X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 65-66 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 65 พิเศษ

 

เมื่อมาถึงด้านล่าง มันคือสถานที่ที่ไป๋เยวี่ยหูเคยแหวกว่าย บรรยากาศมืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือ ลู่ชิงจิ่วมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากสัมผัสได้ว่าไป๋เยวี่ยหูเคลื่อนไหวอยู่ด้านล่างตน ไป๋เยวี่ยหูอาจกังวลว่าเขาจะกลัว ชายหนุ่มจึงพูดคุยกับลู่ชิงจิ่วตลอดทางที่เหลือ จนกระทั่งถึงพื้นยกสูงขนาดใหญ่ บนพื้นนั้นมีแสงสีโทนเย็น วิบวับเป็นจุดๆ คล้ายกับดวงดาว หากสังเกตดีๆ จะพบว่าที่มาของแสงสีเหล่านี้คือปลาหน้าตาประหลาดหลายตัว ลักษณะของปลาเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าหายากและแปลกประหลาด ลู่ชิงจิ่วนึกถึงประโยคหนึ่งแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ไป๋เยวี่ยหูถามเขาว่าหัวเราะอะไร

“ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นประโยคหนึ่ง ถามว่าทำไมปลาในน้ำทะเลลึกถึงมีหน้าตาน่าเกลียด” ลู่ชิงจิ่วว่า “บางคนตอบว่ายังไงก็ไม่มีใครมองเห็นมันอยู่ดี ก็แค่เติบโตไปทั้งอย่างนั้น”

ไป๋เยวี่ยหูเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริมอีกประโยค “ฉันเองก็เติบโตในน้ำทะเลลึก”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหู “ครอบครัวของฉันเติบโตในทะเลลึกนี่”

ลู่ชิงจิ่วกระแอมกระไอรุนแรง ใบหน้าขึ้นสีแดงไปกว่าครึ่ง “นายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้หมายความว่านายน่าเกลียด”

ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้ตอบอะไร เมื่อวางลู่ชิงจิ่วลงบนแท่นแล้ว หมอกสีดำก็สลายหายไปพร้อมกับคืนร่างเป็นมนุษย์

เนื่องจากปลาเหล่านั้นเป็นแหล่งกำเนิดแสง ลู่ชิงจิ่วจึงพอจะมองเห็นทิวทัศน์บนแท่นนี้ได้รางๆ นี่คือก้อนหินขนาดใหญ่สุดแสนประณีตซึ่งดูเหมือนว่าจะได้รับการขัดถูเป็นพิเศษ บริเวณที่ไกลที่สุดของก้อนหินมีทางเข้าถ้ำขนาดมหึมา ตรงปากทางเข้าถ้ำมีแสงเจิดจ้าที่ดูระยิบระยับเป็นพิเศษท่ามกลางท้องทะเลมืด

ไป๋เยวี่ยหูพาลู่ชิงจิ่วเดินไปที่ทางเข้าถ้ำ เขาแนะนำสถานที่นี้สั้นๆ โดยบอกว่าที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเขา ซึ่งเป็นบ้านในแบบฉบับของมนุษย์

นี่เป็นครั้งแรกที่มีแขกมาในสถานที่ที่ไป๋เยวี่ยหูอยู่อาศัย ในใจของลู่ชิงจิ่วเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไป๋เยวี่ยหูจะให้ของขวัญวันเกิดแบบไหนกัน

ทั้งสองคนยังคงเดินต่อไปข้างหน้า ก้าวเข้าสู่ทางเข้าถ้ำ เมื่อเข้าไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็เห็นว่าผนังของทางเข้าถูกฝังด้วยไข่มุกทรงกลมสีสดใสจำนวนมาก ไข่มุกเหล่านี้ส่องแสงเจิดจ้าในถ้ำที่มืดมิด ทำให้ถ้ำสว่างไสวราวกับอยู่ในช่วงเวลากลางวัน

ถ้ำนี้ใหญ่มากจนลู่ชิงจิ่วมองไม่เห็นแม้แต่ปลายสุดของเพดาน นึกถึงไป๋เยวี่ยหูที่อาศัยอยู่ในนี้ ร่างจริงของเขาคงไม่มีขนาดเล็กเท่าไหร่หรอก

ภายในถ้ำมีทางแยกเล็กๆ หลายทาง แต่มีทางสายหลักเพียงทางเดียว และทางสายหลักนี้ตกแต่งเรียบง่ายมาก นอกจากของประดับตกแต่งบางชิ้นที่แขวนอยู่บนผนัง ก็แทบมองไม่เห็นว่ามีร่องรอยของผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงห้องใหญ่ ตรงกลางของห้องมีแผ่นหินสีดำแผ่นหนึ่ง แผ่นหินนี้เป็นทรงกลมและกินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งห้อง

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “นี่คือห้องนอนของฉัน”

“นั่นคือเตียงนายเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถามพร้อมชี้ไปที่แผ่นหิน

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า เขาให้ลู่ชิงจิ่วรออยู่ที่ประตูทางเข้า ส่วนตัวเองเดินไปที่แผ่นหินนั่น เนื่องจากไม่มีไข่มุกส่องแสงในห้อง ลู่ชิงจิ่วจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าไป๋เยวี่ยหูหายไปไหน ทว่าชายหนุ่มก็กลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับมาแล้วเขาก็จับมือลู่ชิงจิ่วพร้อมเอ่ย “มานี่สิ”

ลู่ชิงจิ่วตอบตกลง ถูกไป๋เยวี่ยหูพาเดินไปข้างหน้า

ไป๋เยวี่ยหูพูด “ข้างหน้าค่อนข้างมืด ค่อยๆ เดินตามฉันมา”

ลู่ชิงจิ่วยิ้ม “อืม”

พวกเขาข้ามแผ่นหินนั้นและเดินเข้าไปในถ้ำซึ่งอยู่ด้านหลังห้องนอน เมื่อผ่านเข้าไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วดูเหมือนจะก้าวมาถึงห้องที่ทั้งสูงและว่างเปล่า ทั้งห้องนั้นมืดมิด เขามองไม่เห็นอะไรเลย

“ลู่ชิงจิ่ว” ไป๋เยวี่ยหูหยุดเดิน เข้ามาใกล้ที่ข้างหูของลู่ชิงจิ่วแล้วพึมพำเบาๆ ว่า “สุขสันต์วันเกิด”

สิ้นสุดคำพูดนั้น ลำแสงบางๆ ก็ส่องขึ้นตรงหน้าเขา ลู่ชิงจิ่วเห็นโครงกระดูกสีขาวขนาดใหญ่ ไม่ใช่สิ นั่นไม่ใช่โครงกระดูก มันคือเขาสีขาวคู่หนึ่งของมังกร เขามังกรนี้สีขาวกระจ่าง สวยงามดุจหยก ส่องประกายระยิบระยับ มันเกือบจะกินเนื้อที่ของทั้งห้อง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเมื่อมายืนอยู่ข้างหน้าของมันแล้วลู่ชิงจิ่วก็ตัวเล็กพอๆ กับมด

ลู่ชิงจิ่วจ้องไปที่เขามังกร เขาถูกความสวยงามของมันดึงดูด ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้เขามังกรแล้วเอื้อมมือออกไปลูบเบาๆ สัมผัสของเขามังกรนั้นแข็งดั่งก้อนหิน พอได้สัมผัสแล้วลู่ชิงจิ่วก็วางมือไม่ลง คิดอยากเอาแก้มไปถูไถด้วยซ้ำ

ไป๋เยวี่ยหูถาม “ชอบมั้ย”

“ชอบอยู่แล้วสิ” ลู่ชิงจิ่วยิ้ม “นายไปเอามาจากไหน”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “คือฉัน…คือฉันเก็บมา”

ลู่ชิงจิ่วถาม “เก็บมา?”

“ใช่” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “พอมังกรทุกตัวโตขึ้นก็จะผลัดเขามังกรของวัยหนุ่มออกไปนั่นแหละ”

ลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าประหลาดใจ “นี่แค่เขาของมังกรวัยหนุ่ม?” เพียงเขามังกรคู่นี้ก็มากพอที่จะทำให้คนตกตะลึงแล้ว แค่ยืนอยู่ข้างๆ ก็จินตนาการได้ถึงรัศมีอันน่าเกรงขามของมังกร

“ใช่” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “เขามังกรที่โตเต็มวัยจะใหญ่เป็นสองเท่าของเขานี้”

ลู่ชิงจิ่วจินตนาการไม่ออกแล้ว เขาอยู่ข้างๆ เขามังกรนี่ ไม่สามารถแม้แต่จะเอื้อมมือไปกอดให้รอบเขาได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าหากเป็นมังกรที่โตเต็มวัย…มันจะขนาดไหนกันนะ

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นสิ่งนี้ก็น่าจะพิเศษมากใช่มั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อืม”

ลู่ชิงจิ่วถามต่อ “ให้ฉันแบบนี้…จะไม่เป็นไรเหรอ” เขาไม่คิดว่านี่คือเขามังกรที่ไป๋เยวี่ยหูเก็บได้จากที่ไหนหรอก เจ้าของเขามังกรนี้คือไป๋เยวี่ยหูชัดๆ เพียงแต่ปีศาจจิ้งจอกบ้านเขาคงรู้สึกเขินอาย เลยหาเหตุผลมาอ้างกับลู่ชิงจิ่ว

“ไม่เป็นไร” ไป๋เยวี่ยหูตอบพร้อมละสายตา ไม่ได้มองที่ลู่ชิงจิ่วต่อ “ฉันจัดการเอง”

ลู่ชิงจิ่วหัวเราะ “ขอบคุณนะ ฉันชอบของขวัญวันเกิดชิ้นนี้มากเลย” เขาไม่เคยได้รับของขวัญวันเกิดที่พิเศษแบบนี้มาก่อน

เขามังกรนี้ใหญ่มาก เดิมทีลู่ชิงจิ่วคิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะพาเขามาดูเท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่ามอบให้เขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถเอามันออกไปได้ ใครจะรู้ว่าหลังจากที่ตนเองพูดจบ มือของไป๋เยวี่ยหูก็แตะลงบนเขามังกร จากนั้นมันก็เริ่มหดขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็มีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือ

ลู่ชิงจิ่วตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ไป๋เยวี่ยหูดึงโซ่เรียวยาวเส้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เจาะรูที่เขามังกร แล้วร้อยโซ่เข้าไป จากนั้นเขาก็มองไปยังลู่ชิงจิ่วแล้วเอ่ยอย่างอบอุ่น “ฉันสวมให้นายมั้ย”

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า

ไป๋เยวี่ยหูเอื้อมมือนำโซ่ไปสวมใส่ที่คอของเขา ลู่ชิงจิ่วก้มศีรษะลงและเห็นเขามังกรย่อขนาด ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อกี้ได้เห็นขนาดเดิมของมัน คงยากที่เขาจะจินตนาการได้ว่ามีบางอย่างที่ใหญ่โตมโหฬารสวมอยู่ที่คอของตัวเองจริงๆ มิน่าล่ะไป๋เยวี่ยหูถึงต้องพาเขาไปดูด้วยตาตนเอง ถ้าเปลี่ยนขนาดให้เล็กลงก่อนมอบให้ แล้วไม่ได้เห็นความสง่างามดั้งเดิมของเขามังกร คงน่าเสียดายแย่

ลู่ชิงจิ่วยกมือมาสัมผัสเขามังกรที่เปลี่ยนเป็นขนาดเล็กเบาๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากไป๋เยวี่ยหูสวมให้ลู่ชิงจิ่วเรียบร้อย เขาก็แสดงสีหน้าพึงพอใจ ในที่สุดคนตรงหน้าก็ได้รับลมหายใจของเขา และไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นที่ปรารถนาของผู้อื่นอีก

หลังจากให้ของขวัญเสร็จแล้วก็พาลู่ชิงจิ่วไปเล่นน้ำทะเลสักพัก ไป๋เยวี่ยหูถึงค่อยพาลู่ชิงจิ่วกลับไปที่บ้าน เวลานั้นดึกมากแล้ว เมื่อลู่ชิงจิ่วมองดูเวลาถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีสาม

ไป๋เยวี่ยหูส่งลู่ชิงจิ่วลงในลานบ้าน ทั้งสองคนบอกราตรีสวัสดิ์ซึ่งกันและกันก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง

ลู่ชิงจิ่วซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงกลับนอนไม่หลับ ชายหนุ่มกอดกล่องไม้ที่คุณยายทิ้งไว้ให้ไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับเกล็ดมังกรที่มีรอยขีดข่วนภายในกล่อง

เกล็ดมังกรนี้น่าจะเป็นของคนรักคุณยาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณยายอยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหนถึงทิ้งเกล็ดชิ้นนี้ไว้

ลู่ชิงจิ่วคิดไปต่างๆ นานา ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไปพร้อมความสับสน

 

วันรุ่งขึ้นลู่ชิงจิ่วผู้ไม่ค่อยได้นอนตื่นสายลุกขึ้นจากเตียงตอนเที่ยง เพราะเมื่อวานเขาเข้านอนดึกเกินไป เมื่อเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นคนในครอบครัวที่เหลือกำลังนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ในห้องนั้น

“ทำไมไม่ทำอาหารล่ะ” ลู่ชิงจิ่วถาม

“พวกเราคิดว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่าจะปลอดภัยกว่า” จูเหมี่ยวเหมี่ยวตอบกลับอย่างเจ็บปวด “ถ้ายังท้องเสียอีก ฉันอาจต้องไปเข้าโรงพยาบาลเกี่ยวกับทวารหนักแล้ว”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

“แต่หลังจากท้องเสียไปหนึ่งวัน สิวบนหน้าฉันก็หายไปนะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวว่า “หรืออาหารที่อิ่นสวินทำจะช่วยล้างพิษเสริมความงาม”

อิ่นสวินเอ่ย “เธอยังอยากกินมั้ยล่ะ ถ้าเธออยากกินฉันจะทำให้”

“ไม่ล่ะ ไม่ล่ะ มันจบแล้ว” จูเหมี่ยวเหมี่ยวโบกมือ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่นานก็สังเกตเห็นว่าบนคอของลู่ชิงจิ่วมีอะไรเพิ่มมา “เฮ้ ทำไมนายถึงมีสร้อยคอเพิ่มมาน่ะ ใครเป็นคนให้ ทำมาจากอะไร มันสวยจังเลย”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ของเยวี่ยหู”

“ว้าว พวกนายสองคนมีปัญหากันเหรอ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้มชั่วร้าย

เมื่ออิ่นสวินเห็นเขามังกร ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่ามันคืออะไร ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ปากของชายหนุ่มอ้าออกและไม่ยอมหุบลงอยู่นาน

“มีปัญหาอะไร” ลู่ชิงจิ่วถาม

จูเหมี่ยวเหมี่ยวตอบ “ฮ่าๆๆ ฉันรู้ แต่ฉันจะไม่พูดหรอก”

พวกเขาหยอกเล่นกันสักพักหนึ่ง ลู่ชิงจิ่วถึงค่อยเข้าห้องครัวเพื่อทำอาหาร เขายังไม่ได้กินข้าวเช้า เมื่อวานก็ท้องเสียไปทั้งวัน ตอนนี้ท้องของเขาจึงร้องโครกครากอย่างหิวโหย

เพื่อที่จะได้กินอะไรเร็วขึ้นหน่อย ลู่ชิงจิ่วเลยทำข้าวผัดง่ายๆ โดยคำนึงถึงความอิ่มท้องเป็นหลัก

ถึงจะเป็นข้าวผัดง่ายๆ แต่รสชาติก็ไม่อาจปล่อยผ่าน ไส้กรอก กุ้ง ไข่ ล้วนเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ เขานำมาหั่นเป็นลูกเต๋าแล้วผัดกับข้าว ข้าวจะมีรสชาติดีขึ้นหากทิ้งค้างคืนไว้ แต่ปกติบ้านของเขามักจะกินกันไม่เหลือเสมอ

ลู่ชิงจิ่วผัดข้าวหนึ่งหม้อใหญ่ แล้วขอให้อิ่นสวินไปรีดนมวัว ทุกคนต่างเอาอาหารกลางวันมากินด้วยกัน

หลังจากกินอาหารเสร็จ ลู่ชิงจิ่วผู้ยังคงไม่ตื่นดีก็เข้าไปนอนต่อ จนดวงอาทิตย์ส่องแสงเกินบ่ายสามโมงเขาถึงค่อยลุกจากเตียง

ชายหนุ่มหาวหวอดพลางเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เห็นไป๋เยวี่ยหูนั่งอยู่บนโซฟากำลังดูโทรทัศน์อยู่คนเดียว

ลู่ชิงจิ่วเทน้ำใส่แก้วก่อนนั่งลงข้างๆ ไป๋เยวี่ยหูแล้วถามว่า “ดูอะไรอยู่”

“ดูไปเรื่อย” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

ลู่ชิงจิ่วเงยหน้าขึ้น เห็นไป๋เยวี่ยหูกำลังดูโลกของสัตว์ สารคดีเกี่ยวกับจิ้งจอก แน่ล่ะว่ามันแตกต่างจากปีศาจจิ้งจอก ขนจิ้งจอกในสารคดีเป็นสีแดงส้มสวยงาม แค่มองก็รู้สึกว่าสวยมากๆ แล้ว

ครอบครัวจิ้งจอกครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในกองขยะขนาดใหญ่ พ่อและแม่สุนัขจิ้งจอกกับลูกตัวน้อยน่ารัก ดูมีความสุขมาก ไป๋เยวี่ยหูนั่งอยู่บนโซฟา จ้องดูอย่างจริงจัง

ลู่ชิงจิ่วดูกับไป๋เยวี่ยหูอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยถามแบบติดตลก “อันนี้กับชีวิตพวกนายมีอะไรแตกต่างกันมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ไม่มี” พูดจบก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริมขึ้น “พวกเขายากจนกว่าฉัน”

ได้ยินแล้วลู่ชิงจิ่วเกือบจะพ่นน้ำออกจากปาก

ต้องพูดเลยว่าโลกของสัตว์นั้นน่าสนใจจริงๆ หลังจากที่ลู่ชิงจิ่วดูรายการกับไป๋เยวี่ยหูอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็เข้าห้องครัวไปเพื่อทำอาหาร จูเหมี่ยวเหมี่ยวต้องกลับไปทำงานหลังจากมาเที่ยวเล่นที่บ้านของพวกเขาสองสามวัน ดังนั้นลู่ชิงจิ่วจึงอยากทำแต่ละมื้อให้หลากหลายสักหน่อย ให้เธอกินทุกอย่างที่กินได้

ผักนานาชนิดในฤดูใบไม้ผลิอุดมสมบูรณ์มาก ไม่ว่าอะไรก็มีหมด ลู่ชิงจิ่วนำฟักทองที่เอากลับมาเมื่อวันก่อนมาหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วบด ผสมให้เข้ากันกับแป้ง ใส่ไส้ถั่วแดงลงไปตรงกลางแล้วนำไปนึ่ง จากนั้นเอาไปเคลือบด้วยเกล็ดขนมปังก่อนนำไปทอดที่อุณหภูมิต่ำ ฟักทองบ้านพวกเขาเดิมทีมีกลิ่นหอมฉุย ทั้งหวานทั้งนิ่ม ยิ่งทอดออกมาแบบนี้รสชาติยิ่งอร่อย ข้างนอกกรุบกรอบ แต่เมื่อกัดลงไปแล้วไส้ถั่วแดงร้อนๆ จะไหลออกมาจากข้างใน

ลู่ชิงจิ่ววางแป้งฟักทองทอดที่เพิ่งทอดเสร็จลงบนจานรอให้เย็น เห็นอิ่นสวินวิ่งด้วยความรวดเร็วเข้ามาจากข้างนอก พอเห็นเขาก็ตะโกนว่า “ลู่ชิงจิ่ว!”

“มีอะไรเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

อิ่นสวินร้อง “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

มือของลู่ชิงจิ่วกระตุกนิดหนึ่ง “เกิดเรื่องใหญ่? เรื่องอะไร”

อิ่นสวินตอบ “ปีศาจจิ้งจอกบ้านนายกำลังดูหนังโป๊ในห้องนั่งเล่นตอนกลางวันแสกๆ!”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขามองไปทางอิ่นสวินด้วยสีหน้าเชิงว่านี่นายจริงจังใช่มั้ย

อิ่นสวินเอื้อมมือไปหยิบแป้งฟักทองทอดหนึ่งชิ้น กัดไปหนึ่งคำพร้อมพยักหน้าอย่างขันแข็ง “ฉันจริงจังนะ! นายรีบออกไปดูเถอะ!”

ลู่ชิงจิ่วเช็ดมืออย่างเร่งรีบ สงสัยว่าไป๋เยวี่ยหูเปิดไปที่ช่องแบบชำระเงินหรือเปล่า เขารีบออกจากห้องครัว เดินไปห้องนั่งเล่นพลางคิดจะเอ่ยทักทายสักสองประโยค แต่ขณะที่เขาอยู่ด้านนอกยังไม่ได้เข้าไปนั้น กลับได้ยินเสียงต่ำของผู้ชายที่แสนคุ้นเคย [ฤดูใบไม้ผลิมาถึง เป็นฤดูผสมพันธุ์แล้ว…]

ลู่ชิงจิ่ว “…” เหมือนเขาจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้

เป็นไปตามที่คาด เมื่อลู่ชิงจิ่วดูที่หน้าจอโทรทัศน์ชัดๆ เขาก็เห็นจิ้งจอกตัวน้อยสองตัวกำลังผสมพันธุ์กัน จิ้งจอกตัวผู้กำลังขี่อยู่บนจิ้งจอกตัวเมียและขยับไปมา ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้วตั้งใจดูเป็นพิเศษ

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาแสร้งทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วหันหลังกลับไปเงียบๆ

อิ่นสวินยังคงเป็นภัยต่อแป้งฟักทองทอดอยู่ในห้องครัว ในปากของเขาเต็มไปด้วยถั่วแดง เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วกลับมาก็รีบพูดว่า “เป็นไงบ้างๆ เขาดูหนังโป๊ใช่มั้ย!”

ลู่ชิงจิ่วกัดฟันตอบ “โลกของสัตว์เรียกว่าเป็นสื่อลามกมั้ย”

อิ่นสวิน “ถ้าไม่ใช่หนังโป๊แล้วนายหน้าแดงทำไมล่ะ!”

ลู่ชิงจิ่ว “ฉันหน้าแดงที่ไหนกัน!” จะว่าไปเมื่อกี้ตอนที่เห็นสีหน้าของไป๋เยวี่ยหู เขาก็รู้สึกเขินเล็กน้อย แต่ไม่ได้หน้าแดง…หรอกมั้ง

อิ่นสวินไล่ต้อนลู่ชิงจิ่วอย่างไร้ความปรานี “อย่ามาทำไขสือ ตอนนี้นายหน้าแดงอย่างกับก้นลิง”

ลู่ชิงจิ่วโมโหแล้ว “กินแป้งฟักทองทอดของนายไปเลย”

อิ่นสวิน “…” พวกผู้ใหญ่อย่างนายนี่หงุดหงิดง่ายขนาดนี้เลยเหรอ

เพื่อเป็นการรักษาแป้งฟักทองทอดของตัวเอง อิ่นสวินเรียนรู้ที่จะเงียบปาก ลู่ชิงจิ่วเอาแป้งที่เหลือมาทอดจนหมด เมื่อทอดเสร็จแล้วก็ไปที่ห้องนั่งเล่น มองเห็นจิ้งจอกในโลกของสัตว์ให้กำเนิดลูกอีกหนึ่งคอก อ่า ไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเขาจะคุมได้มากขึ้นมั้ย อย่าสอนเด็กๆ ในทางที่ไม่ดีเลย

จูเหมี่ยวเหมี่ยวที่ไม่รู้ตัวตนของไป๋เยวี่ยหูหลังจากตื่นนอนและอาบน้ำลวกๆ แล้วก็มานั่งข้างไป๋เยวี่ยหูบนโซฟา ดูโลกของสัตว์ด้วยกัน แถมยังพูดคุยถกประเด็นกับไป๋เยวี่ยหูด้วย

“จิ้งจอกพวกนี้จะมีคู่แค่เพียงตัวเดียว” จูเหมี่ยวเหมี่ยวแทะเมล็ดแตงโม “เหมือนว่าในสามปีจะเลี้ยงลูกหนึ่งคอก…”

ไป๋เยวี่ยหูทวน “สามปี?”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวตอบ “ใช่ ต้องเลี้ยงจิ้งจอกน้อยให้โต แน่นอนว่ามันต้องยากมากแน่ๆ ถ้าจิ้งจอกน้อยโชคร้ายตายตั้งแต่เด็ก จิ้งจอกน้อยตัวใหม่ถึงจะเกิดในปีต่อไป” พูดไปก็ลูบจิ้งจอกตัวน้อยที่อยู่บนตักไปด้วย เธอเอ่ย “อ่า ถ้าไม่ใช่เพราะขนแก ฉันคงคิดว่าแกเป็นจิ้งจอกตัวน้อย ปากแหลมๆ เล็กๆ นี่ด้วย”

จิ้งจอกน้อย “…” พี่สาว คุณจำคนจากขนงั้นเหรอ

ไป๋เยวี่ยหูได้ยินดังนั้นก็เผยสีหน้าครุ่นคิด

จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูดต่อ “จิ้งจอกนี่มันฉลาดเนอะ ถ้าเปลี่ยนเป็นสัตว์อย่างอื่นพวกมันอาจจะตายในโรงทิ้งขยะไปนานแล้ว”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “มนุษย์ชอบจิ้งจอกมากใช่มั้ย”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “ใช่สิ ถึงแม้มนุษย์จะรู้สึกว่าจิ้งจอกมีเล่ห์เหลี่ยมมาก แต่พวกเขาคิดว่าพวกมันคือสัญลักษณ์ของเสน่ห์แห่งปัญญา ไม่อย่างนั้นเวลาจะด่าว่าใคร ทำไมถึงด่าว่าจิ้งจอก ไม่เห็นมีหมาป่าหรือสุนัขอะไรเลยล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหู “อืม…”

ลู่ชิงจิ่วฟังบทสนทนาของพวกเขา ฟังแล้วคิดจะรีบพุ่งตัวเข้าไปให้จูเหมี่ยวเหมี่ยวหยุดพูด เขาเข้าใจเหตุผลที่ไป๋เยวี่ยหูต้องแกล้งปลอมเป็นจิ้งจอกแล้ว แต่จะบอกปีศาจจิ้งจอกบ้านเขาอย่างไรว่าตัวเองไม่ได้สนใจร่างจริงของอีกฝ่ายเลยสักนิด แค่พูดไปตรงๆ อย่างงั้นเหรอ แล้วถ้าไป๋เยวี่ยหูไม่เชื่อล่ะ ในใจของลู่ชิงจิ่วยังคงสับสนวุ่นวายกับผลลัพธ์ที่จะเกิด เขาเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวหยิบรีโมตพร้อมกับเปลี่ยนช่อง “โลกของสัตว์จบแล้ว พวกเราดูอย่างอื่นกันเถอะ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อืม”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเปลี่ยนไปดูละครโทรทัศน์เรื่องความขัดแย้งระหว่างแม่ยายกับลูกสะใภ้ นั่งดูกับไป๋เยวี่ยหูด้วยความเพลิดเพลินกันสองคน

วันนี้เป็นวันที่แปลกจริงๆ ปกติไป๋เยวี่ยหูมักจะนอนบนเก้าอี้โยกในลานบ้านอย่างขี้เกียจจะเคลื่อนไหว แต่วันนี้เขากลับดูโทรทัศน์กับจูเหมี่ยวเหมี่ยวด้วยความสนใจและจริงจัง

ลู่ชิงจิ่วกระซิบว่า “เยวี่ยหู เหมี่ยวเหมี่ยว พวกนายอยากกินแป้งฟักทองทอดมั้ย”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวยืนขึ้นและเอ่ยอย่างมีความสุข “เอาๆๆ อยู่ในครัวหรือเปล่า”

“อืม” ลู่ชิงจิ่วพูด “เพิ่งทอดเสร็จ ยังร้อนอยู่เลย”

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่ได้รอให้ลู่ชิงจิ่วพูดต่อ เธอรีบเข้าไปในห้องครัว ทิ้งให้ลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูจ้องมองหน้ากันในห้องนั่งเล่น

ลู่ชิงจิ่วถูกสายตาของไป๋เยวี่ยหูมองมาอย่างไม่ค่อยปกติก็ไอแห้งๆ ขึ้นมา “นายจะไม่กินเหรอ”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ยังไม่หิว”

ลู่ชิงจิ่ว “…” หือ? เขาไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย ไป๋เยวี่ยหูบอกว่ายังไม่หิว ปกติเวลากินไป๋เยวี่ยหูจะกระตือรือร้นที่สุดไม่ใช่เหรอ!

ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “นายชอบเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง”

ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเขาได้ยินผิดไป จึงเอ่ยขึ้นอย่างงุนงงว่า “นายพูดอะไรน่ะ”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “นายชอบเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง” เสียงของเขาอ่อนโยนลง “ฉันชอบหมดเลย”

ลู่ชิงจิ่วคิดว่าตัวเองคงเข้าใจความหมายของไป๋เยวี่ยหูผิดไปแน่ๆ แม้ว่าสายตาของไป๋เยวี่ยหูจะทำให้เขาหน้าร้อนฉ่า แต่ชายหนุ่มก็ยังฝืนทำตัวให้สงบแล้วตอบว่า “ฉันชอบทั้งนั้นแหละ” พูดจบก็เสริมอีกประโยค “จะเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงก็เหมือนกัน!”

ไป๋เยวี่ยหู “อืม จริง”

สายตาของไป๋เยวี่ยหูร้อนแรงเกินไป ลู่ชิงจิ่วยังคงไม่กล้าสบตาเขา ชายหนุ่มหลบสายตาพลางถามว่า “งั้น…นายอยากกินแป้งฟักทองทอดมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “เอาสิ”

ลู่ชิงจิ่วที่หนีออกมาและเข้าไปในห้องครัวเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินกำลังกินแป้งทอดอย่างตะกละตะกลามอยู่ จูเหมี่ยวเหมี่ยวยัดกินจนแก้มป่อง พูดเสียงอู้อี้ว่า “ลู่ชิงจิ่วทำไมหน้านายถึงแดงขนาดนั้นล่ะ”

ลู่ชิงจิ่ว “ดูโลกของสัตว์น่ะสิ”

จูเหมี่ยวเหมี่ยว “…จริงจังมั้ยเนี่ย”

ลู่ชิงจิ่ว “ไม่งั้นจะอะไรล่ะ”

คำพูดของจูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่ได้สงบเสงี่ยมอย่างเด็กผู้หญิงเลย เธอฟังลู่ชิงจิ่วพูดอย่างตื่นเต้น หญิงสาวเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “นายฟุ้งซ่านเกินไปหรือเปล่า นายเคยเห็นปลาโลมาผสมพันธุ์มั้ย ไอ้บ้า ไอ้นั่นมันยาว…อย่างน่าตื่นเต้นเลยล่ะ”

ในใจของลู่ชิงจิ่วคิดว่าไม่ได้เห็นแค่โลมาแต่ยังมีทากอีกด้วย เธอเคยเห็นอะไรสีม่วงฟ้าอันนั้นมั้ย นั่นก็ตื่นเต้นเหมือนกัน

อิ่นสวินผู้ซึ่งเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยเห็นโลกถึงกับมึนงงกับสิ่งที่ได้ฟัง “หือ? ปลาโลมามีอวัยวะเพศด้วยเหรอ ปลาโลมาไม่ใช่ปลาหรอกเหรอ” ไม่ใช่ว่าปลาทั้งหมดปฏิสนธิข้างนอกหรอกเรอะ

“นายไม่ได้ตั้งใจเรียนสินะ โลมาน่ะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขึ้นชื่อว่าเป็นอันธพาลแห่งท้องทะเลด้วยแหละ สายพันธุ์ชั่วร้ายนี้แม้แต่ปลายังไม่รอดเลย” จูเหมี่ยวเหมี่ยวตื่นเต้นกับการสอนพิเศษให้อิ่นสวิน “นายรู้มั้ยว่าปลาโลมาในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำยังโจมตีผู้ดูแลเลย!”

ได้ยินดังนั้นอิ่นสวินก็เบิกตากว้าง เหลือบมองลู่ชิงจิ่วโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วกำลังอ่อนไหวสุดๆ ถูกสายตาอิ่นสวินจ้องมองจนขนลุกไปทั้งตัว “ไอ้บ้า แม่นายสิ มองฉันทำไม”

อิ่นสวินตอบ “ฉันแค่มองไปเรื่อย” มันแปลกไง ฉันถึงมองนาย ไม่ใช่เพราะนายเลี้ยงสัตว์ที่น่ากลัวกว่าปลาโลมาไว้หรือไง ไอ้นั่นน่ะน่ากลัวกว่าปลาโลมาตั้งเยอะ อย่างน้อยๆ พ่อเขาน่ะแม้แต่เต่าตัวหนึ่งก็ไม่เว้น อ่า ในความฝัน ใครจะทำอะไรก็ได้นี่นะ

ลู่ชิงจิ่วมองอิ่นสวินอย่างสงสัย ไม่เชื่อว่าอิ่นสวินแค่มองไปเรื่อย “อิ่นสวิน นายบอกความจริงกับฉันมาเลย นายรู้อะไรใช่มั้ย”

อิ่นสวินทำท่าโง่เง่า “รู้อะไร”

ลู่ชิงจิ่ว “แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับเรื่อง…” เดิมทีเขาอยากจะเอ่ยถึงไป๋เยวี่ยหู แต่ไม่รู้ว่าไป๋เยวี่ยหูปรากฏกายที่ประตูห้องครัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มมองดูทั้งสามคนกำลังถกเถียงเรื่องที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กน้อยอย่างไร้อารมณ์ พอคำพูดมาถึงปากแล้วเขาก็กลืนกลับลงไปทันที “แน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องบ่ายนี้จะกินอะไร!”

อิ่นสวิน “พวกเรามากินปลาบำรุงร่างกายกันเถอะ” เขามองไปที่ลู่ชิงจิ่วด้วยความสงสาร

ลู่ชิงจิ่ว “…” ไอ้บ้านี่หมายความว่าไง

อิ่นสวิน “…” ก็ไม่ได้อะไร ฉันแค่เป็นห่วงนายนิดหน่อยเอง

ลู่ชิงจิ่ว “…” พูดให้รู้เรื่อง

อิ่นสวิน “…” ดูแลตัวเองดีๆ เถอะ กลัวว่าวันดีๆ ของนายจะเหลือไม่เยอะแล้วสิ

หลังจากสื่อสารกันทางสายตา อิ่นสวินก็กลับสู่บุคลิกโง่เง่าอย่างเดิม เขากัดแป้งฟักทองทอดแล้วลากเจียงปู้ฮ่วนให้ตามไปกวาดขี้ไก่

จูเหมี่ยวเหมี่ยวนั้นค่อนข้างความรู้สึกช้า ไม่รับรู้ถึงกระแสใต้น้ำอันพลุ่งพล่านระหว่างลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหู แต่เธอรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียดขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ “พวกนายคุยกันไปนะ ฉันจะออกไปทำอะไรสักหน่อย”

ลู่ชิงจิ่วไม่ทันเรียกเธอให้หยุด หญิงสาวก็หมุนตัวเดินออกไปแล้ว

ดังนั้นพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้จึงเหลือเพียงลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูเท่านั้น ตอนแรกลู่ชิงจิ่วคิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะพูดอะไร แต่กลับเห็นปีศาจจิ้งจอกบ้านเขาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวจากไป

ลู่ชิงจิ่วรีบร้องเรียก “เยวี่ยหู!”

ไป๋เยวี่ยหูหยุดชะงักฝีเท้า หันมามองด้วยแววตาเป็นประกาย

ลู่ชิงจิ่วพูดเสียงเบา “คือ…นายยังไม่ได้กินแป้งฟักทองทอดเลย”

ไป๋เยวี่ยหู “…”

ลู่ชิงจิ่ว “กินมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหูพูดลอดไรฟัน “กิน”

ลู่ชิงจิ่ว “…” นายจะกินก็กินสิ จะทำท่าทางน่ากลัวแบบนี้ทำไม…

บทที่ 66 สัตว์ร้ายตัวใหญ่

 

เจียงปู้ฮ่วนอาศัยอยู่ในบ้านของลู่ชิงจิ่วมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ผู้จัดการของเขาเริ่มโทรหาอย่างบ้าคลั่งเพื่อกระตุ้นให้เขากลับไป ต่อมาถึงขั้นพยายามถามหาตำแหน่งของดาราหนุ่มหวังจะเอาตัวกลับ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ด้วยความคิดที่ค่อนข้างซับซ้อน ถ้าไม่ใช่ว่าเขาย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่เป็นอะไร เกรงว่าผู้จัดการคงเลือกโทรหาตำรวจ

“ฉันต้องไปแล้ว ไม่งั้นแย่แน่!” เจียงปู้ฮ่วนบอกกับผู้จัดการ แต่ผู้จัดการคิดว่าเจียงปู้ฮ่วนถูกใครบางคนคุกคาม จึงสัญญาว่าจะหาทีมรักษาความปลอดภัยให้เจียงปู้ฮ่วนเพื่อป้องกันความปลอดภัยของเขา

“ฉันบอกแล้ว คนที่จะฆ่าฉันมันไม่ใช่คน เฮ้อ ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะพูดยังไงคุณก็ไม่เข้าใจหรอก” เจียงปู้ฮ่วนรู้ว่าเรื่องนี้มันไร้สาระเกินกว่าจะพูดออกมาได้ ถ้าเขาไม่เคยเจอกับตัวคงรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาทางจิต

[สิ่งที่คิดจะฆ่าคุณไม่ใช่คน งั้นมันคืออะไรล่ะ] ผู้จัดการจะเป็นบ้าเพราะเจียงปู้ฮ่วนอยู่แล้ว ดาราของเขาหายตัวไปหลายวัน กำหนดการล่าช้าไปหมดแล้ว ตอนนี้เขายังพอปกปิดได้ แต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่กี่วันคงปิดเรื่องนี้ต่อไม่ได้ ถ้าแฟนๆ รู้ว่าเจียงปู้ฮ่วนหายตัวไป คงได้เป็นข่าวใหญ่แน่ๆ

“ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร” เจียงปู้ฮ่วนตอบ “ไม่พูดละ ฉันต้องไปทำกับข้าวแล้ว”

ผู้จัดการได้แต่อ้าปากค้าง คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจียงปู้ฮ่วนวางสายเรียบร้อยแล้ว เขามองโทรศัพท์แล้วถอนหายใจยาวๆ พูดตามตรงถ้าไม่ได้คุยผ่านวิดีโอคอลล์จนมั่นใจว่าเจียงปู้ฮ่วนมีสภาพจิตใจที่ดี คงสงสัยว่าเจียงปู้ฮ่วนถูกแฟนคลับลักพาตัวไปคุมขังแล้วหรือเปล่า

เจียงปู้ฮ่วนวางสายแล้วเข้าห้องครัวไปช่วยลู่ชิงจิ่วทำอาหาร เขามาที่นี่ได้ไม่กี่วัน แต่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ธรรมดา

แม้ลู่ชิงจิ่วจะเตือนไม่ให้เขาไปที่ลานหลังบ้าน แต่เจียงปู้ฮ่วนก็ไม่ได้ลดความอยากรู้อยากเห็นลงเลย ชายหนุ่มไปดูลานหลังบ้านเงียบๆ แต่ก็เห็นเพียงบ่อน้ำลึก และรังผึ้งอีกหลายรัง ข้างในรังผึ้งพวกนั้นมีเสียงหึ่งๆ ดังออกมา เจียงปู้ฮ่วนไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้เกิน ได้แต่มองอยู่ด้านข้าง ใครจะรู้ว่าทันทีที่ยื่นศีรษะเข้าไป สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนผึ้งตัวหนึ่งจะออกมาจากข้างใน และตะโกนจากในลำคอ “ดูอะไรน่ะ นายเป็นพวกโรคจิตใช่มั้ย ถึงมาทำลับๆ ล่อๆ แอบมองพวกเราแบบนี้”

เจียงปู้ฮ่วนถูกตะโกนใส่จนชะงักค้างไปทั้งตัวอยู่สองวินาที เขาคิดจะอธิบาย “ไม่…ฉันไม่ใช่ ฉันก็แค่สงสัย…”

“อะไรๆๆ นายอยากรู้อะไร” ผึ้งพูดด้วยความโมโห “พวกเรากำลังนอนกับภรรยา นายก็มองอยู่นั่น ไม่กลัวเป็นตากุ้งยิงหรือไง”

เจียงปู้ฮ่วน “ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

ผึ้งพูดว่า “รีบไปซะ อย่าให้ฉันเจอนายอีก!”

เจียงปู้ฮ่วนถูกดุจนสติหลุด ถึงกับเริ่มรู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมน่ารังเกียจของตัวเอง แต่เมื่อเขากลับมาที่ห้องนอนถึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ…สิ่งนั้นคือผึ้งหรือเปล่า แต่ทำไมผึ้งถึงพูดได้ล่ะ แล้วเจียงปู้ฮ่วนก็รู้สึกถึงความผิดปกติของบ้านหลังนี้อีกครั้งในทันใด แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ไม่ช้าเจียงปู้ฮ่วนก็รู้ว่ามีหมูพูดได้อีกสองตัวในบ้าน มีวัวที่สามารถผลิตนมสารพัดรสชาติ นอกจากนี้ยังมีฝูงไก่ที่ดุร้ายและทรงพลัง เดิมทีเขาคิดว่าอย่างน้อยคนในบ้านนี้ก็น่าจะปกติดี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเห็นอิ่นสวินหั่นผัก มีดเล่มนั้นบาดโดนนิ้วอีกฝ่ายเข้า อิ่นสวินคิดว่าเขาไม่ทันสังเกตเห็น จึงเอานิ้วนั้นเข้าปากแล้วกลืนลงไป

แม้เจียงปู้ฮ่วนที่ยืนอยู่ข้างๆ จะมองเห็นฉากนี้ แต่เขาก็ได้แต่แกล้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไร กลัวว่าถ้าเขาเปิดโปงอิ่นสวิน ชายหนุ่มคงเอามีดพุ่งตรงมาที่ตัวเขาแทน…เขาก็แค่คนธรรมดา

ถึงแม้การอาศัยอยู่ที่นี่จะปลอดภัย แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ที่นี่นาน เจียงปู้ฮ่วนยังไม่มีแผนจะออกจากวงการบันเทิง นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นบ้านของคนอื่น เขายังรู้สถานะตัวเองอยู่บ้าง…

ดังนั้นหลังจากที่ลู่ชิงจิ่วส่งจูเหมี่ยวเหมี่ยวกลับไปทำงาน เจียงปู้ฮ่วนก็ไปหาลู่ชิงจิ่วและแสดงความขอบคุณกับเขา ดาราหนุ่มมอบเช็คตัวเลขเจ็ดหลักให้กับลู่ชิงจิ่วพร้อมสอบถามรายละเอียดว่าตัวเองควรจะออกไปตอนไหนถึงจะปลอดภัย

แม้ว่าเจียงปู้ฮ่วนจะเป็นคนดัง แต่อยู่ที่บ้านนี้เขาทำตัวดี ทุกวันเขาจะอยู่ดูแลลานบ้านกับอิ่นสวิน ล้างผักหั่นผักจนแทบจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา ลู่ชิงจิ่วเกือบจะลืมชายหนุ่ม เมื่อมองดูท่าทางน่าสงสารของเขาตอนนี้ ลู่ชิงจิ่วจึงรู้สึกตลกขึ้นมาเล็กน้อย ปฏิเสธเช็คของเจียงปู้ฮ่วนโดยบอกว่าตนจะช่วยไปถามให้

“พี่ชาย คุณรับเงินนี้ไปเถอะ” เจียงปู้ฮ่วนพูดอย่างขมขื่น “ถ้าคุณไม่รับมัน ผมจะรู้สึกไม่สบายใจ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ไม่เป็นไร ช่วงนี้ครอบครัวเราไม่ได้ขาดเงิน”

เจียงปู้ฮ่วน “คุณเอาไปซื้อเนื้อเพิ่มให้พวกพี่ใหญ่เขาเถอะ…”

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “เขากินเนื้อมากขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ไม่เป็นไรจริงๆ อีกอย่างผมแค่ช่วยถามให้คุณเท่านั้น จะแก้ไขได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ถ้ารับเงินนี่ เรื่องนี้ก็จะเปลี่ยนเลยนะ

เจียงปู้ฮ่วนยังคงไม่สบายใจอยู่มาก แต่เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วปฏิเสธที่จะรับเงินก็ทำอะไรไม่ได้ ในใจได้แต่ภาวนาว่าไม่ช้าเรื่องนี้จะถูกแก้ไข และขอให้ตัวเองได้ออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ แม้ว่าชีวิตในชนบทจะอบอุ่นมาก แต่บรรยากาศของทั้งหมู่บ้านนี้ก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในกองถ่ายหนังสยองขวัญ

วันรุ่งขึ้นลู่ชิงจิ่วหาโอกาสที่จะพูดคุยกับไป๋เยวี่ยหูเกี่ยวกับเรื่องของเจียงปู้ฮ่วน แน่นอนว่าเขาต้องใช้ทักษะในการพูด “เยวี่ยหู เจียงปู้ฮ่วนอยู่บ้านพวกเรามาสักพักแล้ว เมื่อไหร่เขาถึงจะไปได้ล่ะ”

เดิมทีไป๋เยวี่ยหูกำลังกินพุทราเขียวที่ลู่ชิงจิ่วเพิ่งซื้อมาจากในเมือง ปากยังคงเคี้ยวอยู่ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หยุดการกระทำลงทันที กระทั่งสีหน้าก็อึมครึม เขาตอบ “เขากินอาหารไปเยอะแค่ไหนแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วกลั้นยิ้ม “นี่ไม่ใช่ว่าทุกมื้อเขาก็กินกับพวกเราหรอกเหรอ”

ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “มีคนคิดจะฆ่าเขาที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่”

“ทำไมกัน” ลู่ชิงจิ่วชะงัก เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินไป๋เยวี่ยหูพูดเรื่องนี้ “ทำไมต้องฆ่าเจียงปู้ฮ่วนที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “หมู่บ้านสุ่ยฝู่เป็นเขตแดน ถ้าจะให้พูดอย่างมนุษย์ก็คือมันเป็นเขตแดนระหว่างตำนานกับความเป็นจริง เดิมทีเขตแดนนั้นมีมากมาย แต่เมื่อช่วงเวลาที่โลกทั้งสองแยกจากกันนานขึ้นเรื่อยๆ เขตแดนก็ค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ตอนนี้มีเพียงหมู่บ้านสุ่ยฝู่เท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างโลกทั้งสองได้”

ลู่ชิงจิ่วเข้าใจได้ในทันที “สายเลือดของเจียงปู้ฮ่วนมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”

“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ครอบครัวของพวกเขาเคยเป็นครอบครัวที่ปกป้องเขตแดน แต่ตอนนี้เขตแดนได้รวมเข้ากับโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์แล้ว เลือดของครอบครัวนี้เบาบางลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะหายไป เจียงปู้ฮ่วนน่าจะเป็นทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของครอบครัว”

คิดได้ดังนี้แล้ว ลู่ชิงจิ่วและเจียงปู้ฮ่วนก็มีพื้นเพแบบเดียวกัน เขาเป็นตระกูลลู่คนสุดท้าย ส่วนเจียงปู้ฮ่วนเป็นคนสุดท้ายของตระกูลเจียง เพียงแต่ดูเหมือนเจียงปู้ฮ่วนจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย แถมยังออกจากวงจรนี้โดยสิ้นเชิง

“ทำไมถึงต้องให้เจียงปู้ฮ่วนตายในหมู่บ้านสุ่ยฝู่” ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างน่ากลัว

“ผู้ปกป้องเสียชีวิตในหมู่บ้านสุ่ยฝู่จะทำให้เกิดการแปดเปื้อนของเขตแดน” ไป๋เยวี่ยหูเล่า “การแปดเปื้อนนี้ไม่ค่อยมีผลกระทบกับมนุษย์ แต่จะส่งผลต่อพวกเราอย่างมาก”

นี่เป็นครั้งที่สองที่ลู่ชิงจิ่วได้ยินคำนี้ “แปดเปื้อน?”

ไป๋เยวี่ยหู “ใช่ แปดเปื้อน”

ลู่ชิงจิ่วถามต่อ “หมายความว่ายังไง”

ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วอธิบายว่า “มันส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณ” แม้ว่าคำอธิบายนี้จะยังคลุมเครืออยู่สักหน่อย แต่ลู่ชิงจิ่วก็พอจะเข้าใจความหมายบ้างแล้ว เขาเอ่ย “มันอาจจะเหมือนกับเด็กที่เห็นเรื่องแย่ๆ หลายเรื่องจะถูกสั่งสอนให้กลายเป็นเด็กไม่ดีได้ง่ายถูกมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหู “…นายจะคิดอย่างนั้นก็ได้”

ลู่ชิงจิ่วพูด “ถ้างั้นเจียงปู้ฮ่วนจะทำยังไงล่ะ จะให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดอย่างนั้นเหรอ”

ไป๋เยวี่ยหูพูดอย่างเฉียบขาด “นั่นเป็นไปไม่ได้”

เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเจ้าดาราที่เอาแต่กินดื่มที่บ้านคนนี้มากๆ แต่เขาก็ไม่สามารถขับไล่เจียงปู้ฮ่วนออกไปได้ ทันทีที่จากไปคาดว่าเจียงปู้ฮ่วนคงจะถูกฆ่าตายระหว่างทางออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่แน่

“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” ไป๋เยวี่ยหูหยิบพุทราสีเขียวมาหนึ่งกำ ใส่ลงในปากทั้งหมด เคี้ยวกรุบกรับจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนกลืนลงไป

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า “นายก็ระวังหน่อยล่ะ อย่าได้รับบาดเจ็บละกัน”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อยู่แล้วล่ะ”

ในใจของลู่ชิงจิ่วค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย

ไม่กี่วันถัดมา ภายในบ้านสงบมาก ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิช่างแสนสบาย ลู่ชิงจิ่วหั่นมันเทศที่เหลือจากฤดูหนาวออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นจึงนำไปตากให้เป็นมันเทศแห้ง หลังจากตากแดดแล้วมันเทศก็แห้งบางโปร่ง เคี้ยวแล้วหนึบหนับ แต่จะมีความชื้นมากกว่านำไปย่างไฟ อย่างไรเสียมันเทศเหล่านี้ยังไงก็กินไม่หมด นำมาจัดการทำเป็นของว่างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ลู่ชิงจิ่วใช้น้ำผึ้งส่วนเกินมาทำขนมมากมายหลายอย่าง ตอนนี้เขาใช้เตาอบมากขึ้น ควบคุมความร้อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาของขนมปังอบที่อบออกมาเกือบจะเหมือนกับที่วางขายในร้านขนมหวาน รสชาติดียิ่งกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นนมและน้ำผึ้งที่บ้านนั้นพิเศษมาก ไม่มีทางหาซื้อได้จากข้างนอก

คืนนั้นลู่ชิงจิ่วตัดต้นกุยช่าย และซื้อหมูสดอีกหลายชิ้นมาห่อทำเกี๊ยวสำหรับหนึ่งโต๊ะ เกี๊ยวแต่ละชิ้นแป้งบางไส้เยอะ ยังไม่ทันเอาลงหม้อก็สามารถดึงดูดผู้คนได้แล้ว อิ่นสวินผู้ชอบกินเกี๊ยวมากเอ่ยอย่างมีความสุขว่า “วันนี้ครอบครัวของพวกเรากำลังฉลองปีใหม่เหรอ ทำเกี๊ยวเยอะแยะขนาดนี้”

ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองเขานิดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร

“ทำไมนายทำหน้าตาแบบนั้นน่ะ” อิ่นสวินไม่เข้าใจ “กินเกี๊ยวนี่แล้วจะตายทันทีเลยหรือไง…อื้ม” ยังไม่ทันได้พูดจบ ลู่ชิงจิ่วก็ปิดปากของเขา

“เงียบปาก กินเกี๊ยวของนายไปเถอะ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยเสียงต่ำ

อิ่นสวินทำท่าหวาดกลัวก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่บ้านใครกำลังจะตายเหรอ” เขาชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ฉันใช่มั้ย” สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องการกำจัดอาหารสำรองที่ตุนไว้ให้เป็นอาหารบนโต๊ะแทนใช่มั้ย

ลู่ชิงจิ่ว “ใครจะอยากกินนาย กินแล้วได้ท้องเสียกันพอดี”

อิ่นสวิน “…”

ลู่ชิงจิ่ว “กินเจียงปู้ฮ่วนต่างหาก…ฮ่าๆ ใครบอกว่าจะกินคนล่ะ”

อิ่นสวิน “งั้นนายจะทำอะไรล่ะ”

ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “ถามทำไมเยอะแยะ เกี๊ยวไม่อร่อยเหรอ”

อิ่นสวินรู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างมีเหตุผล ในเมื่อคนถูกกินไม่ใช่เขา เขาจะถามให้มากความไปทำไม สู้เลือกที่จะเชื่อฟังและกินเกี๊ยวของตัวเองไปไม่ดีกว่าเหรอ

เจียงปู้ฮ่วนไม่รู้ว่ากำลังจะตาย สายตาทอดมองไปยังเกี๊ยวที่อยู่ในหม้อแล้วน้ำลายสอ พูดตามตรง เขากินของดีๆ มามากมาย แต่อาหารที่ลู่ชิงจิ่วทำไม่ว่ากินอย่างไรก็อร่อยทั้งนั้น พูดถึงเกี๊ยวธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า เขาชิมไปแค่ชิ้นเดียว รสชาติสดใหม่มาก มันไม่ใช่รสชาติของผงชูรส แต่เป็นรสของวัตถุดิบ ความอร่อยของส่วนผสมที่ลงตัวจากกุยช่ายและเนื้อหมูควบคู่ไปกับน้ำส้มสายชูและกระเทียมส่งผลโดยตรงถึงจิตวิญญาณ

ทว่านอกจากเกี๊ยวแล้ว สายตาของอิ่นสวินที่ยืนอยู่ด้านข้างมักทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เจียงปู้ฮ่วนอ่อนไหวต่อสายตาของผู้คน เขาหันศีรษะไป “ทำไมนายถึงเอาแต่มองฉัน”

อิ่นสวินคิดในใจ นี่มันเป็นการแสดงความสงสารต่ออาหารไม่ใช่หรือไง แต่เขาไม่กล้าพูด เพียงเอ่ยแค่ว่า “ไม่ใช่เพราะนายดูดีหรือไงล่ะ”

เป็นครั้งแรกที่เจียงปู้ฮ่วนได้รับคำชมจากผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย “โอ้ ขอบคุณนะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” อิ่นสวินกล่าว “ฉันดีใจที่ได้เจอนายนะ”

เจียงปู้ฮ่วน “…” น้ำเสียงที่เหมือนจะบอกว่าฉันกำลังจะตายมันคืออะไรกัน

แต่อยู่ต่อหน้าเกี๊ยวแสนอร่อยนั่นเจียงปู้ฮ่วนไม่คิดให้มากความ เมื่อเกี๊ยวถูกนำขึ้นโต๊ะ ลู่ชิงจิ่วก็เสิร์ฟให้เจียงปู้ฮ่วนหนึ่งชามใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มใจดี “เด็กๆ กินเถอะ กินเยอะๆ เลย”

เจียงปู้ฮ่วน “อืม…ครับ” เขากัดไปหนึ่งคำ รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้า “อร่อยจริงๆ” เกี๊ยวนี่มีไส้อัดแน่น หลังจากกัดเพียงหนึ่งคำน้ำเกรวี่ก็ไหลออกมา แม้ว่าจะยังร้อนอยู่ แต่ก็อร่อยจนยิ้มไม่หุบ เขากินคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่ได้

ลู่ชิงจิ่วต้มไว้ค่อนข้างเยอะ ข้างในยังมีส่วนที่เป็นไส้กุยช่ายและกุ้ง เจียงปู้ฮ่วนกินอาหารด้วยความพออกพอใจ กระทั่งหน้าท้องของเขาปูดขึ้นมา ช่วงนี้ไม่มีการจำกัดอาหารเลยสักนิด เขาอ้วนขึ้นแล้ว มันอาจไม่มีผลกระทบอะไรกับคนธรรมดา แต่กล้องจะทำให้คนตัวใหญ่ขึ้นอย่างที่สุด ผีก็รู้ว่าหลังจากที่เขากลับไปผู้จัดการจะทารุณเขาอย่างไร้มนุษยธรรมเพียงใด

คิดถึงวันที่เขาจะต้องมีชีวิตอยู่หลังจากนั้น เจียงปู้ฮ่วนก็กลืนเกี๊ยวอีกชิ้นผ่านลำคอลงท้องทันที

ลู่ชิงจิ่วไม่ได้เตือนอะไร ปล่อยให้เขากินไปพลางช่วยเติมเกี๊ยวให้เขาเป็นครั้งคราว ท่าทางอันอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้อิ่นสวินที่นั่งมองจากด้านข้างถึงกับตัวสั่น ในใจแอบบอกกับตัวเองว่าจากนี้ต้องระวังท่าทางของลู่ชิงจิ่ว…ภายในของคนที่ดูอ่อนโยนสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายได้โดยพลัน และนั่นคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุด

เจียงปู้ฮ่วนกินจนอิ่มหนำ เขานั่งย่อยอาหารบนเก้าอี้ ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “คุณอยากออกไปเดินย่อยอาหารข้างนอกมั้ย”

เดิมทีเจียงปู้ฮ่วนอยากปฏิเสธ แต่สายตาที่จริงใจของลู่ชิงจิ่วทำให้เขาไม่อาจพูดปฏิเสธออกมาได้ “เอาสิผมจะไปเดินเล่น”

ลู่ชิงจิ่วพูด “อื้ม ไปเถอะ”

เจียงปู้ฮ่วนเดินออกจากประตูไปช้าๆ ความจริงแล้วเขากลัวคนทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นปกติเวลาออกมาเดินเล่นเขาจะไปแค่บริเวณใกล้ๆ บ้านลู่ชิงจิ่ว ไม่ไปไหนไกลเกินกว่านั้น ชายหนุ่มเดินไปรอบๆ บ้าน ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เวลานี้พระอาทิตย์ตกทอประกายสวยงามที่เส้นขอบฟ้า นี่คือเหตุผลที่เจียงปู้ฮ่วนกล้าที่จะออกมาเดินรอบๆ เพราะถ้าฟ้ามืดแล้ว ให้ตายเขาก็ไม่กล้าที่จะออกจากบ้านลู่ชิงจิ่ว

บริเวณใกล้ๆ บ้านของลู่ชิงจิ่วมีผู้อยู่อาศัยไม่มากนัก ที่จริงแล้วมีเพียงครอบครัวของหลี่เสี่ยวอวี๋ครอบครัวเดียว เจียงปู้ฮ่วนเคยพบเด็กคนนั้น เด็กนั่นน่ารักมาก แต่เพราะอคติที่มีต่อหมู่บ้านสุ่ยฝู่ เจียงปู้ฮ่วนจึงไม่กล้าคุยกับเขา

เดินไปถึงบริเวณที่ลู่ชิงจิ่วจอดรถกระบะคันเล็ก หลังจากเดินวนอยู่ข้างๆ สองสามรอบ เจียงปู้ฮ่วนก็รู้สึกว่าท้องดีขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงตั้งใจจะเดินกลับ

ทว่าขณะเดินทางกลับเขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พอคิดดูดีๆ ก็พบว่าท้องฟ้าข้างบนศีรษะที่เคยมีแสงสว่างมืดลงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เจียงปู้ฮ่วนมองขึ้นไปเห็นเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสุ่ยฝู่ บดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ขณะนั้นบริเวณโดยรอบก็มืดลงจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือ

เจียงปู้ฮ่วนพลันประหลาดใจ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเริ่มรุนแรงขึ้น เขารู้ว่าสถานการณ์มีอะไรไม่ถูกต้อง ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดฉายไฟไปตามทางข้างหน้า รีบวิ่งไปยังลานบ้านของลู่ชิงจิ่วอย่างรวดเร็ว

ตอนแรกเขาก็อยู่ข้างๆ ลานบ้าน ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ เจียงปู้ฮ่วนวิ่งจนหายใจไม่ทัน แต่ก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของลานบ้าน เขาพยายามใช้โทรศัพท์มือถือส่องแสงไปรอบๆ ตัวเพื่อหาทางกลับ แต่พบว่าสภาพรอบตัวเขาแปลกตาไปมากเหมือนกับไม่เคยมาที่นี่

“มีใครอยู่มั้ย ที่นี่มีคนอยู่มั้ย ช่วยด้วย ช่วยด้วยอ่า…” เจียงปู้ฮ่วนร้องตะโกนอย่างหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะหอบแต่ก็ยังไม่กล้าหยุดฝีเท้า เดินโซเซต่อไปข้างหน้าโดยมีความมืดเป็นอุปสรรค หลังจากเดินไปอีกหลายสิบก้าว เจียงปู้ฮ่วนก็สะดุดก้อนหินล้มลงไปนั่งกับพื้น

หลังจากล้มลงแล้ว เดิมทีเขาคิดจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่อยู่เหนือศีรษะ บนศีรษะเขามีเมฆสีดำรวมเป็นรูปน้ำวนเหมือนกับน้ำทะเลที่ไหลไปมา ตรงกลางของเมฆดำมีดวงตาขนาดใหญ่ ดวงตานั้นสีเหลือง รูม่านตาเป็นแนวตั้งคล้ายสัตว์เลือดเย็นกำลังจ้องมองมาที่เจียงปู้ฮ่วนอย่างเย็นชา

“อ่า…” เจียงปู้ฮ่วนถูกสายตานี้จ้องมองก็ตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่ เขามองดูเมฆดำที่เปลี่ยนรูปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็กลายเป็นกรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ ดวงตาสีเหลืองกะพริบ กรงเล็บมังกรขนาดใหญ่พุ่งตรงมาครอบคลุมเจียงปู้ฮ่วน บรรยากาศรุนแรงมากจนเจียงปู้ฮ่วนไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ เขานั่งเฉยๆ ตรงนั้นราวกับกระต่ายที่กำลังหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับนักล่าดุร้ายซึ่งมีความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถเทียบเทียมได้ ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น

ขณะนั้นเองพระพุทธรูปบนหน้าอกของเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาครอบคลุมทั่วทั้งร่าง กรงเล็บมังกรนั้นนำมาซึ่งบรรยากาศที่กดดันพร้อมเสียงลมที่แผดร้อง และเมื่อเหลือบเห็นว่ามันกำลังจะกดทับร่างเจียงปู้ฮ่วน เจียงปู้ฮ่วนก็ตกใจสุดขีดจนลืมหลับตา จากนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงแผดร้องของมังกร ทันทีที่เสียงแผดร้องนั้นดังขึ้นมา กรงเล็บมังกรก็เหมือนจะเจออะไรบางอย่างกีดขวางให้หยุดอยู่กลางอากาศ

จากนั้นก็มีหมอกดำก่อตัวขึ้นบนพื้น เสียงแผดร้องต่ำๆ มาจากด้านใน ด้วยเสียงแผดร้องนั้นเมฆหมอกที่รวมตัวกันเป็นกรงเล็บมังกรก็ค่อยๆ สลายไปต่อหน้าต่อตาเจียงปู้ฮ่วน

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เจ้าของดวงตาสีเหลืองคู่นั้นดูเหมือนจะหงุดหงิด เมฆเริ่มม้วนตัวอย่างรุนแรง จากนั้นกรงเล็บสีดำเข้มก็ยื่นออกมาจากด้านหลังก้อนเมฆ สร้างรูขนาดใหญ่บนท้องฟ้าในทันใด พระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินส่องแสงพาดผ่านรูนั้น หมอกสีดำบนพื้นเริ่มพุ่งสูงขึ้น แล้วสลายหายไปกลางอากาศ ในที่สุดเจียงปู้ฮ่วนก็มองเห็นสัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่ซ่อนอยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน

มันคือมังกรสีดำท่าทางสง่างามตัวหนึ่ง ลำตัวของมันยาวมาก เขามังกรสีขาวขนาดใหญ่และส่วนหัวมังกรอันผ่าเผยกินพื้นที่ไปครึ่งค่อนฟ้า เกล็ดสีดำสะท้อนแสงระยิบระยับภายใต้แสงแดด ลำตัวของมันสมบูรณ์แบบไปทุกตารางนิ้วราวกับงานแกะสลักสุดประณีตของศิลปิน หากแต่ไม่มีศิลปินคนไหนสามารถแกะสลักสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ มันเป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ที่สวยงามและชวนตื่นตะลึงไปถึงจิตวิญญาณ

เจียงปู้ฮ่วนชะงักค้าง มังกรยักษ์ตัวนั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขา จากนั้นสัตว์ร้ายตัวยักษ์กลางกลุ่มเมฆก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจียงปู้ฮ่วน มันมีลักษณะบางส่วนคล้ายกับมังกรตัวใหญ่ เพียงแต่ในปากของมันเหมือนมีดาบเหล็กสีดำอยู่เล่มหนึ่ง เขาของมันไม่ใช่สีขาวสวยแต่เป็นสีดำ เมื่อมองเห็นมังกรอีกตัว มันก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ

เมฆเคลื่อนไหวปั่นป่วน ร่างของมังกรสองตัวพุ่งเข้าปะทะกัน ฟัน ร่างกาย และกรงเล็บของพวกมันล้วนเป็นอาวุธแหลมคม ต่างมีวิทยายุทธ์เก่งกาจ นี่คือการปะทะพลังกันแบบเก่าแก่ที่สุด เจียงปู้ฮ่วนที่มองอยู่ข้างหลังไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาได้รับผลกระทบจากมังกร เลือดเริ่มไหลออกจากจมูกและปาก ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ

ถ้าไม่ใช่เพราะลำแสงที่ปกคลุมรอบตัวเขา ชายหนุ่มอาจจะตายไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เขาเองก็แทบจะรับไม่ไหว เพื่อชีวิตของตัวเอง ชายหนุ่มจึงไม่กล้าที่จะดูอีกต่อไป เขาเอื้อมมือไปปิดหู

ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เสียงต่อสู้เหนือศีรษะยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง ดังคลอไปกับเสียงหยาดฝนที่โปรยปรายและเสียงสิ่งของตกลงสู่พื้น จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้เจียงปู้ฮ่วนรู้ดีว่ามันคือเลือดและเศษชิ้นส่วนต่างๆ ของมังกร เขาทั้งกลัวและกังวลในขณะเดียวกัน กังวลว่ามังกรดำในหมอกทึบจะเสียเปรียบ

เจียงปู้ฮ่วนขดตัวกลม ฟังไปเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เงียบสงบลงแล้ว ท้องฟ้ากลับสู่ความสงบ แสงที่ห่อหุ้มรอบตัวเขาหายไปแล้ว บนพื้นไม่มีทั้งคราบเลือดหรือเกล็ดใดๆ ถ้าไม่มีคราบเลือดแห้งระหว่างปากและจมูกของเขา ชายหนุ่มอาจคิดว่ามันเป็นความฝันอันแปลกประหลาด

แต่สภาพโดยรอบกลับสู่ลักษณะที่เขาคุ้นเคย เจียงปู้ฮ่วนลุกขึ้นจากพื้น รู้สึกเจ็บหน้าอก เขาไออยู่หลายครั้ง ก่อนจะไอก้อนเลือดออกมาจากลำคอ

โชคดีที่หลังจากไอออกมาแล้วความเจ็บปวดก็บรรเทาลงมาก เจียงปู้ฮ่วนเดินโซเซไปทางบ้านลู่ เดินไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงกังวลของลู่ชิงจิ่ว “เยวี่ยหู เยวี่ยหู นายโอเคมั้ย”

“ไม่เป็นไร” เสียงของไป๋เยวี่ยหูบางเบาเหมือนกับเมฆในสายลมที่อีกสักพักก็จะล่องลอยหายไป เขาเอ่ย “ฉันต้องพักผ่อน อย่ารบกวน”

“โอเค นายไปพักเถอะ” ลู่ชิงจิ่วรู้ว่าไป๋เยวี่ยหูผ่านการต่อสู้อันเลวร้ายมา ชายหนุ่มเป็นกังวลอย่างมาก แต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ “ฉันจะไปเตรียมอะไรให้นายกิน”

คราวนี้ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้ไปที่ลานบ้าน แต่เดินเข้าไปในห้องนอน เข้าไปแล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออกด้วยซ้ำ เมื่อก่อนไม่ว่าอย่างไรอย่างน้อยเขาก็จะเปลี่ยนชุดคลุมเปื้อนเลือดก่อนเข้านอนเสมอ

เจียงปู้ฮ่วนค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน ลู่ชิงจิ่วมองเห็นชายหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดก็รีบพูดว่า “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“ฉันไม่เป็นไร…” เจียงปู้ฮ่วนพูดอย่างยากลำบาก “อาการบาดเจ็บของไป๋เยวี่ยหูร้ายแรงหรือเปล่า”

ลู่ชิงจิ่วยิ้มขื่น “ฉันเองก็ไม่รู้ หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมาก”

เจียงปู้ฮ่วนถาม “ฉันเห็นเขาต่อสู้กับมังกรอีกตัวหนึ่ง”

ลู่ชิงจิ่วทวน “มังกรอีกตัวหนึ่ง?”

เจียงปู้ฮ่วนตอบ “อืม ทำไมเหรอ”

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกได้ถึงความวุ่นวาย “งั้นนายก็เห็นร่างจริงของไป๋เยวี่ยหูแล้ว?”

เจียงปู้ฮ่วน “เห็นแล้วล่ะ มีอะไรรึเปล่า” เขาชะงัก

ลู่ชิงจิ่ว “เป็นยังไงเหรอ”

เจียงปู้ฮ่วน “ก็เป็นแบบมังกร…?” เขางุนงงนิดหน่อย

ลู่ชิงจิ่วเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็หยุดไป ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หันกลับไปทำอาหารให้ไป๋เยวี่ยหู ปีศาจจิ้งจอกบ้านเขายังคงเจ็บอยู่ แม้ว่าเขาจะสงสัยมาก แต่เขาตัดสินใจว่าหลังจากนี้ค่อยศึกษาอีกทีว่าแท้จริงแล้วไป๋เยวี่ยหูคือมังกรชนิดไหนกันแน่

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 ต.. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: