X
    Categories: everYทดลองอ่านหลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1

ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ  

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3 ข่าวร้าย

จิ้นเยวี่ยหลับไปได้ไม่นานก็ถูกไป๋หนีปลุก นางรีบสวมเกราะให้เด็กหนุ่ม ทั้งยังให้เขาสวมเสื้อคลุม

มีคนเข้ามาใกล้ประตูกระโจม ฝีเท้ามั่นคงทรงพลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำ “เฮ่อหลันจินอิงนายกองเป่ยหรง ขอเข้าพบองค์ประกัน”

ผู้มาสูงแปดฉื่อ* ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มหวีรวบไว้ตรงท้ายทอย นัยน์ตาดุดัน ดวงตาทั้งคู่เป็นนัยน์ตาหมาป่าสีดำเหลือบเขียวเหมือนกับเฮ่อหลันเฟิง

เฮ่อหลันจินอิงพิจารณาจิ้นเยวี่ยโดยละเอียด เด็กหนุ่มเบื้องหน้ายืนสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หลังตั้งตรง ในสีหน้าสงบเยือกเย็นมีความตึงเครียดหลายส่วน แม้อายุเพียงสิบกว่าปีกลับไม่เห็นความขี้ขลาดตาขาวแม้แต่น้อย

จิ้นเยวี่ยไม่เคยเข้าร่วมในสนามรบ ทว่ากลับมีจิตวิญญาณซึ่งซ่อนเร้นความน่าเกรงขามเอาไว้

เฮ่อหลันจินอิงย้ายสายตาไปไว้ที่ผนังกระโจมด้านหลังจิ้นเยวี่ยกับไป๋หนี เขาไม่อยากจ้องมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้ายามเอ่ยคำพูดเหล่านี้

“แม่ทัพจิ้นหมิงจ้าว พ่ายแพ้สิ้นชีพในการรบที่ด่านไป๋เชวี่ยเมื่อครึ่งเดือนก่อน”

ชายหนุ่มพูดจบรวดเดียว หยุดครู่หนึ่งแล้วค่อยก้มหน้ามองจิ้นเยวี่ย

ท่าทีจิ้นเยวี่ยไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์ของเขาเลยสักนิด เด็กหนุ่มมีสายตานิ่งงัน คล้ายฟังไม่เข้าใจ

เฮ่อหลันจินอิงต้องทวนซ้ำอีกครั้ง จิ้นเยวี่ยจึงอ้าปากถาม “ทหารม้าคะนองเมฆาเล่า”

ทหารม้าคะนองเมฆาคือกองทหารม้าของกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นพลทหารชั้นเยี่ยมซึ่งผู้บัญชาการจิ้นหมิงจ้าวเป็นผู้ฝึกฝนมากับมือ ชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกร แทบจะถูกมองเป็นร่างจำแลงของจิ้นหมิงจ้าว สามีของไป๋หนีเป็นนายกองซึ่งหนุ่มที่สุดของทหารม้าคะนองเมฆา ในกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือต่อต้านจินเชียงครั้งนี้ เขาเองก็อยู่ในสนามรบด้วย

เฮ่อหลันจินอิงตอบ “ทหารม้าคะนองเมฆาพินาศย่อยยับทั้งกองทัพ”

ไป๋หนีซวนเซทันที

จิ้นเยวี่ยขอบตาแดงเรื่อ นิ้วมือทั้งสิบบีบแน่นในแขนเสื้อ เด็กหนุ่มควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทา เขาอยากเอ่ยปาก มารยาทซึ่งร่ำเรียนมาตั้งแต่ยังเล็กบอกเขาว่าจะเสียมารยาทต่อหน้าเฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ เขาควรกล่าวขอบคุณ ควรขอบคุณที่เฮ่อหลันจินอิงนำข่าวร้ายมาบอกพวกเขาอย่างสงบนิ่งเช่นนี้

ทว่าเขากลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว จิ้นเยวี่ยกัดริมฝีปากล่างแน่น รสคาวของโลหิตเอ่อล้นอยู่ระหว่างฟัน

จนกระทั่งเฮ่อหลันจินอิงจากไป เด็กหนุ่มถึงค่อยทรุดลงคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง ไป๋หนีรีบเข้ามาประคองไหล่เขา

จิ้นเยวี่ยกำพรมหนังใต้เท้าแน่น กระดูกหลังมือปูดโปนออกมาเป็นรอยช้ำสีน้ำเงิน เขาไม่กล้าร้องไห้ ไม่กล้าเอ่ยถาม ทว่าสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจล้วนเป็นความฉงนสงสัย

“ไม่มีทาง ท่านพ่อกับทหารม้าคะนองเมฆา ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้…” ท่ามกลางความมึนงงเขายังคิดจะปลอบโยนไป๋หนี ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าหญิงสาว อารมณ์ต่างๆ พลันพังทลาย เด็กหนุ่มโผเข้าใส่อ้อมอกไป๋หนี กอดนางแน่น ในที่สุดก็เปล่งเสียงสะอื้นออกมา

ข่าวร้ายเรื่องจิ้นหมิงจ้าวกับทหารม้าคะนองเมฆานั้นประหนึ่งค้อนยักษ์ หลังจิ้นเยวี่ยร้องไห้ฟูมฟายก็รู้สึกเพียงในใจปวดร้าวรุนแรง สติเลื่อนลอย กระทั่งหายใจก็กลายเป็นเรื่องยากลำบาก

ครั้นระลึกได้ว่าตัวยังอยู่ต่างแคว้น ไป๋หนีก็ฝืนเรียกแรงใจ กำชับให้ทหารต้าอวี่กับขุนนางที่ติดตามมาเพิ่มความตื่นตัว ต้องเฝ้าม้ากับขบวนรถอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น

จิ้นเยวี่ยไม่อาจข่มตาหลับ ไม่กี่วันก็ผ่ายผอมลงไปอีก บนเส้นทางนี้เขากินกลางลมนอนกลางแจ้ง บัดนี้จิตใจยิ่งซึมเศร้า บางครั้งยามจมสู่ห้วงฝัน ก็มักเห็นเศษซากกำแพงหักพังบนสนามรบที่ถูกปกคลุมไปด้วยควันดำลอยคละคลุ้ง ในสายตาเต็มไปด้วยเลือด

แม้เขาจะดูเหมือนปกติทุกอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ยังล้มป่วย เด็กหนุ่มจับไข้จนตัวร้อนผ่าว สลบไสลไม่ได้สติ

 

เมื่อตื่นมาคืนนี้ในกระโจมเงียบสงัด จิ้นเยวี่ยได้ยินเสียงสายลมด้านนอก เขาลุกขึ้นร้องเรียกไป๋หนี

ไม่มีผู้ขานรับ จิ้นเยวี่ยปากคอแห้งผาก ลำคอเจ็บแสบรุนแรง เขาจิบน้ำไปเล็กน้อย ครั้นหันหน้ากลับมาก็มองเห็นเสื้อคลุมขนจิ้งจอกซึ่งวางพับไว้เรียบร้อยอยู่ข้างหมอน

เป็นเสื้อคลุมซึ่งเขามอบให้เฮ่อหลันเฟิงวันนั้น

ชั้นผ้าด้านในของเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมีรอยเลือดจางๆ ซึ่งไม่สามารถซักให้สะอาดได้ จิ้นเยวี่ยสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนร่าง จดจำไม่ได้ว่าเฮ่อหลันเฟิงมาเยี่ยมตนเมื่อใด เขาเดินออกนอกกระโจมสักหลาด ฉับพลันนั้นก็บังเกิดความหวาดกลัวจับใจ

“…ไป๋หนี?!”

ยังไร้ซึ่งการขานตอบ

เขาอกสั่นขวัญหาย ทหารต้าอวี่ซึ่งเฝ้าอยู่รอบกระโจมสักหลาดเมื่อวันก่อนหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา รอบกระโจมที่พักเงียบกริบจนน่าหวาดหวั่น มองไม่เห็นทหารเยี่ยไถที่คอยลาดตระเวนประจำวันสักราย

จิ้นเยวี่ยรีบวิ่งไปทางตำแหน่งที่ขบวนรถอยู่ ความหวาดกลัวนั้นแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ

ไป๋หนีหายไปแล้ว ทหารต้าอวี่ทุกนายก็หายไปด้วย กระทั่งขบวนรถของต้าอวี่ก็หายไปจากที่เดิม อย่างไร้ร่องรอย!

ทันใดนั้นจิ้นเยวี่ยก็ใจเย็นลง เรื่องราวผิดปกติเกินไปย่อมมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เด็กหนุ่มหยิกหน้าตัวเองอย่างแรง ความเจ็บเตือนสติเขาว่านี่หาใช่ความฝัน

ลมพัดรุนแรง ดวงดาวซึ่งอยู่ห่างไกลแขวนเต็มผืนฟ้าเหนือยอดกระโจม แสงสะท้อนจากหิมะบนที่ราบฉือวั่งหยวนเรืองรองกระจ่างตา จิ้นเยวี่ยถูกลมพัดจนซวนเซ ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงที่จอดขบวนรถเนิ่นนาน

เมื่อเดินกลับมายังกระโจมสักหลาด เฮ่อหลันจินอิงรออยู่ด้านในเรียบร้อย สถานการณ์ต่างไปจากครั้งก่อน หนนี้ชายหนุ่มนั่ง ส่วนจิ้นเยวี่ยยืน อีกทั้งเขายังไม่มีความคิดจะลุกขึ้นแม้แต่น้อย

“ไป๋หนีพาขบวนรถต้าอวี่ไปแล้ว” เฮ่อหลันจินอิงบอก “แม่ทัพน้อย นางไม่ต้องการเจ้าแล้ว”

จิ้นเยวี่ยไม่กล่าววาจา เดินไปยังกล่องไม้วางเอกสาร กระบี่เล่มหนึ่งกดลงบนหลังมือเขา เฮ่อหลันจินอิงกล่าวเสียงเบา “ไม่ต้องหา นางไปแล้วจริงๆ กระทั่งทรัพย์สินกับเอกสารทั้งหมดของพวกเจ้าก็นำไปด้วย”

“ไม่มีทาง” น้ำเสียงจิ้นเยวี่ยสั่นเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ขลาดกลัวแม้แต่น้อย “ต่อให้ตาย ไป๋หนีก็ไม่มีวันไปจากข้า”

เฮ่อหลันจินอิง “เหตุใดจึงมั่นใจเช่นนี้”

“นางเป็นคนของทหารม้าคะนองเมฆา เป็นแม่ทัพหญิงคนแรกของต้าอวี่” จิ้นเยวี่ยมองไปทางเฮ่อหลันจินอิง ชายหนุ่มเบื้องหน้ามีนัยน์ตาหมาป่าซึ่งในสีดำสนิทเจือด้วยสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับเฮ่อหลันเฟิง “การปกป้องข้า ส่งข้าไปยังเป่ยตู คือคำสั่งทหารที่ไป๋หนีได้รับ นางไม่มีทางฝ่าฝืนคำสั่งทหาร”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงยิ่งดังขึ้น “อีกอย่างไป๋หนีก็เหมือนคนในครอบครัวของข้า! หากเฮ่อหลันเฟิงประสบภยันตราย ท่านจะทิ้งเขาไว้แล้วหนีไปไกลหรือ”

เฮ่อหลันจินอิงถามกลับ “หากคำสั่งทหารที่นางได้รับหาใช่การคุ้มกันเจ้าเล่า”

จิ้นเยวี่ยนิ่งอึ้งอย่างห้ามไม่อยู่

“หากฮ่องเต้ต้าอวี่เพียงให้นางมาส่งเจ้าที่เยี่ยไถ แค่ให้นางแน่ใจว่าเจ้าได้อยู่ในเงื้อมมือแม่ทัพเป่ยหรงของข้าอย่างราบรื่นเล่า” เฮ่อหลันจินอิงหัวเราะแผ่วเบา “องค์ประกัน เจ้าคือองค์ประกัน ต้าอวี่มีองค์ชายมากมายปานนั้น เหตุใดเป่ยหรงเทียนจวินกลับไม่ต้องการผู้ใด ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น เจ้าเป็นเพียงบุตรชายของจิ้นหมิงจ้าว มีคุณสมบัติใดถึงได้เป็นองค์ประกันจากต้าอวี่มายังเป่ยหรง”

จิ้นเยวี่ยหวั่นไหวอยู่ในใจ ไม่เอ่ยคำอยู่นาน คำถามที่เฮ่อหลันจินอิงเอ่ยถาม ก็คือจุดที่ในใจเขาสับสนไม่เข้าใจ

ยามเมื่อมีข่าวต้าอวี่เลือกเขาเป็นองค์ประกันถูกส่งมานั้นบิดามิได้อยู่เหลียงจิง มารดาสับสนหวาดกลัว กลุ่มราชองครักษ์พาจิ้นเยวี่ยเข้าวังอย่างรีบร้อน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย

ระยะเวลาที่พักอยู่ในวัง ผู้คนซึ่งเคยปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนมในวันวาน เขากลับไม่ได้พบแม้แต่คนเดียว

อีกทั้งตั้งแต่เข้าวังจนถึงออกจากเขตแดนระยะเวลาก็แค่สิบวัน เร็วเหลือเกิน เขาแทบจะถูกคนบังคับให้เข้ามาในเป่ยหรงซึ่งปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง ไม่ได้บอกลามารดาให้ดีเสียด้วยซ้ำ อาภรณ์ป้องกันความหนาวกับของที่เขาชอบกินและใช้เป็นประจำ ทุกอย่างล้วนเป็นไป๋หนีนำติดมา

คิดถึงมารดาในใจจิ้นเยวี่ยก็ปวดร้าวประหนึ่งหายใจไม่ออกอีกครั้ง บิดารู้ว่าเขาถูกเลือกเป็นองค์ประกันส่งมาเป่ยหรงหรือไม่ บิดาเสียชีวิตจากการรบจริงหรือ ทหารม้าคะนองเมฆาพินาศย่อยยับทั้งกองทัพเป็นความจริงหรือ มารดาเล่า มารดาจะทำเช่นไร แม้นางจะเป็นองค์หญิงในรัชสมัยก่อน ทว่าก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้ยินไป๋หนีบอกว่าวันนั้นเพื่อขอร้องฝ่าบาทให้ปล่อยเขาไป มารดาถึงกับเคยคุกเข่าอยู่นอกตำหนักฉือเซวียนของไทเฮาสองวันสองคืน กระนั้นเขาก็ยังคงถูกผลักขึ้นขบวนรถมุ่งหน้ามายังเป่ยหรง

“ศพของบิดาเจ้า ข้าเป็นคนนำใส่โลง” เฮ่อหลันจินอิงพลันพูดขึ้นมา

จิ้นเยวี่ยจ้องเขาเขม็ง ในนัยน์ตาราวกับไข่มุกสีนิลสว่างไสวคู่นั้นค่อยๆ รื้นด้วยน้ำตา ขอบตาแดงก่ำคล้ายซึมด้วยโลหิต

ณ เวลานี้ ท่ามกลางความสับสนยุ่งเหยิง จิ้นเยวี่ยคว้าจับปลายเชือกเส้นหนึ่งไว้แน่น

“ท่านเป็นแม่ทัพเป่ยหรง!” เขาถามเสียงเข้ม “แม่ทัพเป่ยหรงเหตุใดจึงไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่รบราระหว่างจินเชียงกับต้าอวี่!”

เฮ่อหลันจินอิงลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม สายตายามก้มศีรษะลงต่ำนั้นคมกริบ ทั้งยังแฝงแววเย้ยหยันหลายส่วน “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

จิ้นเยวี่ยวิงเวียนตาลาย เขายังคงจับไข้สูง ไป๋หนีไม่อยู่ข้างกาย สติที่เหลืออยู่ทำให้เด็กหนุ่มพอจะฝืนยันตัวเองไว้ได้โดยไม่กล้าล้มลง

แม่ทัพจงเจาจิ้นหมิงจ้าวเป็นหอกซึ่งแหลมคมที่สุดของต้าอวี่ เป่ยหรงหวาดกลัวเขา จินเชียงหวั่นเกรงเขา ฮ่องเต้ต้าอวี่องค์ปัจจุบัน…ก็หวั่นกลัวเขาเช่นกัน

แผนการร้ายปิดล้อมจิ้นหมิงจ้าวกับทหารม้าคะนองเมฆา!

“เทียนจวินทรงมีพระเมตตา พระองค์ไม่สังหารเจ้า” เฮ่อหลันจินอิงเลิกม่านสักหลาด ไม่ได้หันกลับมา “หากชาวต้าอวี่รู้ว่าบุตรชายของแม่ทัพจงเจาต้องเป็นทาสของชาวเป่ยหรงจะคิดเช่นไรกัน”

เพิ่งขาดคำ ด้านหลังก็มีเสียงดังตุบ จิ้นเยวี่ยหมดสติล้มลงพื้นไปเสียแล้ว

 

อาการไข้ขึ้นสูงทำให้จิ้นเยวี่ยงุนงง เขาแทบจะหลบซ่อนอยู่ในความฝันอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ประเดี๋ยวก็เป็นตรอกของเหลียงจิง ประเดี๋ยวก็เป็นความอนธการไร้ขอบเขต เขาร้องเรียกไป๋หนีครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงเหยี่ยวซึ่งเบิกดวงตาสีเลือดออกกว้างบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ ปราศจากคนขานตอบ

มือเล็กแสนอบอุ่นคู่หนึ่งลูบหน้าผากจิ้นเยวี่ยแล้วพูดภาษาเป่ยหรงที่เขาฟังไม่เข้าใจอย่างหวาดกลัว ยัดสาลี่ตากแห้งใส่ปากเขา จากนั้นก็ถูกคนหยิบออกอย่างรีบร้อน

เมฆดำทะมึนปกคลุมแน่นขนัดเหนือด่านไป๋เชวี่ย หิมะตกหนักมืดฟ้ามัวดิน ซากศพของทหารม้าคะนองเมฆากลาดเกลื่อนผืนดิน จิ้นเยวี่ยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งซากศพ แผดเสียงตะโกนชื่อทหารม้าคะนองเมฆาทุกนายที่เขาจำได้

เขามองเห็นไป๋หนีขี่ม้าของนางไกลออกไปเรื่อยๆ จนเขาไล่ตามไม่ทัน

หน้าอกรู้สึกเจ็บปวด ลมหายใจถี่กระชั้น ยามลืมตาตื่นขึ้นมาจิ้นเยวี่ยก็ค้นพบว่าตนเองนอนอยู่ในกระโจมสักหลาดไม่คุ้นตา ในปากล้วนเป็นรสยาขมฝาด ข้างหมอนมีกระดาษน้ำมันหนึ่งแผ่นที่มีลูกกวาดสิงโตครึ่งชิ้นกับสาลี่ตากแห้งไม่กี่ชิ้นวางไว้

ภายในกระโจมสักหลาดไม่กว้างนัก เครื่องเรือนรกระเกะระกะ ทั้งยังมีกลิ่นประหลาดเข้มข้นผสมผสานระหว่างชาน้ำมัน* กับมูลแพะ จิ้นเยวี่ยรู้ว่านี่คือกระโจมสักหลาดของเฮ่อหลันเฟิง เขาหยัดร่างลงจากเตียง คลุมกายด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเดินออกไป

ผู้คนที่อาศัยในเยี่ยไถมีไม่มาก อีกทั้งค่ายก็ไม่ใหญ่นัก กระโจมของเฮ่อหลันเฟิงอยู่บริเวณชายขอบของเยี่ยไถ เวลานี้ในค่ายมีทหารกลุ่มละสองสามนายเดินลาดตระเวนแต่ไม่ได้ใส่ใจเขามากนัก จิ้นเยวี่ยนั่งยองๆ คลานไปข้างหน้าระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปทางที่ราบฉือวั่งหยวน

ขณะนี้ในกระโจมทหารของแม่ทัพหู่ เฮ่อหลันจินอิงเพิ่งจะชงชาน้ำมันให้ตนเองหนึ่งถ้วย

“ตอนเจ้าไปเป็นแค่ทหารธรรมดา กลับมาก็เป็นนายกองเสียแล้ว” แม่ทัพหู่ไม่พูดภาษาทางการอ้อมค้อมกับเขา กินไปถามไป “ตกลงสร้างความดีความชอบใดกันแน่”

เฮ่อหลันจินอิงไม่ตอบ

“จินเชียงสู้รบกับต้าอวี่ เหตุใดเป่ยหรงอย่างเราต้องวิ่งไปผสมโรงกับคนใฝ่ต่ำที่ด่านไป๋เชวี่ยซึ่งอยู่ห่างไกลพันหลี่* ด้วยเล่า” แม่ทัพหู่ถามขึ้นอีก “ได้ยินว่าคนส่งข่าวทหารคือเจ้า? ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้น”

เฮ่อหลันจินอิงส่ายศีรษะ เพียงยิ้มอย่างเดียว

“เจ้าช่างเป็นกาทองแดงที่ง้างปากไม่ออกเสียจริง…จริงสิ ในเมื่อเป็นนายกองแล้ว เช่นนั้นก็อย่าอยู่กระโจมสักหลาดโทรมๆ หลังนั้นเลย ข้าจะจัดกระโจมใหม่กับทาสรับใช้ให้เจ้า” แม่ทัพหู่ชินกับความเงียบขรึมของเขาแล้ว “พวกเจ้าพี่ชายน้องสาวสามคนไม่มีทาสไม่ได้ ข้าจะแบ่งให้เจ้าสักสองสามคน”

“ไม่จำเป็น” เฮ่อหลันจินอิงเปิดปากในที่สุด “พวกเรามีทาส”

แม่ทัพหู่ตกใจ “มาจากที่ใด ลงทะเบียนฐานะแล้วหรือ”

“ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน” เฮ่อหลันจินอิงฉีกขาแกะ กินไปยิ้มไป “เป็นเชลยต้าอวี่ผู้นั้น”

แม่ทัพหู่เห็นเขากินอย่างเปรมปรีดิ์ ลังเลอยู่นานถึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าตอนแรกเทียนจวินมีพระราชประสงค์จะสังหารองค์ประกันต้าอวี่ผู้นั้น แต่ต่อมาไม่รู้กระซิบตรัสบอกสิ่งใดกับเจ้ากันแน่ถึงได้เปลี่ยนพระดำริ ไว้ชีวิตเขาให้เป็นทาสของเป่ยหรง”

เฮ่อหลันจินอิงเพียงตอบว่า “อืม”

แม่ทัพหู่มองเขาอย่างใคร่รู้

เฮ่อหลันจินอิงถามขึ้น “ไฉนท่านไม่กิน ขาแกะนี่อร่อยมากนะ”

แม่ทัพหู่โกรธจนเงื้อกระดูกแกะในมือหมายตีคน “เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาให้ไวหน่อยไม่ได้หรืออย่างไรเล่า”

“ในเมื่อข้าไม่พูด นั่นก็เพราะเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้” เฮ่อหลันจินอิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เทียนจวินพระราชทานเด็กคนนี้ให้ข้า ย่อมต้องมีพระราชประสงค์บางอย่างแน่”

แม่ทัพหู่ยังไม่สบายใจ “แต่พวกเราควรจัดการเช่นไร เมื่อก่อนเขาเป็นองค์ประกัน พวกเราเลี้ยงดูให้ดีก็พอแล้ว ยามนี้…”

“ท่านไม่ต้องกลัดกลุ้ม” เฮ่อหลันจินอิงเอ่ย “ย่อมไม่อาจให้เขาอยู่สบายเกินไป แต่ก็ห้ามให้เขาตายเด็ดขาด ข้ารู้อะไรควรไม่ควร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเยี่ยไถ ข้ารับผิดชอบก็พอ”

แม่ทัพหู่มองชายหนุ่ม ยังคงหนักอกหนักใจ เฮ่อหลันจินอิงแต่งกายเรียบง่าย มัดเส้นผมยาวไว้ลวกๆ ตรงท้ายทอย รูปโฉมหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม แม้จะเห็นเขาแต่เล็กจนเติบใหญ่ กระนั้นแม่ทัพหู่ก็ไม่กล้าบอกว่าเข้าใจชายหนุ่มผู้นี้ทั้งหมด

จิตใจเขาหนักอึ้ง เฮ่อหลันจินอิงกลับกินอย่างว่องไว เมื่อจานชามวางกองเกลื่อน ทันใดนั้นก็มีคนมารายงานว่าองค์ประกันหนีไปแล้ว

เฮ่อหลันจินอิงไม่ได้ลนลาน เขาคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากเช็ดมือ หันไปยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ทัพไม่ต้องกลัว เด็กผู้นั้นเหลือเพียงครึ่งชีวิตหนีไปได้ไม่ไกลหรอก ข้ากำลังรอให้เขาหนี ขอเพียงเขาหนีครั้งนี้ก็จะรู้ว่ากำลังของคนผู้เดียวนั้นไม่มีวันหนีไปจากที่ราบฉือวั่งหยวนได้”

แม่ทัพหู่โกรธจนควันแทบจะพุ่งเหนือศีรษะ “ที่นี่สภาพอากาศหนาวเหน็บ หากตายเล่า! ตายแล้วจะทูลเทียนจวินเช่นไร”

เพิ่งพูดจบ เฮ่อหลันจินอิงก็วิ่งบึ่งออกไปแล้ว

 

จิ้นเยวี่ยไม่เชื่อคำพูดของเฮ่อหลันจินอิง

เมื่อคืนเขาดูจุดที่ตั้งขบวนรถอยู่นาน ขบวนรถจากไปอีกทางหาใช่ทางกลับต้าอวี่ บนพื้นหิมะมีรอยเหยียบย่ำมากมาย ใต้หิมะบางๆ ยังสามารถคลำเจอหัวลูกธนู ในหิมะมีกลิ่นคาวเลือดซึ่งไม่อาจอำพราง

พวกเขาประสบกับการจู่โจมฉับพลันและพ่ายแพ้ ขบวนรถถูกคนขับไล่ มุ่งหน้าไปที่อื่นแล้ว

แต่ไป๋หนีเล่า จิ้นเยวี่ยหาร่องรอยของหญิงสาวไม่เจอ

เดินไปตามทิศทางที่ขบวนรถจากไปได้ประมาณหนึ่ง จิ้นเยวี่ยก็ไม่อาจฝืนเดินต่อได้ เขาทรุดลงคุกเข่าบนหิมะ ละอองหิมะโปรยปรายลงบนร่าง ไม่ถึงชั่วพริบตาก็ถูกความอุ่นในกายเขาหลอมละลาย ไหลร่วงลงมาเสมือนเหงื่อเม็ดใหญ่

แขนขาเขาอ่อนยวบ ในปอดแสบร้อน ไอโขลกไม่หยุด

เวลานี้ไม่เหมาะจะฝืนหลบหนี แต่ให้อยู่ในเยี่ยไถนานขึ้นหนึ่งเค่อ ความหวาดกลัวของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน เป่ยหรงเทียนจวินไม่ยอมรับฐานะองค์ประกันของเขา บ่งบอกชัดเจนว่าเป่ยหรงตัดสินใจจะทำลายสัญญาพันธมิตรผิงโจว หากสัญญาพันธมิตรถูกทำลาย เป่ยหรงก็สามารถรุกรานต้าอวี่ได้ทุกเมื่อ เขาจะอยู่ที่เป่ยหรงไม่ได้ หนึ่งคือไม่ปลอดภัย สองคือ…มารดากับพี่สาวเขายังอยู่ที่บ้าน เขาจำเป็นต้องกลับไป

ฉับพลันเสียงแส้แหวกอากาศก็ดังมาจากด้านหลัง จิ้นเยวี่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งโซเซไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวแผ่นหลังก็เจ็บปวดรุนแรง ทั้งร่างโผล้มลงจมหิมะ ลุกไม่ขึ้นไปครู่ใหญ่

“จับทาสไว้!” หุนต๋าเอ๋อร์หัวเราะเสียงดัง พร้อมกับเด็กหนุ่มหลายคนขี่ม้าเดินวนเวียนรอบจิ้นเยวี่ยที่นอนกองกับพื้น

บนแผ่นหลังจิ้นเยวี่ยถูกลูกธนูปักอยู่หนึ่งดอก ปวดจนชาไปครึ่งร่าง เขาไม่กล้าขยับส่งเดช ส่วนหิมะก็เข้าปากและจมูก

“ตายแล้วหรือ” หุนต๋าเอ๋อร์ถาม

“ไม่ตาย ยังหายใจอยู่” ตูเจ๋อเครียดเล็กน้อย “นี่องค์ประกันชาวฮั่นมิใช่หรือ ไฉนกลายเป็นทาสเสียแล้วล่ะ”

จิ้นเยวี่ยไม่รู้เอาเรี่ยวแรงจากที่ใด ดิ้นรนยันครึ่งร่างลุกขึ้นมา แผดเสียงคำรามลั่น “ข้าไม่ใช่ทาส!”

“บิดาข้าบอกว่าเจ้าเป็นทาส เจ้าก็คือทาส” หุนต๋าเอ๋อร์หัวเราะ “คลุกคลีอยู่กับเจ้าลูกฮั่นเฮ่อหลันเฟิงก็คงไม่ใช่ตัวดีเด่อะไร”

ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็ดิ้นรนจนลุกขึ้นยืนได้ เขาพยายามยันหัวเข่าไว้ไม่ให้ตนเองล้มลง ตรงหน้าพร่าเลือนเห็นภาพซ้อน มีเพียงแสงตะวันสาดเข้าตากับร่างคนและม้าส่ายไปมา เงาแส้มาพร้อมเสียงหัวเราะ พุ่งตรงใส่หน้าเขา…กระนั้นแส้กลับไม่ได้ถูกตัว

มีคนขวางอยู่ด้านหน้า กำแส้ซึ่งชิงมาจากมือหุนต๋าเอ๋อร์ไว้

หุนต๋าเอ๋อร์ตะกายขึ้นจากพื้น กระทืบเท้าร้องคำราม “เฮ่อหลันเฟิง เจ้ากล้าถีบข้า! นี่คือทาสของเยี่ยไถ! ทั้งยังมิได้ขึ้นกับเจ้านาย ผู้ใดเจอก่อนย่อมเป็นของผู้นั้น!”

เฮ่อหลันเฟิงถือแส้ไว้ด้วยมือเดียว ไม่ถอยแม้เพียงครึ่งก้าว “ห้ามแตะต้องเขา”

บทที่ 4 ทาส

ลูกธนูบนหลังจิ้นเยวี่ยยังไม่ได้ถูกดึงออก ทั่วร่างร้อนผ่าว อยากเอ่ยคำพูดทว่ากลับไร้เรี่ยวแรง

เฮ่อหลันเฟิงสะบัดแส้จนเกิดเสียงดังเพียะๆ จิ้นเยวี่ยได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของพวกหุนต๋าเอ๋อร์ เสียงกีบเท้าม้าค่อยๆ ห่างออกไป รอบด้านเงียบเสียงลง

“เดินไหวหรือไม่” เฮ่อหลันเฟิงหันมาประคองเขา

เฮ่อหลันจินอิงขี่ม้าเข้ามา ผิวปากหนึ่งที “ตายแล้ว?”

“รีบพาเขากลับไป” เฮ่อหลันเฟิงกล่าวรัวเร็ว “เขาถูกธนูของหุนต๋าเอ๋อร์ยิงใส่ โชคดีไม่ใช่ศรจินเหอ”

ท่ามกลางความพร่าเลือน จิ้นเยวี่ยรู้เพียงว่าตนเองถูกคนหิ้วขึ้นพาดร่างขวางบนหลังม้า มือเท้าห้อยต่องแต่งไปตามการก้าวเดินของม้า ลูกธนูยังไม่ได้ถอนออก เฮ่อหลันจินอิงยื่นนิ้วไปดีด จิ้นเยวี่ยเจ็บจนตัวสั่นสะท้านโดยพลัน

เฮ่อหลันจินอิงหันหน้ามาบอก “ไม่ต้องกลัว หุนต๋าเอ๋อร์เรี่ยวแรงน้อย ลูกธนูเข้าเนื้อไปแค่ครึ่งชุ่น* กรีดออกก็เรียบร้อย”

เพิ่งขาดคำ จิ้นเยวี่ยก็พลันไถลหล่นจากหลังม้าตกลงพื้นดังตุบ

“เจ้า!” เฮ่อหลันเฟิงประคองจิ้นเยวี่ยที่จวนสิ้นสติขึ้นมา พอสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินไม่ไหวแล้วเขาก็คุกเข่า แบกจิ้นเยวี่ยขึ้นหลัง เมื่อต้องแบกน้ำหนักของสองคน สองเท้าเขาพลันจมลึกลงไปในหิมะ

“ไยจึงต้องดีกับองค์ประกันต้าอวี่ถึงเพียงนี้” เฮ่อหลันจินอิงยิ้มพลางถาม

ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังถึงได้ยินคำพูดเฮ่อหลันเฟิงชัดเจน

“เขาให้ข้ายืมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ทั้งยังให้สาลี่ตากแห้งกับจั๋วจั๋ว”

เฮ่อหลันจินอิงเปล่งเสียงหัวเราะยาว เฮ่อหลันเฟิงไม่สนใจเขาอีก แบกจิ้นเยวี่ยด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ก้าวเดินไปทางค่ายอย่างทุลักทุเล หนึ่งก้าวลึกหนึ่งก้าวตื้น

 

จิ้นเยวี่ยหลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ หลังไข้ขึ้นสูงเด็กหนุ่มก็อ่อนแอลงมาก ใบหน้าซูบตอบจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม

ลูกธนูถอนออกไปแล้ว อีกทั้งหุนต๋าเอ๋อร์ยังถูกแม่ทัพหู่ดุด่าหนึ่งยก ทั้งยังต้องมาดูแลจิ้นเยวี่ยในกระโจมเฮ่อหลันเฟิงอีกด้วย

แม้ยามปกติหุนต๋าเอ๋อร์ดุร้าย ทว่าก็ไม่เคยฆ่าผู้ใดจริงๆ เด็กหนุ่มจึงคอยตลบผ้าห่มจิ้นเยวี่ยดูว่าเขายังมีลมหายใจหรือไม่อยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่าแลกมาด้วยการถูกเฮ่อหลันเฟิงต่อยจนน่วมหนึ่งยก บางครั้งจิ้นเยวี่ยก็ตกใจตื่นเพราะเสียงโหวกเหวกทะเลาะกันของพวกเขา เมื่อรู้สึกรำคาญก็นอนคว่ำไม่ส่งเสียงอยู่ใต้ผ้าห่ม

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีไข้ ข้านึกว่าเจ้าจะหลบพ้น” หุนต๋าเอ๋อร์มักจะฉวยโอกาสตอนเฮ่อหลันเฟิงไม่อยู่พูดคุยกับเขาเสมอ “เช่นนั้นเจ้าก็ยิงธนูใส่ข้าหนึ่งที?”

เฮ่อหลันเฟิงก้าวยาวๆ เดินเข้ามา “ข้ายิงเจ้าแทนเขาเอง”

หุนต๋าเอ๋อร์รีบเปลี่ยนหัวข้อ “บ้านข้าสะอาด ทั้งยังไม่มีกลิ่นมูลแพะ ไม่สู้เจ้าไปอยู่บ้านข้า?”

ทว่าหลังถูกเฮ่อหลันเฟิงถลึงตาใส่หลายที หุนต๋าเอ๋อร์ก็หุบปาก

นับแต่ได้รู้ว่าเฮ่อหลันจินอิงเป็นนายกอง ทั้งยังเคยพบเป่ยหรงเทียนจวิน พวกหุนต๋าเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารังแกเฮ่อหลันเฟิงอีก เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้สึกรู้สาใดๆ กับความเปลี่ยนแปลงของพวกเขา หลังไล่หุนต๋าเอ๋อร์ไปก็มักเตือนจิ้นเยวี่ยว่าอย่าสนิทสนมกับหุนต๋าเอ๋อร์มากเกินไป

“หลังจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องหนีแล้ว” ยามจิ้นเยวี่ยป่วยจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เฮ่อหลันเฟิงเป็นฝ่ายทนความเงียบกริบเช่นนี้ไม่ได้ก่อน จึงหาเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกับเขา “ที่ราบฉือวั่งหยวนกว้างใหญ่เกินไป ชาวต้าอวี่ทนความหนาวเย็นไม่ไหว เจ้าคนเดียวเดินไปได้ไม่ไกลหรอก”

จิ้นเยวี่ยหลับตา เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าหูหรือไม่ จึงขยับเข้าไปสำรวจลมหายใจเขา ขนตาเด็กหนุ่มสั่นไหว ปรือตามองเฮ่อหลันเฟิงอย่างเกียจคร้าน ดวงตาดำขลับกลมดิกครึ่งหนึ่งถูกบดบังอยู่ใต้เปลือกตา สายตาเย็นชายิ่ง

เฮ่อหลันเฟิงหดมือกลับ

หลังจิ้นเยวี่ยหายป่วย ในที่สุดสามพี่น้องเฮ่อหลันก็ย้ายเข้าไปยังกระโจมสักหลาดหลังใหม่ พี่ชายน้องสาวทั้งสามไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแออัดอยู่ในกระโจมหลังเดียวอีกต่อไป

จิ้นเยวี่ยค้นพบว่าในกระโจมมีข้าวของของต้าอวี่มากมาย เช่น โต๊ะเตี้ย พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกใหม่เอี่ยม ฉากบังลมซึ่งใหญ่โตจนไม่มีที่วาง บนผนังยังแขวนขลุ่ยต้งเซียว* ไว้หนึ่งเลา เด็กหนุ่มเดาว่านี่น่าจะเป็นของที่ตกทอดมาจากมารดาของสามพี่น้อง

เฮ่อหลันเฟิงกำลังเช็ดมีดสั้นซึ่งพกติดกาย เมื่อหันหน้ากลับมาก็เห็นจิ้นเยวี่ยยืนอยู่กลางกระโจมสักหลาด จ้องมองตนเงียบๆ

จิ้นเยวี่ยเปลี่ยนมาแต่งกายอย่างทาสเป่ยหรงแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าหนาหนักหลายชั้น ใบหน้าขาวซีดดวงนั้นจึงยิ่งซูบเซียว เขามองเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนแขน ลังเลหลายส่วน “เสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนี้ข้าเก็บไว้ได้หรือไม่”

เฮ่อหลันเฟิงตอบ “เดิมทีมันก็เป็นของเจ้า”

“ข้าต้องคุกเข่าให้เจ้าหรือไม่” จิ้นเยวี่ยถาม “ยามนี้ข้าเป็นทาสของพวกเจ้าสามพี่น้อง”

“ไม่ต้อง” เฮ่อหลันเฟิงว่าพลางยัดมีดสั้นใส่มือจิ้นเยวี่ยให้เขาไว้ป้องกันตัว

มีดสั้นเป็นของที่เฮ่อหลันเฟิงพกติดตัว วันนั้นจิ้นเยวี่ยเคยเห็นมันเหน็บอยู่ที่เอวเขา ฝักมีดทำจากหนังหมีฟอก ทนทานยิ่ง บนด้ามมีดฝังไข่มุกสีทองกระจิริดไว้สองสามเม็ด น่ากลัวว่าจะเป็นของที่มีมูลค่าสูงที่สุดบนตัวเด็กหนุ่ม

จิ้นเยวี่ยไม่ยอมรับไว้ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเกี่ยงกันไปมานั้นเฮ่อหลันจินอิงก็เลิกม่านเดินเข้ามาอย่างไม่แยแส

“นั่นเป็นของที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้เจ้ามิใช่หรือ” เขาพูดไปตามอารมณ์ “ไปกัน พวกเราไปกินอาหารที่กระโจมแม่ทัพหู่”

คล้ายว่าเฮ่อหลันจินอิงจะเข้ากระโจมสักหลาดมาเพื่อกล่าวประโยคนี้ ครั้นอุ้มจั๋วจั๋วขึ้นมาก็มองจิ้นเยวี่ยหนึ่งที คลี่ยิ้มเย็นชาเอ่ย “มีทาสที่เห็นเจ้านายแล้วไม่คุกเข่า ไม่เลิกม่านให้ด้วยหรือ”

จิ้นเยวี่ยกลัวนัยน์ตาหมาป่าของเฮ่อหลันจินอิงยิ่ง ในนั้นคล้ายซุกซ่อนวิญญาณสัตว์ป่าไว้ ราวกับจะกลืนกิน ฉีกทึ้งตนได้ทุกเมื่อ เขาจึงคุกเข่า ศีรษะก้มจรดพื้น

เฮ่อหลันเฟิงบอก “เขาไม่ต้องคุกเข่า”

เฮ่อหลันจินอิงถาม “ด้วยเหตุใด”

เฮ่อหลันเฟิงให้เหตุผล “เขา…เขาให้ข้ายืมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ทั้งยังให้สาลี่ตากแห้งกับจั๋วจั๋ว”

เฮ่อหลันจินอิงหัวเราะลั่น “เหตุผลอะไรของเจ้ากัน! เจ้าลืมคำที่ข้าบอกแล้วหรือ ชาวต้าอวี่ดีต่อเจ้าก็มักจะมีเป้าหมายของพวกเขา ชาวต้าอวี่ไม่มีวันเป็นสหายของพวกเรา” กล่าวจบก็ดึงเฮ่อหลันเฟิงออกไป

เฮ่อหลันเฟิงหันกลับมา เห็นเพียงจิ้นเยวี่ยยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ไม่ขยับแม้แต่น้อย

เมื่อกลับบ้านหลังงานเลี้ยงเลิกรา ในกระโจมสักหลาดเงียบสงัดวังเวง แม้จุดตะเกียงไว้แต่จิ้นเยวี่ยกลับไม่อยู่ บริเวณที่เขาคุกเข่ามีมีดสั้นวางอยู่ ไข่มุกสีทองบนด้ามมีดสะท้อนแสงเรื่อเรืองอยู่ภายใต้ตะเกียงน้ำมัน

 

เผ่าเยี่ยไถมีคนน้อย ทาสที่สามารถเลี้ยงดูได้ก็ยิ่งน้อย เพื่อความสะดวกแม่ทัพหู่จึงนำทาสของหกเจ็ดครอบครัวในเผ่ามารวมไว้ในที่เดียวกันหมด สร้างเป็นกระโจมสักหลาดหลังใหญ่ให้ทาสอาศัยอยู่

ก่อนหน้านี้จิ้นเยวี่ยป่วยหนัก เฮ่อหลันเฟิงกับจั๋วจั๋วขอร้องให้พี่ชายรับเขาไว้ เฮ่อหลันจินอิงจึงตามใจน้องชายน้องสาว บัดนี้จิ้นเยวี่ยหายดี ย่อมถูกชายหนุ่มไล่กลับกระโจมใหญ่สำหรับทาส

กระโจมทาสมืดสลัวเก่าโทรม ตลบอบอวลด้วยกลิ่นเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ ผสมปนเประหว่างกลิ่นสาบแพะ ฝุ่นละออง พรมสกปรก และคราบน้ำมัน กลิ่นนั้นฉุนจมูกจนอยากอาเจียน รอบกระโจมเต็มไปด้วยรอยปะ สายลมหนาวเห็นช่องก็ลอดเข้ามา บรรดาทาสชายหญิงอาศัยอยู่ปะปนกัน ในกระโจมมีเพียงผ้าห่มกับฟูกนอนขาดๆ ม้วนอยู่ ซ่อนคนผู้นอนหลับสนิทไว้ด้านในคนสองคน

จิ้นเยวี่ยหาที่ว่างตรงมุมด้วยตนเอง ใต้ร่างคือหญ้าแห้งกับพรมเก่าซึ่งบางราวกับกระดาษ เขาห่อเสื้อคลุมขนจิ้งจอกจึงพอได้ไออุ่นเล็กน้อย

กลางดึกจิ้นเยวี่ยผู้หลับไม่ลึกพลันถูกมือข้างหนึ่งลูบบนกายจนตื่น

คนผู้นั้นกำลังจะเลิกเสื้อคลุมขนจิ้งจอกของเขา จิ้นเยวี่ยพยายามถีบคนบนร่างออกด้วยความตกใจไม่ใช่น้อย คนผู้นั้นหลบอย่างรวดเร็ว คว้าท่อนขาจิ้นเยวี่ยไว้ มือใหญ่เหม็นหึ่งกดลงบนหน้าอกเขา พูดด้วยภาษาเป่ยหรงหนึ่งประโยค “บุรุษ?”

กระนั้นการกระทำกลับไม่หยุดชะงักเลยสักนิด หลังดึงเสื้อคลุมขนจิ้งจอกออกก็รีบลงมือฉีกทึ้งเสื้อผ้าจิ้นเยวี่ย เขาขนลุกซู่ คำรามเสียงต่ำ และถีบหว่างขาคนผู้นั้นไปหนึ่งที

ทว่าเสื้อผ้าฤดูหนาวหนาหนัก ทั้งเรี่ยวแรงเขานั้นไม่เพียงพอ การโจมตีจึงไร้ผลอย่างสิ้นเชิง กลับกลายเป็นให้โอกาสคนผู้นั้นจับมือเท้าตนไว้ได้ พวกเขาต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง จิ้นเยวี่ยล้วนถูกคนผู้นั้นกดไว้อย่างแน่นหนาทุกครั้ง มือใหญ่หยาบกร้านแฝงกลิ่นเหม็นจับและลูบไล้ใบหน้าเขาไปมา ในดวงตาจิ้นเยวี่ยแทบจะสาดพ่นเปลวไฟ เขาอ้าปากงับนิ้วคนผู้นั้นโดยแรง

คนผู้นั้นร้องโอดโอย จิ้นเยวี่ยยังไม่ทันมุดออกจากใต้ร่างเขาก็โดนตบจนหน้าหัน คนผู้นั้นหมดอารมณ์ปรารถนา จิกผมจิ้นเยวี่ยจะลากออกไปนอกกระโจม ปากพ่นภาษาเป่ยหรงที่เด็กหนุ่มฟังไม่เข้าใจส่งเดช

ทาสจำนวนไม่น้อยในกระโจมตกใจตื่นแต่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ การต่อสู้ระหว่างทาสมีทั้งรอดและตาย พวกเขาดูแลตัวเองยังไม่ไหว ไม่มีทางให้การช่วยเหลือใครได้

ทันใดนั้นจิ้นเยวี่ยก็พลิกมือบีบข้อมือคนผู้นั้น ออกแรงจิกเล็บเข้าไปในเนื้อ แรงมือคนผู้นั้นไม่คลายออก เด็กหนุ่มกอดขาเขา เงื้อศอกกระแทกหัวเข่าอีกฝ่ายโดยแรง

คนผู้นั้นร้องโหยหวนอีกครั้ง ครานี้ถึงได้คลายมือออก จิ้นเยวี่ยข่มกลั้นความเจ็บร้าวบนหนังศีรษะ ลุกขึ้นพุ่งออกจากกระโจม…ยามนี้ในค่ายเยี่ยไถมีเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ มีเพียงเฮ่อหลันเฟิงเท่านั้น

เขาต้องรีบไปหาเฮ่อหลันเฟิง…

เด็กหนุ่มชาวต้าอวี่วิ่งชนแผ่นอกคนคนหนึ่ง ครั้นเงยหน้าก็เห็นนัยน์ตาหมาป่าทอแววยิ้มคู่หนึ่ง

เฮ่อหลันจินอิงประคองเขาด้วยมือข้างเดียว ถามอย่างสนิทสนม “แม่ทัพน้อยอยู่จนคุ้นชินแล้วหรือไม่”

จากตอนแรกที่สวมเสื้อผ้าหนาหนักหลายชั้นกลับถูกดึงทึ้งจนยับย่นหลุดลุ่ย เวลานี้จิ้นเยวี่ยจึงยิ่งดูเสียขวัญ เขาจัดเสื้อตนเองให้เรียบร้อย ยืนตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะได้รู้วันนี้ว่าชาวเป่ยหรงปฏิบัติต่อทาสเช่นนี้”

เฮ่อหลันจินอิงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นทาส เจ้ายังอยากกินน้ำแกงทองอาหารหยก ห่มผ้าห่มหนาสวมเสื้อขนสัตว์อบอุ่น?”

จิ้นเยวี่ยแค่นยิ้มเย็น ตรงเอวเขาเจ็บแปลบ ระหว่างพูดหายใจไม่ทันเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเป็นทาสของครอบครัวท่าน รังแกข้าต่างอันใดกับรังแกท่าน”

เฮ่อหลันจินอิงพยักหน้า “ชาวฮั่นมีคำกล่าวว่าตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ”

จิ้นเยวี่ยปวดรากฟัน ชาวเป่ยหรงให้ความสำคัญกับสุนัขมาก ไม่ได้มองสุนัขเป็นสิ่งต้อยต่ำ ประโยคนี้ของเฮ่อหลันจินอิงจงใจหยามเกียรติเขา

“ท่านไม่มีทางให้ข้าตาย” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเย็นชา “ท่านกับเฮ่อหลันเฟิงไม่ช่วยข้า หยามเกียรติบุตรชายของแม่ทัพจงเจาเช่นนี้แล้วท่านมีความสุขหรือ ที่แท้ชาวเป่ยหรงก็มีเพียงความสามารถไร้ระดับเช่นนี้ หากพวกท่านองอาจห้าวหาญจริง ไฉนบนสนามรบวันนั้นจึงได้สูญเสียทหารเป่ยหรงสามหมื่นนายให้บิดาข้า!”

เฮ่อหลันจินอิงจ้องมองจิ้นเยวี่ยเงียบๆ กวาดตาขึ้นลงประเมินเด็กหนุ่ม

“ยามนี้เจ้าถึงค่อยคล้ายบุตรชายจิ้นหมิงจ้าว” เฮ่อหลันจินอิงไม่โกรธสักนิด เขาหัวเราะพลางเอ่ย “แต่ลมปากมีประโยชน์อันใด ดูซิว่าเจ้าจะทนผ่านฤดูหนาวของเป่ยหรงไปได้หรือไม่”

เขามองทาสเป่ยหรงที่ตามหลังจิ้นเยวี่ยมา แล้วกำชับทหารด้านหลังอย่างสั้นๆ ว่า “โยนทิ้ง”

ทหารลากทาสผู้นั้นที่ร้องโหยหวนไปทางที่ราบฉือวั่งหยวน ครั้นทาสผู้นั้นอ้อนวอนขอให้ยกโทษให้ไม่สำเร็จ ก็เริ่มใช้ภาษาเป่ยหรงด่าทอเฮ่อหลันจินอิงกับเฮ่อหลันเฟิงว่าล้วนเป็นลูกหมาป่าที่กินบิดามารดา จิ้นเยวี่ยฟังภาษาเป่ยหรงเข้าใจก็อดมองเฮ่อหลันจินอิงแวบหนึ่งไม่ได้

“กลับไปเสีย” เฮ่อหลันจินอิงกล่าวอย่างสงบ “เจ้าทาส”

กระโจมทาสเงียบสงัดราวกับเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อน กระนั้นตำแหน่งที่จิ้นเยวี่ยนอนยังคงว่างอย่างน่าประหลาด เขาเก็บเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนพื้นขึ้นมาตบจนสะอาด และได้สบตากับทาสคนหนึ่ง คนผู้นั้นพลันลนลานหันหลังให้

ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีทาสคนใดกล้าพูดคุยกับจิ้นเยวี่ยอีก

ด้วยเหตุนี้ทุกวันนอกจากปัดกวาดกระโจม ป้อนอาหารแพะ อาบน้ำม้า ลงแม่น้ำเจาะน้ำแข็ง จิ้นเยวี่ยก็ไม่มีธุระอื่นใดอีก

เฮ่อหลันเฟิงสามพี่น้องชินกับการดูแลตนเองนานแล้ว จั๋วจั๋วผู้อายุน้อยสุดก็ยังทำกับข้าวซักเสื้อผ้าเป็น จิ้นเยวี่ยเคยหาเสื้อกางเกงเฮ่อหลันเฟิงออกมาซักให้สะอาด แต่เสื้อเพิ่งจะลงน้ำ เฮ่อหลันเฟิงก็วิ่งหน้าแดงหูแดงมายกไปทั้งอ่าง

ฤดูหนาวน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง พวกทาสไม่สนใจเขา อีกทั้งเขายังไม่ค่อยอยากใกล้ชิดเฮ่อหลันเฟิง นอกจากเล่าเรื่องราวของต้าอวี่กับจั๋วจั๋วเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็รับมือกับการหยอกล้ออย่างไม่เว้นหนักเบาของหุนต๋าเอ๋อร์ วันแล้ววันเล่าล้วนซ้ำซาก

เวลาสองเดือนกว่าผ่านไปอย่างสับสนมึนงง ฝ่ามือจิ้นเยวี่ยค่อยๆ เกิดหนังด้านบางๆ การเสียชีวิตของจิ้นหมิงจ้าว ความพินาศย่อยยับของทหารม้าคะนองเมฆา รวมทั้งการหายตัวไปของไป๋หนี ความเจ็บปวดค่อยๆ คลายความรุนแรงลง เรื่องราวเมื่อสองเดือนก่อน หรือกระทั่งเรื่องราวต่างๆ ในเหลียงจิงซึ่งเนิ่นนานกว่านั้นคล้ายถูกปกคลุมด้วยม่านโปร่งบาง ยามเขามองย้อนกลับไปบางครั้งก็เห็นเพียงภาพเลือนราง

จิ้นเยวี่ยซึ่งเป็นทาสของเป่ยหรงอยู่ตอนนี้ คล้ายไม่ได้โกรธแค้นและไม่ได้ต่อต้าน

ฤดูหนาวอันยาวนานผ่านจุดที่หนาวเหน็บที่สุดไปแล้ว เฮ่อหลันเฟิงสามพี่น้องก็เดินทางไปเป่ยตู

บางครั้งหลังจิ้นเยวี่ยปัดกวาดกระโจมสักหลาดก็จะนั่งขัดสมาธิลงบนพรม เป่าขลุ่ยต้งเซียวแผ่วเบา

บางครั้งหุนต๋าเอ๋อร์จะมาเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูกระโจม ถามคำถามเขาอย่างกระโชกโฮกฮาก จิ้นเยวี่ยตอบแล้วเขาก็ไม่ไป ยืนฟังเสียงขลุ่ยอย่างเงียบเฉียบอยู่ด้านนอกกระโจม เสียงขลุ่ยซับซ้อนอ่อนหวาน หวีดหวิวดุจร่ำไห้

วันหนึ่งที่ท้องฟ้าแจ่มใสหลังหิมะตก ครอบครัวเฮ่อหลันเฟิงก็กลับถึงเยี่ยไถในที่สุด ทันทีที่ลงจากม้า เขาก็วิ่งตรงดิ่งไปยังกระโจมสักหลาดของทาส ทว่ากลับไม่เจอจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยกำลังดูพวกหุนต๋าเอ๋อร์ล่ากระต่าย

ยามสภาพอากาศแจ่มใส กระต่ายหิมะในที่ราบฉือวั่งหยวนก็จะออกจากโพรงมาหาอาหาร ภายใต้แสงตะวันขนสีเทาอ่อนของกระต่ายหิมะก็แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสะท้อนจากพื้นหิมะ จึงมองเห็นได้ยากยิ่ง หุนต๋าเอ๋อร์กับตูเจ๋อเป็นมือดีในการล่ากระต่ายของเยี่ยไถ ทั้งสองอยากอวดความสามารถต่อหน้าจิ้นเยวี่ย ต่างบอกว่าจะจับกระต่ายหิมะเป็นๆ ให้เขา บ่วงบาศสองอันกวัดแกว่งลอยขึ้น

กระต่ายหิมะวิ่งวุ่นไปทั่วด้วยกำลังขาแข็งแรงเปี่ยมพลัง ที่ราบฉือวั่งหยวนเวิ้งว้างกว้างใหญ่ทอดสายตามองไปไร้ที่สิ้นสุด ทว่าพวกมันกลับขุดปากโพรงในจุดที่แทบไม่มีจุดสังเกตใดๆ หลบหลีกบ่วงเชือกของนักล่าได้อย่างเฉียดฉิว

ตอนเฮ่อหลันเฟิงมาถึงที่ราบฉือวั่งหยวน ก็เห็นหุนต๋าเอ๋อร์นำกระต่ายตัวหนึ่งมามอบให้ถึงมือจิ้นเยวี่ยพอดี

นับแต่จิ้นเยวี่ยกลายเป็นทาสที่เยี่ยไถ เฮ่อหลันเฟิงก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มปีติยินดีและความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ปรากฏบนใบหน้าเขามาก่อน

ท่ามกลางความมึนงงแฝงด้วยความโกรธเคืองหลายส่วน เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ เดินไปทางทั้งสองคน

 

หุนต๋าเอ๋อร์วางกระต่ายหิมะใส่อ้อมแขนจิ้นเยวี่ยอย่างใจกว้าง “ได้ยินว่าชาวต้าอวี่ถนัดเรื่องการกินมาก เจ้ารู้เรื่องการปรุงกระต่ายหรือไม่”

“รู้” จิ้นเยวี่ยเงยหน้าคลี่ยิ้มให้เขา “เจ้าน่าจะเคยได้ยินปัวสยากง* ?”

ขนาดจะทวนคำนี้ให้ถูกต้องหุนต๋าเอ๋อร์ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “ไม่เคยได้ยิน”

จิ้นเยวี่ยพูดขึ้นอีก “แล่เนื้อกระต่ายเป็นแผ่น นำน้ำสะอาดใส่ในหม้อ ใส่วัตถุดิบเข้าไป พอลวกสุกก็กินได้ แต่วัตถุดิบอาหารบางอย่างที่เยี่ยไถอาจไม่มี ข้าต้องลองหาดู”

หุนต๋าเอ๋อร์ดึงสายบังเหียนตรงหัวม้าแน่น หยุดลงตรงหน้าเขา ก้มตัวโค้งเอว “วัตถุดิบอาหารใดกัน เจ้าบอกข้า ข้ารู้จักพ่อค้าของต้าอวี่ ให้พวกเขานำมาก็หมดเรื่องแล้ว”

จิ้นเยวี่ยยังคงมีรอยยิ้มสนิทสนม ในดวงตาดำขลับสะท้อนใบหน้าซึ่งมีหนวดสั้นๆ ของหุนต๋าเอ๋อร์ “ได้สิ ขอข้าลองคิดดูดีๆ”

หุนต๋าเอ๋อร์คล้ายยังมีคำพูดอยากบอกกับเขา ทว่าหางตากลับเหลือบเห็นเฮ่อหลันเฟิงเดินเข้ามาใกล้ จึงแค่นเสียงเย็นชา “เจ้านายเจ้ากลับมาแล้ว”

เฮ่อหลันเฟิงมองหุนต๋าเอ๋อร์ แล้วก็มองกระต่ายที่จิ้นเยวี่ยกอดไว้แน่นในอ้อมแขน “ก็จับได้แค่กระต่าย”

หุนต๋าเอ๋อร์ถลึงตากว้าง “เจ้าว่าอะไรนะ!”

จิ้นเยวี่ยกอดกระต่ายหนีออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว

เฮ่อหลันเฟิงสาวเท้าตามมา รอยยิ้มที่จิ้นเยวี่ยเผยให้กับหุนต๋าเอ๋อร์หายวับไปโดยสมบูรณ์ ยามช้อนตามองเขาก็กลายเป็นดวงตาดำขลับสงบนิ่งเย็นชาคู่นั้นอีกครั้ง ในใจเฮ่อหลันเฟิงมีความน้อยใจอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้น

เขาเก็บคำพูดในใจไว้ไม่อยู่ “เจ้าเป็นสหายกับหุนต๋าเอ๋อร์แล้ว?”

จิ้นเยวี่ย “ไม่ใช่”

เฮ่อหลันเฟิงเอ่ยออกมาอีก “เจ้าขอกระต่ายจากเขา”

จิ้นเยวี่ยยืนนิ่ง “เพราะเจ้าไม่ชอบหุนต๋าเอ๋อร์ ดังนั้นข้าเลยไม่อาจไปมาหาสู่กับเขา?” ใบหน้าเขาหาได้ปรากฏแววโกรธเคือง เพียงบอกเล่าอย่างสงบ “เฮ่อหลันเฟิง ข้าเป็นทาสของพวกเจ้า กระทั่งข้านั้นจะพูดจากับผู้ใดเจ้าก็ตัดสินใจจะก้าวก่ายรึ”

“เขาทำให้เจ้าบาดเจ็บ เจ้ากลับยิ้มให้เขา” เฮ่อหลันเฟิงจะแย่งกระต่ายไปจากอ้อมแขนจิ้นเยวี่ย ทว่าเด็กหนุ่มกลับปกป้องสัตว์ตัวน้อยนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนอย่างเอาเป็นเอาตาย “เจ้าไม่เกลียดเขาหรือ”

ตั้งแต่ต้นจนจบจิ้นเยวี่ยไม่ยอมให้เขาแย่งไป รอเฮ่อหลันเฟิงหดมือกลับจิ้นเยวี่ยจึงค่อยตอบหนึ่งประโยค “ข้าไม่ว่างไปเกลียดเขา”

เห็นเฮ่อหลันเฟิงไม่กล่าวอันใด จิ้นเยวี่ยก็เดินไปข้างหน้าต่อ เฮ่อหลันเฟิงโมโหอยู่ครู่หนึ่งก็ตามไปติดๆ อีกครั้ง เขาพูดเสียงดัง “ข้านำสิ่งของของต้าอวี่มาให้เจ้า”

จิ้นเยวี่ยหันกลับมา สีหน้าตกใจระคนดีใจดังคาด “สิ่งใดหรือ”

ทั้งสองคนรีบร้อนดิ่งเข้าไปในกระโจมทาส เฮ่อหลันเฟิงชี้ตรงมุม บนใบหน้าซึ่งปกติดื้อรั้นฉายแววภาคภูมิใจหลายส่วน

ตรงมุมมีที่นอนหนังกวางผืนหนึ่งม้วนไว้ เวลานี้เมื่อได้ยินเสียงคน เด็กสาวบนที่นอนอยู่ถึงได้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ผมนางถูกตัดจนแหว่งไม่เป็นทรง ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น ทันทีที่เห็นสองคนตรงหน้า นางก็หดคอแน่นประหนึ่งถูกทำให้ตระหนกตกใจ

จิ้นเยวี่ยตะลึงอึ้ง “นี่คือ…”

“ข้าซื้อทาสต้าอวี่มาให้เจ้า” กระทั่งน้ำเสียงเฮ่อหลันเฟิงก็แฝงแววลิงโลดอยู่มาก “หลังจากนี้ไปมีนางเป็นสหาย เจ้าก็ไม่มีทางเบื่อหน่าย”

พริบตานั้นจิ้นเยวี่ยก็รู้สึกเดือดดาลจนตาลาย บาดแผลบนแผ่นหลังเขารักษาหายดีแล้ว ยามนี้กลับแสบร้อนเลือนรางขึ้นมาฉับพลัน ราวกับว่าลูกธนูดอกนั้นไม่เคยถูกถอดถอนออก แต่หยั่งรากลึกในเลือดเนื้อเขาไปแล้ว

“เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าซื้อทาสให้ข้าได้อย่างไร!” เขาคำรามลั่น “พวกเจ้าเห็นคนเป็นสิ่งใดกัน!”

ทาสหลายคนในกระโจมตกใจจนรีบคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นงันงก เฮ่อหลันเฟิงถูกจิ้นเยวี่ยคว้าคอเสื้อ ทั้งยังเห็นเขาบันดาลโทสะใส่ตนเอง ฉับพลันความโกรธก็แล่นลิ่วมาเช่นกัน “อะไร ในบ้านชาวต้าอวี่ไม่มีทาส?”

“นั่นไม่เหมือนกัน!”

“มีสิ่งใดไม่เหมือนกัน” เขาดึงมือจิ้นเยวี่ยออก “หรือคนเป็นๆ ดีสู้กระต่ายของหุนต๋าเอ๋อร์ไม่ได้”

จิ้นเยวี่ยไม่สามารถถกปัญหานี้กับเฮ่อหลันเฟิงให้เข้าใจได้อย่างสิ้นเชิง “เจ้าเอาคนไปเปรียบกับกระต่ายได้อย่างไร!”

กระต่ายตัวนั้นกระโดดลงจากอ้อมแขนจิ้นเยวี่ยวิ่งออกจากกระโจมสักหลาดไป เฮ่อหลันเฟิงจัดคอเสื้อให้ตรง ในใจกระสับกระส่ายอย่างน่าประหลาดจนไม่อาจปล่อยวาง “ข้าได้ยินว่าทุกบ้านของชาวต้าอวี่ล้วนมีทาส ไฉนมาถึงเป่ยหรงกลายเป็นเรื่องไม่ถูกต้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชาวต้าอวี่ซื้อทาสได้ ชาวเป่ยหรงกลับซื้อไม่ได้ เจ้าเสแสร้งเกินไปหน่อยแล้ว”

จิ้นเยวี่ยถูกต่อว่าด้วยคำว่า ‘เสแสร้ง’ ก็โกรธจนพูดจาไม่ไตร่ตรอง “ชาวเป่ยหรง ชาวเป่ยหรง แต่เจ้าก็ไม่ใช่ชาวเป่ยหรงเสียหน่อย!”

สีหน้าเฮ่อหลันเฟิงนิ่งขึง อารมณ์ซับซ้อนหลากหลายหมุนวนอยู่ในดวงตาหมาป่าซึ่งยังไม่พ้นวัยอ่อนเยาว์ เขาไม่รู้จะตอบเช่นไรไปชั่วขณะ ขณะอึกอักก็เกิดโมโหใหม่อีกครั้ง คล้ายไม่อยากเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากจิ้นเยวี่ย ความอับอาย โกรธเคือง เกลียดชัง และน้อยใจทั้งหมดร้อยรัดผสมผสานเข้าด้วยกัน เขาหันหน้าเดินจากไปทันที

ทาสในกระโจมสักหลาดพากันย่อตัววิ่งออกไป เหลือเพียงจิ้นเยวี่ยกับทาสสาวซึ่งถูกซื้อตัวมาใหม่ผู้นั้น เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ ในใจค่อยๆ บังเกิดความเสียใจ

เขากล่าวผิดไปแล้ว

 

* ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’

* ชาน้ำมัน คือเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกันในแถบหูหนาน กวางสี ดื่มโดยนำน้ำชาผสมกับธัญพืชชนิดต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด

* หลี่ เป็นหน่วยวัดความยาวจีน 1 หลี่ เท่ากับ 500 เมตร

* ชุ่น เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ชุ่น เท่ากับ 3.33 เซนติเมตร

* ขลุ่ยต้งเซียว เรียกอีกอย่างว่าเซียว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าแนวตั้งชนิดหนึ่งของจีน

* ปัวสยากง เป็นชื่ออาหาร หมายถึงหม้อไฟเนื้อกระต่าย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 6 ต.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: