกติแล้วตอนที่เขาไปดื่มชาสนทนาผายลมกับประมุขหลายท่านก็มีหน้ามีตาทบทวี

คนหนึ่งจงจี่ แม้หมิงซวีจื่อจะชัดแจ้งแก่ใจว่าเขาฝึกกระบี่ไม่ได้ แต่ก็ยังพูดออกมาได้อย่างไม่ละอายใจ ผลคือเวลานี้ทั้งแผ่นดินเสวียนซวีล้วนคิดว่าจงจี่คืออัจฉริยะมรรคากระบี่

อีกคนเหยียนซื่อ อายุยังเยาว์ก็ท้าทายบุคคลสำคัญของยอดเขาฉังเจี้ยน ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำยอดเขา อยู่อันดับต้นบนมรรคากระบี่ เป็นตัวแทนของมรรคากระบี่รุ่นใหม่ได้อย่างสง่างาม

“อาจารย์”

จงจี่กลับมายอดเขาหลักครานี้ หนึ่งคือส่งมอบผลลัพธ์การกักตน อีกหนึ่งก็คือวางแผนจะอำลาหมิงซวีจื่อเพื่อลงเขา

อย่างไรเสียทะลวงก็ทะลวงแล้ว อุดอู้กักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่พรรคไท่ซวีมาห้าปี จงจี่รู้สึกว่าทั่วสรรพางค์กายตนล้วนขึ้นสนิม จำเป็นต้องออกไปเตร็ดเตร่สักหลายรอบ เป็นตำรวจของสมุทรแห่งซวีวั่งสักรอบ ปกปักความสงบสุขของโลกหล้าสักหน่อย

“ไปๆๆ รีบไป อย่ามัวแต่คิดถึงสุราข้าอยู่ในพรรค”

หมิงซวีจื่อแทบอยากจะให้จงจี่ลงเขา เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี่มีนิสัยอยู่ไม่สุข เวลานี้ทะลวงขั้นพอดี ควรสวมฉายาอันดับหนึ่งในใต้หล้าก่อหายนะทั่วแผ่นดินใหญ่ ไปเป็นป้ายประกาศมีชีวิตให้กับพรรคไท่ซวีได้แล้ว

พูดอีกก็คืออาศัยกำลังที่แท้ของจงจี่ในยามนี้ เขาไม่ไปก่อหายนะให้ผู้อื่นก็ไม่เลวแล้ว คนอื่นไหนเลยจะเข้ามารังแกเขาได้

สรุปได้ว่าหมิงซวีจื่อวางใจอย่างมาก โบกมือไหวๆ อย่างรังเกียจ แสดงท่าทีให้จงจี่รีบไป

ครู่เดียวหมิงซวีจื่อก็หันไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเหยียนซื่อ และเริ่มชี้แนะข้อสับสนในการบำเพ็ญของศิษย์คนเล็ก

จงจี่ “…”

ไม่เป็นกระบี่ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้รับความรักจากอาจารย์ เด็กเอ๋ย นี่คือสัจธรรมโดยแท้

 

 

* ลูบปลา เป็นคำสแลงที่นิยมใช้กันในอินเตอร์เน็ต หมายถึงแอบอู้

** ในหยาบมีละเอียด เป็นสำนวน หมายถึงภายนอกดูหยาบกระด้างแต่แฝงความละเอียดไว้ภายใน

* จุดตันเถียน คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว

* ไม่เป็นหวัด เป็นคำสแลง หมายถึงไม่สนใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

** กาไหนไม่เดือด หยิบกานั้น เป็นสำนวน หมายถึงไม่ควรพูดถึงปมด้อยของผู้อื่น ควรพูดเรื่องที่ควรพูด และไม่พูดเรื่องที่ไม่ควร

* ผลเกาลัดระเบิด เป็นคำสแลง หมายถึงเขกศีรษะ

** ผีในอก เป็นสำนวน หมายถึงมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ในจิตใจ

บทที่ 6

 

ในเมื่อเตรียมตัวจะลงเขา เช่นนั้นการเตรียมพร้อมก็ต้องทำให้เสร็จ

หลังจงจี่จากยอดเขาหลักก็ย่อพิภพเป็นชุ่น พริบตาเดียวพลันย้ายจากยอดเขาอันห่างไกลมาถึงด้านล่างภูเขาที่มองเห็นได้ด้วยตาลูกหนึ่ง หิมะตกกระทบบนไหล่ ก้าวเท้าไปข้างหน้าต่อ

เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับกำลังย่ำลงบนดวงดาว ดั่งเซียนละโลกีย์ผู้ยืมลมสดชื่นมาร่วมทาง

อันที่จริงเขาสามารถใช้พลังวิญญาณกางโล่กำบังขึ้นมาได้ หิมะดั่งขนห่านเหล่านี้ล้วนไม่อาจกระทบลงบนกายเขา เพียงแต่จงจี่ค่อนข้างเกียจคร้าน พอรวมเข้ากับการรบกับมู่เหยี่ยและการอบอุ่นร่างกายกับผู้เฒ่าเมื่อครู่แล้ว ยามนี้ทั่วสรรพางค์กายล้วนร้อนเล็กน้อย เขาเลยปล่อยมันให้เป็นไปเช่นนั้น

ถึงอย่างไรเมื่อบำเพ็ญมาถึงระดับเขา ต่อให้เหงื่อโซมกาย แต่เพียงใช้พลังวิญญาณอบแห้งสักหน่อยก็ได้แล้ว นี่คือสิ่งจำเป็นเมื่ออยู่ในบ้านและของชั้นยอดสำหรับการเดินทาง

สถานที่ที่ผาฉางเซิงตั้งอยู่นั้นห่างไกลเกินไปจริงๆ ไกลถึงขนาดที่ละแวกใกล้เคียงมีเพียงแค่ภูเขาลูกนี้ที่สูงชันพอให้พักอาศัยอยู่ได้

ด้านหลังของมันติดกับภูเขาหิมะกว้าง หน้าหันไปทางสมุทรแห่งซวีวั่ง ดีที่ที่นี่ทำเลไม่เลว อยู่ห่างจากเขตหย่งต้ง (เยือกแข็งนิรันดร์) อันเป็นศูนย์กลางพรรคไท่ซวี ยามคิมหันต์ก็สามารถมองเห็นสีเขียวน้อยๆ เรียกได้ว่าหน้าหันหามหาสมุทรบุปผาบานยามวสันต์

คนอื่นไม่รู้ แล้วจงจี่ในฐานะที่เป็นนักเขียนจะไม่รู้แจ้งหรือ

เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซ่อนสมบัติซึ่งเตรียมไว้ให้กับพระเอกของ ‘อิสระ’ ภูเขาลูกน้อยๆ นี้ ขวานผีงานเทพ* อย่างยิ่ง ข้างบนห้าอวัยวะภายในพร้อมสรรพ** ไม่เพียงมีชีพจรวิญญาณชั้นเลิศสายหนึ่งแอบซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก แต่ยังมีบ่อน้ำพุร้อนวิญญาณบ่อหนึ่งที่มีไอน้ำอบอวลตลอดทั้งปีด้วย ถือว่าสิ่งที่ควรมีก็มีครบทั้งหมด

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปลีกวิเวกของผู้เฒ่าผู้ก่อตั้งพรรคไท่ซวี…เซียนกระบี่หลิงเฮ่อก็คือผู้เฒ่าผู้ก่อตั้งพรรคที่หนึ่งกระบี่ปาดขุนเขา แล้วใช้กระบี่โอบจงโจวอันแตกแยกส่วนใหญ่เอาไว้ ประกาศกร้าวว่าตนต้องการก่อตั้งสำนักพรรค ทั้งแผ่นดินใหญ่ไร้คนกล้าคัดค้านแม้แต่คนเดียวผู้นั้นนั่นเอง

ต่อมาตามการพัฒนาของพรรคไท่ซวี ในตอนที่หลิงเฮ่อบรรลุเซียนก็ออกคำสั่งหวงห้ามสถานที่แห่งนี้ นานวันเข้ากลับกลายเป็นสถานที่ไร้เจ้าของ

หลังจากนั้นหมื่นปีเหล่าอนุชนของพรรคไท่ซวีทำได้เพียงค้นหาจากสองคำหนึ่งย่อหน้า*** สืบเสาะตอนต้นของบรรพจารย์ เปิดขุนเขายอดฝีมือแห่งยุคจากตำราโบราณเปื่อยยุ่ย และยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องทราบนามอันยิ่งใหญ่ของเซียนกระบี่หรือการค้นพบเขตแดนแห่งนี้เลย

นี่กลับเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนุ่มนกพิราบบุกรังสาลิกา**** จงจี่ผู้นี้

ทุกสิ่งทุกอย่างบนผาฉางเซิงล้วนจัดวางไว้อย่างสมบูรณ์ แม้จะผ่านกาลเวลามาแล้วหมื่นปี แต่ค่ายกลของผู้เฒ่าขั้นเซียนระดับสูงสุดนั้นยังคงเหมือนใหม่ทุกอย่าง ในตอนที่จงจี่ถือห่อผ้าน้อยใบหนึ่งจากยอดเขาฉังเจี้ยนมาเข้าพักอาศัยจึงค่อนข้างพอใจ

ลักษณะนิสัยของเซียนกระบี่นั้นเป็นคนเยือกเย็น สิ่งปลูกสร้างบนผาฉางเซิง กระทั่งศาลาริมน้ำฟังธูป***** ก็ทำขึ้นมาอย่างค่อนข้างผิดฤดู แต่ภายนอกยังคงจำกัดความด้วยคำว่าหรูหรา

อันที่จริงด้านในสิ่งปลูกสร้างอันงดงามเหล่านี้จัดวางสิ่งของไว้อย่างขาดแคลน ในตอนที่จงจี่หิ้วห่อผ้าเข้ามาพักอาศัย การตกแต่งภายในห้องทั้งห้องก็มีเพียงแค่เบาะกก* น้อยๆ ที่กลางตำหนักหลักเท่านั้น

จงจี่ “…”

จิตใจสับสน

เขาเคยเขียนเรื่องหลิงเฮ่อผู้นี้เอาไว้ แต่อยู่ในนิยายอีกเรื่องหนึ่ง หลิงเฮ่อเป็นตัวประกอบรับเชิญชายที่น่ารักและมีเสน่ห์คนหนึ่ง

นิยายเรื่องนั้นเป็นนิยายเรื่องที่สองที่จงจี่เขียน และก็เป็นนิยายออนไลน์สำหรับผู้ชายแนวเลื่อนขั้นเรื่องที่สองที่เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์จาก ‘อิสระ’ มาใช้

ครั้งนี้นับว่าจงจี่ได้เรียนรู้จนฉลาด เขาค้นพบรสนิยมอันปลิ้นปลอกของเหล่านักอ่านแล้วจึงเริ่มร่างพระเอกของนิยายเรื่องที่สองขึ้นมา

นิยายเรื่องแรก ‘อิสระ’ เหตุใดถึงได้ล้มครืนอย่างน่าสังเวชขนาดนั้น ถึงขนาดที่ลงตอนต่อไปถึงฉากดราม่าช่วงท้ายแล้วก็ยังไม่มีคนอ่านเลยแม้แต่คนเดียว ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะ…

อันดับแรก ชาติกำเนิดของพระเอกนั้นดราม่าไม่พอ

จงจี่พระเอกคนนี้ราบรื่นไร้อุปสรรคมาตั้งแต่เล็ก แม้จะเป็นเด็กกำพร้าแต่ก็ถูกประมุขพรรคเก็บมาเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่เด็ก ประคองไว้บนฝ่ามือก็กลัวตก อมไว้ในปากก็กลัวละลาย*

มีพรสวรรค์ทั้งยังเป็นบุตรที่รักแห่งสวรรค์ คนอื่นบำเพ็ญเพียรใช้ปีมากะประมาณ เขาเพียงกางนิ้วก็นับวันเลื่อนระดับขั้นได้ เรื่องการบรรลุข้ามระดับต่อสู้ข้ามขั้นอะไรนั่นนับเป็นเรื่องเล็กเลยทีเดียว บวกกับในเส้นทางการเลื่อนระดับขั้นของจงจี่นั้นไม่เคยมีความสิ้นหวังหรือภยันตรายใดมาก่อน อยากได้สิ่งใดก็มีสิ่งนั้น ทุกคนคุกเข่าเลียเท้า ทั้งแผ่นดินใหญ่ล้วนเป็นติ่งของจงจี่ ไม่มีความท้าทายเลย

อ้างอิงจากบทเรียนนี้จงจี่จึงเขียนพระเอกของนิยายเรื่องที่สองออกมาให้น่าสมเพชเวทนาเป็นพิเศษ น่าเวทนาอย่างคนที่แบกความแค้นลึกล้ำทะเลโลหิตไว้กับตัว ถูกฆ่าล้างตระกูลตั้งแต่เล็กจนระเห็จไปเป็นขอทานน้อย เช่นนี้ถึงจะกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของนักอ่าน ทำให้มีใจเฝ้ารอพล็อตแก้แค้นที่จะเกิดขึ้นต่อไปมากยิ่งขึ้น

จงจี่ : เฮ้อ! ฉันนี่มันอัจฉริยะจริงๆ!

ยิ่งไปกว่านั้นยังตบหน้านิยายแนวแมรี่ ซู* ไม่พอ

ตัวประกอบชายที่โดนกระทำที่สุดในเรื่อง ‘อิสระ’ ก็คือมู่เหยี่ย นับว่าเป็นคนที่ดำตัดขาว ประเภทที่มองดูแล้วเหมือนผีวิญญาณร้ายแต่ความจริงน่ารักน่าเอ็นดูไม่ไหวประเภทนั้น นักอ่านเห็นการดิ้นรนเอาตัวรอดของมู่เหยี่ยแล้วก็รำคาญ ต่างพากันเทนิยายแปดแปดหก**

ภายในพรรคไท่ซวีทั้งบนและล่างล้วนสงบสุขอยู่เสมอ โดยพื้นฐานแล้วศิษย์น้องชายศิษย์น้องหญิงล้วนเป็นแฟนคลับของจงจี่ ไม่ว่าเขาร่อนเร่ไปทางใด เมื่อไปถึงล้วนคนเห็นคนก็รัก ดอกไม้เห็นดอกไม้ก็บาน เป็นคนรักในฝันของหนุ่มน้อยสาวน้อยนับร้อยล้าน เป็นความพึงพอใจที่นักอ่านผู้ไม่เคยสัมผัสนิยายขายฟินควรจะมี

ตอนเขียนนิยายเรื่องที่สอง จงจี่ได้เก็บเกี่ยวบทเรียนมาแล้ว เขาเขียนบรรยายตัวร้ายไร้สมองออกมาค่อนข้างมาก มินิบอสท้ายด่าน คนผ่านทางไร้สมอง สุดยอดวายร้ายบอสใหญ่อะไรนั่นล้วนเรียงกันมา ต่างเข้ามาหาความไม่เป็นสุขให้กับพระเอก แล้วต่างก็โดนพระเอกตบหน้ากลับไป

วิธีนี้สมแล้วที่เป็นวิธีการเขียนอันคุ้นเคยของเหล่ารุ่นพี่นักเขียน นักอ่านอ่านแล้วก็ร้องว่าฟิน เลิกอ่านไม่ได้เลย

ด้วยเหตุนี้นิยายเรื่องที่สองของจงจี่จึงดังขึ้นมา

นิยายที่ใช้ชื่อว่า ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ขึ้นไปติดอันดับแรกสุดของทำเนียบเว็บไซต์ บริษัทใหญ่โตต่างแย่งกันติดต่อเว็บไซต์เข้ามาต่อรองเรื่องลิขสิทธิ์นิยาย หลังบ้านมีรายได้เข้ามาเกินหมื่นทุกวัน ว่ากันว่าต่อไปยังได้เอาไปทำหนังทำละคร ราบรื่นราวกับฝัน

แม้ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ จะเขียนหลัง ‘อิสระ’ แต่เพราะขี้เกียจออกแบบเซ็ตติ้งโลกใหม่ สุดท้ายก็ใช้ ‘อิสระ’ มาออกแบบเสียเลย เขานำเส้นเวลาหนึ่งหมื่นปีก่อนหน้ามาลอกภูมิหลังของโลกตนเอง แม้แต่ชื่อสถานที่ก็ไม่ได้เปลี่ยน

เส้นเวลาหนึ่งหมื่นปีก่อนหน้านั้นสามารถยกระดับค่าพลังยุทธ์ได้ แผ่นดินเสวียนซวีในหมื่นปีให้หลังนั้น เป็นเพราะมรรคาสวรรค์สร้างฉากกำบังขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนไม่อาจทะลวงฉากกำบังขั้นศักดิ์สิทธิ์สองดาวได้

แต่หมื่นปีก่อนยุคสมัยของ ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ นั้นนับว่ามีขั้นศักดิ์สิทธิ์มากมายดั่งสุนัข ขั้นเซียนเตร็ดเตร่ทั่วภพล้วนมีอยู่จริง รุ่งเรืองเป็นประวัติการณ์

เพื่อเป็นการรับรองว่าสุดยอดพระเอกนั้นจะต้องมีการต่อสู้ข้ามระดับขั้นเป็นพิเศษ ยังมีเรื่องการแบ่งระดับขั้นที่นับวันยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จงจี่เคยคิดกระทั่งว่าจะให้พระเอกทะลุมิติออกไปนอกอวกาศแล้วพิชิตแผ่นดินใหญ่ของเหล่าทวยเทพผืนใหม่เลยทีเดียว เขาแบ่งระดับขั้นใน ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ อย่างรอบคอบ ยังมีเรื่องอุปสรรคเล็กๆ ใหญ่ๆ บนเส้นทางเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของพระเอกอีก รับรองว่าเป็นนิยายหลายล้านตัวอักษรเรื่องหนึ่ง

ที่น่าเสียดายก็คือในตอนที่เขาเพิ่งจะเขียนนิยายเรื่องยาวหลายล้านตัวอักษร ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ เรื่องนี้ได้ครึ่งหนึ่ง จงจี่ก็ทะลุมิติมาอย่างน่าเวทนาแล้ว

แต่โชคดีที่ทะลุมิติเข้ามาในร่างพระเอกของเรื่อง ‘อิสระ’ ถ้าทะลุมิติเข้าร่างพระเอกเรื่อง ‘หนึ่งกระบี่สำเร็จเซียน’ ละก็ จงจี่ก็ไม่มั่นใจว่าวินาทีถัดไปเขาจะโบกกระบี่เชือดคอตน บูชาฟ้าด้วยตนเองเลยหรือไม่

เพราะพระเอกอีกคนนั้นอนาถาเกินไปโดยแท้ แม้จะเหมาะกับรสนิยมของนักอ่านแนวตบหน้าเลื่อนระดับเอาคืนล้างแค้น แต่สุดท้ายกลับจบลงที่ผู้คนต่อต้าน ญาติมิตรออกห่าง กอดกระบี่เดินบนมหามรรคไร้อารมณ์ จากนี้ทะยานเมฆหมื่นหลี่ล้วนข้ามผ่าน อวสานด้วยหิมะพลิ้วพันหลี่มิเลียวแล

เส้นทางประเภทนี้จงจี่ไม่คิดอยากสัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเอง

“เฮ้อ…”

หลังจากมาถึงพื้นที่ของตนเอง ทั่วสรรพางค์กายของจงจี่ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาเยื้องย่างเข้าไปในตำหนักของตน วิ่งไปถึงห้องตำรา หยิบพัดสีดำทองข้างเอวออกมากางวางไว้บนแท่น มือก็พลางฝนหมึก

สีท้องฟ้านอกหน้าต่างยังคงโพลนขาว หิมะห่าใหญ่ทั่วฟ้าคล้ายกับจะผนึกดินแดนที่ราบสูงจงโจวผืนนี้เอาไว้ไร้สิ้นสุดชั่วนิรันดร์อย่างไรอย่างนั้น

ยังดีที่สมุทรแห่งซวีวั่งมิได้ถูกแช่แข็งตลอดกาล หากยืนอยู่ที่ยอดผาฉางเซิงยังแว่วเสียงคำรามดุร้ายยามคลื่นสมุทรด้านล่างกระทบกับหินโสโครก

ธูปหอมในห้องส่งกลิ่นหอมอบอวลในอากาศ โคมโรจน์นิรันดร์ที่ทำขึ้นมาจากน้ำมันเงือกใต้ทะเลลึกยังคงติดๆ ดับๆ อยู่ที่มุมโต๊ะ มอบแสงสีอบอุ่นสลัวรางชั้นหนึ่งปกคลุมบุรุษผมดำ

จงจี่คุ้นชินกับสิ่งเพลิดเพลินเหล่านี้แล้ว หลังจากเขาเข้าพำนักในผาฉางเซิงก็เตะเบาะกกน้อยๆ ที่บรรพชนพรรคเหลือทิ้งเอาไว้ออกไปตามใจหนึ่งฝ่าเท้า แล้วซื้อไม้ตกแต่งอันแสนแพงมากองใหญ่ หมายมั่นที่จะทำให้มันงามสง่าและสะดวกสบาย

และเพื่อที่จะสุขสบายขึ้นกว่านี้อีกหน่อย เขายังทำเตียงใหญ่ในห้องนอนขึ้นมาด้วยตัวเองหลังหนึ่ง ถึงแม้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่มีแนวคิดเรื่องการนอนหลับ ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญเพียรไปจนถึงชั่วรัตติกาลนิรันดร์ล้วนมีเบาะกกเป็นสหายคู่ใจก็ตาม

มีเพียงจงจี่นักเขียนที่ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างพระเอกเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดว่าการนอนคือเรื่องที่สุขที่สุดในชีวิต ทุกวันขอแค่มีโอกาสก็จะไปกลิ้งบนเตียงใหญ่อยู่หลายรอบ

“จิ๊”

หลังจากใช้พลังวิญญาณละลายแท่งหมึกไปหนึ่งแท่ง จงจี่กำลังจะยกพู่กันแต้มน้ำหมึกก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวพัดของตนนั้นเป็นสีดำสนิท

เขาจึงเอื้อมมือไปคว้าแท่งทองหนักอึ้งจากบนชั้นตำราด้านข้างมาก้อนหนึ่ง เพียงบีบมือ แท่งทองครึ่งหนึ่งก็แหลกสลายกลายเป็นเศษผง เขาใช้พลังวิญญาณกอบเศษผงโปรยลงในแท่นฝนหมึก จากนั้นถึงใช้ปลายพู่กันแต้มหมึกทอง ยกข้อมือขึ้นค้างสูง ก่อนจรดพู่กันราวกับมีจิตวิญญาณ พู่กันท่องทะยานอย่างมังกร และสำเร็จเสร็จกระบวนในหนึ่งลมหายใจ

“ไม่เลวๆ”

หลังจากรอจนผลงานสำเร็จแล้วจงจี่ก็โยนพู่กันทิ้งพร้อมถอนใจยิ้มร่า

บนตัวพัดที่เดิมทีว่างเปล่าไร้สิ่งใดพลันปรากฏตัวอักษรหวัดๆ อันยิ่งใหญ่ทรงพลัง…

“อันดับหนึ่งในใต้หล้า”

จงจี่ยิ่งมองยิ่งพอใจ แม้ไม่รู้ว่าใบหน้านี้ของเขาถูกฉายบนม้วนคัมภีร์หยกไปแล้วกี่ครั้ง โดยพื้นฐานแล้วคนของแผ่นดินใหญ่ล้วนจำเขาได้ แต่เขายังคงแก้นิสัยชอบอวดโอ่ไปทุกที่ของตนไม่ได้

การอวดโอ่ของผู้แข็งแกร่งแค่ทำให้คนอื่นเพิ่มความเลื่อมใสมากขึ้น มีเพียงผู้อ่อนแอไร้ซึ่งอำนาจในมือเท่านั้นที่จะพะว้าพะวังอยู่ในอก

แต่ไรมาจงจี่ไม่เคยใส่ใจสายตาของผู้อื่น เขากระทำการใดล้วนพิสดารไร้เหตุผล ไม่สนใจว่ายามถือพัดเล่มนี้แล้วผู้อื่นจะมองอย่างไร

อันที่จริงก็ไม่อย่างไรหรอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรที่รักแห่งมรรคาสวรรค์ ตามการออกแบบผู้คนของโลกใบนี้พวกเขาล้วนมีความรู้สึกดีต่อจงจี่เพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ปกติแล้วก็มักให้เจ้าหนุ่มนี่มีอิสระเต็มที่ ทั้งยังทำให้ผู้คนชื่นชม

หลังจากทำธุระนี้เสร็จจงจี่ก็เก็บพัดกลับไปไว้ที่ข้างเอว ฌานวิเศษอันไพศาลแผ่ออกไปในชั่วพริบตา เพียงลัดนิ้วมือก็ยุติเคล็ดวิชาหนึ่ง ก่อนใช้วิชาลับเคลื่อนย้ายไปยังทางตอนใต้ของจงโจวซึ่งอยู่ห่างออกไปพันหลี่

ทุกครั้งล้วนเป็นการใช้วิชาลับวิ่งไปวิ่งมา รู้สึกค่อนข้างไร้เกียรติอยู่บ้าง ยามนี้ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นถึงอันดับหนึ่งในใต้หล้า จำเป็นต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนให้มากขึ้นถึงจะถูก

คิดได้เช่นนี้จงจี่ก็วางแผนไว้ว่าหลังจากทำธุระหลักเสร็จเรียบร้อยแล้วจะท่องไปในแผ่นดินเสวียนซวีสักรอบหนึ่ง ดูว่าจะจับตัวน่ารักผู้โชคดีตัวใดมาเป็นสัตว์พาหนะของเขาได้บ้าง

สภาพอากาศทางใต้ของจงโจวนั้นอบอุ่นและเย็นสบาย น่าจะเป็นเพราะอยู่ใกล้กับหนานโจว เวลานี้หมู่ไม้เรืองเขียว กิ่งก้านพานผลิ มีเค้าการกลับมาของวสันตฤดูแล้ว

แม้จงโจวจะไม่มีแคว้น แต่ระดับความรุ่งเรืองไม่แพ้อีกสี่นครอื่นเลย เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่โบราณ ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาณาเขตเป็นกลางของแผ่นดินใหญ่ ศูนย์กลางการค้าขายอันสัมบูรณ์

จงโจวมีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสัญลักษณ์มากมาย ตัวอย่างเช่นพรรคไท่ซวีพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า และหอไจซิงหออันดับหนึ่งในใต้หล้า

สถานที่ที่เคล็ดวิชานี้ของจงจี่พามาถึงเป็นชั้นบนสุดของหอไจซิงพอดี

เพียงชั่วพริบตาที่เขามาถึง องครักษ์ลับทั้งหมดภายในหอพลันได้รับข่าวจากจงจี่ ล้วนคุกเข่ามาทางเขาด้วยความเคารพ ท่าทางพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ เหมือนกับหุ่นเชิดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยมกลุ่มหนึ่ง

“คารวะเจ้าตำหนัก”

ผู้ใดจะนึกเล่า คณะบุคคลกลุ่มใหญ่นามตำหนักลับที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในหนึ่งราตรีแล้วริเริ่มให้สามเผ่าพันธุ์สมานฉันท์กันกลุ่มนั้น ผู้ก่อตั้งมันขึ้นมาจะเป็นจงจี่ดาวรุ่งผู้โดดเด่นบนแผ่นดินเสวียนซวีในตอนนี้

ความจริงแล้วในแผ่นดินใหญ่ตำหนักลับนั้นมีชื่อเสียงแค่ธรรมดา ถึงอย่างไรในยามปกติวิธีการของตำหนักลับก็โหดเหี้ยมเด็ดขาด มักใช้วิธีการปราบปรามที่รุนแรง ดังนั้นตำหนักลับจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของพวกนิกายมาร มองอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับ ‘กระบี่เอกชั่วกาล’ หรือ ‘ผู้ศักดิ์สิทธิ์’ ของจงจี่ผู้ลมสว่างจันทร์กระจ่าง* แม้เพียงครึ่ง

จงจี่ : XD

ขอบคุณที่เชิญ ในฐานะที่เป็นต้นแบบพระเอกนิ้วทองคำผู้ท้าทายกฎสวรรค์แห่งเว็บฉี่เตี่ยน** แล้ว จะเดินท่องยุทธภพโดยไม่มีขุมอำนาจของตนเองได้อย่างไรกัน

คนใดไม่เคยเบียว*** คนนั้นใช้ชีวิตวัยเยาว์อย่างเสียเปล่า

เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย

 

* ขวานผีงานเทพ เป็นสำนวน หมายถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีความประณีตละเอียดอ่อน ไม่เหมือนเกิดขึ้นจากงานฝีมือของมนุษย์

** ห้าอวัยวะภายในพร้อมสรรพ มาจากหนังสือชื่อว่า ‘ล้อมเมือง’ ประพันธ์โดยเฉียนจงซู มีความหมายว่าแม้สถานที่จะเล็กแต่ข้างในครบครัน

*** สองคำหนึ่งย่อหน้า เป็นสำนวน หมายถึงข้อความหรือประโยคที่น้อยมากๆ

**** นกพิราบบุกรังสาลิกา เป็นสำนวน หมายถึงบุกรุกเข้าที่พำนักของผู้อื่น

***** ฟังธูป เป็นประเพณีโบราณ ในวันที่ 5 ตุลาคมจะเริ่มพิธีการด้วยการจุดธูปอธิษฐาน แล้วคอยฟังเสียงจากทิศทางที่ธูปลอยไป และนำประโยคแรกที่ได้ยินมาทำนายดวงชะตา

* เบาะกก คือเบาะรองนั่งทรงกลมและแบนราบที่ทำจากต้นกก ใช้รองนั่งยามฝึกสมาธิหรือคุกเข่า

* ประคองไว้บนฝ่ามือก็กลัวตก อมไว้ในปากก็กลัวละลาย เป็นสำนวน หมายถึงรักใคร่และทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ

* แมรี่ ซู คือลักษณะตัวละครที่มีความสมบูรณ์แบบ ตรงตามอุดมคติอย่างยิ่ง บางครั้งอาจเก่งกาจไร้ที่ติแบบไม่มีที่มาที่ไปและดูเกินจริง

** แปดแปดหก เป็นคำสแลงที่นิยมใช้กันในอินเตอร์เน็ต มีความหมายว่าบ๊ายบายจ้า

* ลมสว่างจันทร์กระจ่าง เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงทิวทัศน์อันสะอาดสดชื่นของท้องฟ้าหลังฝนตก หมายถึงผู้มีจิตใจเปิดกว้าง

** ฉี่เตี่ยน คือเว็บไซต์นิยายออนไลน์ของประเทศจีนที่โดดเด่นด้านนิยายแนวยุทธภพกำลังภายในเป็นพิเศษ

*** เบียว มาจากคำว่าจูนิเบียว ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลได้ว่าโรคเด็ก ม.2 เป็นชื่อเรียกพฤติกรรมของเด็กในช่วงวัยหนึ่งที่แยกระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกในจินตนาการไม่ออก

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: