X
    Categories: everYFantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย?ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 89-90 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 89 เรื่องในวันวาน

 

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะระบายมันออกมาได้ยังไง ในใจเขานั้นอยากจะปรับทุกข์กับคุณตาของตัวเอง แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดูท่าคุณตาจะสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อีกทั้งครั้งนี้จู้หรงก็ได้ตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องของกรงเล็บมังกร ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นไปเพราะอะไร

จูเหมี่ยวเหมี่ยวซึ่งอยู่ที่สวนกับไป๋เยวี่ยหูวันนี้กลับมาก่อนเวลา เมื่อกลับมาถึงเธอได้ฝากคำพูดจากไป๋เยวี่ยหูให้ลู่ชิงจิ่วว่าเขามีธุระบางอย่างที่ต้องไปสะสาง ไม่สามารถกลับมากินข้าวกลางวันด้วยได้

“เขาออกไปกับคนผมแดงนั่นเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

“อืม ใช่ ทำไมเหรอ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าแล้วย้อนถาม

ลู่ชิงจิ่วตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปเตรียมข้าวกลางวันละ” ถึงอย่างไรจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พูดเรื่องนี้ไปคงไม่มีประโยชน์อะไร

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าอย่างสงสัย

ลู่ชิงจิ่วยกยิ้ม เขาถกแขนเสื้อขึ้นและเดินปลีกตัวไปทำอาหาร มื้อเช้าที่กินไปมีแต่ข้าวเหนียวที่ค่อนข้างอยู่ท้องเป็นพิเศษ แม้ว่าอีกสักพักจะถึงมื้อกลางวันแล้วก็ตาม แต่เขากลับยังไม่มีความอยากอาหารในตอนนี้ ทว่าในบ้านยังมีอีกหลายท้องที่ตั้งตารออาหารของเขา ท้ายสุดเขาก็ต้องรวบรวมพลัง ก้มหน้าก้มตาเตรียมมื้อเที่ยงสุดอลังการเช่นเคย

ผลไม้ที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวไปเก็บมาถูกนำมารังสรรค์เป็นมื้อเที่ยง ลู่ชิงจิ่วใช้ข้าวเหนียวทำข้าวอบสับปะรด ตามมาด้วยเมนูกุ้งผัด หมูสามชั้นที่เหลือจากการเชือดหมูครั้งก่อนก็ถูกนำมาอุ่นร้อนและนำมาทำหมูผัดเกลือและต่อด้วยไก่ตุ๋นอีกครึ่งตัว

กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารเตะจมูกของจูเหมี่ยวเหมี่ยวจนน้ำลายสอ ถึงขนาดว่ามือข้างหนึ่งคีบตะเกียบไว้ไม่ยอมปล่อย จูเหมี่ยวเหมี่ยวเคยลิ้มลองอาหารดีๆ มาไม่น้อย แต่กลับไม่มีอาหารที่ไหนเลยที่จะอร่อยได้เท่าที่แห่งนี้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อเมนูอาหารอื่น แม้แต่ข้าวเปล่าในถ้วยก็หอมเสียจนเกินคำบรรยาย แต่ละเม็ดช่างขาวใส หวานหอมละมุน เพียงแค่ข้าวเปล่าถ้วยนี้ จูเหมี่ยวเหมี่ยวแทบจะไม่ต้องคีบอาหารอื่นเลยก็สามารถกินได้จนหมด

ลู่ชิงจิ่วมีความกระวนกระวายใจจึงไม่ค่อยเจริญอาหารมากนัก แต่เมื่อเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวสวาปามอาหารอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้ ลู่ชิงจิ่วเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย

พอเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวกับอิ่นสวินกินใกล้จะหมด ลู่ชิงจิ่วถึงได้ขอตัวไปนอนกลางวัน

เขาปลีกตัวออกไปจากโต๊ะอาหาร

“ลู่ชิงจิ่วเขาเป็นอะไรรึเปล่า” จูเหมี่ยวเหมี่ยวสะกิดถามอิ่นสวิน

“ดูเหมือนเมื่อเช้าน่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่างน่ะ” อิ่นสวินตอบกลับ

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเล่าเรื่องที่วันนี้ไป๋เยวี่ยหูออกไปกับคนคนหนึ่งให้ฟัง

“งั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาต้องมีอะไรบางอย่างกับไป๋เยวี่ยหูแน่ ช่างก่อนเถอะ รอเย็นนี้ที่ไป๋เยวี่ยหูกลับมาเขาก็น่าจะดีขึ้นแหละ ฉันไปล้างจานก่อนแล้วกัน เธอเองก็พักผ่อนด้วยล่ะ” อิ่นสวินกล่าว

ลู่ชิงจิ่วกลับไปที่ห้องตัวเอง หยิบกล่องไม้ที่คุณยายทิ้งไว้ให้ออกมา กล่องใบนี้มีสภาพที่กลับมาถูกปิดผนึกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะมีแค่วันเกิดของลู่ชิงจิ่วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดกล่องใบนี้ออกมาได้ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ของข้างในกล่องถูกลู่ชิงจิ่วนำออกมาหมดแล้ว ทั้งสมุดบันทึกของคุณยายเล่มนั้นและเกล็ดมังกรที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน

เมื่อได้เห็นเกล็ดนั่น ลู่ชิงจิ่วพลันนึกถึงอะไรบางอย่างในตอนที่เขาอาบน้ำให้ไป๋เยวี่ยหู ซึ่งอีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่าเกล็ดมังกรแต่ละชิ้นล้วนเป็นตัวแทนของความรู้สึก เมื่อวันใดที่เกล็ดมังกรร่วงโรยไป จะมีแค่กรณีที่เจ้าของเกล็ดยินยอมเท่านั้นถึงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

เกล็ดมังกรนี้คือสิ่งที่คุณตาได้มอบไว้ให้คุณยายของลู่ชิงจิ่วเป็นที่ระลึก และนั่นก็คือเครื่องพันธนาการชิ้นสุดท้ายของทั้งสองคน

ลู่ชิงจิ่วอดไม่ได้ที่จะหยิบเกล็ดมังกรนั้นขึ้นมาดู เขาใช้มือสัมผัสรอยขีดข่วนเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย ยิ่งเมื่อเขานึกถึงตอนที่จู้หรงหิ้วกรงเล็บมังกรซึ่งเต็มไปด้วยเลือดมา และคิดไปถึงว่าคุณตาเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่ ลู่ชิงจิ่วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความเศร้าใจ

เวลานี้ก็ประมาณบ่ายสองโมงแล้ว แสงอาทิตย์อันสว่างจ้าสาดส่องให้ลานหน้าบ้านสุกสว่าง อิ่นสวินและจูเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังนอนกลางวัน บรรยากาศของบ้านหลังเก่าในเวลานี้จึงทิ้งไว้แต่ความเงียบงันและเปล่าเปลี่ยว

ลู่ชิงจิ่วเองก็ตั้งใจว่าจะไปนอนพักสักครู่ แต่ระหว่างนั้นกลับสังเกตเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่นอกหน้าต่างห้อง ถ้าเป็นผีเสื้อธรรมดาก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ว่าผีเสื้อตัวนี้กลับดึงดูดให้ลู่ชิงจิ่วจดจ้องจนไม่อาจละสายตาได้ สาเหตุไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเพียงเพราะผีเสื้อตัวนี้สวยกว่าตัวไหนๆ ที่เขาเคยพบเห็น ปีกของมันเป็นสีน้ำเงินเข้มแซมด้วยลายสีดำประดับประดาอยู่ด้านบน ดูแล้วคล้ายกับมังกรสีดำที่บินฉวัดเฉวียนไปมา มันค่อยๆ ขยับปีกบินเข้ามาและจ่ออยู่ตรงหน้าของลู่ชิงจิ่ว ก่อนจะไปเกาะอยู่บนเกล็ดมังกรชิ้นนั้น

ลู่ชิงจิ่วเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกไปสัมผัส เพียงชั่วครู่ผีเสื้อตัวนั้นก็บินมาเกาะที่นิ้วของเขาและค่อยๆ ขยับปีกอย่างแผ่วเบาราวกับว่าจะสื่อสารอะไรบางอย่าง

“เธออยากจะบอกอะไรกับฉันงั้นเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

ผีเสื้อตัวนี้ราวกับฟังภาษาของลู่ชิงจิ่วรู้เรื่อง มันบินกลับไปอยู่กลางอากาศ ก่อนจะบินออกนอกหน้าต่างห้องไป เข้าๆ ออกๆ อยู่อย่างนี้เหมือนต้องการสื่อให้ลู่ชิงจิ่วตามมันออกไปด้านนอก

ลู่ชิงจิ่วนึกถึงก่อนหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณตาเองก็เคยใช้วิธีนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรีบตามออกไป

ลู่ชิงจิ่ววิ่งตามเจ้าผีเสื้อมาติดๆ ตลอดเส้นทางมีเพียงแค่เขาและเจ้าผีเสื้อตัวนี้ จนกระทั่งวิ่งออกมาจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นลู่ชิงจิ่วส่งข้อความสั้นๆ ไปบอกไป๋เยวี่ยหู โดยบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ ทั้งยังบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผีเสื้อตัวนั้นเริ่มค่อยๆ บินช้าลง ราวกับกลัวว่าลู่ชิงจิ่วจะตามมาไม่ทัน ซึ่งลู่ชิงจิ่วเองก็สังเกตเห็นแล้วว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในป่าลึกที่โดยรอบมีแต่ภาพอันไม่คุ้นตา เขาได้หลุดเข้ามาสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว ถ้าเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นโลกที่คุณตาของเขาอาศัยอยู่แน่นอน

รอบๆ ตัวเขาที่แต่เดิมเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าอันอุดมสมบูรณ์กลับกลายสภาพเป็นเศษซากอันแห้งเฉาที่ไม่หลงเหลือร่องรอยของความเขียวขจีไว้แต่อย่างใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสัตว์หรือแมลงอื่นๆ เพราะที่แห่งนี้ราวกับเป็นโลกที่ไร้สิ่งมีชีวิต ทั้งผืนป่านี้คงไว้แต่เพียงบรรยากาศอันเงียบสงัด

ท่ามกลางผืนป่าที่แห้งเฉา สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ได้เจอกับคนที่เขาต้องการตามหา เขาหยุดฝีเท้า เปล่งเสียงเรียกในสิ่งที่เขาอัดอั้นไว้อยู่นาน “คุณตา”

ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางต้นไม้โบราณค่อยๆ หันหน้ากลับมา เขาสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัว ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยแผลซึ่งยังไม่สมาน เมื่อชายคนนั้นได้ยินเสียงของลู่ชิงจิ่ว เขาก็ยิ้มออกมาและดูอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสภาพของเขา ณ เวลานี้ไม่สามารถที่จะพูดได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกวักมือเรียกลู่ชิงจิ่ว

“คุณตาไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ” ลู่ชิงจิ่วรีบวิ่งเข้าไปถาม

เอ๋ารุ่นฉีกยิ้มออกมา เขาอยากจะกุมมือของลู่ชิงจิ่วเหมือนแต่ก่อน ทว่าตอนนี้แขนขวาของเขาไม่มีแล้ว เอ๋ารุ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายกุมเข้าที่มือของลู่ชิงจิ่วแทน

เมื่อลู่ชิงจิ่วได้เห็นแขนขวาของคุณตาที่ขาดหายไป ความรู้สึกก็เหมือนกับมีอะไรมาจุกแน่นที่ลำคอ เขาแทบพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้เห็น

“คงเจ็บไม่น้อย จู้หรงบอกว่าถ้าหากคุณตาไม่กลับไปจะต้องตายแน่ๆ ผมเป็นห่วงมากครับ” ลู่ชิงจิ่วพูด

เอ๋ารุ่นได้แต่ยิ้มออกมา เขาเขียนที่ฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วว่า ‘ฉันจะไม่กลับไปอีกแล้ว’

“ทำไมล่ะครับ” ลู่ชิงจิ่วถามต่อ

เอ๋ารุ่นใช้ปลายนิ้วเขียนอธิบายลงบนฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วอย่างแผ่วเบานุ่มนวล เขาค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่า ‘ก่อนหน้านี้ที่ฉันอยู่ที่นั่น ก็เพียงเพื่อต้องการไถ่บาป แต่ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องออกมาจากที่นั่นแล้ว ลู่ชิงจิ่วหลานรัก ฉันหวังว่าวันหนึ่งเธอจะออกมาจากหมู่บ้านแห่งนั้น’

“เพราะอะไรครับ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย

เอ๋ารุ่นเขียนอธิบายต่อไปว่า ‘เพราะเมื่อถูกทำให้แปดเปื้อนแล้วถึงจะเข้าใจว่าการแปดเปื้อนนั้นคืออะไร’ เอ๋ารุ่นหัวเราะอย่างขมขื่นและเขียนต่อว่า ‘การแปดเปื้อนนั้น…ก็แค่การอธิบายที่เกินจริง พูดอีกอย่างก็คือมันสามารถทำให้คนเราระเบิดทุกความต้องการต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างน่าสะพรึงกลัว’

ลู่ชิงจิ่วนึกถึงคุณตาร่างผมแดงพร้อมถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ความต้องการของพวกมังกรก็คือการกินคนที่เรารักที่สุดงั้นเหรอครับ”

เอ๋ารุ่นพยักหน้าอธิบายต่อไปว่า ‘แต่ไหนแต่ไรก็เป็นเช่นนี้ แท้จริงแล้วพวกมนุษย์เองก็เช่นกัน ทว่าพวกเขามีความสามารถที่จำกัด การทำลายล้างของพวกเขาจึงถูกจำกัดไปด้วย ดังนั้นแล้วเมื่อมีผู้ที่ถูกทำให้แปดเปื้อน ผลที่เกิดจึงไม่ร้ายแรงมากนัก แต่สำหรับพวกเราเผ่ามังกร…เดิมทีเผ่ามังกรก็คือเทพเจ้า เมื่อเทพเจ้าแปดเปื้อน ขีดจำกัดการทำลายล้างก็คงแทบจะไม่ต้องกล่าวถึง’

ลู่ชิงจิ่วได้แต่รับฟังอยู่เงียบๆ แม้จะมีหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจในคำพูดของเอ๋ารุ่น แต่ก็ทำได้แค่เพียงติดเครื่องหมายคำถามไว้ในใจเท่านั้น

‘ฉันจะบอกให้ว่าปลายปีนั้นเกิดอะไรขึ้น เรื่องมันค่อนข้างโหดร้าย เธอต้องการจะฟังหรือไม่’ เอ๋ารุ่นเขียนที่มือของลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วรีบพยักหน้าตอบ ทว่าขณะเดียวกันนี้เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ชั่วร้ายบางอย่างซึ่งกำลังเกิดขึ้น

‘ฉันกับคุณยายของนายตอนที่รักกันใหม่ๆ พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างชื่นมื่นในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นเธอก็ตั้งครรภ์ แต่ก่อนที่ฉันจะได้รู้เรื่องนี้ก็ถูกกับดักเล่นงานเข้าแล้ว และโชคไม่ดี…เลยถูกทำให้แปดเปื้อน’ เอ๋ารุ่นเขียนอธิบาย

ลู่ชิงจิ่วนั่งลงข้างๆ เพื่อให้เอ๋ารุ่นเขียนได้สะดวกมากขึ้น ในครั้งแรกเขารู้สึกถึงความอ่อนล้าของเอ๋ารุ่น เพราะในตัวอีกฝ่ายไม่หลงเหลือกลิ่นอายความน่าเกรงขามของมังกรอีกเลย แต่กลับเป็นเหมือนหมอกกลางหุบเขาในยามเช้าที่ใกล้จะเลือนหายไป

ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาแล้ว ในขณะที่เอ๋ารุ่นค่อยๆ อธิบายให้ฟัง

เผ่ามังกรที่ถูกทำให้แปดเปื้อนแล้วจะไม่ถูกลงโทษใดๆ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ถือว่าเป็นเทพเจ้าโบราณ มังกรที่ถูกทำให้แปดเปื้อนมีข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือจะไม่สามารถกลับไปสู่โลกมนุษย์ได้ อีกทั้งมังกรพวกนี้หลังจากถูกทำให้แปดเปื้อนนิสัยก่อนหน้าเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่เมื่อแปดเปื้อนแล้วนิสัยจะเปลี่ยนไปแบบคนละขั้ว โกรธง่ายไม่ยอมใคร แม้แต่เอ๋ารุ่นที่มีนิสัยนุ่มนวลสุภาพก็ยังไม่สามารถต้านทานต่อความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ แม้ว่าในใจจะมีหลายอย่างที่ไม่ยินยอม แต่ก็กลัวว่าจะไปทำร้ายคนรักของตัวเอง สุดท้ายจึงเลือกที่จะออกห่างและจากไป ซึ่ง ณ เวลานี้เผ่ามังกรก็ได้ส่งคนใหม่มาทำหน้าที่แทนแล้ว ซึ่งเขาคนนั้นก็คือไป๋เยวี่ยหู

เอ๋ารุ่นที่กลับไปยังโลกต่างแดนของตนแล้วก็มาทราบข่าวทีหลังว่าคนรักของตนตั้งท้อง วินาทีนั้นเขาดีใจอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่อยากจะทำที่สุดก็คือการได้เห็นลูกของตัวเองออกมาลืมตาดูโลก แต่เขาเองก็ยังมีสติยั้งคิดได้ว่าหากตนกลับไปที่โลกมนุษย์ เป็นไปได้สูงว่าจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ ดังนั้นเอ๋ารุ่นจึงได้แต่เก็บงำความต้องการของตนและตั้งหน้าตั้งตาหาวิธียับยั้งการแปดเปื้อน

ตามคำอธิบายของเอ๋ารุ่น การแปดเปื้อนคือการที่กิเลสและความยับยั้งชั่งใจภายใต้จิตสำนึกสลับกันไปมาอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้วการยับยั้งชั่งใจจะกดทับกิเลสไว้ แต่เมื่อถูกทำให้แปดเปื้อนไปแล้วความสามารถในการยับยั้งชั่งใจจะไม่สามารถทำได้อย่างปกติ โดยปกติแล้วพวกมังกรปรารถนาที่จะกินสิ่งที่ตนเองรักมากที่สุด ดังนั้นยิ่งกับมังกรที่ถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยแล้ว ยิ่งจะไม่สามารถควบคุมจิตไม่ให้กินบุคคลอันเป็นที่รักของตนได้เลย

ตัวของเอ๋ารุ่นเองก็เคยมีความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งวันที่เขาเกือบจะไม่สามารถคุมจิตของตัวเองได้แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบวิธีลดทอนภาวะการแปดเปื้อน นั่นคือการแบ่งวิญญาณตัวเองออกเป็นสองส่วน โดยเอาส่วนที่แปดเปื้อนไปไว้อีกครึ่งหนึ่ง และส่วนนั้นก็คือสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วเคยได้พบเห็นจากคุณตาตัวเองในร่างของเอ๋ารุ่นที่มีผมสีแดง

การแบ่งวิญญาณออกเป็นสองร่างไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ สำหรับเผ่ามังกร หรือแม้แต่ตัวเอ๋ารุ่นเองที่ก็สูญเสียอำนาจในการควบคุมร่างกายของตนไป แต่โชคยังดีที่ตอนเขาได้สติสามารถแอบหนีออกมาที่โลกมนุษย์ได้ อย่างน้อยๆ ก็ยังได้เห็นคนที่ตัวเองรักและไม่ต้องกังวลใจว่าจะไปทำร้ายเธอผู้นั้น

เอ๋ารุ่นเฝ้ามองลูกสาวของตนออกมาลืมตาดูโลกและค่อยๆ เติบโตขึ้น จากนั้นคุณยายของลู่ชิงจิ่วก็ได้ร้องขอให้ลูกสาวออกจากหมู่บ้านไป แม้ในใจของเอ๋ารุ่นจะเจ็บปวดมากเพียงใด แต่ก็ได้แค่ทำความเข้าใจว่าการเป็นผู้พิทักษ์ไม่ปลอดภัยเท่ากับการเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คุณยายของลู่ชิงจิ่วไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับลูกสาวของตนอีก จึงไม่เคยปริปากบอกถึงการมีตัวตนของไป๋เยวี่ยหู เธอพยายามปิดบังทุกอย่างจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

เอ๋ารุ่นเขียนอธิบายมาถึงตรงนี้ มือของเขาก็หยุดชะงักลงครู่หนึ่ง ซึ่งลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่ได้เร่งเร้าให้คุณตาเขียนต่อแต่อย่างใด เขาได้แต่นั่งรอเงียบๆ ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองสังเกตใบหน้าของเอ๋ารุ่นอย่างละเอียด ทั้งตาและคิ้วช่างละม้ายคล้ายคลึงกับแม่ของตนมาก โดยเฉพาะตาคู่นั้นที่แต่เดิมสวยใสมีเสน่ห์ตอนนี้กลับกลายเป็นรูโพรงที่ว่างเปล่า ลู่ชิงจิ่วใช้เวลานี้สังเกตสิ่งอื่นรอบตัวอีกครั้ง แล้วเขาก็พบกับผีเสื้อตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนไหล่ด้านหลังของเอ๋ารุ่น ซึ่งมันก็คือตัวเดียวกันกับที่นำทางลู่ชิงจิ่วมาที่นี่นั่นเอง

“คุณตาเหนื่อยมั้ยครับ ถ้าเหนื่อยแล้วเราสองคนค่อยคุยกันครั้งหน้าก็ได้” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา

เอ๋ารุ่นส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกกับลู่ชิงจิ่วว่าตนเองนั้นไม่เหนื่อย

ลู่ชิงจิ่วตอบกลับ “เป็นห่วงคุณตามากนะครับ…” เขาได้กลิ่นคาวเลือดบนตัวของเอ๋ารุ่นในเวลาต่อมา

เอ๋ารุ่นถอนหายใจอ่อนๆ ใช้มือข้างซ้ายที่เหลืออยู่เอื้อมไปสัมผัสที่หัวของลู่ชิงจิ่วแผ่วเบา จากนั้นจึงเขียนเล่าต่อไปอีกว่าเขาใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูร้อน ตอนนั้นลู่ชิงจิ่วเติบโตมากแล้ว แม้เขาจะเคยเห็นลู่ชิงจิ่วมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่เคยโอบกอดเลยสักครั้ง

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา เขายื่นมือไปโอบกอดเอ๋ารุ่นอย่างแนบแน่นเหมือนกับครั้งที่เขากอดคุณยาย ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วไม่เหลือใครแล้วทั้งพ่อแม่และคุณยาย เอ๋ารุ่นจึงเป็นเพียงผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

‘วันนั้นเป็นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก ฉันได้ยินมาว่าแม่ของเธอจะกลับไปที่หมู่บ้าน ฉันเลยอยากแวะกลับไปหาสักหน่อย’ เอ๋ารุ่นค่อยๆ บรรจงเขียนต่อไปว่า ‘ทว่าเป็นตัวฉันเองที่คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น…ฉันคุมตัวเองไม่ได้’

สถานะของแม่ของลู่ชิงจิ่วค่อนข้างพิเศษคือเธอไม่ใช่ทั้งมนุษย์และไม่ใช่ทั้งมังกร โดยทั่วไปแล้วถ้ามนุษย์ถูกทำให้แปดเปื้อนเข้าดวงวิญญาณจะถูกสะกดไว้ที่หมู่บ้าน เช่นนี้คนเหล่านั้นจะไม่สามารถออกไปจากที่นี้ได้ ป้ายบูชาวิญญาณที่บ้านอิ่นสวินก็มีที่มาจากสาเหตุนี้ แต่สำหรับแม่ของลู่ชิงจิ่วเธอมีสายเลือดของมังกรอยู่ครึ่งหนึ่ง และวันที่แม่ของเขากลับไปที่หมู่บ้าน เธอก็ดันถูกทำให้แปดเปื้อนเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว

เอ๋ารุ่นไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าทำไมแม่ของลู่ชิงจิ่วจึงถูกทำให้แปดเปื้อน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงถาม เพราะดูจากสีหน้าของเอ๋ารุ่นแล้ว เขาเองก็พอจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่งของอีกฝ่าย

‘ทั้งหมดของเรื่องนี้มันมีคนอยู่เบื้องหลัง รวมถึงเรื่องฉันและแม่ของเธอด้วยเช่นกัน’ เอ๋ารุ่นเขียนเล่าต่อ

ลู่ชิงจิ่วได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาในทันใด

‘แม่ของเธอโชคร้ายไม่สามารถรอดพ้นได้ถึงได้ถูกทำให้แปดเปื้อน แต่เพราะเขามีสายเลือดมังกรอยู่ครึ่งหนึ่งเลยทำให้ไม่ถูกจองจำอยู่ที่หมู่บ้าน’ เอ๋ารุ่นเขียนต่อไปว่า ‘คุณยายของเธอไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครในเผ่ามังกรเว้นแต่ไป๋เยวี่ยหู มังกรตัวอื่นๆ ไม่มีใครทราบถึงเรื่องนี้เลย…’

ไป๋เยวี่ยหูรู้เรื่องแม่ของลู่ชิงจิ่วมาตั้งแต่แรก แต่ก็อาจจะเป็นเพราะคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับคุณยายของลู่ชิงจิ่ว ดังนั้นจึงไม่นำเรื่องนี้ไปบอกต่อ

‘ต่อมาก็ถึงฤดูร้อนของวันนั้น…’ มือของเอ๋ารุ่นเริ่มสั่นเบาๆ แม้สีหน้าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์ระทมขมขื่นที่แผ่ออกมาจากตัวของเอ๋ารุ่น ‘แม่ของนายกลับมาในวันนั้น ฉันอยากจะเจอหน้าเขา เพราะไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว’

ลู่ชิงจิ่วฟังถึงตอนนี้ก็ตาแดงขึ้นมา เขายกมือขึ้นไปซับน้ำตา พยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในใจ ส่วนอีกมือหนึ่งก็กุมที่หลังมือของเอ๋ารุ่นเพื่อปลอบใจ “คุณตา…”

เอ๋ารุ่นไม่ได้ตอบกลับใดๆ เพียงแต่ตบเบาๆ ที่มือของลู่ชิงจิ่ว และเขียนต่อไปว่า ‘แต่ว่าครั้งนั้นก็มีเรื่องไม่คาดคิดบางอย่างเกิดขึ้น’

แม่ของลู่ชิงจิ่ว ณ เวลานั้นระเบิดส่วนที่เป็นสายเลือดของมังกรออกมาแล้วกินคนรักของตัวเองลงไป ซึ่งนั่นก็คือพ่อของลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วที่รับรู้มาถึงจุดนี้รู้สึกเย็นวาบทั้งตัวตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ เขาเคยคาดเดาความเป็นไปได้ไว้ต่างๆ นานา แต่ก็ไม่เคยเดาถึงความจริงข้อนี้เลย เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น แม่ของเขาก็อารมณ์เปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนโมโหร้ายรุนแรง ตอนนั้นเป็นเขาเองที่คิดน้อย คิดว่าเรื่องที่เกิดมันมาจากความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของพ่อและแม่ จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าอารมณ์รุนแรงแบบนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร

มนุษย์ไม่มีพฤติกรรมกินคนที่ตัวเองรัก อีกทั้งจะไม่ทำร้ายคนรักถึงขนาดนี้ อย่างมากก็แค่หัวเสียใส่กัน แต่มังกรนั้นตรงข้ามกับมนุษย์ พวกเขามีนิสัยละโมบโดยกำเนิด อยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนรักลงไปในท้องเพื่อไม่ให้ใครก็ตามได้ครอบครองสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังนั้นนี่คือลักษณะการถูกทำให้แปดเปื้อนอย่างแน่นอน

แม่ของลู่ชิงจิ่วที่มีสายเลือดของเผ่ามังกรจึงสามารถกินคนรักของตัวเองลงไปได้อย่างไม่ลังเลใจ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ถูกเห็นมาตลอดโดยเอ๋ารุ่นซึ่งกลับมาเยี่ยมลูกสาวของตนที่โลกมนุษย์

ลู่ชิงจิ่วถึงกับพูดไม่ออก เขาได้แต่ฝังตัวเองอยู่ในความทุกข์ระทมอันยิ่งยวด เขาไม่อยากจะนึกภาพเหตุการณ์ในวันนั้น และยิ่งนึกไม่ออกว่าเอ๋ารุ่นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจะรู้สึกทุกข์ใจมากแค่ไหน

‘หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่บ้านหลังเก่าหลังนั้น’ เอ๋ารุ่นเขียนเล่าต่อไปว่า ‘ฉันรู้ว่าแม่ของเธอคิดจะทำอะไรต่อ เธอต้องการจะกินแม่ตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือคนรักของฉัน’ เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเอ๋ารุ่นก็พลันเศร้าขึ้นมา ก่อนจะยิ้มด้วยใบหน้าที่มีเมตตา ‘ฉันไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรอก คนรักของฉันฉันจะกินเองคนเดียวเท่านั้น’

“เพราะงั้น…คุณตาเลยกินคุณแม่ลงไปงั้นเหรอครับ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ

เอ๋ารุ่นพยักหน้า เขาเหมือนกังวลว่าลู่ชิงจิ่วจะรังเกียจตัวเขา จึงกุมมือลู่ชิงจิ่วไว้แน่นแม้มือนั้นจะสั่นจากความระส่ำระสายในจิตใจก็ตาม เอ๋ารุ่นเขียนต่อไปว่า ‘ตอนแรกฉันคิดจะขัดขวางเธอ แต่ตอนที่กำลังจะเริ่มใช้พลัง วิญญาณส่วนที่ถูกทำให้แปดเปื้อนกลับคืบคลานเข้ามาควบคุมร่างกายของฉัน เมื่อฉันได้สติกลับมา เธอก็หายไปแล้ว…’ ทิ้งไว้แต่เพียงรอยเลือดที่บาดใจและเศษซากเกล็ดมังกรที่หลุดร่วงอีกนับไม่ถ้วน

เรื่องต่อจากนี้ดูเหมือนว่าลู่ชิงจิ่วจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลาต่อมา

การที่เอ๋ารุ่นกินลูกสาวตัวเองลงไปนั้นจะต้องถูกลงโทษสถานหนักตามกฎของเผ่ามังกร ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถแก้ต่างได้แต่อย่างใด เพียงแค่ยังติดค้างที่ไม่ได้บอกเล่าต้นสายปลายเหตุ ทว่าเมื่อคิดดูแล้วก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะหากคุณยายของลู่ชิงจิ่วรู้เรื่องที่ลูกสาวตัวเองกินคนรักเข้าไปก็คงจะรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจไม่น้อย

และตอนนี้เองลู่ชิงจิ่วจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการรับรู้เรื่องราวบางอย่างนั้นสู้ไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า ตัวเขาเองได้รับรู้สาเหตุการตายของพ่อและแม่ตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับคำปลอบประโลมใจแต่อย่างใด เขาที่เห็นสภาพทุกขเวทนาของเอ๋ารุ่นก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือของคุณตาเอาไว้ มือของเอ๋ารุ่นเย็นยะเยือกราวกับร่างกายไม่มีอุณหภูมิความร้อนหลงเหลืออยู่เลย

“คุณตา เรากลับไปกันเถอะครับ คุยกับพวกเขาให้เข้าใจ” ลู่ชิงจิ่วยังคงมองดูสภาพของเอ๋ารุ่นต่อไป เขาทนไม่ได้ที่คนที่ตัวเองเคารพรักต้องอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานเช่นนี้

“พอกับการอยู่ในสภาพแบบนี้เสียทีนะครับ ผมเป็นหลานของตา ผมจะช่วยแก้ต่างให้เอง”

เอ๋ารุ่นยิ้มพลางส่ายหัว และเขียนว่า ‘ครั้งนี้ที่ฉันออกมามีจุดประสงค์บางอย่าง แต่ยังไปไม่ถึงจุดประสงค์นั้น ฉันยังกลับไปไม่ได้’

“จุดประสงค์อะไรกันครับ” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างร้อนรน

‘อย่างที่ได้บอกไป ฉันถูกทำให้แปดเปื้อนเพราะพลาดท่าให้แก่กับดัก ส่วนภายหลังที่แม่ของเธอแปดเปื้อนนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย’ เอ๋ารุ่นเขียนอธิบาย

“แปลว่าคุณตาต้องการจะหาคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้นใช่มั้ยครับ” ลู่ชิงจิ่วถามกลับทันทีที่เข้าใจเรื่องราว

เอ๋ารุ่นพยักหน้าตอบรับ

“คนพวกนั้นมันเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนี้” ลู่ชิงจิ่วนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ไป๋เยวี่ยหูเคยมอบให้และพูดกลับไปอีกทีว่า “หรือเรื่องมันจะเกี่ยวกับพวกมังกรจู้หลง”

ลู่ชิงจิ่วพูดไปได้สักพัก เอ๋ารุ่นก็เริ่มกระแอมขึ้นเบาๆ เอ๋ารุ่นใช้แรงค่อนข้างมากในการกระแอมแต่ละครั้ง จนกระทั่งเขาสำลักอากาศออกมา สภาพของเขาราวกับจะอาเจียนจนเครื่องในหลุดออกมาด้วย

ลู่ชิงจิ่วช่วยลูบหลังให้คุณตา อย่างน้อยก็เพื่อที่จะทำให้เอ๋ารุ่นรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้าง ทว่ายิ่งเขาลูบหลังให้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้น ลู่ชิงจิ่วสังเกตเห็นผีเสื้อตัวสีน้ำเงินที่เกาะอยู่ตรงหลังของเอ๋ารุ่นค่อยๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลู่ชิงจิ่วเข้าใจมาตลอดว่าผีเสื้อเหล่านี้คือบริวารรับใช้ของเอ๋ารุ่น ทว่าเมื่อสังเกตอย่างละเอียดจึงพบว่าผีเสื้อเหล่านี้กำลังดูดเลือดสดๆ บนเสื้อผ้าของเอ๋ารุ่นอยู่ ไม่ว่าจะไล่อย่างไรผีเสื้อพวกนี้ก็ไม่ยอมบินหนี ซ้ำยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

“คุณตา…คุณตา เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมผีเสื้อพวกนี้มันเพิ่มจำนวนไม่หยุดเลย” สีหน้าของลู่ชิงจิ่วเริ่มไม่สู้ดี

เมื่อเอ๋ารุ่นที่กำลังสำลักอากาศออกมาอย่างหนักได้ยินสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วถามถึง สีหน้าของเขาก็แสดงความฉงนใจขึ้นมาราวกับกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่ากลับถูกอาการสำลักที่ทวีความรุนแรงขึ้นขัดขวางไว้ไม่ให้พูดออกมาได้

ลู่ชิงจิ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่ตาเหลือกมองเอ๋ารุ่นที่กำลังอาเจียนไม่หยุด สีผมของอีกฝ่ายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง กลิ่นอายความอ่อนโยนบนตัวถูกแทนที่ด้วยมวลของอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด…วิญญาณอีกส่วนที่แปดเปื้อนกำลังจะปรากฏตัวออกมาแล้ว

ลู่ชิงจิ่วรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่ปลอดภัย แต่เขาเองก็ทำใจทิ้งคุณตาไปไม่ได้ ทันทีที่เอ๋ารุ่นหยุดอาการสำลัก อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของอีกฝ่าย ณ เวลานี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนอำมหิต เอ๋ารุ่นแสยะปากและเอ่ยกับลู่ชิงจิ่วด้วยน้ำเสียงที่แหบกร้านว่า “ไม่เจอกันนานนะ หลานรักของตา”

“คุณคือ…” ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วมองหน้าเอ๋ารุ่น

“ฉันก็คือคุณตาของแกไง ทำไมล่ะ เราไม่ได้รู้จักกันอยู่แล้วหรือไง” เอ๋ารุ่นตอบกลับพร้อมเหยียดตัวขึ้นตรง

ลู่ชิงจิ่วอยากจะยืนขึ้น ทว่ากลับถูกเอ๋ารุ่นใช้มือกดไหล่ไว้ตลอดแล้วพูดต่อไปว่า “เขาคงบอกทุกอย่างให้แกได้รับรู้หมดแล้วสินะ”

“ทุกอย่างที่ว่าคืออะไร” ลู่ชิงจิ่วถามกลับ

“แล้วแกอยากรู้อะไรล่ะ” เอ๋ารุ่นตวาดเสียงแทรกขึ้นทันที เหมือนว่าเขากำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก เอ๋ารุ่นสะบัดชายแขนเสื้อของตัวเองและพูดต่อไปอีกว่า “ไปบอกเขาด้วย เลิกดันทุรังฝืนสังขารใช้ร่างกายนี้ได้แล้ว ถ้าขืนยังดื้อรั้นอยู่อีกจะได้ตายจริงๆ แน่ ที่สำคัญชาตินี้อย่าหวังจะได้รู้เรื่องที่เขาตามหา”

“แกรู้ใช่มั้ยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร” ลู่ชิงจิ่วถามกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เอ๋ารุ่นหัวเราะดังลั่นและยื่นมือออกมา ก่อนผีเสื้อตัวสีน้ำเงินจะบินมาอยู่ตรงหน้าของลู่ชิงจิ่ว “ฉันต้องรู้แน่ ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีฉัน มันเป็นคนสร้างฉันขึ้นมา”

เอ๋ารุ่นสะบัดมือหนึ่งครั้ง ผีเสื้อก็บินกลับมาที่อุ้งมือของเขาและสลายกลายเป็นกลุ่มควันเย็นๆ ล่องลอยไปในอากาศ

ลู่ชิงจิ่วยังมีคำถามค้างคาอีกมากมาย ทว่าเอ๋ารุ่นกลับเอามือมากุมที่ศีรษะของเขา ลู่ชิงจิ่วสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูก ท้องฟ้าแปรปรวนวิปริต ภาพทุกอย่างที่เห็นมืดลงต่อหน้า แล้วเขาก็สลบไปทั้งอย่างนั้น

บทที่ 90 สีน้ำแข็ง

 

ลู่ชิงจิ่วกำลังฝันถึงเหตุการณ์หนึ่ง ในฝันเขาอยู่กลางภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เมื่อกวาดสายตามองออกไป ทั่วทั้งผืนฟ้าและผืนดินมีเพียงสีขาวโพลนของหิมะที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ลู่ชิงจิ่วเดินไปอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางหิมะที่ปกคลุม จนเมื่อเดินไปถึงตีนเขา ฝูงผีเสื้อสีน้ำแข็งก็โผบินออกมา พวกมันทะยานขึ้นสู่กลางอากาศ รวมตัวกันบดบังท้องฟ้าและแสงจากดวงอาทิตย์ ไม่นานพวกมันก็แผ่ปกคลุมทั่วภูเขาหิมะได้สำเร็จ ระหว่างนั้นมีผีเสื้อตัวหนึ่งมาเกาะที่ไหล่ของลู่ชิงจิ่ว แต่เมื่อมันเกาะที่ไหล่ของเขาก็กลับสลายกลายเป็นหิมะไปในทันที

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างกาย สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ เลือนรางลง ราวกับว่ากำลังจะหลุดออกจากความฝันประหลาดๆ นี้ ในห้วงเวลาก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา เขาเห็นภาพในภวังค์ที่มีผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปมาท่ามกลางเงาของคนคนหนึ่ง เงานั้นเหมือนเด็กสวมเสื้อสีน้ำแข็งทั่วทั้งตัว แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็เห็นได้ว่ามีผมสีน้ำเงินที่งดงาม เด็กคนนั้นมองดูลู่ชิงจิ่วจากไกลๆ นัยน์ตาของอีกฝ่ายราวกับสามารถมองทะลุตัวของลู่ชิงจิ่วได้อย่างไรอย่างนั้น

ลู่ชิงจิ่วกำลังจะเพ่งสังเกตอีกครั้ง แต่ไม่ทันไรก็ตื่นขึ้นเสียก่อน เสียงที่เลือนรางของไป๋เยวี่ยหูลอยเข้ามาที่ข้างหูของเขา อีกฝ่ายเรียกชื่อของลู่ชิงจิ่วอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ตื่นจากภวังค์

“ลู่ชิงจิ่ว…ลู่ชิงจิ่ว ตื่นเร็ว รีบตื่นขึ้นมาสิ”

ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นสีหน้ากังวลใจของไป๋เยวี่ยหูและสังเกตเห็นว่าเส้นผมของไป๋เยวี่ยหูยาวขึ้น ซึ่งนั่นแปลว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งใช้พลังไป

“ฉัน…ฉันอยู่ไหน” ลู่ชิงจิ่วตอบด้วยอาการมึนงง

“ที่ภูเขานั่น…มันเป็นคนพานายไปงั้นเหรอ” ไป๋เยวี่ยหูแสดงความไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจในตัวเอ๋ารุ่นเป็นอย่างมาก

“ไม่ใช่ ฉันอยากไปเองต่างหาก” ลู่ชิงจิ่วตอบกลับ

ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มองดูโดยรอบแล้วจึงพบว่าตัวเองอยู่บนผืนหญ้าแห่งหนึ่ง เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีแล้วความหนาวเหน็บเช่นเดียวกันกับในฝันเมื่อครู่ เพราะตอนนี้คือช่วงลมของเดือนหก ซึ่งมันได้พัดพากระแสความร้อนเข้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“มันทำอะไรนายหรือเปล่า” ไป๋เยวี่ยหูถามอย่างเป็นห่วง

ลู่ชิงจิ่วนิ่งไปชั่วครู่ “เขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่ของฉันให้ฟัง”

ไป๋เยวี่ยหูตกตะลึง

“เขาเป็นคนกินแม่ของฉันเข้าไป เพราะแม่ของฉันก็ถูกทำให้แปดเปื้อนเหมือนกัน หลังจากที่แม่กินร่างของพ่อไป แม่ก็อยากจะมากินคุณยายต่อ” เดิมลู่ชิงจิ่วคิดว่าการจะพูดเรื่องนี้ออกมานั้นคงยาก แต่ไม่นึกเลยว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋เยวี่ยหูแล้วกลับไม่ได้รู้สึกลำบากใจอย่างที่คิดไว้

ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไร เขาได้แต่ขยับไปสวมกอดลู่ชิงจิ่วอย่างแนบแน่น และนั่นก็ทำให้ลู่ชิงจิ่วอดใจไม่ได้ที่จะไปสวมกอดเขาตอบเช่นกัน

“ฉะนั้นแล้วคุณตาเลยต้องทำแบบนี้ ที่เขากินแม่ของฉันไปคือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้” ลู่ชิงจิ่วพูดต่อ

ไป๋เยวี่ยหูเงียบไม่พูดอะไร

“พวกเราเดินไปคุยไปกันเถอะ มื้อเที่ยงนายยังไม่ได้กินอะไรเลย คงจะหิวแย่แล้วล่ะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

เขายันตัวขึ้นจากบนพื้น ใช้มือไปปัดๆ เศษหญ้าที่ติดตามก้น สภาพของเขาตอนนี้ราวกับว่าไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

“ได้” ไป๋เยวี่ยหูเดินตามหลังลู่ชิงจิ่วไป

ระหว่างที่เดินลู่ชิงจิ่วเล่าเรื่องที่ได้เจอเอ๋ารุ่นให้ไป๋เยวี่ยหูฟังจนหมด และแน่นอนว่าในเนื้อหานั้นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง ลู่ชิงจิ่วคิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะหลุดพูดอะไรบางอย่างกับเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับฟังอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร มีแค่เพียงสายตาคู่นั้นที่ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ตลอดทาง

ลู่ชิงจิ่วเล่ามาถึงตอนที่เอ๋ารุ่นในร่างผมสีแดงนำมือมาแตะที่ศีรษะของตน ไป๋เยวี่ยหูเริ่มแสดงสีหน้าวิตกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยปากซักถามลู่ชิงจิ่วเกี่ยวกับลักษณะของผีเสื้อตัวนั้น

“ทำไมเหรอ ผีเสื้อตัวนั้นมันมีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความแปลกใจ

“ใช่ มันมีลักษณะพิเศษอยู่” ไป๋เยวี่ยหูตอบกลับ

“เป็นยังไงเหรอ” ลู่ชิงจิ่วตอบ

ไป๋เยวี่ยหูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ตอนนี้ยังไม่ขออธิบายให้ฟังแล้วกันนะ ฉันก็แค่มีข้อสันนิษฐานเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่กล้าฟันธงอะไรมากนัก”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะบอกอะไรให้รู้สักหน่อยนะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

“ผีเสื้อนั่นอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างระหว่างคนที่ทำให้ตานายแปดเปื้อนกับคนที่ทำให้แม่นายแปดเปื้อน” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

เมื่อคุยมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ลู่ชิงจิ่วก็นึกถึงความฝันประหลาดกับเงาของเด็กน้อยในดงผีเสื้อที่ภูเขาน้ำแข็งนั่น ความฝันนี้มันสื่อถึงอะไรกันแน่นะ หรือว่าเด็กคนนั้นคือคนที่อยู่เบื้องหลังงั้นหรือ ทว่าเมื่อลู่ชิงจิ่วพยายามบรรยายสิ่งที่ได้พบในฝันให้ไป๋เยวี่ยหูฟัง เขากลับมีแต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เหมือนจะไม่เข้าใจความนัยของฝันนั้นเลยแม้แต่น้อย

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ “งั้นรีบไปหาอะไรกินลงท้องเถอะ พอท้องหิวเลือดเลยไปเลี้ยงสมองไม่พอ จะคิดอะไรก็ยากที่จะคิดออก”

ทั้งสองเดินลงมาจากภูเขานั้นเพื่อกลับบ้าน จูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินที่กำลังนั่งรอที่ลานบ้านเมื่อเห็นพวกเขากลับมาก็ต่างโล่งใจไม่น้อย โดยเฉพาะอิ่นสวินที่คิดว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับลู่ชิงจิ่วแล้ว

“พวกเธอกินข้าวเย็นกันหรือยัง” ลู่ชิงจิ่วถาม

“ยังเลย พวกเรารอนายกลับมากินด้วยกัน” จูเหมี่ยวเหมี่ยวตอบ

“งั้นเดี๋ยวฉันทำอะไรง่ายๆ ให้กินแล้วกันนะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว ไม่มีเวลาที่จะทำอาหารอะไรพิสดารเลิศรสมากนัก เพื่อให้สะดวกและประหยัดเวลา ลู่ชิงจิ่วจึงลงมือทำบะหมี่แบบง่ายๆ แล้วทุกคนในบ้านก็ได้กินอาหารมื้อนี้กันไปแบบนั้น

พอกินกันเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง แต่ครั้งนี้ไม่ได้เล่าถึงเรื่องของเอ๋ารุ่น เพียงแต่บอกว่ามีธุระด่วนนิดหน่อยเลยต้องรีบขึ้นภูเขาไป ตัวเขาเองนั้นปลอดภัยดี เพื่อให้ทั้งจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินไม่ต้องเป็นห่วงเขา ตอนแรกอิ่นสวินอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป ส่วนจูเหมี่ยวเหมี่ยวเองก็สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูมีลับลมคมใน แม้จะรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

สุดท้ายจึงจบมื้อดึกนี้โดยที่ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเข้านอน

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอ่อนล้า เขารีบอาบน้ำแล้วเข้านอน ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็นอนอยู่ด้านข้างลู่ชิงจิ่วตามปกติ ก่อนนอนวันนี้พวกเขาปิดแอร์ไว้ ทว่าจู่ๆ หางขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนนุ่มอุ่นก็ปรากฏออกมาจากร่างกายของไป๋เยวี่ยหู

“นายยื่นหางออกมาทำไมกันเนี่ย” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างตกตะลึง อุณหภูมิตอนนี้จะปาไปสามสิบองศาแล้วนะ เอาหางมาโอบไว้แบบนี้เขาคงได้ร้อนตายแน่

“มันจำเป็นน่ะ” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

ลู่ชิงจิ่วเห็นไป๋เยวี่ยหูดูตอบอย่างมั่นใจขนาดนี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะซักไซ้อะไรต่อ จนกระทั่งเขาเพิ่งจะหลับได้ลง ถึงเข้าใจสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูบอกว่ามันจำเป็น ในฤดูร้อนที่อบอ้าวเช่นนี้อาการหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหันกลับเกิดขึ้นได้ มันมาจากความเย็นที่ฝังอยู่ในหัวและสุดท้ายก็ทำให้ร่างกายหนาวสั่น ฉะนั้นมีเพียงแค่วิธีการโอบกอดหางอุ่นๆ ขนนุ่มๆ นี้ที่จะสามารถทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น ทว่าค่ำคืนนี้ลู่ชิงจิ่วก็ต้องมากังวลใจ เมื่อกลับไปฝันถึงเหตุการณ์บนภูเขาน้ำแข็งและเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินที่บินว่อนไปมานับไม่ถ้วนอีกครั้ง ทว่าฝันในครั้งนี้ภาพอะไรหลายๆ อย่างค่อนข้างชัดเจนขึ้น ถึงขนาดว่าได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำแข็งที่ปริแตกออกจากกัน ทีแรกเขาคิดว่าแผ่นน้ำแข็งที่ยืนอยู่นั้นกำลังแยกตัวออก แต่เมื่อฟังไปเรื่อยๆ บวกกับเสียงที่ค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้น เขาจึงได้รู้ว่าเสียงเหล่านี้มันมาจากบนหัวของเขานั่นเอง

ลู่ชิงจิ่วที่กำลังอยู่ในความฝันเงยหน้าขึ้น เขาเห็นท้องฟ้าสีครามซึ่งเหมือนกระจกมหึมาบานหนึ่งค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากรอยแตกนั้นมีของสีดำบางอย่างร่วงโรยลงมา ในเวลาเดียวกันพวกผีเสื้อสีน้ำเงินก็บินว่อนไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนราวกับว่าฟ้ากำลังจะถล่ม

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสะพรึงกลัวกับภาพที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า เขาเห็นเหมือนว่าแผ่นฟ้าทั้งผืนกำลังจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น ในช่วงเวลาที่โลกทั้งใบกำลังจะมืดมิดลง ลู่ชิงจิ่วถูกเขย่าตัวอย่างแรง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากความหวาดกลัวลืมตาขึ้นมา และได้พบกับไป๋เยวี่ยหูที่กำลังจดจ้องมองเขาอย่างกังวลไม่น้อย

“เมื่อกี้…เมื่อกี้ฉันฝันร้าย” ลู่ชิงจิ่วพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือเข้าไปโผกอด ค่อยๆ บรรจงลูบหัวของลู่ชิงจิ่วแล้วพูดว่า “เขาคนนั้นกำลังจะมาแล้ว นายทนอีกนิดนะ”

ลู่ชิงจิ่วเพิ่งตื่นขึ้นมา สติสัมปชัญญะที่ยังคงเลือนรางทำให้เขาไม่ได้ถามไป๋เยวี่ยหูไปอย่างละเอียดเกี่ยวกับใครคนนั้น ตัวของลู่ชิงจิ่วเองยังคงรู้สึกระส่ำระสาย ไม่อาจดึงตัวเองออกจากห้วงอารมณ์ในความฝันนั้นได้

 

ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาที่หน้าต่าง เสียงฝีเท้าคนเดินมาหยุดที่หน้าประตูก่อนที่จะเคาะเรียก

“เข้ามา” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

คนคนนั้นผลักประตูเข้ามา ลู่ชิงจิ่วทอดสายตามองไปตามเสียงเท้าที่ก้าวเข้ามาโดยไม่คาดคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นคนคนเดียวกับที่มาหาไป๋เยวี่ยหูเมื่อวานนี้ ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือจู้หรงนั่นเอง

“เป็นยังไงบ้าง” จู้หรงเอ่ยถาม

“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ไอเย็นวิ่งเข้ากระดูกน่ะ” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

จู้หรงเดินมาที่ข้างตัวของลู่ชิงจิ่วแล้วนั่งลง เขาเริ่มสำรวจร่างกายของลู่ชิงจิ่วและสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ลู่ชิงจิ่วพลอยกังวลใจไปด้วย ราวกับว่ากำลังตรวจเจอโรคร้ายอะไรสักอย่าง

“ฉัน…ฉันไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” การที่จู้หรงแสดงออกมาเช่นนี้ทำเอาลู่ชิงจิ่วที่อยากจะนอนต่อไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ลู่ชิงจิ่วยื่นมือออกมาให้จู้หรงจับชีพจร

“อืม…” จู้หรงหน้านิ่วคิ้วขมวด

ลู่ชิงจิ่วกลั้นลมหายใจ ในใจเขาลุ้นเหมือนกับกำลังรอการพิพากษาคดีร้ายแรงอะไรสักอย่าง

“น่าเป็นห่วง” จู้หรงเอ่ยปากตอบเบาๆ สั้นๆ

ลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ในหัวของลู่ชิงจิ่วครุ่นคิดถึงแต่ชื่อโรคร้ายสารพัด ไป๋เยวี่ยหูที่ยังคงหนักแน่นกว่าลู่ชิงจิ่วเข้ากุมมือของลู่ชิงจิ่วก่อนถามกลับไปว่า “ช่วยพูดให้ละเอียดหน่อย”

“เวลานี้ก็ใกล้จะเข้าฤดูร้อนเต็มตัวแล้ว เกรงว่าร่างกายของลู่ชิงจิ่วจะ…” จู้หรงตอบ

ลู่ชิงจิ่วกลืนน้ำลาย ใจจดใจจ่อเฝ้ารอคำตอบของจู้หรง ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็อดทนไว้ไม่พูดเพื่อรอให้จู้หรงพูดให้เสร็จก่อน

“เกรงว่าฤดูร้อนนี้จะกินของเย็นๆ ไม่ได้นะ” จู้หรงพูด

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหู “…”

ทั้งลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนลู่ชิงจิ่วจะพูดต่อว่า “แค่นี้เองเหรอ”

จู้หรงเลยรีบแก้ต่างไปว่า “ก็ห้ามกินของเย็นๆ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเหรอ” จู้หรงสะบัดมือไปมา แล้วจากนั้นที่ปลายนิ้วก็เกิดเปลวเพลิงขึ้น เปลวเพลิงที่ราวกับมีชีวิตนั้นแล่นไปแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังของลู่ชิงจิ่ว ลู่ชิงจิ่วที่รู้สึกหนาวเหน็บมาตลอดเพียงแค่ไฟนี้วิ่งเข้าไปในตัวเขาก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาในทันที ไม่ต้องรู้สึกหนาวอีกต่อไป

ไอเย็นออกไปจากร่างกายของลู่ชิงจิ่ว ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมาก “ปกติฉันก็ไม่ค่อยชอบกินของเย็นเท่าไหร่หรอก กินไม่กินก็คงไม่ได้กระทบอะไรมากน่ะ”

จู้หรงได้ยินแบบนั้นแล้วก็หน้าถอดสีและพูดว่า “มนุษย์อย่างพวกนายมันช่างน่ากลัวจริงๆ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

จู้หรงค่อนข้างอึดอัดใจ เพราะเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก ในฤดูร้อนแบบนี้การที่อยากหาอะไรเย็นๆ กินสักหน่อยถือว่าเป็นเรื่องปกติ ยิ่งร่างกายที่ร้อนเหมือนไฟแบบนี้ด้วยแล้ว ก็อยากจะดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ สักแก้ว หรือกินไอศกรีมรสนม มันคงจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขไม่น้อย ฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าคนคนหนึ่งแม้แต่ในฤดูร้อนยังไม่สามารถจะหาอะไรเย็นๆ กินได้…จู้หรงคิดถึงจุดนี้แล้วก็คงทำให้เขาแสดงสีหน้าออกมาเช่นนั้น

“แล้วยังมีอาการอื่นที่น่าเป็นห่วงอีกมั้ย” ลู่ชิงจิ่วถามต่อ

จู้หรงส่ายหน้า

เปลวไฟเมื่อครู่ที่ช่วยขับไอเย็นให้ลู่ชิงจิ่วแทรกซึมออกมาเป็นรูปร่างของผีเสื้อ ลู่ชิงจิ่วจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ และเขาก็ต้องตกตะลึงว่าผีเสื้อที่ออกมาจากร่างเขามีลักษณะคล้ายกับผีเสื้อสีน้ำเงินตัวนั้นมาก มีเพียงแค่อย่างเดียวที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือสีระหว่างทั้งสองตัว

ลู่ชิงจิ่วมองไปที่หน้าของไป๋เยวี่ยหู ไป๋เยวี่ยหูส่งสายตาให้เขาเพื่อจะบอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้

“เรียบร้อย ฉันช่วยขับไอเย็นออกให้แล้วนะ จากนี้ไปก็พยายามรักษาความอบอุ่นของร่างกายแล้วก็อย่าไปสถานที่หนาวจัด ฉันขอตัวก่อนนะ” จู้หรงกล่าว

จู้หรงที่ถูกเรียกให้มาช่วยโดยไป๋เยวี่ยหูปลีกตัวกลับไปเมื่อเสร็จสิ้นธุระ

จนเมื่อจู้หรงกลับไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงหันหน้าไปพูดกับไป๋เยวี่ยหูว่า “ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่ให้ฉันพูดล่ะ”

“ถ้านายพูดออกไปแล้วล่ะก็ จู้หรงคงรู้เรื่องที่นายเจอกับคุณตาแน่” ไป๋เยวี่ยหูกล่าว

ลู่ชิงจิ่วเข้าใจได้ในทันทีว่าที่แท้จู้หรงก็คือคนสำเร็จโทษผู้กระทำผิด หน้าที่ของเขาคือการตามล่าตัวของเอ๋ารุ่น ขอเพียงแค่เอ๋ารุ่นไม่กลับมาที่นี่อีก จู้หรงก็จะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ กรงเล็บมังกรที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นก่อนหน้าคือเครื่องยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

“ก็จริงอยู่ แต่ว่าทำไมผีเสื้อตัวที่ฉันเคยเห็นถึงมีรูปร่างไม่ต่างกับที่อยู่บนตัวของจู้หรงล่ะ หรือว่าสองคนนี้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วพูด

“ฉันเองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่” ไป๋เยวี่ยหูตอบ แต่ตอนนี้เขายังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้

ลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูแสดงสีหน้าวิตกเหมือนกัน

เท่าที่เห็นตอนนี้ ร่างกายของลู่ชิงจิ่วคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ถ้าทำตามที่จู้หรงบอกไว้ ขอแค่ฤดูร้อนนี้ไม่กินของเย็น ไม่ไปสถานที่เย็นจัดก็คงไม่มีอะไรน่ากังวล ทว่าเรื่องปัญหาทางใจของเขากลับมีไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นเรื่องที่ว่าเจ้าของผีเสื้อนั้นคือใคร แล้วเอ๋ารุ่นในร่างผมแดงทำไมต้องเอาผีเสื้อนั่นมาฝังไว้ที่ศีรษะของเขาด้วย…

ถ้าเอ๋ารุ่นต้องการจะฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ออกแรงนิดหน่อยเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียตัวเขาก็มีสายเลือดมังกรอยู่เพียงแค่หนึ่งส่วนสี่ แทบจะไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ในหัวของเขาครุ่นคิดไปมาเช่นนี้ สุดท้ายก็ลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าตามเดิม

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเห็นลู่ชิงจิ่วสีหน้าไม่สู้ดีนักก็พลันคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน จึงเอ่ยปากเสนอตัวช่วยเตรียมอาหาร ลู่ชิงจิ่วปฏิเสธความหวังดีของจูเหมี่ยวเหมี่ยว ซ้ำยังเหลือบไปเห็นสีหน้ากังวลของอิ่นสวิน นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและคิดว่าตัวเองจริงจังเกินไปหรือเปล่า แม้ว่าจะมีปัญหาทางใจ แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ไขได้ภายในวันสองวัน สู้ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันดีกว่า ใช้ชีวิตตอนนี้ให้มีความสุขก่อน ยิ่งไปกว่านั้นจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็ลาพักผ่อนมาได้แค่สามวัน เขาไม่ควรเอาปัญหาตัวเองไปวางไว้บนบ่าคนอื่น

ลู่ชิงจิ่วจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นเขาจึงส่งยิ้มออกมา แสดงอารมณ์ที่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้งอย่างที่เคยเป็น

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า มัวแต่มานั่งกังวลเรื่องของฉันสู้เอาเวลาไปคิดว่ามื้อเที่ยงนี้จะกินอะไรดีกว่ามั้ย” ลู่ชิงจิ่วพูด

“กินอะไรงั้นเหรอ นายทำอะไรฉันก็กินอันนั้นแหละ อร่อยทุกอย่างเลย” จูเหมี่ยวเหมี่ยวผู้ซึ่งไม่เคยปฏิเสธอะไรเอ่ยตอบ

“งั้นก็ให้ไป๋เยวี่ยหูล่ากระต่ายมาสักตัวดีมั้ย พวกเรามาทำหม้อไฟเนื้อกระต่ายกันดีกว่า ส่วนอิ่นสวินนายออกไปเก็บผักมานะ เอามาทุกชนิดเลย” ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด

อิ่นสวินดีใจจนส่งเสียงออกมา เขารีบคว้าตะกร้าแล้ววิ่งออกไป

จูเหมี่ยวเหมี่ยวช่วยลู่ชิงจิ่วเตรียมอาหารอยู่ในครัว ระหว่างนั้นก็ชวนคุยเรื่องสถานการณ์ทั่วไปของที่ทำงาน เธอเล่าถึงหัวหน้าอู๋ที่เคยมีเรื่องทะเลาะกับเขา ซึ่งตอนนี้ถูกเสนอให้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงปฏิเสธการเลื่อนขั้นแล้วเลือกที่จะอยู่แผนกนี้ตามเดิม นิสัยเขาเดี๋ยวนี้ดีขึ้นกว่าเก่าเยอะ พนักงานในบริษัทกล้าหยอกล้อกับเขามากขึ้น หรือนี่เป็นเพราะว่าหัวหน้าอู๋ทำใจไม่ได้ที่จะต้องแยกจากพนักงานของตัวเองกันแน่นะ

ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินเรื่องของหัวหน้าอู๋ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องของต้นไม้โบราณอย่างเหล่าซู่ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วด้วยบุญกรรมวาสนาอะไรไม่รู้ทำให้อู๋เซียวได้ไปแต่งงานกับเหล่าซู่ ตอนแรกเขาเองก็เป็นห่วงไม่น้อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรอีกเลย ดูท่าสองคนนี้คงจะเข้ากันได้ดี เดือนแปดที่กำลังจะมาถึงนี้ ลู่ชิงจิ่วจะกลับไปเซ่นไหว้พ่อแม่ตัวเอง คิดว่าระหว่างทางจะแวะไปเยี่ยมเหล่าซู่เสียหน่อย อย่างน้อยก็ถือว่ายังได้เจอกัน

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่รู้เรื่องนี้ ยังคงเล่าเรื่องของอู๋เซียวต่อไป เธอบอกว่าหัวหน้าอู๋รู้จักดูแลตัวเอง เดี๋ยวนี้ดูหนุ่มกว่าแต่ก่อนเยอะ ทุกคนต่างพากันคิดว่าเขากำลังมีความรัก แต่ไม่เคยมีใครเห็นแฟนของเขาเลย รู้เพียงว่าทุกวันหลังเลิกงานอู๋เซียวจะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะอยู่นานหลายชั่วโมง ซ้ำยังมีพนักงานบางคนเคยเห็นอู๋เซียวพูดคนเดียวด้วย แต่ว่าเรื่องนี้กลับไม่ค่อยมีคนรู้มากนัก เพราะอย่างไรตามนิสัยที่จริงจังและดูซีเรียสก็เหมือนจะกลายเป็นภาพฝังหัวของใครหลายคนไปแล้ว

“จะว่าไป…หรือหัวหน้าอู๋คนนี้อาจจะโดนปีศาจเข้าสิง? คิดว่าเป็นไปได้มั้ยนะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูดในขณะที่ก้มหน้าปอกกระเทียม

“อืม…ก็เป็นไปได้นะ” จะว่าไปแล้วเหล่าซู่เองก็เป็นปีศาจจำพวกต้นไม้ประเภทหนึ่ง

“ปีศาจที่ทำให้อู๋เซียวหลงเสน่ห์ได้ขนาดนี้คงจะสวยน่าดูเลย ก็คงเหมือนกับไป๋เยวี่ยหูล่ะเนอะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูด

ลู่ชิงจิ่วที่นึกถึงใบหน้าอันงดงามของไป๋เยวี่ยหูและร่างเดิมของเขาที่ถูกเด็กน้อยเมินเฉยก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

จูเหมี่ยวเหมี่ยวได้เห็นลู่ชิงจิ่วอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ อย่างไรเขาเองก็เป็นคนคนหนึ่ง จิตใจย่อมคิดเล็กคิดน้อยเป็นธรรมดา พอเห็นแบบนี้ก็รู้ได้เลยว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่สบายใจมาแน่นอน ไม่อย่างนั้นลู่ชิงจิ่วคงไม่แสดงสีหน้าแบบนั้นหรอก แต่ว่าในเมื่อตัวลู่ชิงจิ่วไม่สะดวกใจที่จะพูด เธอเองก็ไม่อยากคะยั้นคะยอเพราะคงเป็นเรื่องส่วนตัว

อิ่นสวินเก็บผักสดๆ กลับมา ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็เดินตามมาติดๆ ในมือของเขาหิ้วนกสวยตัวใหญ่มาหนึ่งตัว ลำตัวของมันมีขนสีแดงสวยสดไปทั้งตัว ปากสีคราม มีตำหนิเพียงแค่ที่เดียวคือคอของมันที่ถูกหักโดยไป๋เยวี่ยหูจนเอียงเทไปข้างหนึ่ง

จูเหมี่ยวเหมี่ยวที่เห็นขนอันสวยงามของมันเอ่ยปากถาม “นี่มันคือนกอะไรเนี่ย คงจะไม่ใช่สัตว์คุ้มครองใช่มั้ย”

“ไม่ใช่หรอกน่า”

ลู่ชิงจิ่วรู้ดีว่าถ้าไป๋เยวี่ยหูออกไปล่าสัตว์เมื่อไหร่ นั่นแปลว่าอีกฝ่ายจะไม่ล่าสัตว์ของมนุษย์ แม้ว่าเขาจะยังนึกไม่ออกว่านี่คือนกอะไร แต่อย่างเดียวที่เขากล้าพูดก็คือรสชาติของมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

“มันคือนกหลิงเยา อร่อยนะ” ไป๋เยวี่ยหูพูด

ลู่ชิงจิ่วเคยได้ยินที่มาของนกประเภทนี้ ที่แท้มันคือนกหลิงเยาที่มาจากตำนานปักษาในคัมภีร์ซานไห่จิงนี่เอง ทั้งตัวของมันจะมีสีแดงสด มีเพียงแค่ส่วนของปากเท่านั้นที่เป็นสีคราม ใครก็ตามที่ได้กินเนื้อของมันจะไม่ฝันร้าย อีกทั้งมันยังสามารถช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคลได้ด้วย ลู่ชิงจิ่วส่งสายตาไปยังไป๋เยวี่ยหู ทั้งสองคนมองหน้าอย่างเข้าใจความหมายของกันและกัน เห็นได้ชัดว่าไป๋เยวี่ยหูทำแบบนี้เพราะเห็นสภาพที่ทุกข์ทรมานจากฝันร้ายของลู่ชิงจิ่ว เขาเลยตั้งใจออกไปล่านกประเภทนี้มาโดยเฉพาะ

ลู่ชิงจิ่วใจเต้นเบาๆ ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “งั้นฝากนายไปจัดการเอาขนมันออกให้หน่อย เดี๋ยวจะได้เอามาปรุงพร้อมกับเนื้อกระต่ายวันนี้”

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้าตอบรับ

“ขนของมันเก็บไว้ให้ฉันเถอะ สวยขนาดนี้จะทิ้งก็น่าเสียดาย ว่าจะเอาไปทำงานฝีมือสักหน่อยน่ะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวรีบพูดขึ้นมา

ไป๋เยวี่ยหูส่งเสียงอืม เขาทำตามที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวขอมา

ในอีกโลกหนึ่งมันคือการมีชีวิตอยู่แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ซึ่งต่างกับโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่ โลกของอมนุษย์มีกฎฟ้าดินเป็นข้อบังคับใหญ่สุด ทว่ากฎฟ้าดินกลับไม่ได้มีไว้เพื่อคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่มันทำหน้าที่เพียงแค่ควบคุมการใช้พลัง ไป๋เยวี่ยหูมีสายเลือดของมังกร เขาคือนักล่าแถวบน และถือเป็นชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารก็ว่าได้

ลู่ชิงจิ่วต้มซุปเสร็จแล้ว เขาแล่เนื้อกระต่ายออกเป็นชิ้นๆ ส่วนจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็จัดการกับขนของนกตัวนั้น เธอคิดที่จะนำไปเป็นของขวัญให้กับเพื่อนร่วมงานของเธอด้วย

เมื่ออิ่นสวินจัดแจงพวกเมนูผักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปตระเตรียมพวกภาชนะถ้วยชามและนั่งเฝ้ารออาหารที่เหลืออย่างเงียบๆ

พอลู่ชิงจิ่วประกอบเตาไฟฟ้าเสร็จ เขาก็ยกหม้อน้ำซุปสีแดงฉูดฉาดขึ้นมาวางบนเตาพร้อมเปิดไฟ จากนั้นจึงนำเนื้อกระต่ายและนกหลิงเยาใส่ลงไปต้ม เนื้อขาวๆ นุ่มๆ ที่ถูกใส่ลงไปในน้ำซุปแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้น้ำลายสอ กลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ทั้งจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินเห็นเช่นนั้นก็ต่างพากันอดใจไม่อยู่

ลู่ชิงจิ่วเตรียมเครื่องปรุงเสร็จ เห็นว่าเนื้อที่ต้มไปนั้นใกล้จะสุกได้ที่แล้ว จึงบอกให้ทุกคนเตรียมตะเกียบไว้ให้พร้อม

เมื่อเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ต่างไม่เกรงใจ คว้าตะเกียบไปคีบเนื้อส่วนที่อวบอ้วนที่สุดขึ้นมา ลู่ชิงจิ่วชิมเนื้อของนกหลิงเยา พบว่ารสชาติไม่เลวเลยทีเดียว คล้ายๆ กับเนื้อไก่แต่กลับละมุนกว่ามาก การที่เขาได้ลิ้มรสอาหารที่ไขมันมากแต่ไม่เลี่ยน กระดูกไม่เยอะมาก ทั้งยังถูกนำมาต้มในน้ำซุปเดือดๆ เช่นนี้มันช่างนุ่มละมุนปากเสียจริง ทั้งหอมและเผ็ดอยู่ในทีเดียวกัน

“อร่อยมาก เนื้อนี่รสชาติสุดยอด รีบๆ มาชิมกันเร็ว” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยปากชม

ทุกคนได้ลิ้มรสและต่างพากันเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย ลู่ชิงจิ่วหยิบชามออกมาใบหนึ่ง เตรียมแบ่งเนื้อบางส่วนไปให้ซูซี เสี่ยวเฮย และเสี่ยวฮวา แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะเอาไปฝากสนมเทพสายฝนด้วย

เมื่อเนื้อทั้งหม้อถูกจัดการจนหมดในพริบตา ลู่ชิงจิ่วก็เตรียมหม้อที่สองต่อทันที โดยไม่ลืมที่จะใส่ผักลงไปในหม้อด้วย มีทั้งเห็ดเข็มทอง ผักโหยวม่าย* ฟักทอง รวมทั้งวุ้นเส้นด้วย จูเหมี่ยวเหมี่ยวกับอิ่นสวินเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ส่วนไป๋เยวี่ยหูที่แม้จะดูสุขุมนิ่งๆ แต่แท้จริงแล้วเขาเองก็เตรียมซุ่มเข้าไปกินไม่ต่างกัน แม้แต่ตะเกียบในมือยังสั่นอยู่เรื่อยๆ

“เสร็จหรือยังเนี่ย” อิ่นสวินอดใจรอไม่ไหว หันหน้าไปถามลู่ชิงจิ่ว

“เอ่อ แป๊บนะ ขอดูก่อน” ลู่ชิงจิ่วคีบเนื้อขึ้นมาแล้วชิมไปคำหนึ่ง จากนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วตอบว่า “โอเค ได้ที่แล้ว กินได้เลย”

ทันทีที่สิ้นเสียงของลู่ชิงจิ่ว ทั้งสามคนที่เหลือต่างกระโจนเข้าไปคีบเนื้อในหม้อออกมาราวกับฉากสงคราม มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้ครอบครองเนื้อมากที่สุด

ลู่ชิงจิ่วเห็นสภาพของทั้งสามคนที่ตะเกียบในมือบินว่อนฉวัดเฉวียน ทีแรกไป๋เยวี่ยหูพยายามเก็บอาการอยากนั้นไว้ แต่ตอนหลังเก็บไม่อยู่ เขากินแม้กระทั่งกระดูกโดยไม่คาย จูเหมี่ยวเหมี่ยวเห็นว่าไป๋เยวี่ยหูขี้โกง เธอเลยถึงกับส่งเสียงออกมาว่า “โอ้โห ไป๋เยวี่ยหู นายกินแม้กระทั่งกระดูกเชียวเหรอเนี่ย เกินไปๆ”

“ถ้าเธอทำได้แบบนี้ก็ทำสิ” ไป๋เยวี่ยหูรีบตอบอย่างไร้เยื่อใย

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่พูดอะไรต่อ แต่หลังจากที่เห็นไป๋เยวี่ยหูขี้โกง เธอก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างของอิ่นสวิน เนื้อที่ออกจะร้อนขนาดนี้อิ่นสวินกลับคีบออกมาแล้วรีบยัดเข้าปากเลย เป่าให้เย็นสักหน่อยก็ไม่ทำ เหมือนไม่กลัวลวกปากเลยแม้แต่น้อย

“อิ่นสวิน นายไม่กลัวมันลวกปากหรือไงฮะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวถามอย่างตกใจ

“ไม่ ฉันไม่กลัวหรอกน่า” อิ่นสวิน

“…” จูเหมี่ยวเหมี่ยว เธอถอดใจแล้ว

คนหนึ่งไม่คายกระดูก อีกคนไม่กลัวลวกปาก เผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงคนเดียวอย่างเธอคงต้องขอยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มวิ่ง

ลู่ชิงจิ่วที่ค่อยๆ บรรจงกินผักอย่างไม่กลัวใครมาแย่งเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวน้ำตาตกจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเพื่อปลอบใจและบอกกับเธอให้เก็บท้องไว้ เดี๋ยวบ่ายนี้จะทำขนมหวานให้กิน จูเหมี่ยวเหมี่ยวถึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา

 

* ผักโหยวม่าย เป็นผักใบเขียวที่คนจีนนิยมนำมาใส่ในหม้อไฟ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: