X
    Categories: everYทดลองอ่านเลิกเรียนแล้วเจอกัน

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 73 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 73

 

ก่อนจะเอ่ยออกไปจวงฝ่างฉินเคยคิดถึงปฏิกิริยาของเฉินจิ่งเซินหลังจากรู้เรื่องนี้ไปต่างๆ นานา เศร้าเสียใจ ตกตะลึง หรือกระวนกระวาย

แต่เฉินจิ่งเซินนิ่งมาก เขานั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ กระทั่งการประชาสัมพันธ์เริ่มขึ้น เพลงเปิดอย่าง ‘สายลมฤดูร้อน’ ดังทั่วสนามกีฬา ในที่สุดเฉินจิ่งเซินถึงได้เอ่ยปาก

“เขาบอกว่าอะไรครับ”

บอกว่าอะไร…

ในหัวของจวงฝ่างฉินมีภาพเด็กหนุ่มที่ปกติทำตัวกร่างและเอ้อระเหยคนนั้นผุดขึ้นมาทันใด เขาค้อมหลังเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยล้า หลุบตามองและพูดกับเธออย่างสบายๆ ว่า ‘ครูครับ ผมเรียนต่อไม่ได้แล้ว’

ตอนแรกจวงฝ่างฉินไม่รับปากว่าจะจัดการให้เขา บอกเขาว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็พักการเรียนก่อน รอจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยกลับมาเรียนหนังสือต่อ อวี้ฝานส่ายหน้าแล้วบอกว่าจะไม่กลับมาแล้ว

เฉินจิ่งเซินฟังจบแล้วไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้า เก็บข้าวของ สะพายกระเป๋า และกล่าว “ผมรู้แล้ว ลาก่อนครับครู”

จวงฝ่างฉินยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินของห้องเจ็ดมองส่งเขาจากไป

เลิกเรียนมาสักพักหนึ่งแล้ว ลู่วิ่งในสนามกีฬามีนักเรียนแค่ไม่กี่คน เฉินจิ่งเซินสะพายกระเป๋าเป้ด้วยไหล่ข้างเดียวเดินไปทางประตูโรงเรียน เงาร่างถูกแสงอาทิตย์ตกทอดยาว ทั้งตั้งตรงและโดดเดี่ยว

จวงฝ่างฉินถอดแว่นตา ทันใดนั้นน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง

อันที่จริงเธอไม่ได้พูดจนจบ

ตอนนั้นเดิมทีเธอคิดจะตบอวี้ฝานสักฉาด ทั้งๆ ที่ดีขึ้นแล้ว ทั้งๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นแล้วแท้ๆ ทำไมยังคงถูกดึงกลับไปอีกนะ แต่หลังจากเธอยืนขึ้น ฝ่ามือนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการโอบกอด

‘เฉินจิ่งเซินรู้หรือเปล่า’ เธอถาม

เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอวี้ฝานสั่นสะท้าน อาจเป็นเพราะในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า ‘อุปสรรคปัญหา’ ที่เธอพูดก่อนหน้านี้คืออะไร เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีกอยู่นานมาก

กระทั่งท้ายที่สุดเธอถึงได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งที่ทั้งแผ่วเบาและสะอื้น

‘อย่าบอกออกไปเลย ขอร้องล่ะครับ ครู’

เฉินจิ่งเซินไปยังเขตที่พักเก่าโทรมๆ แห่งนั้น

อวี้ฝานเหมือนไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนทุกครั้งเวลาเขามามักถูกดึงเข้าไปในบ้านอย่างร้อนใจ

แต่วันนี้เขาเคาะประตูนานมาก และนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดนอกประตูมาสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีคนยอมพาเขาเข้าไป

ตรงบันไดของที่พักเป็นหลอดไฟควบคุมด้วยเสียง นานมากแล้วที่บริเวณบันไดมีเพียงแสงไฟจากมือถือตะคุ่มๆ

เฉินจิ่งเซินส่งข้อความไปก็ไม่มีคนตอบ โทรศัพท์ไปก็ไม่มีคนรับ เขาตั้งกฎให้ตัวเองว่าเล่นเกมงูจอมเขมือบจบตาหนึ่งก็ค่อยลองอีกรอบ หยุดสุดสัปดาห์สองวัน อวี้ฝานทำลายสถิติของเขาแล้ว แซงไปพันกว่าคะแนน

เกมจบไปอีกตาหนึ่งแล้ว เฉินจิ่งเซินกดออกไปดูอันดับหนึ่งของแรงก์ตามความเคยชิน แต่กลับพบว่าบนนั้นเป็นรูปโพรไฟล์ของเขาเอง

แต่เขายังไม่ได้ทำลายสถิติเกมของอวี้ฝาน

เฉินจิ่งเซินนั่งตัวแข็งค้างอยู่ตรงนั้นนานมาก กระทั่งมีคนขึ้นอาคารมา หลอดไฟควบคุมด้วยเสียงจึงสว่างขึ้น ร่างของเฉินจิ่งเซินทำเอาคนคนนั้นสะดุ้งโหยง อีกฝ่ายตัวสั่น หลุดปากพูดว่า “เชี่ย! เป็นบ้าหรือไงนั่งตรงนี้ไม่ให้สุ้มให้เสียง!”

เฉินจิ่งเซินไม่พูดไม่จา เพียงแต่ในที่สุดก็ยอมขยับนิ้ว ส่งข้อความในวีแชตตามกฎที่ตนเองเพิ่งตั้งไว้

ส่งไม่ไปแล้ว

นั่งอยู่ที่บันไดจนถึงสี่ทุ่ม กระทั่งมือถือก็ทนไม่ไหวแบตเตอรี่หมดจนเครื่องดับไปก่อน เฉินจิ่งเซินถึงได้ลุกขึ้นจากขั้นบันไดในที่สุด แล้วหมุนตัวออกไปจากเขตที่พัก

ถนนเก่าๆ สายนี้เล็กมาก เฉินจิ่งเซินเดินมาแล้วทุกร้านรอบหนึ่งแล้วก็ไปที่ร้านคูลบอยอีกครั้ง ถึงขั้นไปอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่อวี้เหอด้วย เมื่อเขาไปทุกที่ที่ไปได้ทั้งหมดจนเสร็จ แม้แต่ร้านเซาเข่าก็เตรียมจะเก็บร้านแล้ว

เฉินจิ่งเซินยืนอยู่หน้าประตูร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แล้วต่อสายโทรศัพท์อีกครั้ง ครั้งนี้แม้แต่เสียง ‘ตู๊ด’ ยาวๆ ก็ไม่มีแล้ว เสียงผู้หญิงบอกเขาอย่างเย็นชาและอ้อมค้อม เบอร์โทรศัพท์ที่เชื่อมกับวีแชตของเขาถูกอีกฝ่ายโยนทิ้งลงถังขยะไปพร้อมกันหมดแล้ว

เมื่อกลับถึงบ้าน เฉินจิ่งเซินพบว่าไฟสว่างไปทั้งบ้าน เงียบประหนึ่งเกาะร้างแห่งหนึ่ง

เขาส่งข้อความหาจี้เหลียนอี บอกว่ามีธุระจะกลับดึกหน่อย หลังจากนั้นโทรศัพท์มือถือก็แบตฯ หมด ตอนนี้เห็นทีว่าจี้เหลียนอียังคงรอเขาอยู่

ก่อนหน้านี้จี้เหลียนอีน่าจะเดินกลับไปกลับมาระหว่างห้องนอนกับห้องรับแขก ตอนนี้ประตูห้องจึงเปิดกว้าง เธอกำลังนั่งค้ำหน้าผากอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ หลับตาและกำลังคุยโทรศัพท์อย่างเหนื่อยล้า

เฉินจิ่งเซินยกมือกำลังจะเคาะประตู…

“แม่ ไม่ต้องติดต่อโรงเรียนข้างนอกแล้ว อย่าเพิ่งให้จิ่งเซินย้ายโรงเรียนเลย” ได้ยินคำถามจากมารดาในโทรศัพท์ จี้เหลียนอีก็คลึงหัวคิ้ว เอ่ยอย่างอ้อมๆ แอ้มๆ “ไม่มีอะไร แค่ก่อนหน้านี้มีนักเรียนที่เรียนไม่ดี หนูกลัวว่าเขาจะได้รับผลกระทบ ตอนนี้นักเรียนคนนั้นย้ายไปแล้ว เรื่องจัดการไปได้พอสมควรแล้ว…”

เมื่อเห็นลูกชายยืนอยู่หน้าประตู จี้เหลียนอีก็เสียงหายไปทันที

จี้เหลียนอีคิดมาโดยตลอดว่าชีวิตแต่งงานของตนนั้นงดงาม ทำให้ผู้คนอิจฉา แต่แล้วความจริงกลับตบหน้าเธอฉาดหนึ่ง การแต่งงานของเธอเต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวง สกปรกโสมมมานานแล้ว

ตลอดเวลาหลังจากนั้นเธอมักบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย แม้จะไม่มีการแต่งงานแล้ว แต่เธอยังมีลูกชายผู้สมบูรณ์แบบที่ว่านอนสอนง่ายและรู้ความ ประพฤติดี ผลการเรียนยอดเยี่ยมอยู่ แต่เวลานี้ลูกชายที่สมบูรณ์แบบของเธอยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเธอ บอกเธอด้วยโทนเสียงสงบนิ่งเหมือนกับพูดว่า ‘ผมจะไปโรงเรียนแล้ว’ ในยามปกติ

“ผมเป็นเกย์”

จี้เหลียนอีที่พยายามปกปิดเรื่องนี้กลับถูกประโยคนี้ทุบจนเวียนหัว ผ่านไปหลายนาทีกว่าจะหาเสียงเจอ “ไม่ใช่ ไม่ใช่…ลูกไม่ใช่ ลูกแค่ถูกพาให้เสียคน เขาคุกคามลูก เขายอมรับกับปาก…เด็กพรรค์นั้นอย่างเขาขาดการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นถึงได้เกิดรสนิยมทางเพศที่วิปริตบิดเบี้ยวประเภทนี้ ลูกอย่า…”

“เขาปกติดี คนที่วิปริตบิดเบี้ยวคือผม”

“ไม่ใช่! ไม่ใช่!” จี้เหลียนอีโยนแก้วที่เพิ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนลงบนพื้น มันกระแทกจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ กรีดร้องกับเฉินจิ่งเซินอย่างเสียสติ “เป็นมัน! เป็นมัน!! ลูกปกติดี ลูกจะเป็นเกย์ได้ยังไง! ลูกยังกลัวมันอยู่ใช่ไหม แต่มันไปแล้วนะ ลูกไม่ต้องทำแบบนี้อีก…”

“ผมเขียนจดหมายสารภาพรักให้เขา ตามจีบเขามาครึ่งเทอม ผมพาเขากลับมาที่บ้านก็คือครั้งนั้นที่แม่กลับมา…”

เพียะ! เสียงฝ่ามืออันดังกังวานตัดบทเฉินจิ่งเซิน

ใบหน้าของเขาหันไปด้านหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บ เขาเอ่ย “เขาปฏิเสธผมมาโดยตลอด เขาบอกผมว่าเขาไม่ใช่เกย์ แต่ผมไม่ยอมปล่อยเขาไป ผม…”

เขาพูดยังไม่ทันจบ จี้เหลียนอีก็ใช้มือสองข้างอุดปากเขาไว้ เล็บจิกเข้าไปในเนื้อแก้มเขา เธอส่ายหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ใช่ เรื่องพวกนั้นเป็นความรู้สึกผิดๆ ในช่วงวัยรุ่นของลูก ลูกเป็นคนปกตินะ จิ่งเซิน ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนลูกเชื่อฟังมาก เป็นเด็กดีมาก ทำไมล่ะ เพราะอะไรกันแน่…”

เฉินจิ่งเซินจับข้อมือเธอแล้วดึงออก

“เพราะไม่ว่าจะวิปริตหรือปกติผมก็เป็นคนคนหนึ่ง” เฉินจิ่งเซินหลุบตาลงพลางอธิบาย “ไม่ใช่หมาที่แม่เลี้ยง”

จี้เหลียนอีตะลึงงันอยู่ที่เดิม ทั้งร่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่มองเฉินจิ่งเซินหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาจากพื้น แล้วหมุนตัวเดินไปยังห้องของเขาตาปริบๆ

ก่อนขึ้นไปชั้นบน เฉินจิ่งเซินหันกลับมาถาม “แม่รู้ไหมว่าเขาไปที่ไหน”

จี้เหลียนอียังคงประจันหน้ากับประตูไม้ห้องตนเอง เธอพูดพึมพำ “จิ่งเซิน ลูกไม่ใช่เกย์”

เฉินจิ่งเซินหมุนตัวขึ้นไปชั้นบน

เช้าวันต่อมาเฉินจิ่งเซินพบว่าชั้นล่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เขาเปิดประตูก็เห็นจี้เหลียนอีนั่งเหม่ออยู่ที่โซฟา ดูท่าทางไม่ได้นอนมาทั้งคืน บนโต๊ะมีกล่องยาวางอยู่เต็มไปหมด

สภาพจิตใจแย่เกินไป จี้เหลียนอีจึงถูกส่งไปแอดมิตที่โรงพยาบาลทันที เฉินจิ่งเซินนอนเป็นเพื่อนที่โรงพยาบาลสองวัน กระทั่งยายของเขาจัดเตรียมพยาบาลสองสามคนคอยผลัดเวรดูแล เขาถึงได้ไปเรียนต่อตามปกติ

วันนั้นที่เฉินจิ่งเซินมาถึงโรงเรียน พวกเขาหลายคนที่นั่งเฝ้าหน้าประตูห้องหนึ่งมานาน พอเห็นเฉินจิ่งเซินก็พุ่งเข้ามาทันที

“เด็กท็อป นายรู้หรือเปล่าว่าอวี้ฝานลาออกแล้ว” จูซวี่ถามอย่างร้อนใจ

“เขาออกจากกลุ่มวีแชตแล้ว ลบเพื่อนด้วย แม่งบล็อกโทรศัพท์ฉันหมดเลย! นายล่ะ นายโทรติดไหม” จั่วควนถาม

เฉินจิ่งเซินส่ายหน้า

“งั้นนายรู้ไหมว่าเขาไปไหน” หวังลู่อันถามด้วยขอบตาแดงก่ำ “เขาไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลย”

“ไม่รู้”

“แม่งเอ๊ย ฉันว่าแล้วไง แม้แต่เรายังไม่รู้เลย เด็กท็อปก็ต้องไม่รู้แน่นอน พวกนายยังจะมาถามอยู่ได้” จั่วควนคิดครู่หนึ่ง “หรือไม่เราไปถามครูประจำชั้นห้องพวกนายกันไหม เธอจะต้องรู้แน่นอน!”

“ฉันเคยถามแล้ว เธอไม่บอก” หวังลู่อันว่า

“ถามอีกครั้งสิ ไป!”

นักเรียนชายสามคนลงจากอาคารไปราวกับสายลม เหลือเพียงจางเสียนจิ้งที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เฉินจิ่งเซินกำลังจะเข้าห้องเรียน จู่ๆ ก็ได้ยินเธอถามประโยคหนึ่งด้วยเสียงแหบพร่า “เด็กท็อป นายกับอวี้ฝานคบกันใช่…”

กริ่งเข้าเรียนดังขัดจังหวะเธอ จางเสียนจิ้งหุบปาก ทันใดนั้นก็รู้สึกโชคดีนิดหน่อยที่ตนเองไม่ได้ถามจนจบ

“อืม” เสียงกริ่งหยุดลง เธอได้ยินเฉินจิ่งเซินตอบ

สภาพของจี้เหลียนอีแย่ยิ่งกว่าครั้งก่อน เฉินจิ่งเซินจะไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้จี้เหลียนอีจะไม่ยอมพูดกับเขาเลย

นอกจากวันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว ทุกวันหลังเลิกเรียนเขาจะไปที่เขตที่พักเก่าเที่ยวหนึ่ง เทียวไปมาอยู่นานจนคนทั้งอาคารแทบจะเคยเจอเขาหมดแล้ว

วันนี้เขาหยุดอยู่หน้าประตูไม้สีดำเก่าๆ บานนั้นเหมือนอย่างเคย ยกมือคิดจะเคาะประตู

“พี่ชาย พี่มาหาพี่ชายเหรอ” เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งนั่งลงที่ขั้นบันได สองมือจับสายสะพายกระเป๋าพลางถามเขา

“อืม เธอเจอเขาบ้างไหม” เฉินจิ่งเซินถาม

เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหน้าแล้วเอ่ย “พี่ชายย้ายไปแล้ว กับคนเลวตัวโตคนนั้น”

เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกว่าแปลกมาก

ทั้งๆ ที่เธอบอกไปแล้วว่าพี่ชายบ้านนี้ย้ายไปแล้ว ทำไมพี่ชายคนนี้หลังจากฟังจบก็ยังเคาะประตูอยู่อีก

เด็กหญิงตัวน้อยมองลงไปด้านล่างบันไดแวบหนึ่ง “พี่ชาย พี่สาวที่เป็นแฟนของพี่ไม่ได้มาด้วยกันกับพี่เหรอ”

เฉินจิ่งเซินถาม “พี่สาวที่เป็นแฟนสาวอะไร”

“ก็คือแฟนสาวไงล่ะ!”

“ไม่มี”

“ฮะ? พี่ชายคนนั้นบอกว่าพี่มีนี่นา!”

มือของเฉินจิ่งเซินที่เคาะประตูชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนหันไปถาม “เขาว่ายังไง”

“เขาบอกว่า…” เด็กหญิงตัวน้อยคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เบิกตากว้างแล้วร้องอ้อทีหนึ่ง

“เขาบอกว่าพี่เป็นแฟนหนุ่มของคนอื่นแล้ว!”

ใช่ไหมนะ พูดอย่างนี้แหละมั้ง เด็กหญิงตัวน้อยแหงนศีรษะคิดอยู่นานสองนานกว่าจะแน่ใจ

ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ เธอก้มหน้ามองลงไป “แล้วพี่ชาย ตกลงว่าพี่…พี่ชาย? พี่เป็นอะไรไปน่ะ”

ระยะนี้เฉินจิ่งเซินเคร่งกับตัวเองมาโดยตลอด เขาวนเวียนอยู่แต่ที่บ้าน โรงเรียน และเขตที่พักเก่าอย่างชินชา ทำเป็นกิจวัตรมานานมากราวกับกำลังทำภารกิจอะไรบางอย่าง ขอแค่วันเวลาผ่านไปนานพอให้สะสมไปจนถึงจำนวนหนึ่ง ประตูบานนี้ก็จะสามารถถูกเขาเคาะจนเปิดได้

ชั่วพริบตาหนึ่ง ดูเหมือนว่าจำนวนครั้งที่เลือนรางนั้นจู่ๆ ก็ชัดเจนขึ้นมา แต่จำนวนครั้งที่เขาทำภารกิจทะลุตัวเลขนั้นมานานแล้ว ประตูที่อยู่ตรงหน้าบานนี้ก็ยังคงเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ตั้งตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน

หลอดไฟควบคุมด้วยเสียงดับลง ทางเดินอาคารตกสู่ความเงียบเหงาอันมืดมิดในชั่วขณะ

ในที่สุดตอนนี้เฉินจิ่งเซินก็ยอมรับความจริงแล้วว่าเขาหาอวี้ฝานไม่เจอ

เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ยกมือขึ้นมาบังตา ฝ่ามือร้อนลวก

โรงเรียนหรือว่าห้องเรียนนั้นเป็นไปได้น้อยมากที่จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมเพียงเพราะใครบางคนจากไป

อารมณ์ความรู้สึกช่วงหนุ่มสาวมาเร็วไปเร็ว บวกกับการบ้านที่หนักอึ้งของชั้นมัธยมปลายปีสาม ผ่านไปสักระยะคนส่วนใหญ่ของชั้นมัธยมปลายปีสามห้องเจ็ดต่างก็ชินกับการที่อวี้ฝานไม่อยู่แล้ว

มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่แถวหลังเหล่านั้นที่ยังคงโมโหที่อวี้ฝานจากไปโดยไม่บอกกล่าว จึงก่นด่ากันเสียงดังเวลาหลบไปสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำ และก็สาบานตอนรวมตัวกันดื่มเหล้าว่าไม่ว่าอวี้ฝานจะกลับมาหรือไม่ นับแต่นี้ไปพวกเขาจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากัน และจะไม่พูดกับเขาแม้แต่ประโยคเดียวโดยเด็ดขาด

หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกบรรยากาศของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันหนักอึ้งกดดันให้ไปข้างหน้า พยายามเรียนมากขึ้นอีกนิดด้วยความทรมานและเชื่องช้าจนค่อยๆ ไม่พูดถึงคนคนนี้อีก

ทว่าโต๊ะเรียนของอวี้ฝานยังคงตั้งอยู่ตรงนั้นเสมอ เหมือนกับโต๊ะตัวข้างๆ เขาที่เชื่อมติดกัน เวลาสอบแต่ละครั้งหวังลู่อันจะย้ายโต๊ะและเก้าอี้ทั้งสองด้วยตัวเอง หลังจากสอบเสร็จก็ย้ายกลับมาเงียบๆ

กลุ่มแชตเล็กในวีแชตกลุ่มนั้นเงียบเหงาไประยะหนึ่ง แล้วก็เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ในบทสนทนามีเงาร่างของทั้งสองคนน้อยลง คนหนึ่งออกจากกลุ่มแล้ว ส่วนอีกคนไม่พูดไม่จา

หวังลู่อันเคยพูดล้อเล่นว่ารู้สึกเหมือนเฉินจิ่งเซินไม่เคยมาอยู่ห้องของพวกเขาเลย หลังจากอวี้ฝานลาออกไปความรู้สึกแบบนี้ยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม

ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน อยู่ในกลุ่มแชตเดียวกัน ทว่าพวกเขากลับเจอหน้าหรือไม่ก็คุยกับเฉินจิ่งเซินน้อยลงมาก วันจันทร์บนเวทีก็ไม่ปรากฏเงาร่างของเขาอีกเลย รู้เพียงแค่ว่าในการสอบแต่ละครั้งเขายังคงเป็นที่หนึ่ง

ขนาดได้รู้ข่าวว่าเฉินจิ่งเซินถูกส่งชื่อไปที่มหาวิทยาลัยเมืองเจียง ทุกคนก็แค่ชมว่าเจ๋งไม่กี่ประโยคเป็นการส่วนตัว แต่ในกลุ่มไม่ได้พูดถึงกันเลยสักคำ

บางครั้งก็พบปะทักทายกันที่อาคารเรียน ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไป แต่กลับบอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนไปตรงไหน

แต่คิดไปคิดมาก็ปกติเหมือนกัน

ชีวิตมัธยมปลายปีสามที่ทั้งแห้งเหี่ยวและกลัดกลุ้ม แม้แต่จางเสียนจิ้งก็ไม่ย้อมผมอีก ขี้คร้านจะทำเล็บสีฉูดฉาดแล้ว ฟุบหน้าท่องบทเรียนบนโต๊ะเรียนทั้งวันอย่างอิดโรย

ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน หวังลู่อันและจั่วควนได้ตั้งกลุ่มเรียนข้ามห้องขึ้นมาหนึ่งกลุ่ม ใครสอบได้ดีกว่าคนนั้นเป็นป๋าหนึ่งเดือน ทั้งสองผลัดกันเป็นลูกชายของอีกฝ่าย แสดงละครน้ำเน่าฉากพ่อลูกบาดหมางกันครั้งแล้วครั้งเล่า

กระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของชั้นมัธยมปลายปีสาม วันที่ถ่ายรูปจบการศึกษาเป็นช่วงฤดูร้อน

คืนก่อนหน้าจางเสียนจิ้งแชร์ธรรมเนียมโบราณๆ ที่เกี่ยวกับการจบการศึกษาต่างๆ มากมายเข้าไปในทุกกลุ่ม เขียนชื่อบนชุดนักเรียน ใช้กระดุมเม็ดที่สองซึ่งอยู่ใกล้หัวใจที่สุดสารภาพรักกับคนที่ชอบ ฉีกหนังสือ อะไรทำนองนี้…ในที่สุดจวงฝ่างฉินที่เนียนอยู่ในกลุ่มห้องเรียนมาหลายปีก็โผล่ขึ้นมาในแชต บอกว่าใครกล้าฉีกหนังสือ เธอก็จะฉีกคนคนนั้นซะ

ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ลงโทษทุกคน วันต่อมาทุกคนถ่ายรูปจบการศึกษาที่เป็นของพวกเขาท่ามกลางเศษกระดาษที่ปลิวว่อนทั่วฟ้า ห้องเจ็ดอยู่ฝั่งขวาของแถวสุดท้าย หวังลู่อันตั้งใจเว้นที่ข้างๆ เป็นความโบรแมนซ์ของเขากับเพื่อนยากของเขา

ชั่วขณะสุดท้ายก่อนจะไปจากโรงเรียน จางเสียนจิ้งถือแก้วน้ำกลับมาที่ห้องเรียนทั้งที่สวมชุดเครื่องแบบซึ่งทุกคนในห้องเจ็ดเซ็นชื่อเอาไว้

เธอดื่มน้ำในแก้วหมดภายในอึกเดียว ก่อนจะหยิบปากกามาร์กเกอร์ขึ้นมา แล้วเขียนลวกๆ ลงบนเสื้อตรงที่ตั้งใจเว้นว่างไว้ว่า ‘อวี้ฝาน เฉินจิ่งเซิน’

เธอมัดผมหางม้าใหม่อีกครั้ง หยิบข้าวของทั้งหมดขึ้นมาแล้วลุกขึ้นจะออกไป ก่อนไปเธอมองไปยังที่นั่งซึ่งว่างเปล่ามาเกือบหนึ่งปีเต็มตรงนั้นอย่างบังเอิญ

ทันใดนั้นก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย

แสงอรุณสาดเข้ามาในห้องเรียน

ในโต๊ะเรียนอันโล่งว่าง มีกระดุมสีขาวที่สะอาดใสแจ๋วเม็ดหนึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่บนนั้น

พวกมันถูกเก็บซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของโรงเรียน อยู่ด้วยกันอย่างเดียวดายและเงียบเชียบ

 

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: