everY
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 68 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 放学等我
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 68
ชีวิตชั้นมัธยมปลายปีสามแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง มองออกได้ตั้งแต่บรรยากาศของอาคารเรียน เมื่อก่อนเวลาเลิกเรียนระเบียงทางเดินของอาคารเรียนมักจะครึกครื้น ตอนนี้ระเบียงทางเดินในเวลาเลิกเรียนกลับเห็นคนได้น้อยมาก
บนกระดานดำของแต่ละห้องล้วนมีเวลานับถอยหลังการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นมา บรรยากาศกดดันจนทำให้ทุกคนไม่มีชีวิตชีวา
แต่ก่อนจั่วควนไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนที่เกเรมากบางคนหลังจากขึ้นมัธยมปลายปีสามแล้วจู่ๆ ก็ข่าวคราวเงียบหาย แต่ตอนนี้เขาเข้าใจบ้างแล้ว
ทุกครั้งหลังเลิกคาบเวลาเขาไปที่ห้องเจ็ดก็จะเห็นเพื่อนยากทั้งสองคนของเขากำลังก้มหน้าก้มตาทำโจทย์และก็ไม่กระปรี้กระเปร่า
อวี้ฝานกับหวังลู่อันยังคงนั่งโต๊ะคนเดียว พวกเขาสองคนไม่ได้บอกครู และดูเหมือนว่าครูเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน
“ไม่ต้องเรียนแล้ว รีแลกซ์หน่อยเถอะ” จั่วควนเนียนเข้าไปในห้องเจ็ดจากประตูหลังแล้วนั่งลงตรงที่นั่งที่ว่างข้างๆ หวังลู่อัน “วันนี้เลิกเรียนไปเล่นบาสกัน?”
“ไม่เล่น ฉันจะกลับไปเรียนเสริมที่บ้าน” หวังลู่อันทำโจทย์โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
จั่วควน “เรียนเสริมอีกแล้ว? อาทิตย์หนึ่งนายเรียนเสริมกี่วันเนี่ย ต้องถึงขั้นนั้นเลยเหรอนายน่ะ”
“พ่อฉันบอกแล้วว่าถ้าฉันสอบเข้ามหา’ลัยรอบแรกได้ พอเรียนมหา’ลัยก็จะซื้อรถให้ฉัน ความทุ่มเทของฉันในตอนนี้ก็เพื่อการโอ้อวดที่ดีกว่าในอนาคตของเรานะ” หวังลู่อันกล่าว “นายคิดดูสิ ในอนาคตนายเก็บขยะอยู่ข้างสะพาน เพื่อนยากขับรถหรูๆ มารับนายไปดิสโก้ นี่ไม่เท่เหรอ ไม่ต้องอิจฉาคนเก็บขยะคนอื่นๆ”
“…แม่งเอ๊ย ฉันไม่เก็บขยะหรอกเว้ย!”
“งั้นนายยังไม่รีบตั้งใจเรียนอีก?” หวังลู่อันว่า “อวี้ฝานแม่งยังกลับเนื้อกลับตัวแล้ว ทำไมนายยังเกเรอยู่ได้!”
เพราะกำลังหงุดหงิดอยู่กับโจทย์ข้อหนึ่ง หลังจากอวี้ฝานได้ยินชื่อของตัวเองก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก
เขาพิงหลังไปที่เก้าอี้ กำลังคิดจะด่าคน จู่ๆ จางเสียนจิ้งก็หันหน้ามาส่งกระดาษแบบฟอร์มให้ “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย เซ็นชื่อซะ โรงเรียนให้ทุกห้องส่งแบบฟอร์มสมัครใจเรียนเสริม ต่อไปต้องเข้าเรียนทุกวันเสาร์ นายเซ็นเสร็จก็ส่งต่อไปกลุ่มข้างๆ ด้วย”
แต่ละบรรทัดในแบบฟอร์มล้วนมีข้อมูลส่วนตัวของนักเรียน
อวี้ฝานดึงแบบฟอร์มมา เขียนไปบนนั้นไม่กี่ขีดอย่างหวัดๆ เมื่อเซ็นเสร็จก็พบว่าด้านล่างของตนยังมีข้อมูลของเฉินจิ่งเซินอยู่ จึงเลื่อนลงมาแล้วเขียนชื่อของเฉินจิ่งเซิน…
“เดี๋ยวก่อน” เคอถิงหันกลับมาห้ามเขาเสียงเบา “ตอนพริ้นต์ครูตั้งค่าแบบฟอร์มผิด นักเรียนที่ย้ายห้องแล้วไม่ต้องเซ็น”
ปลายปากกาของอวี้ฝานชะงัก แล้วก็ได้สติกลับมา
เขาวางปากกาลง ตอบอ้ออย่างเรียบเฉย ก่อนจะส่งแบบฟอร์มไปให้หวังลู่อัน
หวังลู่อันรับมาดูแวบหนึ่งแล้วก็อุทาน “เชี่ย อวี้ฝาน ทำไมตัวหนังสือนายดูดีขึ้นล่ะ”
“เหรอ” จางเสียนจิ้งเท้าศอกบนโต๊ะอวี้ฝาน ดูสมุดของเขาแวบหนึ่ง “ก็ยังเป็นยันต์กันผีอยู่ดีไม่ใช่หรือไง”
“เขียนชื่อได้ดีต่างหาก เธอดู ‘อวี้ฝาน’ กับ ‘เฉินจิ่งเซิน’ นี่สิ…” หวังลู่อันชะงัก จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะพูดอย่างตกตะลึง “อวี้ฝาน นายคงไม่ได้ฝึกตัวหนังสือพิเรนทร์ๆ หลายปึกนั้นที่เด็กท็อปให้หรอกนะ…”
พูดยังไม่ทันจบเก้าอี้ของเขาก็ถูกถีบเบาๆ ทีหนึ่ง อวี้ฝานยืดขา เอ่ยโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ “เป็นไปได้เหรอ รีบเซ็นแล้วก็ส่งต่อไปซะ”
“อ้อ”
หวังลู่อันกำลังจะเขียนชื่อของตน ทันใดนั้นก็ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “…เอ๊ะ? ใกล้จะวันเกิดเด็กท็อปแล้ว?”
อวี้ฝานหันไปมองเขา
“นายรู้ได้ยังไง” จั่วควนที่อยู่ข้างๆ ถาม
“เลขบัตรประชาชนไง นี่ เขียนไว้ตรงนี้ไม่ใช่เหรอ” หวังลู่อันชี้ที่แบบฟอร์ม
“สิบเอ็ดสิงหา” จั่วควนชะโงกหน้าดูแวบหนึ่ง “เฮ้ย งั้นก็ศุกร์นี้แล้วไหม”
หลังจากถูกหวังลู่อันเตือนความจำเรื่องแบบคัดลายมือ จางเสียนจิ้งก็จ้องอวี้ฝาน ไม่ได้ฟังอีกว่าตัวตลกสองคนที่อยู่ข้างๆ พูดอะไรกัน
อวี้ฝานสบตากับเธอ การเคลื่อนไหวขณะควงปากกาชะงักไปเล็กน้อย ถูกจ้องจนขนลุกนิดหน่อย
จางเสียนจิ้ง “นาย…”
“อวี้ฝาน!” เกาสือตะโกนอยู่หน้าประตูห้องเรียน “ฝ่างฉินให้นายไปหาที่ออฟฟิศ!”
ในใจอวี้ฝานผ่อนคลายลง รีบลุกขึ้นแล้วออกไปทางประตูหลังห้องทันที
ระเบียงทางเดินไม่ค่อยมีคน อวี้ฝานเดินไปพลางคิดอย่างไม่ใส่ใจไปพลาง สายตาของจางเสียนจิ้งเมื่อกี้นี้หมายความว่าอะไร
คิดดูดีๆ แล้วตอนออกไปกินข้าวข้างนอกช่วงปิดเทอมฤดูร้อน สายตาที่จางเสียนจิ้งมองเขากับเฉินจิ่งเซินก็ดูแปลกๆ เหมือนกัน เธอจะจับอะไรได้หรือเปล่านะ
แม่งต้องโทษเฉินจิ่งเซินนั่นแหละ เอาแต่แต่งงานๆๆ ทั้งวัน เพิ่งอายุเท่าไหร่เองก็จะแต่งงานแล้ว
ขณะคิดถึงเรื่องนี้อวี้ฝานก็เพิ่งเดินมาถึงระเบียงเชื่อมระหว่างอาคารเรียนกับอาคารสำนักงานพอดี เขาเงยหน้ามองไปยังทิศทางของห้องหนึ่งตามความเคยชิน
ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลิกคาบเรียน ทว่าระเบียงทางเดินของชั้นหกกลับว่างเปล่าไม่มีคนเลย
ครูของห้องหนึ่งดูแลเข้มงวดมาก หากเจอมือถือก็จะถูกยึด วันนี้เขาจึงยังไม่ได้ติดต่อกับเฉินจิ่งเซิน
เดิมทีอวี้ฝานคิดว่าการมีแฟนเป็นเรื่องง่ายมากๆ ห้องเรียน บ้านเขา บ้านเฉินจิ่งเซิน อาคารปฏิบัติการ…ที่ไหนก็ล้วนเป็นที่ที่เจอกันได้ แต่หนึ่งเทอมผ่านไป จู่ๆ พวกเขาก็ไม่มีที่ให้ไปเสียอย่างนั้น
บางครั้งเขาตื่นขึ้นมาในคาบทบทวนด้วยตัวเอง มองที่นั่งว่างเปล่าข้างๆ จนถึงขั้นมึนงงเหมือนกับหวังลู่อัน เฉินจิ่งเซินเคยมาที่ห้องพวกเขาจริงๆ เหรอ ข้างๆ เขาเคยมีคนนั่งจริงๆ เหรอ เขากับเฉินจิ่งเซินกำลังคบกันอยู่จริงๆ เหรอ
ความสับสนที่โผล่ออกมาเป็นครั้งคราวเหล่านี้จะหายไปหลังเลิกเรียนและเมื่อเฉินจิ่งเซินถือข้อสอบมานั่งข้างๆ เขา
มีคนออกมาจากประตูห้องหนึ่ง อวี้ฝานรีบเก็บสายตากลับมาทันทีแล้วหมุนตัวเข้าไปในออฟฟิศ
อวี้ฝานออกมาด้วยความหวังที่จะหลบเลี่ยงสายตาของจางเสียนจิ้ง คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงออฟฟิศก็เหมือนแค่เปลี่ยนคนจ้องเท่านั้น
หลังจากเรียกเขามาจวงฝ่างฉินก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว เธอตรวจการบ้านอย่างเงียบเชียบ เงยหน้ามองเป็นครั้งคราว
อวี้ฝานยืนรับโทษอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอมาสิบนาทีแล้ว กระทั่งเสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น เขาจึงเอ่ย “ลาก่อนครับครู”
“ยืนไป!” จวงฝ่างฉินตีเขา “ใครจะลากับเธอ ต่อไปเป็นคาบทบทวนด้วยตัวเอง เธอไม่ต้องกลับไป”
อวี้ฝานจึงกลับไปยืนพิงอย่างเหนื่อยหน่าย
ระยะนี้จวงฝ่างฉินใช้ชีวิตผ่านไปอย่างทรมานจริงๆ เธอสอนหนังสือมานานหลายปีขนาดนี้ เคยเจอพวกมีปั๊ปปี้เลิฟมาไม่น้อย แต่เป็นครั้งแรกที่เจอนักเรียนชายสองคน…
เธอพิจารณาวิธีการหลายรูปแบบมาก ที่เคยใช้บ่อยที่สุดก็คือติดต่อหาผู้ปกครองของทั้งสองฝ่าย แต่เธอใคร่ครวญถึงสภาพครอบครัวของทั้งสองคนนี้แล้วก็เก็บความคิดนี้ไว้ทันที ถัดมาอีกคือติดต่อให้โรงเรียนจัดการ…ก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะต้องแจ้งให้ผู้ปกครองทราบอยู่ดี สุดท้ายก็เหลือแต่นัดมาคุยกัน
เฉินจิ่งเซินไม่ได้อยู่ในห้องเธอแล้ว ถือว่าไม่สะดวก เธอจึงได้แต่ตามตัวอีกคนหนึ่งมาก่อน
ก่อนจะนัดมาคุยกันเธอเตรียมตัวมากมายตามธรรมเนียมปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่นเรียบเรียงข้อเสียของการมีความรักในวัยเรียน แล้วค่อยเชื่อมโยงเข้ากับการประเมินผลงานของพวกเขา แต่เธอพบว่าปัญหาที่จะเกิดจากการมีความรักในวัยเรียนระหว่างสองคนนี้ไม่มีเลยสักนิด
พวกเขาถึงขั้นพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นด้วย
ดังนั้นระดับความยากในการนัดมาคุยกันครั้งนี้จึงยากมากยิ่งขึ้น
“ครูได้ยินว่าช่วงนี้เธอมีแฟนแล้ว” จวงฝ่างฉินแทงตรงเข้าไปในมีดเดียว
อย่างที่คิด คนที่เดิมทีกำลังห่อเหี่ยวจู่ๆ ก็ยืนตัวตรง เครียดเกร็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“มีเรื่องแบบนี้หรือเปล่า” จวงฝ่างฉินถาม “อีกฝ่ายเป็นใคร คนของห้องเรา?”
หัวใจของอวี้ฝานแทบจะลอยมาถึงคอหอยแล้วร่วงดิ่งกลับลงไปทันที
ใช่แล้ว เขาเคยพูดเรื่องนี้ในกลุ่มวีแชต สิบกว่าคนในนั้นไม่แน่ว่าอาจมีใครปากไวพูดไปประโยคหนึ่ง จากหนึ่งส่งต่อเป็นสิบ จากสิบส่งต่อเป็นร้อย แล้วก็แพร่มาถึงหูจวงฝ่างฉิน
เขากำหมัดแล้วก็คลายออก ปลายเล็บซีดขาว “มีครับ ไม่ใช่คนในห้อง คนในใจ”
“…”
จวงฝ่างฉินถูกเขาทำให้โมโหจนจะหัวเราะออกมาแล้ว หัวที่ปวดมาหลายวันดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย “จริงจังหน่อย พูดเรื่องสำคัญอยู่นะ ครูเคยโม้กับครูคนอื่นไว้ว่าเรื่องแย่ๆ อะไรเธออาจจะทำหมด มีแค่ปั๊ปปี้เลิฟนี่แหละที่ไม่มีทาง ตอนนี้ดีเลย อับอายขายหน้าแล้ว”
“ครูโม้ไปเอง จะมาโยนความผิดให้ผมไม่ได้หรอกนะ”
“ที่เธอพูดนี่มันคำพูดคนหรือไง ตอนครูถูกผู้บริหารด่าเพราะเธอ ครูว่าอะไรไหม” จวงฝ่างฉินหยิบม้วนข้อสอบมาฟาดเขาอย่างแรงทีหนึ่ง “พูดมาถึงตรงนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าครูเรียกเธอมาทำไม”
“รู้ครับ แต่ผมไม่เลิก”
“…”
“ครูเข้าใจ ตอนนี้เธออยู่ในช่วงวัยรุ่นแตกหนุ่ม ความรู้สึกระหว่างเพื่อนบางอย่างอาจจะทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นความชอบ…”
“ไม่ผิดหรอก” อวี้ฝานตัดบทเธออย่างเรียบเฉย หลุบตาลงพลางกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ผมแยกแยะได้”
“…”
จวงฝ่างฉินหยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง หลังจากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ ติดต่อกันสามที “ความหมายของเธอก็คือไม่เลิกสินะ?”
“ไม่เลิก”
“ครูจะบอกกับเธอนะอวี้ฝาน ครูสอนหนังสือมาหลายปี มีนักเรียนที่คบกันแค่ไม่กี่คู่ที่สามารถเดินไปด้วยกันจนถึงท้ายที่สุดได้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพอย่างพวกเธอ เธอ…” เธอพูดถึงตรงนี้ก็พลันชะงักไปแล้วหน้าแดงขึ้นมา
อวี้ฝานไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ก็บิดเบือนความหมายของจวงฝ่างฉินไปในทันที
“ผมรู้ว่าสภาพผมมันห่วยแตกมาก” อวี้ฝานชะงัก ก่อนเอ่ย “…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว”
ในช่วงมัธยมปลายปีสามอีกหนึ่งปีนี้หากพยายามจนสามารถสอบเข้าที่เมืองเจียงได้จะดีที่สุด ถ้าสอบไม่ติดเขาก็ไปที่เมืองข้างๆ จะได้อยู่ใกล้กับเฉินจิ่งเซินเหมือนเดิม
แม่ของเขาไปต่างประเทศแล้ว รอเขาอายุสิบแปด เขาก็จะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับอวี้ข่ายหมิงอีก รอเขาออกมาตั้งตัวเอง เขาก็จะสามารถไปทำงานพิเศษได้ สามารถเช่าห้องสักห้องที่เมืองเจียงได้ และใช้ชีวิตของตัวเขาเองสักที
เขาดูเหมือนจะดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว อย่างน้อยก็กล้าคิดถึงอนาคตของเขา
“…ครูไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้”
ทันใดนั้นจวงฝ่างฉินก็หมดหนทางแล้ว ในใจเธอมีหลายความรู้สึกประดังประเดเข้ามา ปากกาลูกลื่นในมือวาดเส้นยุ่งเหยิงจำนวนหนึ่งบนกระดาษ
คนตัวเล็กๆ สองคนฉุดดึงกันอยู่ในใจเธอ หากพูดออกไปตรงๆ เธอไม่กล้ารับรองว่านี่จะสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ แต่ถ้าไม่พูดก็จะเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของตนในฐานะครู
“ผู้บริหารโรงเรียนรู้แล้วเหรอครับ” อวี้ฝานถาม “ผมโดนทัณฑ์บนผ่านไปสองครั้งแล้ว จะโดนอีกสักครั้งก็ไม่เป็นไร ครูไม่ต้องกังวลหรอก”
“…หุบปากนะ อย่าทำให้ครูโมโห” เส้นประสาทที่ตึงเครียดของจวงฝ่างฉินถูกดึงเบาๆ เธอถามอย่างอ่อนแรง “เธอคิดดีแล้ว? คิดดีจริงๆ แล้ว?”
“ครับ”
“เธอเพิ่งอายุสิบเจ็ด เธอรู้ไหมว่า…” จวงฝ่างฉินชะงัก “ปั๊ปปี้เลิฟสำหรับเธอหมายความว่าอะไร”
“รู้ เข้าใจ ผมไม่เลิก”
“…”
จวงฝ่างฉินนึกว่าตนเองเตรียมตัวมาพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อถึงเวลาคุยกันจริงๆ ยังคงอับจนคำพูดอยู่ดี เธอพูดสิ่งที่กระทบต่อรสนิยมทางเพศของนักเรียนออกไปไม่ได้ และก็จนปัญญาที่จะบังคับให้พวกเขาเลิกกัน เธอโยนปากกาลูกลื่นลงบนโต๊ะ “โอเค นี่คือทางที่เธอเลือกเอง ครูก้าวก่ายเธอไม่ได้ แต่อวี้ฝาน เธอจำเป็นต้องฟังคำพูดพวกนี้ของครู”
“ด้วยอายุและประสบการณ์ของเธอในตอนนี้ไม่มีทางจะให้ความคุ้มครองใดๆ แก่อีกฝ่ายได้ ทางข้างหน้าที่เธอเดินมีอุปสรรคปัญหาเต็มไปหมด เพียงแต่ตอนนี้เธอยังมองไม่เห็น และครูก็จนปัญญาที่จะบอกเธออย่างเฉพาะเจาะจง ถ้าเธอดึงดันจะไปต่อก็ต้องเตรียมใจไว้ให้ดี ผลของการถูกจับได้อาจจะแย่ยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้ก็ได้ เธอเข้าใจไหม”
อวี้ฝานหลุบตาลงแล้วนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ย “ผมเข้าใจ”
“กลับไปเถอะ” จวงฝ่างฉินโบกมืออย่างเหนื่อยล้า
อวี้ฝานกำลังจะไปก็ถูกคว้าเสื้อไว้
“อีกอย่างอย่าทำเรื่องที่นักเรียนในวัยเธอไม่ควรทำรู้หรือเปล่า” จวงฝ่างฉินเน้นย้ำ “นิดเดียวก็ไม่ได้!!”
“…อ้อ”
อวี้ฝานหมุนตัวแล้วก็ถูกดึงกลับไปอีกครั้ง
“อีกอย่าง” จวงฝ่างฉินเอ่ย “อย่าให้กระทบการเรียนโดยเด็ดขาด! วันไหนผลการเรียนถอยหลังลง ครูจะให้พวกเธอเลิกกันแน่นอน เข้าใจไหม”
“อ้อ”
เมื่อถูกคว้าไว้เป็นครั้งที่สาม อวี้ฝานก็หงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“อีกอย่าง” จวงฝ่างฉินหลุบตาลง “…ต่อไปถ้าเกิดเรื่องอะไร มาหาครูเป็นอันดับแรกด้วย”
อวี้ฝานชะงัก หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้เอ่ย “ผมรู้แล้วครับ”
หลังจากอวี้ฝานออกไป ครูประจำชั้นห้องแปดที่ฟังอยู่ข้างๆ มานานแล้วก็อดชะโงกศีรษะออกไปไม่ได้
“ครูจวง ปั๊ปปี้เลิฟพวกนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องพูดจริงจังขนาดนี้หรอกมั้ง” อีกฝ่ายกล่าว “แล้วผลการเรียนของอวี้ฝานก็ก้าวกระโดดมากเลยไม่ใช่หรือไง นี่ถ้าเป็นฉันนะ ฉันก็ปล่อยเขาไปแล้ว”
“…คุณไม่เข้าใจหรอก”
จวงฝ่างฉินดื่มชาจนหมดแก้ว มองออกไปนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจหนักๆ เฮือกหนึ่ง
อวี้ฝานออกจากออฟฟิศ คาบทบทวนด้วยตัวเองก็ผ่านไปครึ่งคาบแล้ว
เขาจ้องทางเดินที่อยู่ใต้เท้าจนเหม่อลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมจวงฝ่างฉินถึงได้พูดว่าเส้นทางข้างหน้าของเขามีอุปสรรคเต็มไปหมด อันที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบากอะไร เรียนหนังสือก็ง่ายมาก หาเงินก็เหมือนกัน เขาทำงานพิเศษสักสองงานก็สามารถแชร์ห้องเช่าอยู่กับเฉินจิ่งเซินได้แล้ว ขอแค่อดทนผ่านปีนี้ไป…
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นครืดทีหนึ่ง อวี้ฝานได้สติกลับมา หยิบออกมาดูอย่างไม่ใส่ใจ
s วันนี้เจอกันไม่ได้แล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…