X
    Categories: everYทดลองอ่านเบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ

ทดลองอ่าน เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง เบื้องบาทข้า ใต้หล้าล้วนสยบ เล่ม 1

ผู้เขียน : วั่งยา 

แปลโดย : คุณต่ง

ผลงานเรื่อง : 表面天下第一

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 7

 

ดวงอาทิตย์ในวสันตฤดูส่องแสงจัดจ้า ทว่าในเมืองเซิ่งหยาง (ตะวันรุ่ง) ทางตอนใต้ของจงโจวมีผู้คนมากมายสัญจรไปมาดั่งธารน้ำ ไหล่กระทบ ส้นเท้าชนกัน

นี่คืออาณาเขตเป็นกลาง มีพรรคไท่ซวีและกลุ่มบุคคลของแผ่นดินเสวียนซวีหลายกลุ่มร่วมกันดูแลจัดการ คอยจำกัดพฤติกรรมอันกำเริบเสิบสานของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเข้มงวด ตัวอย่างเช่นการเหาะเหินข้ามบ้านเรือน เดินย่ำบนกำแพง หรือย่างเหยียบกระเบื้องมุงหลังคาล้วนไม่อนุญาตโดยเด็ดขาด หากถูกคนของจวนบังคับกฎหมายจับได้ โทษสูงสุดสามารถปรับได้ถึงศิลาวิเศษชั้นหนึ่งหนึ่งก้อน

การลงโทษนี้หนักหนาเกินไปหน่อย ศิลาวิญญาณชั้นหนึ่งหนึ่งก้อนสามารถซื้อของเล่นหายากได้ไม่น้อย กอปรกับพรรคไท่ซวีร่วมมือกับตำหนักลับ ภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปย่อมไม่กล้าก่อเรื่อง เหล่าบุคคลสำคัญทั้งรักถนอมขนปีก* ย่อมไม่มีทางทำพฤติกรรมที่ทำให้ภาพลักษณ์ตนเสื่อมเสียโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ตนกลายเป็นข่าวพาดหัวบนม้วนคัมภีร์หยกในวันต่อมา

นานวันเข้าแม้จงโจวจะไม่มีแว่นแคว้น แต่กฎเกณฑ์เหล่านี้ก็ตกลงเป็นธรรมเนียม ไม่มีผู้ใดฝ่าฝืน

ยามนี้อาทิตย์เคลื่อนขึ้น ใกล้เข้ากลางปีแล้ว คนสัญจรบนถนนเบาบางลงไม่น้อย ภายในโรงน้ำชาริมถนนโดยรอบมีคนนั่งเต็ม นักเล่านิทานเล่าเรื่องราวในฟ้าดิน มีเกร็ดประวัติเกี่ยวกับบุคคลเลื่องชื่อตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาบอกเล่าไม่น้อย ทำให้เหล่าผู้กินแตงได้ยินแล้วเพลิดเพลินหลงใหลดุจคนเมามาย ไม่อาจละเมิน ขณะที่อีกด้านหนึ่งของร้านเด็กรับใช้กลับร้องตะโกนไม่หยุด ยุ่งเป็นลูกข่าง โคจรปราณวิญญาณนำจานส่งออกไปอย่างมั่นคง

ผู้คนบนแผ่นดินเสวียนซวีล้วนเป็นวรยุทธ์ ไม่ว่าย่ำแย่อย่างไรก็ล้วนบำเพ็ญเพียรถึงขั้นหนึ่งซึ่งดึงปราณเข้าร่างได้ ดังนั้นตอนแรกที่จงจี่ไม่อาจปรากฏดาวต้นกำเนิด ครั้งหนึ่งที่ถูกคิดว่าอาจจะเป็นเมล็ดพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีที่ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ของพรรคไท่ซวีต่างเข้ามาแย่งกันมุงดู

โดยเฉพาะยอดเขาเหลี่ยนเย่า ต่างนวดหมัดถูมือคิดอยากใช้โอสถแขนงใหม่มาทดสอบเสียหน่อย ต่อมาเมื่อรู้ว่าจงจี่เพียงแค่ไม่สามารถปรากฏระดับขั้นที่แน่นอนก็ถอนใจอย่างเสียดายครั้งแล้วครั้งเล่า

จงจี่ “…”

ในเมืองเซิ่งหยางมีตลาดค้าขายที่ใหญ่ที่สุดของแผ่นดินเสวียนซวีอยู่ สิ่งอำนวยความสะดวกในการท่องสำราญนั้นไม่เป็นอันดับหนึ่งก็สอง ยอดพธูผู้ยั่วยวนเปี่ยมเสน่ห์ชื่อดังบนแผ่นดินใหญ่จำนวนไม่น้อยอยู่ที่เซิ่งหยาง แน่นอนหากพูดถึงสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งมีชื่อที่สุดของที่นี่ นั่นย่อมเป็นหอไจซิงซึ่งมีเกียรติว่าเป็นหออันดับหนึ่งในใต้หล้า

หอไจซิงดำเนินการโดยตำหนักลับ แม้บุคคลกลุ่มนี้จะใช้พลังยุทธ์สูงส่งและแข็งกร้าวจัดการเรื่องราวอย่างโหดร้ายจนถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนิกายมาร แต่เมื่อตบเท้าเข้าสู่การค้าขายแล้วกลับไม่มีความคลุมเครือแม้แต่น้อย สร้างสิ่งใดเป็นสิ่งนั้น กอบโกยทองพันชั่งเข้ามาในอก

ตัวอย่างเช่นหอไจซิง

หอไจซิงในช่วงแรกก็ทำการโฆษณาบนม้วนคัมภีร์หยกอย่างบ้าคลั่ง ฉายบนม้วนคัมภีร์ครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่รู้ว่าตำหนักลับกับสำนักเทียนจี (ความลับสวรรค์) ทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรกัน ถึงได้ทำให้อนุชนของสำนักเทียนจีสามสี่คนผู้ซ่อนแซ่ปิดนามและทิฐิสูงเหล่านั้นลุ่มหลงจนสามารถขึ้นโถงเข้าห้อง** ไปอยู่บนม้วนคัมภีร์หยก

ปัญหาคือการจัดการของหอไจซิงนั้นหรูหราเกินไป นักเล่นพิณซึ่งประจำการอยู่ที่นั่นคือคุณชายเป่ยชิงผู้มีชื่อเสียงสะท้านสะเทือน ไหนจะสุราชิวลู่ไป๋ (สารทน้ำค้างขาว) ที่บ่มมาหลายสิบปีและดื่มได้เฉพาะจักรพรรดิเท่านั้นก็สามารถดื่มได้ตามแต่ใจ ทั้งยังว่าจ้างบุรุษสตรีรูปโฉมงดงามจากเผ่ามารเผ่าปีศาจมาไม่น้อย ยกระดับดรรชนีความหน้าตาดีของเมืองเซิ่งหยางขึ้นไปอีกหลายขั้น ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีเหล่าคุณชายสูงศักดิ์หรือเศรษฐินีมาใช้บริการ

ลมโชยพัดผ่าน ต้นหยางต้นหลิวที่หอจิตรกรรมฝั่งตะวันตกใกล้แม้น้ำคล้ายจะแตกหน่อสีเขียวออกมาแล้ว ปุยหลิวสีขาวคงใกล้จะปรากฏในเวลาถัดมา

หอไจซิงมีทั้งหมดเจ็ดชั้น ทั้งยังยืมใช้ทัศนวิสัยพิเศษโดยการบิดเบือนช่องว่างอากาศอย่างชาญฉลาด มันดูเหมือนสูงตระหง่านเทียมเมฆ จุดที่สูงที่สุดคล้ายทะลวงเข้าไปในชั้นเมฆจนเอื้อมมือเด็ดดาราได้ แต่ละชั้นล้วนประดับตกแต่งอย่างโออ่าตระการตา งามประณีตสุดเปรียบ มุมทางเดินโค้งคั่งดั่งแพรผ้า มุมชายคาโง้งหงายคล้ายนกจิก* หรูหราเป็นที่สุด

ผู้สัญจรตามอารมณ์ด้านนอกเมื่อหยุดยืนจะได้ยินเสียงพิณอึงอลจากด้านใน ระคนกับกลิ่นเครื่องหอมชั้นเลิศ เทียบกับโรงเตี๊ยมโรงน้ำชาอื่นแล้วย่อมแตกต่างและแปลกใหม่

นอกหอยังเป็นเช่นนี้ การประดับประดาในหอก็นับว่าพอเหมาะพอดี ไม่ดูรุ่มร่ามเกินไป ปรับลดความหรูหราลงมาอย่างมีนัย

หออันดับหนึ่งในใต้หล้านั้นทรงเกียรติบริสุทธิ์อย่างมาก ในหอไม่ประกอบกิจการจำพวกหอโคมเขียวหรือโรงพนัน เพียงขายสุราและถือโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร

ทั้งแผ่นดินใหญ่นอกจากสำนักเทียนจีแล้วก็มีเพียงหอไจซิงนี่ที่ล่วงรู้ความลับเยอะที่สุด เพียงแค่คิดคำถามออก ไม่มีคำตอบใดที่พวกเขาไม่รู้

อันที่จริงในต้นฉบับ ‘อิสระ’ นั้นตำหนักลับไม่ได้เป็นทั้งธรรมะทั้งอธรรมเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นกลุ่มนิกายมารตลอดหัวจรดหาง ขอบเขตการค้าที่ประกอบการเป็นหลักไม่ค่อยถูกทำนองคลองธรรม เป็นนายหน้าลับคอยจัดหาผู้ขายและสั่งซื้อภายใต้ชื่อหอไจซิง

ถึงอย่างไรก็เป็นนิยายแนวเลื่อนขั้นนั่นแหละ กลุ่มนักฆ่าเท่ขนาดนั้น ไปมาอย่างสายลมไร้ร่องรอย เด็ดชีวิตที่อยู่ห่างออกไปพันหลี่ได้

แต่นี่ก็ห้ามไม่ได้ที่จงจี่นั้นเป็นคนหนุ่มคนดีที่รากตรงหน่อแดง** คนหนึ่ง เขียนนิยายก็ส่วนเขียนนิยาย แต่พอก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในความเป็นจริงนี้แล้ว จงจี่ก็ยังคงไม่ยินยอมเป็นฝ่ายก่อเหตุพิพาทในโลกใต้ปากกาตน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำให้ตำหนักลับกลายเป็นผู้รักษาความสงบสุขของโลกหล้าอย่างแน่วแน่ เป็นตำรวจของแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องยื่นเท้าเข้าไปมีส่วนร่วม คำขวัญที่หยิบยกขึ้นมาล้วนเป็น ‘แผ่นดินใหญ่สงบสุข’ เขายังเป็นผู้ริเริ่มรับอัจฉริยะสามเผ่าพันธุ์เข้ามาในตำหนักอย่างกล้าหาญ กระทำการพร้อมเพรียง ทั้งแผ่นดินเสวียนซวีหากที่ใดเกิดข้อขัดแย้งขึ้น พวกเขาล้วนเป็นคนแรกที่เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน

เข้าไปเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้วเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็นและอดทนก่อน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยกำราบด้วยพลังยุทธ์

แน่นอนว่าโดยทั่วไปแล้วมักใช้วิธีการประเภทหลังมากกว่า

รักษาความสงบสุขของแผ่นดินใหญ่ มีตำหนักลับของข้าเป็นผู้กระทำ ไม่ว่ากระบวนการเป็นอย่างไร อย่างน้อยผลลัพธ์ก็สมบูรณ์แบบ XD

“มิจำเป็นต้องมากพิธี”

เมื่อครู่จงจี่ร่อนลงมาที่ชั้นเจ็ดของหอไจซิงโดยตรง เขาโบกแขนเสื้อวาดเป็นริ้วทองคำคราหนึ่ง องครักษ์ลับทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณพลิ้วละล่องขุมหนึ่ง ชัดแจ้งว่าแผ่วเบาแต่กลับแฝงด้วยท่วงท่าหนักแน่นพันชั่ง ให้พวกเขาทั้งหมดเงียบเสียงลงอย่างพร้อมเพรียง

ชั้นที่เจ็ดไม่เคยเปิดให้คนภายนอกใช้มาก่อน เพราะที่นี่คือศูนย์กลางของทั้งตำหนักลับ

ผู้คนต่างคาดเดากันว่าตำหนักลับนั้นก่อตั้งจุดศูนย์กลางของตนเอาไว้ในกลุ่มภูเขาหิมะพันหลี่หรือไม่

ผลลัพธ์คือไม่ว่าผู้ใดก็คงนึกไม่ถึงว่าหนังสือและสารลับสุดยอดมากมายดั่งมหาสมุทรไร้พรมแดน แท้จริงแล้วถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างโจ่งแจ้งในหอไจซิง

ฤๅษีน้อยซ่อนในป่า มหาดาบสซ่อนในเมือง***

“ยินดีต้อนรับเจ้าตำหนักออกจากการกักตน”

ปกติแล้วเมื่อจงจี่สวมเกราะของเจ้าตำหนักลับ เขาจะสวมหน้ากากผีสีเงินอันไร้รสนิยมเป็นอย่างยิ่งบนใบหน้าตน นำเสื้อคลุมยาวสีดำทองที่บ่งบอกความสูงส่งมาคลุมร่างเอาไว้ ด้านนอกสวมทับด้วยเสื้อคลุมกระเรียนขนอีกาดำมีเงาอันลึกลับอหังการตัวหนึ่ง

อาภรณ์ชุดนี้ดูอิสระและอหังการ เมื่อใช้วิชาลับปกปิดระลอกปราณวิญญาณของตนเอาไว้อีกชั้น จงใจแผ่พลังปราณออกมารอบกายบิดเบือนอากาศวางท่าทางมาดร้าย ขณะยืนอยู่ ณ ที่นั้น แม้แต่หมิงซวีจื่อก็ไม่คิดว่าเจ้านิกายนิกายมารตรงหน้าผู้นี้เป็นศิษย์เอกของเขา

ผู้ที่สามารถปรากฏตัวอยู่ที่ชั้นเจ็ดของหอไจซิงได้นั้นล้วนเป็นระดับสูงของตำหนักลับ จงจี่ก็ไม่มีเจตนาจะปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนต่อหน้าคนสนิท

“ช่วงนี้แผ่นดินใหญ่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่ นำม้วนเอกสารตั้งแต่ระดับดินขึ้นไปเข้ามา ข้าอยากพลิกอ่านทีละหน้า”

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้อมูลที่ให้พวกเจ้าไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้าง”

“รายงานเจ้าตำหนัก เวลานี้เริ่มมีวี่แววขึ้นมาแล้ว ข้าน้อยจะไปนำม้วนเอกสารออกมาให้เดี๋ยวนี้”

ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สวมชุดสีดำของตำหนักลับพลันก้มหน้า ย่ำเท้าก้าวไร้เงารับบัญชาแล้วจากไป ไม่ถึงครู่ก็กอบม้วนเอกสารที่ซ้อนกันจนเป็นภูเขาขนาดย่อมกองหนึ่งก้าวเข้ามาตรงหน้า

แผ่นดินเสวียนซวีเดิมทีก็ใหญ่ ถึงแม้จะเจาะจงเลือกดูเฉพาะเรื่องใหญ่ แต่ห้าปีมานี้ก็พอกพูนกันเป็นม้วนเอกสารจำนวนไม่น้อย

มากมายถึงเพียงนี้ก็เกินกว่าที่จงจี่คาดไว้อยู่บ้าง

แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า ก็ทำได้เพียงนั่งลงแล้วค่อยๆ อ่าน

ที่เขาได้รับเดิมทีก็คือบทพระเอกนิยายเว็บฉี่เตี่ยนผู้ตามลมตามน้ำผู้หนึ่ง พละกำลังที่มีกลับทำได้เพียงตบหน้ามู่เหยี่ยได้เพียงคนเดียว นั่นไม่มีความหมายอะไร

ดังนั้นเพื่อเป็นการหาเรื่องให้กับตนเองเล็กน้อย จงจี่จึงต้องเลื่อนตำแหน่งอันทรงเกียรติขึ้นไปเป็นตำรวจของแผ่นดินใหญ่ไร้แว่นแคว้น ควรจะได้รับรางวัลสันติภาพแผ่นดินเสวียนซวีมาเป็นรางวัล

‘อิสระ’ คือโลกที่สร้างขึ้นมาใต้ปากกาเขา

ไม่มีนักเขียนคนใดจะไม่รักโลกที่ตนเองเป็นคนสร้างขึ้นมา

ดังนั้นการวาดหวังให้โลกสันติ แคว้นสงบ ชาวประชาปลอดภัย ผู้คนสุขเกษมเปรมปรีดิ์ก็สมเหตุสมผลแล้ว

จงจี่ไม่มีปณิธานอื่นอีก อย่างน้อยก็หวังว่าโลกที่ถือกำเนิดขึ้นใต้ปากกาตนนั้นจะสามารถร่มเย็นเป็นสุข ห้านครสันติ

หากจะกล่าวในอีกระดับหนึ่ง อุดมคตินี้อหังการยิ่งกว่าการกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเสียอีก

 

* รักถนอมขนปีก เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงรักชื่อเสียงของตนเอง

** ขึ้นโถงเข้าห้อง เป็นสำนวน หมายถึงการขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หรือสำเร็จในระดับที่สูงยิ่งขึ้น

* มุมทางเดินโค้งคั่งดั่งแพรผ้า มุมชายคาโง้งหงายคล้ายนกจิก มาจากกวีนิพนธ์ชื่อ ‘ลำนำวังอาฝาง’ ประพันธ์โดยตู้มู่ กวีสมัยราชวงศ์ถัง กวีนิพนธ์นี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ในตอนที่ราชวงศ์ฉินล่มสลาย โดยวังอาฝางนี้เป็นวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นวังอันดับหนึ่งในใต้หล้าและถูกเผาทำลายลงเมื่อการโค่นล้มอำนาจเป็นผลสำเร็จ ท่อนที่หยิบยกมานั้นบรรยายถึงทางเดินที่ทอดยาวมากมายและคดเคี้ยว มุมชายคาที่โค้งงอราวกับจะงอยปากนก

** รากตรงหน่อแดง เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม หมายถึงลูกหลานจากครอบครัวชนชั้นแรงงานหรือเกษตรกรผู้ยากจน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นคนดีเพราะไม่ได้รับอิทธิพลจากความคิดสมัยเก่า

*** ฤๅษีน้อยซ่อนในป่า มหาดาบสซ่อนในเมือง เป็นหนึ่งในแนวคิดเชิงปรัชญา หมายถึงชีวิตวิเวกสันโดษไม่จำเป็นต้องอยู่ในป่าเขาจึงจะสัมผัสได้ ชีวิตสันโดษในเมืองใหญ่คือการปลีกวิเวกที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

บทที่ 8

 

หอไจซิงชั้นเจ็ดเงียบสงบทั้งชั้น ตำหนักลับใช้ทุนกองใหญ่ไปกับการทาน้ำมันวาฬที่พื้นและเพดานในแต่ละชั้น น้ำมันประเภทนี้มีประสิทธิภาพในการกั้นเสียง ทำให้เสียงพิณจากชั้นล่างไม่ดังรบกวนคนชั้นบนโดยง่าย

ม้วนเอกสารที่กองซ้อนกันเป็นชั้นบนแท่นไม้เยอะเกินไปจริงๆ บุรุษผมดำนั่งหลังตรงอยู่ท่ามกลางม้วนคัมภีร์หยกอันกว้างใหญ่ดั่งทะเล เริ่มพลิกอ่านจากม้วนเอกสารระดับดินที่สีสลัวที่สุดก่อน ใช้ฌานวิเศษไล่อักษรตามประโยค* กวาดผ่านอย่างรวดเร็ว

องครักษ์ลับด้านข้างมองหัวคิ้วที่มุ่นน้อยๆ ของจงจี่ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

ช่วงนี้เผ่ามารคล้ายจะมีสัญญาณเลือนรางว่าต้องการก่อเรื่องขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศของทั้งแคว้นเป่ย (อุดร) ล้วนมีลับลมคมนัย

ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญคือเผ่ามารเองก็คล้ายกับว่าจะมีฆานประสาทว่องไว คิดอยากแบ่งน้ำแกงสักหนึ่งชาม** อยู่เบื้องหลังเผ่ามารด้วย จึงลอบมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอยู่บ้างเช่นกัน

ปรากฏการณ์ข้างต้นยิ่งทวีคลื่นใต้น้ำรุนแรงและซับซ้อนขึ้นหลังจากที่จงจี่ได้รับสมญานามอันดับหนึ่งในใต้หล้า คิดดูแล้วทั้งสองเผ่านี้คงวางแผนจะก่อเรื่องอีกครั้งเป็นแน่

“ไปติดต่อหุบเขาหย่งเยี่ย (รัตติกาลนิรันดร์) สักหน่อย”

เขารวบฌานวิเศษให้กลายเป็นเส้นบางสายหนึ่งไว้ที่ปลายนิ้ว ก่อนใช้นิ้วแทนพู่กัน สลักตัวอักษรหลายตัวลงไปบนคัมภีร์หยก แล้วส่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง

แม้ตำหนักลับจะเป็นทั้งธรรมะทั้งอธรรมบนแผ่นดินเสวียนซวี ถูกจัดให้อยู่ในจำพวกเดียวกับนิกายมาร แต่ถ้าเทียบกับหุบเขาหย่งเยี่ยแล้วนับว่าเป็นกลุ่มที่ดีมีครบทั้งสิบกุศลกรรมบถ*

หุบเขาหย่งเยี่ยเป็นกลุ่มทางการในเผ่ามาร ผู้นำคือหกมหาเจ้าเมืองของเผ่ามาร

หกมหาเจ้าเมือง

สมญานามนี้ได้ยินแล้วกระตุ้นอารมณ์อย่างยิ่ง

ปกติจงจี่ก็ติดต่อกับเผ่ามารเพราะเรื่องการค้าไม่น้อย อันที่จริงการสานสัมพันธ์ส่วนตัวในบางครั้งก็คือการรวมตัวดื่มสุราหยั่งเชิงคำขวัญซึ่งกันและกัน นานวันเข้าจงจี่ก็ประจักษ์ชัดแจ้งถึงนิสัยปัสสาวะ** ของเจ้าเมืองหลายตนนี้

นั่นไม่ได้เป็นเพราะเหล่าเจ้าเมืองพูดความจริงหลังดื่มสุรา แต่เป็นเพราะ…เขาคือนักเขียนอย่างไรล่ะ เรื่องราวอย่างเผ่ามารหลายตนนี้วัยเด็กเคยปัสสาวะรดที่นอนตอนไม่กี่ขวบล้วนเป็นตัวเขาที่เขียนขึ้นมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในตอนที่ออกแบบตัวละครและลำดับวงศ์ตระกูล จงจี่แค่ต้องเผยรายละเอียดเล็กน้อยออกไปตามใจ ก็ทำให้ชาวเผ่ามารแต่ละตนต่างเห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก*** ไม่กล้าว่าร้ายตำหนักลับแม้เพียงครึ่งคำ

ทว่ามองจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเผ่ามารต้องเว้นไปสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยฟาดให้เข็ดอีกสักรอบ เหมือนตัวอย่างในคัมภีร์ที่ว่าเมื่อแผลหายแล้วมักลืมเจ็บ

จงจี่แค่นเสียงเย็นเยียบหนึ่งเสียง แล้วก้มหน้าก้มตากวาดสายตาอ่านม้วนคัมภีร์หยกต่อ จากนั้นก็หยิบเรื่องราวที่สำคัญออกมาถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ

ภายใต้การบัญชาของเขา ทั้งตำหนักลับก็เริ่มดำเนินงานอย่างมีระเบียบแบบแผนเหมือนเครื่องจักรที่มีความแม่นยำมหาศาลอย่างไรอย่างนั้น

คำสั่งจำนวนนับไม่ถ้วนส่งออกมาจากหอไจซิง ใช้วิธีการส่งข้อมูลของตำหนักลับโดยเฉพาะส่งมอบให้กับสมาชิกตำหนักย่อยบนแผ่นดินเสวียนซวีตั้งแต่ช่วงเวลาแรก

ตั้งแต่องค์ชายตกอับผู้กำลังฟังเพลงพื้นบ้านอยู่ในพระราชวังแคว้นหนึ่ง ไปจนถึงขอทานน้อยผู้ซุกตัวที่หัวมุมถนน คนธรรมดานับไม่ถ้วนทั้งหมดต่างคิดไม่ถึงเลยว่าพรรคพวกที่ตำหนักลับรวบรวมมาจะเริ่มการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบห้าปี

บนแผ่นดินเสวียนซวีปัจจุบันนี้ ตำหนักลับคือกลุ่มบุคคลที่มีความเปิดกว้างที่สุด ไม่สนว่ามาจากเผ่าพันธุ์ใด ไม่สนว่าชาติกำเนิดเป็นอย่างไร ขอเพียงผ่านการประเมินของตำหนักลับ หลังจากให้คำสัตย์จำพวก ‘ชั่วชีวิตนี้ปรารถนาเพียงร่มเย็นเป็นสุข’ หรือ ‘ปฏิเสธการแบ่งชนชั้นทางเผ่าพันธุ์เริ่มที่ตัวข้า’ แล้วก็สามารถเข้าร่วมคณะบุคคลนี้ได้

แน่นอนว่าการประเมินเข้มงวดมาก แต่ก็ยังมีคนนับไม่ถ้วนแห่แหนมาอย่างเป็ด**** โดยเฉพาะเผ่ามารระดับต่ำที่อยู่ในชนชั้นล่างสุดของสังคมในประวัติศาสตร์มาโดยตลอดและเผ่าปีศาจผู้มีชื่อเสียงไม่ดี

จงจี่หยิบสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยออกมาใช้ ประสบการณ์การจัดการบริหารธุรกิจที่ตอนแรกเกือบจะลืมไปหมดแล้ว เมื่อประสานเข้ากับแนวคิดของตนก็นับว่าทำให้กิจการของคณะบุคคลนี้งอกงามเฟื่องฟู

ถึงอย่างไรความคิดก็นำหน้าไปอยู่หลายพันปี อีกทั้งจงจี่ยังเป็นผู้รังสรรค์โลกนี้ด้วย เรื่องเล็กน้อยนี้ย่อมง่ายดายไม่เปลืองแรง

แต่มีอุปสรรคอยู่บ้างก็เท่านั้น

สีขาวนอกหน้าต่างเข้มขึ้นเรื่อยๆ ตะวันรอนคล้อยลงต่ำฝั่งประจิม ไข่มุกวิญญาณกระจ่างที่ลอยอยู่กลางอากาศในเมืองเซิ่งหยางเริ่มทอแสงสลัวอ่อนจางออกมา มอบความสุกสว่างให้กับเหล่าผู้สัญจร

บนหอไจซิงแขวนโคมสีเหลืองอ่อนห้อยอยู่ใต้ชายหลังคาสูงชะลูดของแต่ละชั้น มอบรัศมีสีอบอุ่นอาบไล้ไปบนขื่อคานสีน้ำตาลแดง ดั่งห้วงฝันดุจมายา สูงศักดิ์สมบูรณ์

ในตอนที่จงจี่กำลังจัดการงาน เหล่าองครักษ์ลับก็จุดโคมนภจรดวงหนึ่งให้อย่างรู้งาน รอจนเขาอ่านม้วนคัมภีร์หยกไปเกือบจะหมดแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมานวดขมับ แสงจันทร์ก็ส่องสว่างอยู่นอกหน้าต่างท่ามกลางสีรัตติกาลครึ้มเข้ม

“เจ้าตำหนัก ข้อมูลที่ท่านต้องการ”

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ผมสีดำเลื่อนไถลจากหัวไหล่เขาคล้ายไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง ดวงตาหงส์เรียวยาวฉายแววดุดัน นัยน์ตาสีทองใสกระจ่าง งดงามไร้ตำหนิ

องครักษ์ลับคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ยกสิ่งของบนมือไว้เหนือศีรษะอย่างนอบน้อม

นั่นคือกระดาษสีเหลืองซีดแผ่นหนึ่ง ดูเก่าคร่ำคร่าจนคล้ายกับว่าชั่วขณะต่อไปจะแหลกสลายเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ

จงจี่พลันเข้าใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย สองมือเรียวเสลาพลันสะบัด ดึงกระดาษแผ่นนั้นมาวางบนแท่นไม้โดยมิได้แตะต้อง

กระดาษแผ่นไม่ใหญ่ บนหน้ากระดาษเองก็เพียงแค่ใช้ชาดสีมัวหมองตวัดเขียนเป็นตัวอักษรสามคำอย่างลวกๆ เท่านั้น

ทว่าตัวอักษรเพียงสามคำนี้กลับทำให้จิตใจของจงจี่สั่นสะท้าน

‘แม่กุญแจสี่ทิศ’

เป็นตัวอักษรที่น่าคุ้นเคยเกินไปอย่างแท้จริง แต่รอจนเขาสงบอารมณ์ลงได้แล้วสืบค้นสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากในตอนแรกสุดไปรอบหนึ่ง ในความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ของเขา เหตุใดถึงไม่เคยมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ปรากฏอยู่เลยสักนิด

แต่ความรู้สึกคุ้นเคยหลอกคนไม่ได้

จงจี่เก็บกระดาษแผ่นนี้เข้าไปในถุงเฉียนคุน คิดอยากเปิดม้วนคัมภีร์หยกอ่านอีกครา แต่ไม่มีอารมณ์เหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

“ช่างเถอะ”

เขาถอนใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งก่อนผลักแท่นไม้ออกไป ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปยังดาดฟ้าของชั้นเจ็ด

ทิวทัศน์บนดาดฟ้างามเลิศ ที่นี่คือจุดที่สูงที่สุดของเซิ่งหยาง สิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดข้างๆ ก็ยังสูงน้อยกว่าหอไจซิงครึ่งศีรษะ

หลังล่วงเข้ายามราตรีเซิ่งหยางก็ยิ่งครึกครื้น

บนถนนแต่ละสายยังมีผู้คนเนืองแน่น ในมือพวกเขาแต่ละคนต่างถือโคมดวงหนึ่ง ส่องสะท้อนให้ทั่วทั้งเมืองเป็นดั่งทิวากาล

โรงเตี๊ยมโรงน้ำชาในที่ห่างไกลยิ่งคึกคัก ลูกค้าเต็มร้านหัวเราะร่าเจี๊ยวจ๊าว เล่านิทานฟังดนตรี ดื่มด่ำอากาศเย็นยามเที่ยงคืน สุขสำราญอย่างยิ่ง เหล่าพ่อค้าหาบเร่ตัวน้อยเบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่การค้าเสรี ปูผ้ากางร้านกันตามแต่ใจแล้วเริ่มนั่งลงกับพื้นตั้งราคา

สายลมยามค่ำคืนในเดือนต้นกกทางใต้ของจงโจวนั้นช่างสดชื่น พัดจากสถานที่เยียบเย็นสุดขีดของภูเขาหิมะทางเหนือมาจนถึงที่นี่ จากเหน็บหนาวเสียดกระดูกกลายเป็นอบอุ่นละมุนรอบปลายนิ้ว

จงจี่ยืนอยู่บนชั้นเจ็ดของหอไจซิง ดาวบนฟ้าระยิบระยับ จันทร์กระจ่างลมสดชื่นปะทะเข้ากลางอก พาให้แขนเสื้อขอบทองที่เขาม้วนเอาไว้กระพือราวกับเริงระบำไปกับสายลม

“เอาสุราชิวลู่ไป๋มาสักสองสามไห”

อารมณ์เขาในตอนนี้ซับซ้อนมากเกินไป ต้องการสิ่งคลายเครียดที่สามารถบรรเทาอารมณ์ชนิดนี้สักหน่อยพอดี

หลังจากรอจนผู้ใต้บังคับบัญชานำไหสุราขึ้นโต๊ะ จงจี่พลันวาบวับทีหนึ่งพร้อมหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งไห ก่อนย่ำสุญทะยานฟ้าเหาะเหินไปยังยอดหอไจซิง นั่งอิงลงบนกระเบื้องหยกสีเขียวเกลี้ยงเกลา แกะผนึกที่ปากไหออกแล้วยกไหสุราขึ้นกรอกปากอย่างไม่ลังเล

อิงเอนกายเดียวดายบนหอสูง ร่ำเมรัยต่อดวงแขแต่ลำพัง

บุรุษชุดดำท่วงท่างดงามสูงส่ง ย่างย่ำสายลมยามค่ำคืนอย่างสง่างาม ราวกับนรเซียนผู้ต้องการทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าโอบดาราเด็ดดวงเดือน ขณะสะบัดแขนเสื้อก็โน้มนำแสงจันทร์กระจ่างหมื่นจั้ง ประดุจดั่งอยู่ในไหสุรา ครู่ต่อมาหยดสุราสีใสเสมือนหยกก็ไหลรินจากปากไหเข้าไปในปากเขา

ทว่าที่ใต้เท้าของจงจี่ แสงสว่างหรุบหรู่ คลื่นมนุษย์พลุกพล่าน ห้วงเหวลึกหมื่นจั้ง

คนชุดขาวปรากฏตัวขึ้นอย่างประจวบเหมาะ มือกระบี่ผู้ถือกระบี่ยาวเงยหน้า ภาพฉากนั้นพุ่งปะทะเข้าไปในดวงตาและใบหน้าอันเย็นชาของเขาเช่นนี้

 

* ไล่อักษรตามประโยค เป็นสำนวน หมายถึงเป็นลำดับทีละตัวอักษร ทีละประโยค

** แบ่งน้ำแกงสักชาม เป็นสำนวน หมายถึงการแบ่งปันผลประโยชน์

* กุศลกรรมบถ คือธรรมส่วนสุจริต 10 ประการตามหลักศาสนาพุทธ อันได้แก่ 1. ไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม 4. ไม่พูดเท็จ 5. ไม่พูดส่อเสียด 6. ไม่พูดคำหยาบ 7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ 8. ไม่โลภอยากได้ของเขา 9. ไม่พยาบาทปองร้าย 10. เห็นชอบตามคลองธรรม

** นิสัยปัสสาวะ ใช้บรรยายคนที่มีนิสัยชัดเจนและมีนิสัยเจ้าอารมณ์ บางครั้งก็ใช้ในความหมายของคำว่าร้ายกาจ มักใช้หยอกล้อในเชิงลบ

*** เห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก เป็นสำนวน เปรียบเปรยว่าพอเวลาตื่นตกใจก็จะหวาดระแวงไปหมด

**** แห่แหนมาอย่างเป็ด เป็นสำนวน เปรียบเปรยว่ามีคนจำนวนมากมายแย่งชิงกันเข้ามา

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: