X
    Categories: everYทดลองอ่านผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1

ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 9

[ปักหมุด] เม้าท์เรื่องลับที่ได้ยินในห้องน้ำ… [ฮอต]

[ปักหมุด] รีบต่อสายกับเจ้าของเรื่องที่ตึกข้างๆ มาฟังคำบอกเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าของรุ่นน้องชายที่ถูกรุ่นพี่แซ่เซียวตามตื๊อ [ฮอต] [ฮอต] [ฮอต]

 

ภายในชั่วข้ามคืนเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C ก็มีกระแสรุนแรง

โพสต์ปักหมุดนี้มีการแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางจนติดอันดับความนิยมอันดับหนึ่ง มีคนล็อกอินเข้าไปในเว็บบอร์ดมากขึ้นเรื่อยๆ

ลู่เหยียนไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย เขากำลังวางแผนว่าจะดึงตัวนายเสื้อยืดเหลืองเข้าวงยังไง คนหน่วยก้านดีหายาก ถ้าไม่คว้าตัวไว้ก็ถือว่าน่าเสียดายมาก

ในระหว่างที่เว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C กำลังเปรี้ยงปร้าง เขากับหลี่เจิ้นกำลังหารือเรื่องแผนการรับมือ

[เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย C แบบนี้จะดึงตัวมาได้เหรอ เขาจะรังเกียจว่าเราอยู่คนละสายกันหรือเปล่า] หลี่เจิ้นถามด้วยน้ำเสียงลังเล

“ลองดูก่อน” ลู่เหยียนพูดในโทรศัพท์ “ฉันจะตามไปตีสนิทที่ห้องเรียนของพวกเขาสักคาบ เขาเรียนคอมพิวเตอร์ อยู่ปีสอง ฉันพอสืบพวกข้อมูลทั่วไปได้ ฉันว่าพรุ่งนี้จะนัดเขามากินข้าวคุยกันสักมื้อ”

หลี่เจิ้น [คอมพิวเตอร์? ข้ามสายกันเยอะเลยนะ]

ลู่เหยียน “สมัยก่อนตอนไต้สู่เรียนมหาวิทยาลัย เขายังเรียนการออกแบบภูมิทัศน์จัดสวนเลย นายลืมแล้วเหรอ”

หลี่เจิ้น [ฮ่าๆๆ ก็จริง]

 

คลาสของวันที่สองมีช่วงบ่าย เป็นวิชาบริหารธุรกิจ

ลู่เหยียนไปเข้าเรียนแทนตามปกติ เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข้อความที่ลูกค้าเป็นฝ่ายส่งมาให้ระหว่างอยู่ในคลาส

 

[เซียวหัง] ถึงแล้ว?

[ลู่เหยียน] ถึงแล้วครับ

[ลู่เหยียน] คุณสบายใจเรื่องที่ผมมาเข้าเรียนแทนได้ การไม่สายไม่เช้าเกินคือกฎข้อแรกของผมครับ

 

ลูกค้าตอบกลับมาแค่คำเดียว

 

[เซียวหัง] โอเค

 

ศาสตราจารย์อาวุโสบรรยายเรื่องทรัพยากรบุคคลอยู่ที่โพเดียม ตอนลู่เหยียนส่งข้อความให้ลูกค้า เขาไม่เคยคิดเลยว่าลูกค้าจะพาน้องมาดักรอเขา เนื่องจากเขาไม่เคยตีความคำว่าโอเคไปในความหมายอื่น

คำว่าโอเคนี้น่าจะหมายความตามนี้คือ

โอเค นายรอฉันได้เลย

 

นอกห้องคลาสเรียนใหญ่

บนบันไดตึกตรงทางเลี้ยวมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน

ตำแหน่งที่นั่งนี้อยู่ใกล้กับห้องเรียนมาก ห่างแค่ผนังกั้นเท่านั้น

เซียวหังนั่งอยู่ที่บันได ก้มหน้าแกะกระดุมสองเม็ด พับแขนเสื้อขึ้นช้าๆ เขามองคนที่อยู่ด้านล่างของบันได “อีกเดี๋ยวพอเขาออกมา นายกับเซ่าเฟิงไปเอาตัวเขามา”

[ไม่มีปัญหา ผมดูรูปแล้ว รับประกันว่าจะจัดการเขาให้หมอบเลย] ตี๋จ้วงจื้อพูด [แต่ทำไมผมดูรูปแล้วถึงรู้สึกคุ้นๆ หน้าตาหล่อมาก ลูกพี่ได้ดูแล้วหรือยัง]

เซียวหังดูกับผีสิ

เมื่อคืนกว่าเขาจะได้นอนก็แสนยากเย็น แต่เพิ่งจะเอนตัวได้ไม่เกินสิบนาทีก็ถูกสารพัดข้อความปลุกให้ตื่น

 

…ทุกคนล้วนมีเสรีภาพเท่าเทียมในการใช้ชีวิต

…ไม่ต้องห่วงว่าเราจะมองนายเปลี่ยนไป ความรักเป็นเรื่องของความเท่าเทียม จงกล้าเป็นตัวเอง

…ทุกคนมีสิทธิ์แสวงหาความสุข

 

เซียวหังสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง นิ้วสัมผัสฝาเย็นๆ ของไฟแช็ก ภายในใจคิดว่าเดี๋ยวพอคนคนนั้นออกมาเขาจะซ้อมอีกฝ่ายสักยก

การดักรอคน

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้

ตี๋จ้วงจื้อคึกมาก [ทำไมผมตื่นเต้นจัง มีความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย ตอนนั้นพี่หัง…]

เขาเผลอหลุดคำว่ามัธยมปลายออกมา

ตี๋จ้วงจื้อยังอยากพูดต่อแต่ชิวเซ่าเฟิงใช้ศอกกระทุ้งเขาหนึ่งครั้ง

ตี๋จ้วงจื้อเลยได้สติ รีบปิดไมค์เงียบ

“อย่าเอาแต่มอง” เซียวหังดูไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ “จำไว้ว่าต้องไปดักตรงมุม”

พอกริ่งเลิกเรียนดัง ห้องที่แสนสงบก็เต็มไปด้วยเสียงเฮหลังเลิกเรียนทันที

ในคาบนี้ลู่เหยียนไม่ได้ฟังอะไรมาก แต่เขาเขียนเพลงได้ครึ่งเพลงแล้ว ชายหนุ่มเก็บของแล้วพับกระดาษใบนั้นยัดใส่กระเป๋ากางเกง

ข้างนอกอากาศแจ่มใส แดดดี

เป็นวันที่ดีวันหนึ่ง

เหมาะกับการรับสมาชิกใหม่อย่างยิ่ง

ลู่เหยียนมองแดดนอกหน้าต่างแล้วก็คิดว่าจะไปหาว่าที่มือเบสของวงที่คณะคอมพิวเตอร์จากนั้นก็ชวนกินข้าว ผลคือเพิ่งจะเดินออกจากห้องเรียนได้สองสามก้าว เขาก็ถูกใครที่ไหนไม่รู้ลากตัวออกมาจากกลุ่มนักศึกษา

“ใช่เขาหรือเปล่า” ลู่เหยียนได้ยินเสียงหนึ่งถาม

“ใช่เขาเลย!” อีกคนบอก

คอยจนลู่เหยียนได้สติ เขาก็ถูกจับแขนซ้ายกับแขนขวา กดติดผนังแล้ว

ลู่เหยียน “พี่น้องทั้งสอง มีธุระอะไรหรือครับ”

ความนิ่งของคนคนนี้ทำให้ชิวเซ่าเฟิงฉุนขาดอย่างประหลาด “ตัวเองทำอะไรลงไปยังไม่รู้อีกหรือไง!”

ลู่เหยียนทวนคำเขา “ผมทำอะไร”

“…” ชิวเซ่าเฟิงหมดมุกคุยกับเขาเลยหันหน้าไปเรียก “ลูกพี่!”

จังหวะนี้เอง มีใครอีกคนเดินลงมาจากบันได คนคนนั้นเดินแบบไม่รีบไม่ร้อน เหมือนการดักรอคนเป็นแค่ความบังเอิญตอนเดินผ่าน พอชายคนนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา สายตาของลู่เหยียนก็เห็นนาฬิกาข้อมือเรือนที่คุ้นตา

สูงขึ้นไปคือข้อมือสวยได้รูป

สูงขึ้นไปอีก ดวงตาสองคู่ก็สบกัน

คุณชายใหญ่คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของลู่เหยียน

นายพั้งก์ เซียวหังคิดออกแค่คำนี้

วันนี้คุณชายใหญ่ไม่ได้แต่งตัวเป็นทางการเหมือนคราวก่อน เขาแต่งตัวชิลมาก ถึงขั้นชิลกว่าคนส่วนใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัยเสียอีก รองเท้าเป็นรองเท้าแตะแบบคีบด้วย

แต่ที่น่าแปลกคือต่อให้เขาใส่รองเท้าแตะแบบคีบแต่ลุคกลับไม่ได้ดูโลว์ลงเลย ถ้าอีกเดี๋ยวเขามีคลาสต้องไปเข้าก็ยังทำให้คนที่เห็นมีความรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นนักศึกษาประเภทที่จะหามุมในห้องเรียนเพื่อฟุบตัวหลับ

หน้าตาง่วงนอน ดูเหมือนพวกสายชิลสุดๆ

เซียวหังง่วงมากจริงๆ แต่พอคำว่านายพั้งก์เด้งออกมาจากสมอง กระแทกใส่หน้าผาก เขาก็ตื่นเต็มตาทันที

“คุณ” ลู่เหยียนเชื่อมโยงเรื่องคราวก่อนกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน “…มาเอาคืนเหรอ”

ครั้งก่อนลู่เหยียนตามไปขอโทษแต่เซียวหังไม่รับ หรือจะบอกว่าเขาตั้งใจจะเอาคืน แค่ยังไม่ถึงเวลา

ลู่เหยียนเข้าใจแล้ว ไว้เขาจะหาโอกาสไปเล่นงานเซียวหังให้หนัก

แต่พอลู่เหยียนมองคนผมแดงที่ล็อกแขนซ้ายเขากับคนแปลกหน้าที่ล็อกแขนขวา ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่าเขาต้องพูดอะไรออกไป “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าผมมาเข้าเรียนที่นี่ แต่พวกคุณจะสามรุมหนึ่งแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

ลู่เหยียนพูดได้แค่ครึ่งเดียว คุณชายใหญ่ก็ก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าว ทำให้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก ลู่เหยียนได้ยินคุณชายใหญ่พูดที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงปกติ “ฉัน เซียวหัง คณะเศรษฐศาสตร์”

“…”

เซียวหังพูดจบก็ก้าวถอยไปข้างหลัง กลับไปสู่ระยะห่างก่อนหน้า

เขาทำแบบนี้เพราะตั้งใจจะสื่ออะไร

ทำไมคำพูดคำจาแบบนี้ถึงได้คุ้นหูนัก

แต่ลู่เหยียนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโลกจะแคบขนาดนี้

เขามาเข้าเรียนแทนคนอื่น และเซียวหังคนที่เขามาเข้าเรียนแทนคือคุณชายใหญ่คนนี้

ลู่เหยียนมองจ้องตาเซียวหังอยู่พักหนึ่งจนตัวเองเริ่มเข้าใจ ถึงแขนทั้งสองข้างจะถูกกดไว้ แต่เขายังขยับนิ้วกระดิกเรียก แนะนำตัวเองด้วยวิธีเดียวกัน

“ผม คนเร่ร่อนว่างงาน ลู่เหยียน”

เซียวหัง “…”

ตี๋จ้วงจื้อ “…”

ชิวเซ่าเฟิง “…”

กลุ่มคนที่เดินออกมาจากห้องหลังเลิกเรียนจากไปกันหมดแล้ว ระเบียงจึงกลับมาเงียบอีกครั้ง

“โอเค” เซียวหังบอก “เอาให้เขาดู”

พูดจบเซียวหังก็หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเหมือนไม่ใส่ใจ เขายื่นมือไปหาตี๋จ้วงจื้อ

เป็นพี่น้องกันมานานหลายปี ตี๋จ้วงจื้อย่อมตั้งสติได้ทันที เขาหยิบมือถือมาเปิดเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C แล้วยื่นส่งให้

ท่าทางกับการประสานงานทำให้ลู่เหยียนคิดถึงก๊วนที่เก่งแต่ทำกร่างแกล้งนักเรียนในโรงเรียนสมัยก่อน ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังคิดฟุ้งซ่าน ตัวอักษรสองบรรทัดที่เด่นสะดุดตาบนหน้าจอมือถือก็พุ่งเข้ามาในสายตาของเขา

 

‘เรื่องลับในห้องน้ำ’ กับ ‘คำบอกเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าของรุ่นน้องชาย’

 

เรื่องลับในห้องน้ำเป็นประเด็นร้อน แต่โพสต์อันที่สองค่อนข้างสร้างสรรค์กว่า เพราะใช้วิธีสัมภาษณ์

 

‘เจ้าของกระทู้ : เพื่อเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของเจ้าของเรื่อง ในการสัมภาษณ์เจ้าของเรื่องจะใช้นามแฝงว่าเสี่ยวหัว เสี่ยวหัวคะ ไม่ทราบว่าคุณกับรุ่นพี่แซ่เซียวเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ

เสี่ยวหัว (นามแฝง) : เขาดังมากครับ ผมเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยเจอ เราไม่รู้จักกันเลย

เจ้าของกระทู้ : คุณมีความรู้สึกว่าเขาปิ๊งคุณตอนไหนคะ

เสี่ยวหัว : เขาบอกว่าเห็นผมเล่นเบสได้เท่มาก ผมเดาว่าเขาน่าจะคิดไม่ดีไม่งามกับผมตอนนั้น

 

ลู่เหยียนอ่านคำว่า ‘คิดไม่ดีไม่งาม’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบมาก

 

‘เจ้าของกระทู้ : หลังจากนั้นเขาทำเรื่องแปลกๆ หรือเปล่าคะ

เสี่ยวหัว : พอออกจากห้องน้ำเขาก็ตามผมไปเข้าคลาส นั่งฟังเพลงอยู่ข้างผม แถมยังแบ่งหูฟังข้างหนึ่งให้ผมด้วย ตอนนั้นผมกลัวมากเลยครับ

เจ้าของกระทู้ : แบ่งหูฟัง?

เสี่ยวหัว : ครับ มันดูมีซัมธิงมาก ผมเลยไม่รับ

เจ้าของกระทู้ : คุณมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อย่างไร มีอะไรอยากบอกหรือเปล่าคะ

เสี่ยวหัว : ผมหนักใจมาก ไม่รู้ว่าควรรับมือกับการตามจีบแบบบ้าคลั่งของเขายังไงดี’

 

ลู่เหยียนเพิ่งแจ่มแจ้งในนาทีนี้

เมื่อวานนายเสื้อยืดเหลืองหนีไปไวมาก พอเขาตั้งใจจะแนะนำตัวเองใหม่อีกรอบ นายเสื้อยืดเหลืองก็โยนไม้ถูพื้นใส่เขาแล้วเผ่นหนีออกจากประตูไปด้วยความเร็วพอๆ กับการเล่นเบสของเขา

ลู่เหยียนตามออกไปด้วย เขากับนายเสื้อยืดเหลืองวิ่งไล่กันอยู่ในอาคารเรียน

แต่พอนายเสื้อยืดเหลืองวิ่งเข้าไปในห้องเรียน ศาสตราจารย์ก็ยืนอยู่บนโพเดียม กำลังเตรียมที่จะสอนแล้ว ทำให้ลู่เหยียนไม่สะดวกจะพูด

“เรื่องหูฟัง ผมแค่อยากให้เขาฟังเพลงของวงเรา” ลู่เหยียนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอธิบายจากตรงไหน “เขาเล่นเบสได้ไม่เลว และเมื่อสองสามวันก่อนวงเราเพิ่งมีคนออกไปสองคน…”

คำบอกเล่าของเขาไม่ค่อยลื่นไหล แทบไม่มีตรรกะหรือการเรียงลำดับก่อนหลัง พอพูดไปถึงตอนท้าย ลู่เหยียนก็ยกมือขึ้นเกาหัว สบถคำหยาบออกมาหนึ่งประโยค “บ้าเอ๊ย แม่มัน”

ตี๋จ้วงจื้อตัดบท “นายทำวงเหรอ”

ชิวเซ่าเฟิง “นายเล่นตำแหน่งอะไร มือกีตาร์?”

“…ชิ” เซียวหังไม่มีวันลืมฝีมือการเล่นกีตาร์สุดเพี้ยนของลู่เหยียน เขาหัวเราะเสียงเย้ยหยัน “เขา? กีตาร์?”

ลู่เหยียน “…”

ลู่เหยียน “สรุปคือเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ ผมจะไปเคลียร์เรื่องนี้ให้”

ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เจอคนคนนี้เป็นต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันมากมาย ครั้งก่อนเขาก็จับคนที่ระเบียงผิด

หรืออาจเป็นเพราะเขากับคุณชายคนนี้ดวงไม่สมพงศ์กันก็เป็นได้

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลู่เหยียนจะต้องรับผิดชอบจริงๆ ตอนอยู่ในห้องน้ำวันนั้นลู่เหยียนเกิดอาการสมองกระตุกชั่วคราวถึงได้พูดออกไปว่าตัวเองคือเซียวหัง

เซียวหังมองลู่เหยียนเหมือนกำลังประเมินความจริงใจจากคำพูดของเขา สุดท้ายชายหนุ่มก็โบกมือให้เพื่อนสองคน “ปล่อย”

ตี๋จ้วงจื้อ “จะปล่อยเขาไปแบบนี้เหรอ”

ชิวเซ่าเฟิง “ลูกพี่ ไม่อัดเขาสักยกก่อนเหรอ”

เซียวหังไม่ตอบ เขาเดินเหยียบรองเท้าแตะ แล้วหมุนตัวเดินออกไป

ลู่เหยียนคิดในใจว่าเมื่อก่อนคนคนนี้ไม่เคยอยู่ในแก๊งนักเลงจริงงั้นเหรอ

ลู่เหยียนตั้งใจจะคืนมือถือให้คนผมแดง แต่กลับกลายเป็นว่านิ้วเผลอไปโดนหน้าจอ โพสต์อันที่อยู่ตรงหน้าจึงเลื่อนลงทำให้เขาเห็นความคิดเห็นนิรนามหลายต่อหลายอัน

 

คอมเมนต์ 15 ‘รุ่นพี่แซ่เซียว ใช่เซียวหังหรือเปล่า คนที่เป็นลูกเศรษฐีคนนั้นน่ะนะ?

คอมเมนต์ 16 ‘อ๊าๆๆ เซียวหังเหรอ ฉันรู้จักเขา! เคยเจอกันครั้งหนึ่ง เขาหล่อจริง ชาติตระกูลก็ดี หนุ่มหล่อสมัยนี้กลายเป็นเกย์กันไปหมดแล้วเหรอ QAQ

คอมเมนต์ 17 ‘ดีอะไร หลอกได้แต่นักศึกษาหญิงสมองกลวง…เป็นแค่ลูกคนรวยๆ ที่ไม่ได้เรื่องได้ราว อย่าไปสนใจเขาเลย

 

‘ไม่ได้เรื่องได้ราว’ สองคำนี้ผ่านสายตาเขาไปแวบหนึ่ง

ลู่เหยียนเงยหน้า แล้วก็เห็นแต่เงาที่เดินทอดน่องออกไปของเซียวหัง

บทที่ 10

คลาสคอมพิวเตอร์เพิ่งเลิกได้ไม่นาน ในห้องเรียนเหลือแต่นักศึกษาที่อยู่ทำการบ้านในคลาสแค่ไม่กี่คน

ตอนที่ลู่เหยียนมาถึงประตูห้องเรียน นายเสื้อยืดเหลืองก็ออกไปแล้ว

การจะหาคนหนึ่งคนในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่โตแบบนี้มีความเป็นไปได้พอๆ กับการงมเข็มในมหาสมุทร แต่เขาจะมัวรีรอไม่ยอมพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่เซียวหังก็ไม่ได้

ลู่เหยียนนึกย้อนกลับไปถึงหัวข้อที่น่าตกใจสองหัวข้อ ถ้าขืนยังรีรอต่อ น่ากลัวว่าชื่อเสียงของรุ่นพี่แซ่เซียวได้เป็นอันจบสิ้นกันจริงๆ ก็คราวนี้

ลู่เหยียนเลือกเป้าหมายคนหนึ่งในกลุ่มคนที่ยังเหลืออยู่แล้วเข้าไปนั่งข้างๆ แบบไม่มีหลักจิตวิทยาอะไรทั้งนั้นพลางบ่นกับเขาว่า “ยังทำไม่เสร็จอีกเหรอ”

นักศึกษาคนนั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์โค้ดสองแถวสุดท้ายแล้วกดเอ็นเทอร์ แต่บนหน้าจอก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เออสิ” นักศึกษาคนนั้นเกาหัวแบบไม่ไหวแล้ว “นายส่งแล้วเหรอ”

ในคลาสมีคนเยอะ ตามปกติพอเลิกเรียนทุกคนก็จะแยกย้ายกันกลับห้องพัก การที่เพื่อนในคลาสไม่รู้จักกันทั้งหมดนับเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการที่นักศึกษาแปลกหน้าอย่างลู่เหยียนมาชวนคุยจึงไม่ทำให้ใครรู้สึกว่าน่าสงสัย

แถมท่าทางของนักศึกษาแปลกหน้ายังดูเป็นธรรมชาติมาก เหมือนคนที่อยู่คณะคอมพิวเตอร์จริงๆ

“เนื้อหาคาบนี้ยากมาก” ลู่เหยียนผงกศีรษะ “ไม่ค่อยเก็ตเลยว่ะ”

ลู่เหยียนชวนคุยแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เกินสามนาทีเขาก็ได้ข้อมูลทุกอย่างของนายเสื้อยืดเหลืองจากปากเพื่อนคนนี้

“นายพูดถึงสวี่เยี่ยเหรอ เขาไปกินข้าวที่โรงอาหาร ปกติเขาชอบกินต้าผานจี* ที่โรงอาหารชั้นหนึ่งที่สุด ต้าผานจีร้านนั้นอร่อยจริง พอกินเสร็จ เขาจะไปแช่อยู่ที่ร้านอินเตอร์เน็ต ไม่รู้ว่าเน็ตที่ห้องพักของพวกเขาเป็นอะไร ระยะนี้ชอบกระตุก…”

นายเสื้อยืดเหลืองกำลังคอยต้าผานจีของเขาอยู่ที่โรงอาหารจริงดังว่า

เพียงแต่ระหว่างที่เขากำลังคอย ไหล่ซ้ายก็พลันถูกกดลง ท่อนแขนข้างหนึ่งพาดบนไหล่เขาอย่างเป็นธรรมชาติก่อนที่สวี่เยี่ยจะเจอเข้ากับใบหน้าที่อาจไม่มีวันลืมได้ในชาตินี้

สวี่เยี่ย “…”

ลู่เหยียน “เฮ้”

สวี่เยี่ยไม่ไหวแล้ว เขาอยากหันหน้าวิ่งหนี แต่ต้าผานจีที่สั่งไปยังไม่เสร็จ ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก “พี่ตั้งใจจะทำอะไร”

ลู่เหยียนกดไหล่เขาให้หันมาหาตัวเองแล้วพยายามอธิบาย “เพื่อน นายฟังฉันนะ…”

สวี่เยี่ยอยากบอกเหลือเกินว่าใครเพื่อนคุณ ผมไม่ได้สนใจผู้ชายโว้ย แต่ลู่เหยียนชิงเอามือปิดปากเขาไม่ให้พูดคำที่ยังไม่ได้หลุดออกจากปากมา “หุบปากก่อน”

“…”

 

ในโรงอาหารมีคนผ่านไปผ่านมา

คอยจนลู่เหยียนอธิบายเรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้ว สวี่เยี่ยก็ถึงกับมึนตึ้บ “ไม่ใช่เซียวหัง คุณไม่ใช่เซียวหังเหรอ คุณแค่มาเข้าเรียนแทนเขา ไม่ใช่สิ เข้าเรียนแทน…งั้นเรื่องที่คุณบอกผม…”

“ฉันไม่ได้คิดไม่ดีไม่งามกับนาย” ลู่เหยียนเอาแขนออกจากไหล่เขา ชี้ไปที่ช่องรับอาหาร “ไก่นายเสร็จแล้ว”

สวี่เยี่ยยกต้าผานจีไปหาที่นั่ง ลู่เหยียนก็ตามไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

“ตอนนี้วงฉันเล่นอยู่ใต้ดิน ก่อนหน้านี้เคยออกงานมาแล้วสามอัลบั้ม”

“นอกจากฝึกซ้อมแล้ว ตามปกติจะมีรับงานแสดง”

ตามปกติถึงลู่เหยียนจะดูไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เขาเป็นพวกเจอคนก็พูดภาษาคน เจอผีก็พูดภาษาผี* ได้ เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ลู่เหยียนกลับต้องเก็บสีหน้าอย่างอื่นไว้ “ถึงมันจะกะทันหันไปหน่อย แต่ฉันอยากชวนนายมาแจม ถ้านายสนใจก็เก็บเอาไปคิดดู ก่อนหน้านี้นายเคยอยู่วงไหนหรือเปล่า”

มือที่คีบไก่ของสวี่เยี่ยชะงัก ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เขาจะตอบ “ไม่เคยครับ”

“ผมหัดเล่นเบสเองเหมือนเล่นเกมตามปกติ แต่ไม่เคยคิดจะไปคัดเลือกเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต” สวี่เยี่ยก้มหน้าพูดจนจบแล้วเงยหน้ามองลู่เหยียน “ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่เคยคิดจะไปทางนั้น”

ลู่เหยียนไม่พูดอะไรอีก

เขาพูดจาชักจูงเพื่อหลอกใครอย่างนายหน้าบากไม่เป็น นายเคยรู้สึกว่าเวลาอยู่ในห้องเรียนแล้วหาเป้าหมายไม่เจอหรือเปล่า รู้สึกว่าสูญเสียตัวตนใช่ไหม ในใจนายมีความฝันว่าอยากเป็นนักดนตรีซ่อนอยู่ล่ะสิ

น้อง มาทำงานกับฉันดีกว่า

ถ้าพูดมากกว่านี้มันก็จะเป็นการเผยเจตนามากเกินไป ลู่เหยียนส่งนามบัตรให้สวี่เยี่ยหนึ่งแผ่น “ไม่เป็นไร ถ้านายเปลี่ยนใจก็โทรหาฉันนะ”

สวี่เยี่ยรับนามบัตรแผ่นนั้นมา พบว่าบนนั้นเขียนไว้เต็มพืดว่า

 

เขียนและร้อง เรียบเรียงโน้ต จัดทำแบบรายบุคคล

เพลงดี! คือเพลงที่เขียนออกมาจากใจ!

วงอาชีพ ราคาเป็นมิตร จ้างได้ไม่หลอก จ้างได้ไม่ขาดทุน เพื่อให้คุณได้รู้ว่าอะไรคือสมราคาของจริง!

 

“…”

“อ้าวผิดใบ” ลู่เหยียนบอก “ต้องเป็นอีกใบ”

สวี่เยี่ยสลับนามบัตรใบใหม่ อีกใบเขียนสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ‘VENT นักร้องนำ ลู่เหยียน’

มือเบส…ยังหาไม่ได้

งานเข้าเรียนแทนก็เหลืองจนเหมือนผักกาดขาวในดิน*

ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองกำลังดวงตกอย่างที่คนเขาพูดกัน

 

ผิดกับอากาศที่ดีมาก ดวงอาทิตย์อยู่จนถึงเวลาห้าถึงหกโมงเย็นถึงค่อยๆ ลับหายไป

ลู่เหยียนนั่งอยู่บนรถเมล์ พิงหน้าต่างรถหลับแบบตัวเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา

วิวข้างนอกแล่นผ่านไปพร้อมแสงตะวันที่มืดลงเรื่อยๆ เขตซย่าเฉิงถูกปกคลุมด้วยสีเทาหนึ่งชั้น

การหลับครั้งนี้ไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก

ลู่เหยียนลงจากรถ ตรงกลับมาที่ห้อง เขานวดคอพลางฉีกปฏิทินที่แขวนอยู่บนผนังออกหนึ่งแผ่น ก่อนจะพบว่าวันหยุดวันแรงงานเพิ่งจะผ่านไปแค่หกวัน

พวกหวงซวี่ไปถึงที่หมายในคืนวันถัดมา หลังลงจากรถไฟ เขายังส่งรูปสถานีปลายทางเข้ามาในกรุ๊ปแชตรูปหนึ่ง บนป้ายสถานีรถไฟเขียนว่า ‘เมืองชิงยินดีต้อนรับ’ หวงซวี่ส่งข้อความเสียงมาด้วยว่า [ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับเย่าหมิงถึงแล้ว]

ลู่เหยียนขยำปฏิทินที่ฉีกลงมาในมือจนกลายเป็นก้อน เขามองหน้ากระดาษปฏิทินใหม่เอี่ยมข้างหลังพลางพูดกับตัวเองในใจว่า

นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้นเอง

เส้นทางต่อไปยังอีกยาวไกลนัก

แค่นี้จะสักเท่าไหร่

เขาทิ้งหน้าที่ฉีกลงมาแล้วตั้งใจต้มบะหมี่ ระหว่างคอยน้ำเดือด ลู่เหยียนก็ยืนพิงผนังเปิดดูเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C ก่อนจะพบว่าโพสต์ที่ติดคำว่าฮอตสามโพสต์ในหน้าแรกหายไปแล้ว

สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือโพสต์แถลงการณ์

ลู่เหยียนคิดแล้วกดเข้าไปในวีแชตเพื่อโอนเงินสองร้อยหยวนที่รับมาเมื่อวานคืนให้คุณชายใหญ่

 

[ลู่เหยียน] [แจ้งการโอนเงิน]

[เซียวหัง] เงินนี่ฉันไม่รับ

 

ข้อความจากเซียวหังนั้นส่งกลับมาค่อนข้างช้า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เงินก้อนนี้ก็ถูกตีกลับมาให้ลู่เหยียนพร้อมคำสองคำ

 

[เซียวหัง] ไม่จำเป็น

 

ลู่เหยียนเป็นคนเข้าเรียนแทนที่มีหลักการและคุณธรรม เขาจึงยืนกรานเรื่องการคืนเงิน ในเมื่อเขาทำให้นายจ้างต้องไปโด่งดังอยู่ในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัยภายในชั่วข้ามคืน ไหนเลยจะยังมีหน้ารับเงินค่าจ้างอีก

ทั้งสองคนโอนเงินให้กันไปมา ทำเหมือนเด็กๆ กันแบบนี้ถึงสามรอบ

 

[ลู่เหยียน] รับไว้

[เซียวหัง] บอกว่าไม่จำเป็นไง

[ลู่เหยียน] รับไว้สิ

[เซียวหัง] เลิกตอแยสักทีได้ไหม

[ลู่เหยียน] [แจ้งการโอนเงิน]

[เซียวหัง] บ้าเอ๊ย

 

ลู่เหยียนทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง พอเขาตั้งใจจะโอนเงินคืนอีก ในห้องแชตก็มีเครื่องหมายตกใจสีแดงหนึ่งอันเด้งขึ้นมา

 

[‘ไม่มีธุระอย่ามายุ่ง’ ปิดการเป็นเพื่อน คุณยังไม่ใช่เพื่อนของเขา/เธอ]

 

“…” คุณชายใหญ่คนนี้ใจร้ายมาก

คาดว่าเขาคงจะหงุดหงิดจริงๆ แล้ว

ลู่เหยียนกดส่งคำขอเป็นเพื่อน แต่พอได้รับการอนุมัติแล้ว เขาก็ไม่ได้คุยเรื่องที่จะโอนเงินคืนให้กับเซียวหังอีก

พอน้ำเดือด ข้อความจากเซียวหังก็เด้งขึ้นมาเอง สิ่งที่เขาส่งมาเป็นภาพแคปหน้าจอการสนทนารูปหนึ่ง คู่สนทนาในห้องแชตนั้นคือคนที่มีชื่อว่าเหล่าหู

 

[เหล่าหู] เซียวหัง

[เหล่าหู] พรุ่งนี้มาหาอาจารย์ที่ออฟฟิศหน่อยนะ

[เหล่าหู] อาจารย์อ่านงานในคลาสของเธอแล้ว อาจารย์ตื้นตันใจมาก อาจารย์ไม่เคยรู้เลยว่าความเคารพเทิดทูนที่เธอมีให้อาจารย์มันจะมากมายขนาดนี้

 

สุดท้ายเซียวหังส่งข้อความมาอีกหนึ่งประโยค

 

[เซียวหัง] นายเขียนบ้าอะไรไป

 

จะเขียนอะไรได้ล่ะ

คำยกยอย่อมพาเราไปได้ทุกที่

ลู่เหยียนลูบจมูก เขาหว่านโปรยคำยกย่องเชิดชูเหล่าหูกว่าพันตัวอักษรโดยไม่ได้สนใจเรื่องเนื้อหาในคลาสเลย เรียกได้ว่าอวยกันแบบขั้นสุด

 

[ลู่เหยียน] ผมเขียนเพลงสรรเสริญวิศวกรผู้ก่อสร้างจิตวิญญาณของมนุษย์

[เซียวหัง]

[เซียวหัง] คืนเงินมา

 

ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับเงินสองร้อยหยวน เซียวหังทำแม้กระทั่งลบคู่สนทนาออกจากการเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้กลับบอกว่าให้คืนเงินมา ตอนก่อนหน้ากับตอนหลังต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงมันจะดูผิดทำนองคลองธรรมอย่างมาก แต่ลู่เหยียนยังคงขำนิดๆ

เขาโอนเงินสองร้อยไป

แล้วพบว่าเซียวหังพิมพ์ไปด้วยอารมณ์ เขาไม่ได้รับเงินจริง

 

[เซียวหัง] นายยังทำอะไรไว้อีก

[ลู่เหยียน] ไม่มีแล้ว

 

ลู่เหยียนกลัวเซียวหังจะไม่เชื่อเลยรีบการันตีพร้อมทวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ

 

[ลู่เหยียน] ไม่มีจริงๆ

 

เซียวหังไม่ได้ตอบข้อความนี้ทันที เขาหายไปประมาณครึ่งชั่วโมง ตอนที่ลู่เหยียนกำลังล้างชามอยู่ที่ซิงก์ หน้าจอมือถือก็พลันสว่างขึ้น แต่เนื่องจากไม่ได้ปลดล็อก จึงมีกล่องข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอล็อก ในกล่องข้อความนั้นมีข้อความที่เขารู้สึกคุ้นๆ ปรากฏอยู่สองสามประโยค

 

[เซียวหัง] ผมมีประสบการณ์การทำงานพาร์ตไทม์มานานหลายปี

[เซียวหัง] มีความรับผิดชอบต่อการเข้าเรียนแทนเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริการ

[เซียวหัง] [ยิ้มน้อยๆ]

 

สุดท้ายเป็นอีโมติคอนรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเย็นชา

“…”

คำประกาศก่อนทำงานที่เขาส่งให้เซียวหังก่อนหน้านี้

สีหน้าแบบอีโมติคอนยิ้มน้อยๆ ที่ส่งมานี้ซ้อนทับกับเสียงหัวเราะเยาะตอนที่คนคนนี้หรี่ตามองเขาขณะพูดคำว่า ‘กีตาร์’ เมื่อตอนกลางวันได้อย่างพอดิบพอดี ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเย้ยหยัน

เขาปิดก๊อก กำลังจะวางชามกลับเข้าที่ แต่พอเห็นชามในมือเขากลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

เขายังไม่ได้คืนชามที่ยืมมาจากห้องหกศูนย์หนึ่ง

เมื่อหลายวันก่อนเขาได้ยินเรื่องของผู้หญิงห้องหกศูนย์หนึ่งจากเพื่อนบ้านมาบ้าง ซึ่งครั้งก่อนที่มีผู้หญิงมาทุบประตู ทั้งเตะ ทั้งอาละวาดโวยวายนั้นก็รู้กันทั้งตึก

ถึงคนที่อาศัยอยู่ในตึกจะไม่ได้พูดอะไรซึ่งๆ หน้า แต่ลับหลังกลับเม้าท์กันไม่น้อย

อย่างมากก็พูดว่าหกศูนย์หนึ่งทำงานอยู่ในอาบอบนวด

ประมาณว่าพอตกค่ำบนถนนจะมีอาบอบนวดเล็กๆ ให้เห็นอยู่ทุกที่ ถ้ามองจากข้างนอกเข้าไป ตัวร้านจะเป็นสีฟ้าจากฝ้ากระจกที่ทำจากวัสดุพิเศษ หมอนวดสาวนั่งอยู่บนโซฟา หรือไม่ก็ใส่เดรสสั้นยืนอยู่ตรงประตู

ลู่เหยียนลังเลอยู่สองสามวินาที

เขาไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เขาติดหนี้น้ำใจก้อนโตต่อเซียวหังมาถึงสองครั้งแล้ว

สุดท้ายลู่เหยียนก็เปิดหน้าจอล็อกมือถือ พิมพ์ข้อความลงไปหนึ่งบรรทัด

 

[ลู่เหยียน] จริงสิ ตามปกติห้องหกศูนย์หนึ่งจะกลับห้องมาตอนเที่ยง ถ้าคุณจะมาหาเธอ มาตอนเที่ยงได้นะ หรือไม่ผมจะช่วยบอกเธอให้

 

ครั้งนี้เซียวหังไม่ได้ตอบว่าไม่จำเป็นอีก

ลู่เหยียนคิดว่าอาจเป็นเพราะพวกเขามีเรื่องผิดฝาผิดตัวกันมาหลายครั้งหลายหนจนไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแล้ว เซียวหังเลยใช้คำเดียวคำเดิม

 

[เซียวหัง] โอเค

[เซียวหัง] รู้แล้ว

 

เซียวหังตอบข้อความเสร็จก็ก้มมองศีรษะเล็กๆ ที่นอนอยู่บนตักเขา ทารกที่เพิ่งจะกินนมเสร็จกำลังหลับสนิท ขนตาเหมือนพัด ลมหายใจที่มีเสียงดังเบาๆ ทำให้พัดอันนั้นกระพือตามน้อยๆ

ภายในบ้านหลังใหญ่อันเยียบเย็นไร้กลิ่นอายผู้คน

เซียวหังนิ่วหน้า นึกอยากผลักศีรษะเล็กนี่ออกห่าง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ทำ เพียงแค่ใช้มือตบท้ายทอยทารกน้อยเบาๆ เท่านั้น

 

* ต้าผานจี คืออาหารมุสลิมอุยกูร์ โดยจะนำไก่ไปผัดกับเครื่องเทศ พริกหยวก และมัน มีรสเผ็ด หวาน เค็ม

* เจอคนก็พูดภาษาคน เจอผีก็พูดภาษาผี เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มีความสามารถในการปรับตัวเพื่อเจอคนหรือสถานการณ์ที่ต่างกันได้ดี

* เหลืองจนเหมือนผักกาดขาวในดิน เป็นการล้อกับเนื้อเพลงเสี่ยวไป๋ไช่ (ผักกาดน้อย) โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่พูดถึงเด็กสาวยากจนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ปราศจากครอบครัว ในที่นี้ต้องการจะสื่อว่างานเข้าเรียนที่ว่านั้นก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก

 

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 6 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: